โรงพยาบาลเมื่อคุณเป็นคนไข้
“เมื่อเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นครั้งแรกดิฉันรู้สึกทันทีเสมือนว่าชีวิตหลุดจากการควบคุมของดิฉัน ดูเหมือนว่าเป็นเพียงตัวเลขสถิติอีกรายหนึ่งเท่านั้น.”—แมรี จี.
“ดิฉันจำได้ตอนที่เข้าโรงพยาบาลเป็นครั้งแรกในฐานะคนไข้. ดิฉันรู้สึกว่าจะได้รับบาดเจ็บง่าย ๆ และไม่ได้รับการคุ้มครอง.”—พอลา แอล.
คุณเคยเป็นคนไข้ในโรงพยาบาลและประสบกับปฏิกิริยาข้างต้นไหม? ไม่ว่าจะเคยหรือไม่ คุณต้องยอมรับว่าคนส่วนใหญ่แทบไม่คิดว่าตนจะเป็นคนไข้. กระนั้น โอกาสเช่นว่าอาจเป็นจริงกับตนเข้าสักวัน. ยกตัวอย่าง เมื่อปี 1987 มีรายงานว่าในทุก ๆ 7 คนที่สหรัฐอเมริกา จะถูกรับเป็นคนไข้ 1 ราย. สถิติดังกล่าวแตกต่างกันไปทั่วโลก. แต่ในฐานะคนที่รอบคอบ ควรเตรียมตัวเพื่อการนี้อย่างไร?
ดร. ซิดนีย์ วอลเฟ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยทางสุขภาพแห่งสาธารณชน ให้ความเห็นว่า “วิธีที่สำคัญที่สุดเพียงประการเดียว ที่จะป้องกันสุขภาพของคุณคือ ทำให้แน่ใจว่าการรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น เป็นสิ่งเลี่ยงไม่ได้.” ไม่ว่าคุณอยู่ที่ไหน ถ้าคุณไม่สบาย คุณมีสิทธิและพันธะที่จะรู้ความจริงในปัญหาทางการรักษาของคุณ. บ่อยครั้ง แพทย์ประจำตัวสามารถให้คำตอบที่น่าพอใจแก่คุณได้.
แต่ถ้ามีปัญหาใด ๆ มีการแนะนำว่าควรฟังความเห็นที่สองจากอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นกลาง. ในบางประเทศ บริษัทประกันภัยถึงกับเรียกร้องความเห็นที่สองก่อนที่เขาจะจ่ายค่าผ่าตัดใหญ่บางประเภท. แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะหาความเห็นจากฝ่ายที่สามเพื่อตกลงกันในเรื่องข้อแตกต่างของการวินิจฉัยและการบำบัดโรค. ประเด็นหลักคือ: ไม่ว่าจะมีความเห็นหนึ่งหรือสองหรือมากกว่านั้น คนไข้ที่สุขุมไม่หุนหันตัดสินเรื่องความจำเป็นและประสิทธิภาพของการบำบัดรักษาที่มีผู้เสนอสำหรับตัวเอง.
การเข้าโรงพยาบาลกรณีฉุนเฉิน
แน่ละ ในสภาวะฉุกเฉินอาจไม่มีเวลาที่จะหาคำแนะนำทางการแพทย์ได้อย่างหลากหลายนัก. คนไข้อาจถึงกับสลบ พูดหรือเขียนอะไรไม่ได้ตอนถูกนำมาโรงพยาบาล. บางครั้งแพทย์ต้องลงมือปฏิบัติทันที แม้กระทั่งก่อนจะสืบหาญาติพบเพื่อรู้ถึงความปรารถนาหรือความต้องการของคนไข้. สภาพการณ์เช่นนั้นเน้นถึงเหตุผลที่การคิดและเตรียมล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง.a
ส่วนคนไข้ที่เป็นพยานพระยะโฮวา เรื่องนี้กินความรวมไปถึงการมีเอกสารบ่งชี้ทางแพทย์และเปลื้องความรับผิดชอบของแพทย์ทางด้านการรักษา ที่กรอกไว้เรียบร้อยและยังไม่หมดอายุ ติดตัวตลอดเวลา. ในใบนี้คนไข้แสดงไว้ก่อนล่วงหน้าถึงความปรารถนาของเขาเรื่องการบำบัดรักษาทางการแพทย์ และให้ข้อมูลอันสำคัญยิ่งเพื่อฝ่ายบุคคลทางการแพทย์จะได้ติดต่อกับญาติ หรือคนอื่น ๆ ซึ่งทราบความปรารถนาของเขา. ขณะที่บัตรใบนี้ไม่อาจจะครอบคลุมไปถึงสถานการณ์ทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่บัตรสำคัญนี้ใช้เป็นเอกสารทางกฎหมายที่พูดแทนคุณเมื่อคุณพูดไม่ได้.
นอกจากนั้นจะเป็นประโยชน์มากถ้าในกรณีฉุกเฉินเพื่อนสนิทหรือญาติ ที่รู้ถึงความต้องการและความเชื่อของคุณ สามารถมาที่โรงพยาบาลเพื่อให้ความสนับสนุนคุณ. ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นไปได้ในปัจจุบันทันด่วนหรือไม่ เอกสารบ่งชี้ทางแพทย์และเปลื้องความรับผิดชอบของแพทย์ทางการรักษาที่ยังไม่หมดอายุ สักวันหนึ่งอาจมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสิทธิของคุณ.
แม้แต่ผู้ที่ไม่ใช่พยานพระยะโฮวาที่รับบัพติสมาแล้ว และไม่มีเอกสารอย่างนี้ เขาย่อมเขียนข้อความในทำนองคล้ายคลึงได้ (น่าจะเป็นพิมพ์ดีด). ควรจะระบุความปรารถนาของตนในเรื่องการบำบัดทางแพทย์ ระบุข้อจำกัดต่าง ๆ และเจาะจงว่าให้ติดต่อกับใครในกรณีฉุกเฉิน.
การกรอกแบบฟอร์มและถ้อยแถลง
สิทธิของคนไข้แตกต่างกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก. (ดูกรอบหน้า 7) ในบางประเทศสิทธินั้นเพิ่มขึ้นอย่างน่าสังเกตเมื่อไม่กี่ปีมานี้; แพทย์ไม่มีสิทธิจะใช้วิธีใด ๆ ในการรักษาคนไข้ เว้นแต่คนไข้ให้คำยินยอม ตามปกติเป็นลายลักษณ์อักษร. นี้เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่ทางโรงพยาบาลอาจจะทำแบบฟอร์มเองซึ่งให้คนไข้ลงนาม. ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้อความต่อไปนี้อาจช่วยคุณได้.
คุณควรอ่านแบบฟอร์มทั้งหมดให้ละเอียดก่อนลงนาม เพราะลายเซ็นของคุณหมายความว่าคุณเห็นพ้องด้วย ยินยอม ตามข้อความในแบบฟอร์มทุกกรณี. อย่ารีบร้อนลงชื่อในแบบฟอร์มเข้ารับการรักษา หรือแบบฟอร์มยินยอมรับวิธีการบำบัด โดยไม่ได้อ่านอย่างถี่ถ้วน. ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับข้อความตอนใดของแบบฟอร์ม ให้ขีดฆ่าออก. แม้ว่ามีผู้หนึ่งผู้ใดคัดค้านว่าเป็นแบบฟอร์มของโรงพยาบาลและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ กระนั้นก็เป็นสัญญามีผลทางกฎหมาย และคุณไม่จำเป็นต้องลงชื่อในสิ่งที่คุณไม่เห็นด้วย. ถึงแม้ว่าไม่ต้องการจะดูเป็นคนไม่มีเหตุผล ก็เป็นสิ่งสำคัญที่คุณไม่อะลุ้มอล่วยในเรื่องนี้—คุณมีสิทธิจะไม่ยินยอมตามข้อความใด ๆ ในแบบฟอร์ม.
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการยินยอมรับการผ่าตัดหรือการใช้เลือดใด ๆ จงตรวจทุก ๆ วรรคอย่างละเอียด. พยานพระยะโฮวาบางคนตกตะลึงต่อสิ่งที่เขาพบในแบบฟอร์มของโรงพยาบาลซึ่งเข้าใจว่าเตรียมเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ. แม้ว่าในตอนต้นพูดว่า ความประสงค์ของคนไข้ในเรื่องเลือดจะได้รับความนับถือ ข้อความวรรคหลัง ๆ พูดในทำนองว่า ‘ในกรณีฉุกเฉินหรือถ้าแพทย์รู้สึกจำเป็น เขาสงวนสิทธิในการถ่ายเลือด.’ นอกจากนั้น เนื่องจากพระวจนะของพระเจ้าเรียกร้องให้คริสเตียนละเว้นจากเลือด จึงเป็นการปฏิบัติอันดีหากจะเขียนว่า “งดถ่ายเลือด” บนกระดาษทุกแผ่นที่มาถึงคุณ. (กิจการ 15:28, 29) นั่นจะทำให้จุดยืนของคุณชัดเจนสำหรับผู้เกี่ยวข้องทุกคน. เป็นความจริงว่าคนไข้จำนวนมากขึ้นไม่ยอมรับเลือด เพราะพวกเขาต้องการจะหลีกความเสี่ยงจากการติดโรคตับอักเสบ โรคเอดส์ หรือโรคอื่น ๆ ที่อันตรายถึงชีวิต.b
คนไข้ในบางประเทศมีสิทธิน้อยกว่าที่ระบุไว้ข้างต้น. ในบางแห่งหมอคือกฎหมาย และถือกันว่าคนไข้ขึ้นอยู่กับความเมตตาของหมอ. หมอคนหนึ่งจากประเทศตะวันตกซึ่งเยี่ยมประเทศหนึ่งในแอฟริกาให้ข้อสังเกตว่า “ผมไม่ได้เตรียมตัวเช่นกัน สำหรับวิธีที่หมอและคนไข้มีปฏิกิริยาต่อกัน . . . คนไข้เองไม่พูดนอกจากมีการพูดกับเขาก่อน. พวกเขาไม่ถามอะไรจากหมอ.” ถึงแม้ธรรมเนียมเช่นนั้นอาจทำให้ลำบากยิ่งขึ้นสำหรับคนไข้ คริสเตียนผู้สุขุมยังคงยืนกรานด้วยความนับถือ แต่แน่วแน่ว่า สิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่มีต่อร่างกายและที่จะเข้าร่วมในการพิจารณาซึ่งกระทบต่อสุขภาพของเขาเองนั้น ควรจะได้รับความนับถือ.
การพูดกับบุคลากรทางการแพทย์
แพทย์ของคุณควรเป็นแหล่งสำคัญสำหรับการสนับสนุนและข้อมูล ฉะนั้นส่วนใหญ่อาจขึ้นอยู่กับว่าคุณเลือกแพทย์อย่างรอบคอบแค่ไหน. นักเขียนคนหนึ่งให้ความเห็นว่า “จงยอมรับว่าแพทย์ก็เหมือนกับคนอื่น ๆ. พวกเขาแสดงให้เห็นความดีและความไม่ดีอย่างเต็มขอบข่าย [ซึ่ง] พวกเราก็ทำกันอยู่. แพทย์ส่วนใหญ่พยายามจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อคนไข้ของเขา แต่บางคนถูก [สังคม] นวดปั้นให้คิดว่าเขามีสิทธิจะตัดสินใจแทนคุณ. ถ้าความเชื่อหรือบุคลิกลักษณะของแพทย์เข้ากับคุณไม่ได้ หาแพทย์คนอื่น.”
พยายามจะให้แพทย์ตอบคำถามจนครบและเป็นที่พอใจก่อนที่คุณยอมรับการรักษาใด ๆ (ดูกรอบหน้า 8) ถ้าคุณไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง อย่ารู้สึกกระดากใจที่จะพูดออกมา. ขอคำอธิบายด้วยภาษาง่าย ๆ ไม่ใช่ศัพท์เฉพาะทางแพทย์. นับว่าเป็นการรู้จักกาลเทศะอีกด้วย ถ้าในช่วงหนึ่งระหว่างการสนทนากับแพทย์ คุณแสดงความหยั่งรู้ค่าอย่างจริงใจที่เขาเข้าใจฐานะของคุณซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานความเชื่อทางศาสนา.
พยายามผูกมิตรกับเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล ที่เกี่ยวข้องกับคุณ เช่นพยาบาล เพราะพวกเขาอาจและควรจะช่วยเหลือได้มากในการดูแลและการฟื้นไข้ของคุณ. เมื่อพวกเขาให้ยาหรือฉีดยา ดูให้แน่ว่าเป็นของคุณจริง ๆ. นี่แหละคือสติปัญญาที่ใช้การได้ เพราะไม่ว่าเจตนาดีสักปานใด ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้.
เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลอาจจะดูมีธุระยุ่งมาก แต่จำไว้ว่า งานนี้คือสิ่งที่พวกเขาส่วนใหญ่เลือกเอา เพราะพวกเขาห่วงใยผู้คนและต้องการช่วยเหลืออย่างแท้จริง. คุณอาจช่วยเหลือพวกเขาให้ทำเช่นนั้นได้ ถ้าคุณพยายามจะแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นและความห่วงใยของคุณอย่างชัดเจน. พยาบาล (หรือเจ้าหน้าที่คนใด) ไม่มีสิทธิที่จะใช้คำพูดไม่สุภาพกับคุณ เช่น “คุณจะตายถ้าคุณไม่ยอมรับการรักษาวิธีนี้.” รายงานการใช้วาจาไม่สุภาพเช่นนี้ไปยังฝ่ายบริหารของโรงพยาบาล รวมทั้งญาติหรือตัวแทนศาสนาของคุณ ซึ่งอาจพูดแทนคุณได้.
ถ้าเกิดปัญหาขึ้นล่ะจะว่าอย่างไร?
มีบางครั้งบางคราว ทั้ง ๆ ที่ใช้ข้อแนะเหล่านี้แล้ว คนไข้ยังเกิดความขัดแย้งกับระบบงานของแพทย์จนเป็นเรื่องใหญ่. แม้ว่าโอกาสเช่นนั้นแทบจะไม่เกิดขึ้น คุณควรทำอย่างไรถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้นโดยกะทันหัน?
ประการแรก พยายามที่จะไม่ตระหนก. ปกตินี้เป็นเวลาที่ยากลำบากสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต่างจะรู้สึกเครียดกันเต็มที่. ฉะนั้น การสงบอกสงบใจ การมีเหตุผล และการแสดงความนับถือของคุณย่อมเป็นผลดี. ประการที่สอง พิจารณาและหาวิธีการทุกอย่างเท่าที่หาได้. โรงพยาบาลอาจมีตัวแทนฝ่ายคนไข้ซึ่งคุณติดต่อและแสวงความช่วยเหลือจากผู้นั้นได้.
พยานพระยะโฮวาถือเป็นหลักว่าจะติดต่อกับพวกผู้ปกครองในประชาคมของตน. ที่ปรึกษาผู้ฉลาดสุขุมและมีประสบการณ์เหล่านี้อาจช่วยถึงขนาดหาสถานพยาบาลที่ให้ความร่วมมือได้ถ้าสถานการณ์ร้ายแรงจนต้องย้ายออก.c คริสเตียนแท้ระลึกไว้เช่นกันว่าต้องวางใจในอำนาจของพระยะโฮวาพระเจ้า. ในสถานการณ์อันยุ่งยากมักจะไม่มีหนทางเดียวที่แก้ปัญหาได้ครบกระบวน และด้วยปัญญาของตัวเราเอง เราอาจจะไม่รู้แน่ชัดลงไปว่าจะหันไปทางไหน. หลายคนได้พบว่าเมื่อทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้โดยทางมนุษย์ การเข้าหาพระเจ้าโดยคำอธิษฐาน เกิดผลไม่เพียงแต่ได้ความประโลมใจแต่พบทางแก้ไขที่คาดไม่ถึงอีกด้วย.—1 โกรินโธ 10:13, ฟิลิปปอย 4:6, 7.
หวังว่าคุณจะไม่ประสบปัญหาใด ๆ ที่กล่าวมานี้ แต่เป็นการดี ที่จะวางแผนล่วงหน้า. นอกจากนั้น จำไว้ว่ามีการคาดหมายบางสิ่งจากตัวคุณขณะที่คุณอยู่ในโรงพยาบาล. โรงพยาบาลเป็นสถานที่อันยอดเยี่ยมที่จะแสดงคุณลักษณะของคริสเตียนเช่น ความอดทน การแสดงความขอบคุณต่อความกรุณาที่แสดงออก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการรู้คุณของผู้ที่ช่วยเหลือ. จดหมายสั้น ๆ ไปยังเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลหรือแม้กระทั่งการให้อะไรบางอย่างเป็นการแสดงความหยั่งรู้ค่า ทำให้เกิดความประทับใจไปนาน. การอยู่ในโรงพยาบาลอาจเปิดโอกาสให้คำพยานโดยการประพฤติของคุณที่เป็นตัวอย่าง โดยวิธีนั้นเสริมชื่อเสียงอันดีของคริสเตียนฐานะเป็นคนไข้.—1 เปโตร 2:12.
[เชิงอรรถ]
a นานมาแล้ว ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลเขียนสุภาษิตซึ่งได้รับการดลบันดาลที่เน้นถึงประโยชน์ของการคิดล่วงหน้าว่า “คนฉลาดมองเห็นภัยแล้วหนีไปซ่อนตัว แต่คนโง่เดินเซ่อไปและก็เป็นอันตราย.”—สุภาษิต 22:3.
b ดูหนังสือเลือดจะช่วยชีวิตคุณได้อย่างไร? (1990) พิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็ค ออฟ นิวยอร์ก.
c ดังที่อธิบายในหน้า 12 พยานพระยะโฮวามีแหล่งที่มีค่าซึ่งให้ความช่วยเหลือเพื่อรับมือกับปัญหาทางแพทย์และฝ่ายบุคคลในโรงพยาบาลได้.
[กรอบหน้า 5]
ถ้าคุณเป็นคนไข้ในโรงพยาบาล
รายการที่ต้องตรวจก่อนเข้าโรงพยาบาล:
□ 1. มีเอกสารบ่งชี้ทางแพทย์/ปลดเปลื้องความรับผิดชอบ ที่ไม่หมดอายุ หรือข้อความเป็นลายลักษณ์อักษรแสดงความประสงค์ ที่เซ็นชื่อเรียบร้อย ติดตัวไปด้วย.
□ 2. เลือกแพทย์อย่างรอบคอบ.
□ 3. ทำให้แน่ใจว่าการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเรื่องจำเป็น.
□ 4. อ่านและเติมข้อความลงในใบรับเข้าอย่างระมัดระวัง. ถ้าคุณเป็นพยานพระยะโฮวารีบแสดงตัวทันที.
□ 5. นำของส่วนตัวที่จำเป็นติดตัวจำนวนน้อยที่สุด เช่น เสื้อคลุมอาบน้ำ ของใช้ในห้องน้ำ และหนังสืออ่าน.
□ 6. เครื่องเพชรพลอย อุปกรณ์เครื่องไฟฟ้าส่วนมากเก็บไว้ที่บ้าน และเงินที่ไม่จำเป็น.
[กรอบหน้า 7]
สิทธิของคนไข้
เมื่อคนไข้เข้าโรงพยาบาล เขาไม่ควรรู้สึกเกรงขามต่อสถานที่และคิดว่าตัวเขาไม่มีความสำคัญอะไรเลย. เขามีสิทธิที่โรงพยาบาลส่วนมากและเจ้าหน้าที่ภายในยินดีให้ความนับถือสิทธินั้น. สิทธิต่อไปนี้สรุปย่อโดยอาศัยข้อความสิบประการในหนังสือฮาว ทู สเต เอาต์ ออฟ เดอะ ฮอสปิตาล โดย ไลลา แอล. อะนาสตัส, อาร์. เอ็น.d
คนไข้มีสิทธิที่จะ:
1. รับการดูแลอย่างเห็นอกเห็นใจและนับถือจากบุคลากรที่มีคุณวุฒิ.
2. รับข้อมูลสมบูรณ์ทันการณ์จากหมอในเรื่องการวินิจฉัยโรค การรักษา และการคาดคะเนอาการของโรคในภาษาที่คนไข้เข้าใจ.
3. รับข้อมูลที่จำเป็นจากหมอเพื่อให้การยินยอมอย่างมีความเข้าใจก่อนเริ่มดำเนินการและ/หรือบำบัดรักษาใด ๆ. เมื่อมีทางเลือกอื่นตามหลักวิชาแพทย์ คนไข้มีสิทธิจะได้รับข้อมูลนั้น.
4. ปฏิเสธการบำบัดรักษาในขอบเขตที่กฎหมายเปิดช่องให้.
5. ทุกด้านที่เกี่ยวกับรายการบำบัดทางแพทย์สำหรับตัวเขาให้ถือเป็นเรื่องส่วนตัว.
6. คาดหมายว่าการพูดจาติดต่อและบันทึกทั้งสิ้นที่เกี่ยวข้องกับการรักษาตัวเขา จะถือเป็นความลับ.
7. คาดหมายว่าโรงพยาบาลต้องสนองตามความสามารถที่ทำได้ต่อคำขอของคนไข้เพื่อการรักษาหรือย้ายไปยังโรงพยาบาลอื่นเมื่อแพทย์อนุญาต.
8. รับข้อมูลเรื่องความเกี่ยวพันใด ๆ ของโรงพยาบาลกับสถาบันทางการศึกษาและศูนย์สุขภาพอื่น ๆ เท่าที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคของเขา.
9. โรงพยาบาลต้องแจ้งให้ทราบหากจะทำการทดลองกับร่างกายมนุษย์ซึ่งอาจมีผลต่อการดูแลหรือการบำบัดตัวเขา.
10. คาดหมายการดูแลรักษาต่อเนื่องเท่าที่เป็นไปได้และรับทราบล่วงหน้าถึงความพร้อมของแพทย์ เวลากำหนดนัดและสถานที่.
[เชิงอรรถ]
d หนังสือเดอะ ไรทส์ ออฟ เพชึนทส์—เดอะ เบซิค เอซีแอลยู ไกด์ ทู เพชึนทส์ ไรทส์ ระบุสิทธิ 25 ข้อใน “แบบฉบับสิทธิของคนไข้.”
[กรอบหน้า 8]
การป้องกันและ การร่วมมือของคนไข้
“ผู้ต้องหาไม่ควรไปศาลโดยไม่มีทนายร่วมด้วยฉันใด คนไข้ก็ไม่ควรเข้าโรงพยาบาลในเมืองใหญ่โดยไม่มีสมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนสนิทพร้อมจะดูแลผลประโยชน์ของคนไข้และช่วยพูดเมื่อถึงคราวจำเป็นฉันนั้น.”—จูน บิงแฮม เดอะ วอชิงตัน โพสท์, 12 สิงหาคม 1990.
“ตลอดยุคสมัยมา ความคิดที่จะให้คนไข้มีส่วนในการตัดสินใจทางการแพทย์เป็นเรื่องแปลกทางความคิดและการปฏิบัติของแพทย์. และคนไข้ก็เรียนรู้จากประสบการณ์อันขมขื่นว่า การถามคำถามมากเกินไปอาจทำให้คนไข้ห่างเหินจากหมอ เนื่องจากหมอมักจะขุ่นเคืองต่อคำถามเช่นนั้น.
“กระนั้น ความคิดของหมอที่ว่าอะไรคือผลประโยชน์ของคนไข้และจึงปฏิบัติลงไปโดยไม่สอบถามนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่จริงจนคนเรารู้สึกสนเท่ห์ใจที่ความคิดเช่นว่านั้นมีผู้ปกป้องกันอย่างสุดเหวี่ยง. . . .
“หมออาจไม่เห็นพ้องกับคนไข้ กระทั่งเถียงกับพวกเขา แม้แต่คะยั้นคะยอเขา แต่หมอต้องทำด้วยน้ำใจที่ห่วงใยคนไข้. ท้ายที่สุดเราต้องแสดงความนับถือต่อสิ่งที่คนไข้ประสงค์หรือไม่ประสงค์จากเรา.”—ดร. เจย์ แคทย์ จิตแพทย์ ศาสตราจารย์ ณ มหาวิทยาลัยเยล, เดอะ เมดิคัล โพสท์ แคนาดา.
“คนไข้มิใช่เด็กทารกและหมอก็ไม่ใช่บิดามารดา. . . . จริงทีเดียวดูเป็นเรื่องแปลกที่ต้องเตือนนักศึกษาแพทย์ และแพทย์ด้วยว่า คนไข้นำเอาความคาดหมายติดตัวมาด้วยเมื่อมาพบหมอ . . . พวกเขาหวังจะให้และรับความไว้วางใจ หวังจะยืนด้วยขาของตนเอง และไม่ต้องการถูกฉวยประโยชน์เพราะว่าเป็นคนไข้ ต้องการมีการพูดจากับเขาและรับฟังเขา ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันและไม่ใช่อยู่ใต้บังคับบัญชา ได้รับความนับถือต่อแบบการดำเนินชีวิตของเขา และมีการยินยอมให้ดำรงชีวิตในวิถีทางที่ใจสมัคร.”—เดอะ ไซเลนท์ เวิลด์ ออฟ ด็อกเตอร์ แอนด์ เพชึนท์ โดย ดร. เจย์ แคทซ์.
“การบริการเริ่มตั้งแต่ติดต่อคนไข้. ปฏิกิริยากับคนไข้ประมาณสี่ล้านรายทุกวันทำให้แพทย์ชาวอเมริกันมีโอกาสแสดงมิใช่เพียงความเชี่ยวชาญ แต่ความเมตตาสงสารแท้ ความห่วงใย และการอุทิศตัวของเราต่อคนไข้แต่ละคนที่เราให้บริการ.”—เจมส์ อี. เดวิส, เอ็ม. ดี. นายกสมาคมแพทย์อเมริกัน.