คุณอยู่พร้อมจะเผชิญสถานการณ์ด้านการรักษาที่ท้าทายความเชื่อไหม?
1 ไม่ค่อยมีใครคิดมากเท่าไรถึงเรื่องที่ว่า วันนี้หรือพรุ่งนี้เขาอาจต้องเข้าอยู่ในโรงพยาบาล. แต่ ‘วาระและเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดล่วงหน้าย่อมบังเกิดแก่เราทุกคน.’ (ผู้ป. 9:11, ล.ม.) แม้ว่าคุณไม่ยอมรับการรักษาทางการแพทย์เป็นวิธีเอาใจใส่สุขภาพที่คุณชอบก็ตาม คุณจะทำอย่างไรเพื่อป้องกันตัวจากการถ่ายเลือดอันไม่พึงปรารถนาเมื่อคุณหมดสติเนื่องจากอุบัติเหตุและถูกนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน? เป็นความจริงทีเดียวที่อุบัติเหตุ หรือสุขภาพที่เสื่อมทรุดอย่างกะทันหันอาจทำให้คุณต้องเผชิญข้อท้าทายความเชื่อของคุณอย่างคาดไม่ถึง.
2 หากคุณต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง คุณจะทำอย่างไรเพื่อรักษาความภักดีไว้ถ้ามีบางคนบอกว่าคุณจะเสียชีวิตหากไม่เติมเลือด? คุณจะด่วนยอมรับว่าข้ออ้างนั้นเป็นสถานการณ์ที่แท้จริงของคุณไหม? คุณมั่นใจเต็มที่ไหมว่าคุณไม่ต้องการเลือด? คุณพร้อมจะเผชิญการท้าทายความเชื่อของคุณข้อนี้ไหม และ ‘ละเว้นจากเลือด’?—กิจ. 15: 28, 29.
3 เพื่อจะประสบผลสำเร็จในการปฏิเสธการถ่ายเลือดอันไม่พึงปรารถนาและทำให้ฝ่ายวิญญาณเป็นมลทินนั้น เริ่มด้วยความเชื่อที่มั่นคง. ความเชื่ออันมั่นคงเช่นนั้นต้องอาศัยความเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวไว้เกี่ยวกับเลือด. มิฉะนั้น ในสภาพอารมณ์ในช่วงเวลานั้น คุณอาจถูกคุกคามโดยบางคนที่อ้างว่าเขารู้ดีกว่าที่คุณรู้เกี่ยวกับสภาพการณ์นั้น. คุณจะถูกชักนำให้หลงคิดว่าแพทย์อาจจะรู้เรื่องเลือดดีกว่าพระเจ้าอย่างนั้นไหม? แน่นอนว่าในสถานการณ์นั้น คุณคงปรารถนาจะ ‘แน่วแน่’ จะกระทำ “สิ่งที่ถูกต้อง” ในสายพระเนตรของพระยะโฮวา ไม่ว่ามนุษย์อาจพูดอย่างไรก็ตาม. (บัญ. 12:23–25) แต่คุณจำต้องเผชิญกับข้อท้าทายนี้ด้วยลำพังตนเองไหม?—ผู้ป. 4:9–12.
ขั้นตอนล่วงหน้าอันสำคัญยิ่ง—คุณทำหรือยัง?
4 แรกที่สุด จงทำให้แน่ใจว่าเอกสารทางการแพทย์ของทุกคนในครอบครัวมีการกรอกอย่างครบถ้วน—ลงวันที่ ลายมือชื่อ และลายมือชื่อพยาน. พี่น้องบางคนไปถึงโรงพยาบาลพร้อมกับเอกสารที่ไม่ได้ลงวันที่ และ/หรือลายมือชื่อพยาน เคยถูกแย้งว่าเอกสารนั้นใช้ไม่ได้. และลูก ๆ ของเราที่ยังไม่ได้รับบัพติสมามีบัตรประจำตัวที่กรอกข้อความครบไหม? หากไม่ เมื่อมีกรณีฉุกเฉินเกี่ยวกับลูกของคุณ บุคลากรของโรงพยาบาลจะทราบได้อย่างไรถึงสถานภาพของคุณเกี่ยวกับเรื่องเลือดและจะติดต่อกับใคร?
5 ครั้นแล้ว จงดูแลให้ทุกคนเก็บเอกสารนี้ไว้กับตัวตลอดเวลา. ตรวจดูทุกวันว่าลูกของคุณมีบัตรนี้เมื่อไปโรงเรียน ถูกแล้ว จงตรวจดูแม้แต่ก่อนที่พวกเขาจะไปสนามเด็กเล่นหรือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ. เราทุกคนควรแน่ใจว่ามีเอกสารนี้ติดตัวอยู่เสมอเมื่อไปทำงาน ไปพักร้อน หรือไปร่วมการประชุมใหญ่. อย่าไปที่ไหนโดยไม่มีเอกสารนี้!
6 คิดดูสิว่าอาจเกิดอะไรขึ้นหากคุณมาถึงห้องฉุกเฉินในสภาพที่สาหัส หมดสติ และ/หรือพูดไม่ได้. หากคุณไม่มีเอกสารนี้อยู่กับตัว และยังไม่มีญาติหรือผู้ปกครองอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อจะพูดแทนคุณ และมีการลงความเห็นว่าคุณ ‘ต้องรับเลือด’ อาจเป็นได้ว่าคุณจะได้รับการเติมเลือด. น่าเสียใจที่สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นกับบางคน. แต่เมื่อเรามีเอกสารนี้ติดตัว เอกสารนี้ก็จะพูดแทนเรา แสดงเจตจำนงของเรา.
7 นั่นคือเหตุผลที่เอกสารทางการแพทย์ใช้ได้ดีกว่าที่เป็นแบบกำไลหรือสร้อยคอ. สองอย่างหลังนี้ไม่มีคำอธิบายเหตุผลตามหลักพระคัมภีร์สำหรับสถานภาพของเราและไม่มีการลงลายมือชื่อรับรองข้อความที่มีบอกไว้. คำพิพากษาของศาลแห่งหนึ่งในแคนาดากล่าวถึงเอกสารของพี่น้องหญิงคนหนึ่งดังนี้: “[ผู้ป่วย] ได้เลือกเอาทางเดียวที่เป็นไปได้เพื่อแจ้งให้แพทย์หรือผู้ให้การดูแลรักษาคนอื่น ๆ ทราบ เมื่อเธอหมดสติหรือไม่อาจแสดงเจตจำนงของเธอได้ ว่าเธอไม่ยอมรับการเติมเลือด.” ฉะนั้น จงมีเอกสารนี้ติดตัวเสมอ!
8 เนื่องจากเอกสารทางการแพทย์ของเรานั้นโดยหลักแล้วถูกออกแบบเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินโดยเฉพาะ แต่ในการผ่าตัดที่เลือกไว้ คงเป็นการรอบคอบที่จะเขียนข้อกำหนดล่วงหน้าที่ครบถ้วนกว่าด้วยตัวคุณเอง (โดยอาศัยเอกสารทางการแพทย์) เพื่อว่าคุณอาจรวมเอาข้อกำหนดบางอย่างไว้ด้วย เช่นประเภทของการผ่าตัด ชื่อของแพทย์และโรงพยาบาล. เป็นสิทธิของคุณที่จะทำเช่นนี้ และดังนั้นจึงเป็นการรับประกันว่าคุณจะได้รับการรักษาที่คุณเลือก. แม้ว่าคุณและแพทย์อาจไม่ได้คาดล่วงหน้าถึงปัญหายุ่งยากบางอย่างก็ตาม จงอธิบายว่าข้อกำหนดเช่นนี้จะต้องมีการปฏิบัติตามในกรณีที่มีบางสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดเกิดขึ้น.—สุภา. 22:3.
9 ขั้นตอนสำคัญต่อไปคือการปรึกษากับบุคลากรทางการแพทย์ผู้ซึ่งจะเอาใจใส่คุณทั้งในการรักษาที่มีการเลือกเอาและการรักษาในกรณีฉุกเฉินด้วย. คุณควรจะพูดกับใครโดยเฉพาะ?
การปรึกษากับบุคลากรการแพทย์
10 คณะแพทย์: นี่เป็นเวลาที่จะต้องไม่กลัวหน้ามนุษย์. (สุภา. 29:25) หากคุณแสดงให้เห็นถึงความไม่แน่ใจ บางคนอาจตัดสินว่าคุณไม่ตั้งใจจริง. เมื่อจำเป็นต้องมีการผ่าตัด ไม่ว่าแบบที่เลือกไว้หรือแบบฉุกเฉิน ด้วยความตั้งใจแน่วแน่ คุณหรือสมาชิกที่ใกล้ชิดที่สุดในครอบครัวจะต้องถามคำถามสำคัญบางอย่างกับหัวหน้าคณะศัลยแพทย์นั้น. คำถามสำคัญข้อหนึ่งคือ คณะแพทย์นั้นจะเคารพต่อเจตจำนงของผู้ป่วยและทำการรักษาในทุกสถานการณ์โดยไม่ใช้เลือดหรือไม่? หากปราศจากการรับรองในเรื่องนี้ คุณก็จะไม่มีการป้องกันอย่างดี.
11 จงแจ้งให้ทราบอย่างชัดเจนและด้วยความเชื่อมั่นว่าเจตจำนงของคุณคืออะไร. บอกชัดเจนว่าคุณต้องการให้ดำเนินการรักษาความเจ็บป่วยของคุณโดยไม่มีการใช้เลือด. อธิบายแบบฟอร์มหนังสือแสดงเจตจำนงของคุณอย่างมีความมั่นใจและด้วยความสงบ และแบบฟอร์มการปลดเปลื้องความรับผิดของโรงพยาบาลด้วย. หากศัลยแพทย์ไม่เต็มใจจะปฏิบัติตามความต้องการของคุณ คุณจะประหยัดเวลาได้ถ้าคุณขอผู้บริหารโรงพยาบาลให้หาแพทย์คนอื่นให้คุณ. นั่นคืองานอย่างหนึ่งของเขา.
12 วิสัญญีแพทย์: บุคคลสำคัญคนหนึ่งของคณะแพทย์ที่คุณต้องพูดกับเขาก่อนการผ่าตัด. คุณต้องไม่ลืมที่จะพูดกับแพทย์คนนี้. เขามีความรับผิดชอบในการทำให้คุณยังมีชีวิตอยู่ในขณะที่ทำการผ่าตัด วิสัญญีแพทย์เป็นผู้ที่ตัดสินเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ เช่นการใช้เลือด. ฉะนั้น คุณยังไม่ได้รับการป้องกันเต็มที่โดยเพียงแต่พูดกับศัลยแพทย์. ดังนั้น คุณต้องพูดกับวิสัญญีแพทย์และทำให้เขามั่นใจเกี่ยวกับจุดยืนของคุณ ให้รู้แน่ว่าจะมีการปฏิบัติตามหรือไม่.—เทียบกับลูกา 18:3–5.
13 ดูเหมือนเป็นข้อปฏิบัติตามปกติสำหรับวิสัญญีแพทย์ในการไปเยี่ยมผู้ป่วยในเวลาค่อนข้างดึกก่อนการผ่าตัด—นั่นสายเกินไปหากเขาต่อต้านจุดยืนของคุณเรื่องเลือด. จงขอร้องให้ศัลยแพทย์เลือกวิสัญญีแพทย์ที่จะร่วมงานด้วยไว้ล่วงหน้าเพื่อคุณจะพูดคุยด้วยได้เป็นอย่างดีก่อนถึงเวลาทำการผ่าตัดที่ได้เลือกไว้. แล้วคุณก็จะมีเวลามากพอจะหาวิสัญญีแพทย์คนอื่นได้หากว่าคนแรกนี้ไม่เต็มใจจะปฏิบัติตามความประสงค์ของคุณ. อย่ายอมให้ใครเกลี้ยกล่อมคุณจนสละสิทธิ์ในการเลือกหาวิสัญญีแพทย์สำหรับการผ่าตัดของคุณ.
14 ประการสำคัญที่สุด คุณต้องบอกให้ชัดเจนถึงจุดยืนอันไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ของคุณ คือ ไม่รับการถ่ายเลือด. ขอรับการดำเนินการรักษาอื่น ๆ ที่ไม่มีการใช้เลือด ในกรณีของคุณ. กล่าวถึงบางสิ่งที่อาจใช้แทนเลือดได้สำหรับสภาพการณ์ของคุณ. หากคณะแพทย์เห็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่เป็นประโยชน์ในกรณีของคุณ ก็ขอให้เขาค้นหาวิธีที่อาจทำได้ในคู่มือแพทย์ต่าง ๆ.
การทำตามสิทธิ์ของคุณ
15 จงตรวจสอบอย่างรอบคอบในแบบฟอร์มการปลดเปลื้องความรับผิดและแบบฟอร์มแสดงความยินยอมที่โรงพยาบาลขอให้คุณลงชื่อเมื่อเข้าโรงพยาบาล. บางครั้ง หลังจากข้อความที่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติตามความประสงค์ของคุณนั้น วรรคต่อ ๆ ไปจะแถลงว่าผู้ที่ลงลายมือชื่อนี้เห็นชอบด้วยว่าโรงพยาบาลสามารถดำเนินการรักษาเพื่อ “ช่วยชีวิต” ได้เมื่อพวกเขาเผชิญกับปัญหาบางอย่าง. ซึ่งนั่นอาจรวมถึงการใช้เลือดด้วย. คุณมีสิทธิ์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความเช่นนั้นเพื่อปฏิเสธการใช้เลือดหรือขีดฆ่าถ้อยคำเหล่านั้นออกทั้งหมดได้. พยาบาลอาจพยายามจะบอกคุณว่าคุณจะทำเช่นนั้นไม่ได้ แต่คุณทำได้! อธิบายว่าแบบฟอร์มนั้นเป็นสัญญาที่ทำกับพวกเขาและคุณไม่อาจลงลายมือชื่อในสัญญาที่คุณไม่เห็นชอบด้วยได้. หากมีใครพยายามบังคับคุณให้ลงลายมือชื่อ จงขอพูดกับผู้บริหารและ/หรือตัวแทนผู้ป่วยสำหรับศูนย์พยาบาลแห่งนั้น.
16 คุณจะทำเช่นนั้นได้ไหม? ใช่ คุณทำได้. ฉะนั้น จงสำเหนียกถึงสิทธิ์ของคุณในฐานะผู้ป่วย. สิทธิเหล่านี้ของความเป็นมนุษย์ไม่ได้ถูกทิ้งไว้ที่ประตูหน้าเมื่อคุณเข้าไปในโรงพยาบาล. คุณไม่จำเป็นต้องสละสิทธิ์เหล่านั้นเพื่อจะได้รับการรักษา. อย่ายอมให้ใครบอกคุณเป็นอย่างอื่นไป.
17 สิทธิเช่นนั้นอย่างหนึ่งเรียกว่าสิทธิในการให้ความยินยอมโดยได้รับการชี้แจงครบถ้วน ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีการให้การรักษาใด ๆ แก่คุณได้โดยที่คุณไม่อนุญาต. คุณสามารถปฏิเสธการรักษาได้ทุกอย่างหากคุณต้องการ. ความเห็นชอบของคุณต่อการรักษาจะต้องเนื่องมาจากการอธิบายอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่คณะแพทย์ตัดสินใจจะดำเนินการ รวมทั้งผลดีและความเสี่ยงทุกอย่างด้วย. จากนั้น พวกเขาต้องแจ้งให้คุณทราบเกี่ยวกับการรักษาอื่น ๆ ที่อาจหาได้. ครั้นแล้ว หลังจากได้รับข้อมูลทั้งหมด คุณก็เลือกการรักษาที่คุณต้องการ.
18 เพื่อให้แน่ใจในสิ่งที่คุณได้ให้ความเห็นชอบไป คุณต้องถามคำถามที่เหมาะเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่คุณยังไม่เข้าใจ โดยเฉพาะคำยาว ๆ หรือศัพท์ทางแพทย์ที่บุคลากรในโรงพยาบาลใช้. ตัวอย่างเช่น หากแพทย์บอกว่าเขาต้องการจะใช้ “พลาสมา” คุณอาจสรุปเอาโดยไม่เข้าใจว่าเขากำลังพูดถึง “สารขยายปริมาตรพลาสมา” แต่ไม่ใช่เช่นนั้น. ก่อนจะเห็นชอบด้วยกับการใช้นั้น จงถามว่า “นั่นเป็นส่วนประกอบของเลือดหรือไม่?” เกี่ยวกับขั้นตอนการรักษาของเขา จงถามว่า “การรักษานั้นเกี่ยวข้องกับการใช้ผลิตผลของเลือดหรือไม่?” ถ้าเขาอธิบายถึงอุปกรณ์บางอย่างที่เขาต้องการจะใช้ จงถามว่า “เลือดของผม (ดิฉัน) ถูกเก็บไว้ หรือไม่ในระหว่างที่ใช้อุปกรณ์นั้น?”
19 แต่คุณจะทำอย่างไรหากคุณได้ทำทุกอย่างดังที่กล่าวไว้ข้างบนแล้ว ก็ยังไม่มีการให้ความร่วมมือหรือกระทั่งยังมีการปฏิเสธจุดยืนของคุณอยู่? อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือ. บางคนรอนานเกินไปเพื่อจะได้ความช่วยเหลือและทำให้ชีวิตตนเองตกอยู่ในอันตราย.
การช่วยเหลืออันทรงคุณค่าในยามจำเป็น
20 จงเอาใจใส่ขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อได้รับการช่วยเหลือที่จำเป็น: (1) ทันทีที่คุณหรือบุคคลที่คุณรักเผชิญกับการผ่าตัดที่ได้เลือกไว้หรือแบบฉุกเฉินซึ่งมีการต่อต้านเนื่องจากทางโรงพยาบาลต้องการจะใช้เลือด; หรือ (2) หากสถานการณ์ด้านสุขภาพของคุณหรือคนที่คุณรักแย่ลงมาก; หรือ (3) หากเป็นในกรณีของเด็ก (ผู้ใหญ่) แพทย์หรือพยาบาลหรือผู้บริหารบอกว่าพวกเขาจะขอคำสั่งศาล หากเป็นเช่นนั้น จง:
21 ติดต่อผู้ปกครองในประชาคมท้องถิ่นนั้นหากคุณยังไม่ได้ทำเช่นนั้น. (อันที่จริง เนื่องจากสถานภาพของพวกเราในเรื่องเลือด นับเป็นแนวทางอันฉลาดสุขุมที่จะแจ้งให้ผู้ปกครองทราบทุกครั้งที่เราจำต้องเข้าโรงพยาบาล.)
22 ผู้ปกครองในประชาคมของคุณอาจทราบว่าแพทย์ที่ให้ความร่วมมือกับเราซึ่งอยู่ในเขตที่คุณอยู่นั้นเป็นใครและสามารถช่วยคุณติดต่อกับเขา และเริ่มสืบหาแพทย์หรือสถานพยาบาลต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือ.
23 พวกผู้ปกครองยังเต็มใจจะช่วยคุณหรือญาติพูดกับแพทย์หรือผู้บริหารด้วย แต่คุณต้องขอความช่วยเหลือนั้น. จริงอยู่ พี่น้องเหล่านั้นไม่อาจตัดสินใจแทนคุณได้ แต่บ่อยครั้ง เขาสามารถช่วยคุณได้ในการพิจารณาถึงความเห็นของพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องนั้นและเตือนคุณถึงสิทธิของคุณในเรื่องการรับการรักษาและทางกฎหมาย.
24 หากคณะแพทย์ยังคงมีแนวโน้มจะไม่ยอมร่วมมือ จงพูดกับผู้บริหารโรงพยาบาลเกี่ยวกับการเปลี่ยนเป็นแพทย์คณะอื่นที่จะปฏิบัติตามความประสงค์ของคุณ. ถ้าผู้บริหารนั้นลังเลไม่ทำ และเพียงแต่หากคุณแน่ใจว่ามีศัลยแพทย์คนหนึ่งคนใดซึ่งจะยอมทำตามความประสงค์ของคุณ และอาจโอนย้ายคุณไปที่นั่นได้ ถ้าอย่างนั้นคุณก็มีสิทธิ์ในการยื่นหนังสือต่อผู้บริหารโรงพยาบาล ลงวันที่ และลายมือชื่อของคุณ ระบุรายชื่อแพทย์ที่ไม่ให้ความร่วมมือและแจ้งให้ทราบว่าพวกเขาพ้นจากหน้าที่ให้การรักษาแก่คุณ.
25 คุณจะทำเช่นนั้นได้ไหม? ได้แน่ คุณมีสิทธิ์จะทำเช่นนั้น. และถ้าหลังจากนั้นเรื่องนี้ไปถึงศาล หนังสือที่คุณเขียนขึ้นนั้นก็สามารถสนับสนุนต่อการที่เขาจะยอมรับความประสงค์ของคุณ. อาจเป็นได้ด้วยที่การทำเช่นนั้นจะเปิดทางให้ศัลยแพทย์คนอื่น ๆ เข้ามาเสนอการช่วยเหลือแก่คุณได้. และที่สำคัญอย่างยิ่ง นั่นสามารถให้การเอาใจใส่ในด้านการรักษาที่จำเป็นแก่คุณก่อนที่สภาพการณ์ของคุณจะย่ำแย่ถึงขั้นอันตราย. อย่ามัวรีรอจนสายเกินแก้!
คำถามอันแฝงด้วยความหมายที่ควรเฝ้าระวัง
26 คุณควรทราบว่ามีคำถามบางข้อที่แพทย์หรือคนอื่น ๆ ยกขึ้นมาซึ่งอาจถามด้วยเจตนาไม่ดี. คำถามหนึ่งที่แพทย์ (หรือผู้พิพากษาบางคน) มักจะถามบ่อย ๆ คือ:
● “คุณจะยอมตาย (หรือ ยอมให้ลูกของคุณตาย) แทนที่จะยอมรับ ‘การถ่ายเลือดเพื่อช่วยชีวิต’ ไหม?”
27 หากคุณตอบว่าใช่ นั่นก็จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องในแง่ของศาสนา. แต่คำตอบเช่นนั้นมักจะมีการเข้าใจผิดและบางครั้งกระทั่งยังก่อให้เกิดการตัดสินที่ไม่เป็นผลดี. คุณต้องระลึกว่าในสถานการณ์ตอนนั้น คุณไม่ได้อยู่ในการรับใช้. แต่คุณกำลังพูดถึงการรักษาทางแพทย์ที่จำเป็น. ฉะนั้น คุณต้องดัดแปลงคำตอบให้เหมาะกับผู้ฟัง ทั้งที่เป็นแพทย์หรือนักกฎหมาย.—เพลง. 39:1; โกโล. 4:5, 6.
28 กับแพทย์ ผู้พิพากษา หรือผู้บริหารโรงพยาบาล คำตอบ “ใช่” อาจหมายความว่าคุณต้องการจะเป็นผู้สละชีวิตหรือต้องการสละลูกของคุณเพื่อความเชื่อถือ. การบอกพวกเขาเกี่ยวกับความเชื่ออันมั่นคงของคุณเกี่ยวกับการกลับเป็นขึ้นจากตายนั้นตามปกติแล้ว ในสถานการณ์เช่นนั้น มักจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย. พวกเขาจะตราหน้าคุณว่าเป็นคนคลั่งศาสนา ไม่อาจตัดสินใจได้อย่างสมเหตุสมผลเมื่อชีวิตอยู่ระหว่างความเป็นความตาย. ในกรณีของลูกคุณ พวกเขาจะมองคุณว่าเป็นบิดามารดาที่ละเลย ซึ่งปฏิเสธสิ่งที่เรียกกันว่าการรักษาทางแพทย์ที่ “ช่วยชีวิต”.
29 แต่คุณไม่ได้ปฏิเสธการรักษาทางแพทย์. คุณเพียงแต่ไม่เห็นพ้องกับแพทย์เกี่ยวกับวิธีการรักษา. ทัศนคติเช่นนี้มักจะเปลี่ยนสถานการณ์ของคุณและเขาโดยสิ้นเชิง. นอกจากนี้ นั่นยังเป็นการหลงผิดของพวกเขาที่ทำให้ดูราวกับว่าเลือดเป็นสิ่งปลอดอันตรายและเป็นการรักษาเพียงอย่างเดียวที่ช่วยชีวิต. (ดูจุลสาร เลือดจะช่วยชีวิตคุณได้อย่างไร? หน้า 7–22.) ฉะนั้น คุณต้องทำให้เรื่องนี้กระจ่างชัด. คุณจะทำได้อย่างไร? คุณอาจตอบว่า:
● “ผม (ดิฉัน) ไม่ต้องการ [ผม (ดิฉัน) ไม่ต้องการให้ลูกของผม (ดิฉัน)] ตาย. ถ้าผม (ดิฉัน) ต้องการ [ต้องการให้ลูกของผม (ดิฉัน)] ตาย ผม (ดิฉัน) ก็คงอยู่ที่บ้าน. แต่ผม (ดิฉัน) มาที่นี่เพื่อรับการรักษาทางแพทย์เพื่อว่าจะ (เพื่อให้ลูก) มีชีวิตรอด. สิ่งที่ผม (ดิฉัน) ต้องการคือการดำเนินการรักษาในแบบที่ไม่ใช้เลือดในกรณีของผม (ดิฉัน) [ของลูกของผม (ดิฉัน) ]. มีการรักษาในแบบอื่น ๆ ที่จะใช้ได้.”
30 คำถามอื่นอีกบางข้อที่แพทย์หรือผู้พิพากษามักจะถามคือ:
● “จะเกิดอะไรขึ้นกับคุณถ้าหากมีคำสั่งศาลให้คุณเติมเลือด? คุณจะต้องรับผิดชอบอะไรไหม?”
● “การที่คุณยอมรับหรือให้มีการถ่ายเลือดที่ถูกบังคับให้ทำนั้นจะเป็นเหตุให้คุณถูกขับออกจากศาสนาของคุณหรือถูกปฏิเสธไม่ให้รับชีวิตนิรันดร์ไหม? คุณจะถูกประชาคมที่คุณสังกัดอยู่มองดูอย่างไร?”
31 พี่น้องหญิงคนหนึ่งตอบรับต่อศาลว่าในกรณีเช่นนั้นเธอจะไม่ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศาลได้ตัดสินไป. ขณะที่คำตอบนั้นถูกในแง่หนึ่ง ผู้พิพากษาถือว่านั่นหมายความว่าเนื่องจากเธอไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ดังนั้นเขาจึงจะรับผิดชอบแทนเธอ. เขาสั่งให้มีการถ่ายเลือด.
32 คุณต้องเข้าใจว่าในการถามคำถามเหล่านั้น ตามปกติแล้วบางคนกำลังมองหาช่องทางจากการที่คุณปฏิเสธการถ่ายเลือด. อย่าให้พวกเขามีโอกาสโดยที่คุณประมาทเลินเล่อ! ดังนั้นเราจะหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดเช่นนั้นได้อย่างไร? คุณอาจตอบได้ดังนี้:
● ถ้ามีการบังคับให้ผม (ดิฉัน) รับเลือด นั่นก็จะเหมือนกับการที่ผม (ดิฉัน) ถูกข่มขืน. ผม (ดิฉัน) จะต้องทนทรมานทั้งทางความรู้สึกและทางฝ่ายวิญญาณตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ อันเนื่องมาจากการทำร้ายผม (ดิฉัน) เช่นนั้น. ผม (ดิฉัน) จะต่อต้านขัดขืนการละเมิดต่อร่างกายของผม (ดิฉัน) โดยที่ผม (ดิฉัน) ไม่ยินยอมนั้นอย่างสุดกำลัง. ผม (ดิฉัน) จะพยายามทุกทางเพื่อดำเนินคดีกับผู้ที่ทำร้ายผม (ดิฉัน) เช่นนั้นเหมือนกับที่จะทำในกรณีที่ถูกข่มขืน.”
33 ต้องมีการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การถ่ายเลือดที่ได้กระทำต่อเราโดยพลการนั้นเป็นการละเมิดต่อร่างกายของเราอย่างน่ารังเกียจ. มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา. เพราะฉะนั้น จงยืนมั่น. แสดงให้ชัดเจนว่าคุณต้องการให้มีการรักษาอื่นที่ไม่ใช้เลือด.
คุณจะทำอย่างไรเพื่อจะอยู่พร้อม?
34 เราได้ทบทวนถึงบางสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อป้องกันตัวคุณและครอบครัวคุณให้พ้นจากการถ่ายเลือดอันไม่พึงต้องการ. (ในคราวต่อไป เราหวังว่าจะจัดให้มีรายละเอียดมากขึ้นเกี่ยวกับการรับมือกับปัญหาซึ่งเกิดขึ้นเมื่อทารกหรือเด็ก ๆ ถูกคุกคามให้รับการถ่ายเลือด.) เรายังได้เห็นด้วยว่าสมาคมได้จัดเตรียมการช่วยเหลือในยามจำเป็นแก่เราด้วยความรัก. คุณต้องทำอะไรบ้างกับรายละเอียดนี้เพื่อจะแน่ใจว่าคุณอยู่พร้อมจะเผชิญกับสภาพการณ์ด้านการรักษาที่ท้าทายความเชื่อของคุณ?
ประการแรก: พิจารณากับครอบครัวเพื่อฝึกซ้อมเรื่องนี้และวางแผนว่าจะพูดหรือทำอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามฉุกเฉิน.
ประการต่อมา: ตรวจดูว่าคุณมีเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ครบหรือยัง.
สุดท้าย: อธิษฐานต่อพระยะโฮวาถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังเพื่อขอให้พระองค์ทรงหนุนหลังคุณในการยืนหยัดมั่นคงที่จะ ‘ละเว้นจากเลือด.’ การเชื่อฟังกฎหมายของพระองค์เรื่องเลือดทำให้เราแน่ใจในความโปรดปรานจากพระองค์เพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์.—กิจ. 15:29; สุภา. 27:11, 12.
[กรอบหน้า 11]
หากสถานการณ์ด้านการรักษาย่ำแย่มากถึงขนาดที่มีการคุกคามให้รับการถ่ายเลือด จงตรวจดูจากกรอบนี้ว่าคุณควรทำประการใด:
1. ติดต่อผู้ปกครองในประชาคมของคุณให้มาช่วยเหลือคุณ.
2. ผู้ปกครองอาจช่วยคุณพูดกับแพทย์และคนอื่น ๆ ได้.
3. ผู้ปกครองอาจช่วยติดต่อกับแพทย์คนอื่นเพื่อปรึกษาหารือกับแพทย์คนที่ทำการรักษาอยู่เพื่อจะเปลี่ยนวิธีการรักษาได้.
4. ผู้ปกครองอาจช่วยคุณได้ด้วยเพื่อจะได้มีการโอนคุณไปให้สถานพยาบาลที่มีความนับถือต่อสิทธิ์ของคุณมากกว่าเพื่อได้รับการรักษาที่จำเป็น.
[รูปภาพหน้า 9]
จงเก็บรายละเอียดนี้ไว้ในที่ ซึ่งคุณจะหาพบได้โดยเร็วเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้