-
เลือด—จำเป็นอย่างยิ่งต่อชีวิตเลือดจะช่วยชีวิตคุณได้อย่างไร?
-
-
อย่างรวดเร็ว. ดังนั้น คุณอาจสงสัยว่า ‘แล้วเรื่องนี้เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมในทางการแพทย์?’ มีการเสนอหลักฐานทางการแพทย์สนับสนุนการรักษาที่ใช้เลือด. ดังนั้น คุณต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเองเพื่อจะตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลครบถ้วนในเรื่องเลือด.
-
-
การถ่ายเลือด—ปลอดภัยเพียงไร?เลือดจะช่วยชีวิตคุณได้อย่างไร?
-
-
การถ่ายเลือด—ปลอดภัยเพียงไร?
ก่อนที่จะยอมให้มีการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์อันยุ่งยากใด ๆ บุคคลที่มีเหตุผลจะพิจารณาถึงผลดีและผลเสียอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน. จะว่าอย่างไรเรื่องการถ่ายเลือด? การถ่ายเลือดถือเป็นวิธีรักษาที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน. แพทย์จำนวนมากซึ่งมีความห่วงใยอย่างแท้จริงจะไม่รอช้าในเรื่องการถ่ายเลือดให้แก่คนไข้ของเขา. การถ่ายเลือดนี้ได้ถูกเรียกว่าเป็นการประสาทชีวิต.
หลายล้านคนได้เคยบริจาคเลือดหรือไม่ก็เคยรับการถ่ายเลือด. ระหว่างปี 1986-1987 ประเทศแคนาดามีผู้บริจาคเลือด 1.3 ล้านคนท่ามกลางประชากรทั้งหมด 25 ล้านคน. “ในปีล่าสุดเท่าที่มีตัวเลขออกมา มีการถ่ายเลือด 12 ล้านถึง 14 ล้านหน่วยเฉพาะในสหรัฐฯ ประเทศเดียว.”—เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ 18 กุมภาพันธ์ 1990.
ดร. หลุยส์ เจ. คีติง ตั้งข้อสังเกตว่า “เลือดเป็นที่ยอมรับกันว่ามีคุณสมบัติที่เป็น ‘มนต์ขลัง’ เสมอมา. ในช่วง 46 ปีแรก ทั้งแพทย์และคนทั่วไปเชื่อว่าการให้เลือดปลอดภัยกว่าที่เป็นจริง.” (Cleveland Clinic Journal of Medicine, พฤษภาคม 1989) สภาพการณ์ตอนนั้นเป็นอย่างไร และตอนนี้ล่ะ?
แม้แต่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว พยาธิแพทย์และเจ้าหน้าที่ธนาคารเลือดได้รับคำเตือนว่า “เลือดเป็นเหมือนระเบิดไดนาไมท์ทีเดียว! เลือดอาจมีคุณอนันต์หรือไม่ก็อาจเป็นโทษมหันต์. การให้เลือดมีอัตราเสียชีวิตเท่ากับการวางยาสลบด้วยอีเทอร์ หรือการผ่าตัดไส้ติ่ง. นั่นคือจะตายหนึ่งคนในทุก ๆ 1,000 ถึง 3,000 หรืออาจ 5,000 รายของการถ่ายเลือด. ในบริเวณกรุงลอนดอน มีรายงานการเสียชีวิตหนึ่งรายต่อการถ่ายเลือดทุก ๆ 13,000 ขวด.”—New York State Journal of Medicine, 15 มกราคม 1960.
ตั้งแต่นั้นมาได้มีการขจัดอันตรายต่าง ๆ เพื่อทำให้การถ่ายเลือดในปัจจุบันมีความปลอดภัยไหม? ที่จริงแล้ว ในแต่ละปีมีผู้คนนับแสนที่ประสบกับผลร้ายซึ่งเกิดขึ้นจากการถ่ายเลือด และหลายคนเสียชีวิต. เมื่อคำนึงถึงข้อวิจารณ์ที่มีก่อนหน้านี้ คุณอาจนึกถึงโรคต่าง ๆ ที่มากับเลือด. แต่ก่อนที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ ให้เรามาพิจารณาถึงผลร้ายอื่น ๆ ซึ่งมักจะไม่ค่อยทราบกันมากนัก.
เลือดกับภูมิคุ้มกันของคุณ
ในตอนต้นศตวรรษที่ 20 นักวิทยาศาสตร์ได้ทำให้เราเข้าใจมากขึ้นถึงความซับซ้อนอันน่าพิศวงของเลือด. พวกเขาได้ทราบว่าเลือดมีอยู่หลายชนิด. การจับคู่เลือดของผู้ให้และเลือดของผู้ป่วยเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการถ่ายเลือด. ถ้าคนที่มีเลือดชนิด เอ ไปรับเลือดชนิด บี เข้า เขาอาจมีปฏิกิริยาการแตกตัวของเลือดอย่างรุนแรงได้. ปฏิกิริยานี้อาจทำลายเม็ดเลือดแดงของเขาเป็นจำนวนมาก และอาจทำให้เขาตายได้อย่างรวดเร็ว. ขณะที่การตรวจชนิดของเลือดและการจับคู่ชนิดของเลือดได้มีการทำกันเป็นประจำ ความผิดพลาดก็ยังมีอยู่. ทุกปียังคงมีผู้เสียชีวิตเพราะปฏิกิริยาการแตกตัวของเลือด.
ข้อเท็จจริงแสดงว่าปัญหาเรื่องความไม่เข้ากันของเลือดมีความซับซ้อนมากเกินกว่าแค่การจับคู่ชนิดของเลือดที่โรงพยาบาลทำกันอยู่. เพราะเหตุใด? เอาละ ในบทความของเขาเรื่อง “การถ่ายเลือด: การใช้, การใช้อย่างผิด ๆ, และอันตรายต่าง ๆ” ดร. ดักลาส เอช. โพซีย์ จูเนียร์ เขียนว่า “เกือบ 30 ปีมาแล้ว แซมป์สัน ได้อธิบายว่า การถ่ายเลือดเป็นวิธีการที่ค่อนข้างอันตราย . . . [ตั้งแต่นั้นมา] มีการพบและจำแนกแอนติเจนของเม็ดเลือดแดงเพิ่มเติมได้อีกมากกว่า 400 ชนิด. ไม่ต้องสงสัยว่าจำนวนนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเยื่อหุ้มเม็ดเลือดแดงมีความซับซ้อนมหาศาล.”—Journal of the National Medical Association, กรกฎาคม 1989.
ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาผลของการถ่ายเลือดซึ่งมีต่อระบบป้องกันภัย หรือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย. นี่จะหมายถึงอะไรสำหรับคุณหรือญาติของคุณเมื่อต้องรับการผ่าตัด?
เมื่อแพทย์ทำการปลูกถ่ายหัวใจ ตับ หรืออวัยวะอื่น ๆ ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยอาจมีปฏิกิริยาต่อเนื้อเยื่อที่ไม่ใช่ของร่างกายและปฏิเสธมัน. แต่การถ่ายเลือดก็เป็นการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อชนิดหนึ่ง. แม้แต่เลือดที่ได้รับการจับคู่กันอย่าง “ถูกต้อง” แล้ว ก็อาจไปกดระบบภูมิคุ้มกันได้. ในการประชุมของพยาธิแพทย์ มีการกล่าวถึงเรื่องที่รายงานทางการแพทย์จำนวนนับร้อย ได้ “โยงการถ่ายเลือดเข้ากับการตอบสนองทางระบบภูมิคุ้มกัน.”—“มีประสบการณ์จากผู้ป่วยหลายรายมากขึ้นทุกที ที่แสดงว่าไม่ควรถ่ายเลือด,” Medical World News, 11 ธันวาคม 1989.
หน้าที่หลักอย่างหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันก็คือการตรวจจับและทำลายเซลล์เนื้อร้าย (มะเร็ง). ระบบภูมิคุ้มกันซึ่งถูกกดไว้นี้จะทำให้เกิดมะเร็งและเสียชีวิตไหม? ลองพิจารณารายงานสองเรื่องนี้.
วารสาร Cancer (โรคมะเร็ง) (ฉบับ 15 กุมภาพันธ์ 1987) ได้รายงานผลของการศึกษาที่ทำในประเทศเนเธอร์แลนด์ดังนี้ “ในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ พบว่ามีผลเสียอย่างชัดเจนของการถ่ายเลือดต่อความอยู่รอดในระยะยาวของผู้ป่วย. ในกลุ่มนี้เมื่อคิดทั้งหมดแล้ว พบว่ามีอัตราการรอดชีวิตร้อยละ 48 หลังจาก 5 ปี ในกลุ่มที่มีการถ่ายเลือด และร้อยละ 74 ในกลุ่มที่ไม่ได้รับการถ่ายเลือด.” แพทย์ที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนียร์ ได้ติดตามผู้ป่วยหนึ่งร้อยคนซึ่งรับการผ่าตัดมะเร็ง. “อัตราการเกิดซ้ำของมะเร็งกล่องเสียงมี 14 เปอร์เซ็นต์ในพวกที่ไม่ได้รับการถ่ายเลือด และ 65 เปอร์เซ็นต์ในพวกที่ถูกถ่ายเลือด. สำหรับมะเร็งในช่องปาก ช่องคอ และช่องจมูกหรือไซนัส อัตราการเกิดซ้ำมี 31 เปอร์เซ็นต์ในพวกที่ไม่ได้รับการถ่ายเลือดและ 71 เปอร์เซ็นต์ในพวกรับการถ่ายเลือด.”—Annals of Otology, Rhinology & Laryngology, มีนาคม 1989.
รายงานเหล่านี้แสดงให้เห็นอะไรเกี่ยวกับการถ่ายเลือด? ในบทความ “การถ่ายเลือดและศัลยกรรมสำหรับมะเร็ง” ของ ดร. จอห์น เอส. สแปรตต์ เขาสรุปว่า “ศัลยแพทย์ทางมะเร็งอาจจำต้องกลายเป็นศัลยแพทย์ที่ไม่ใช้เลือด.”—The American Journal of Surgery, กันยายน 1986.
หน้าที่หลักอีกอย่างหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันคือ การต่อสู้ป้องกันการติดเชื้อ. ดังนั้น เราจึงเข้าใจถึงเหตุผลที่รายงานบางแห่งแสดงว่าผู้ป่วยที่รับการถ่ายเลือดมักจะติดเชื้อได้ง่าย. ดร. พี. ไอ. ทาร์ตเทอร์ ได้ทำการศึกษาการผ่าตัดลำไส้ใหญ่. ในผู้ป่วยที่รับการถ่ายเลือด ร้อยละ 25 พบการติดเชื้อ เทียบกับเพียงร้อยละ 4 ในพวกที่ไม่ได้รับการการถ่ายเลือด. เขารายงานว่า “การถ่ายเลือดเกี่ยวพันกับโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไม่ว่าจะให้ก่อน ระหว่าง หรือหลังผ่าตัด . . . การติดเชื้อหลังผ่าตัดจะเพิ่มขึ้นตามลำดับสัมพันธ์กับจำนวนหน่วยของเลือดที่ให้.” (The British Journal of Surgery, สิงหาคม 1988) ผู้เข้าร่วมประชุมประจำปี 1989 ของสมาคมธนาคารเลือดแห่งอเมริกาได้เรียนรู้ว่า ร้อยละ 23 ของผู้ป่วยซึ่งรับการถ่ายเลือดในระหว่างการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเกิดการติดเชื้อ ในขณะที่พวกซึ่งไม่ได้ให้เลือดนั้นไม่มีการติดเชื้อเลย.
ดร. จอห์น เอ. คอลลินส์ เขียนเกี่ยวกับผลดังกล่าวของการถ่ายเลือดว่า “มันคงเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่งที่ ‘การรักษา’ ซึ่งมีหลักฐานน้อยมากว่ามีประโยชน์อะไร ในที่สุดกลับพบว่าทำให้ปัญหาหลักอย่างหนึ่งซึ่งผู้ป่วยกำลังเผชิญอยู่ร้ายแรงยิ่งขึ้น.”—World Journal of Surgery, กุมภาพันธ์ 1987.
ปลอดโรคหรือเต็มไปด้วยอันตราย?
แพทย์ที่สำนึกถึงความรับผิดชอบและผู้ป่วยหลายคนมีความห่วงใยกับโรคที่มากับเลือด. โรคอะไร? ไม่ใช่มีเฉพาะโรคเดียว ที่จริงแล้วมีหลายโรคทีเดียว.
หลังจากที่กล่าวถึงโรคต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีแล้ว หนังสือเทคนิคของการถ่ายเลือด (1982) ได้พูดถึง “โรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายเลือด” เช่นโรคซิฟิลิส โรคติดเชื้อไซโตเม็กกาโลไวรัส และมาลาเรีย. จากนั้นหนังสือนี้กล่าวต่อไปว่า “มีรายงานของโรคอื่นอีกหลายโรคซึ่งแพร่โดยการถ่ายเลือด เช่น กลุ่มของโรคเริม, อินเฟ็คเชียส โมโนนิวคลีโอซิส (เอ็ปสไตน-บารร์ ไวรัส), ท็อกโซพลาสโมซิส, ทริปาโนโซมิเอซิส [โรคง่วงหลับแอฟริกัน และโรคชากาส], ลิชมาเนซิส, บรูเซโลซิส [อาการไข้เป็นระลอก], ไข้รากสาด, โรคเท้าช้าง, หัด, ซัลโมเนลโลซิส, และไข้โคโลราโด ทิค.”
ที่จริง รายชื่อของโรคดังกล่าวกำลังเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ. คุณอาจได้อ่านพาดหัวข่าวเช่น “ติดโรคไลม์จากการถ่ายเลือดหรือ? ไม่น่าจะเป็นได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญต่างก็วิตกกัน.” เลือดจากคนที่มีผลทดสอบบวกของโรคไลม์ปลอดภัยเพียงไร? มีการถามกลุ่มอภิปรายของเจ้าหน้าที่ทางสาธารณสุขว่าเขาจะรับเลือดนั้นไหม? “ทุกคนตอบว่าไม่รับ ถึงแม้ไม่มีใครสักคนที่บอกให้ทิ้งเลือดที่ได้จากคนเหล่านั้น.” ผู้คนจะรู้สึกอย่างไรต่อเลือดในธนาคารเลือดซึ่งผู้เชี่ยวชาญเองไม่ยอมรับ?—เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์, 18 กรกฎาคม 1989.
อีกเหตุผลหนึ่งที่น่าเป็นห่วงได้แก่การที่เลือดซึ่งรวบรวมได้จากดินแดนหนึ่ง ซึ่งมีโรคบางชนิดแพร่อยู่ อาจถูกนำไปใช้ในที่อื่น ที่ซึ่งประชาชนหรือแพทย์ยังไม่ทราบถึงอันตรายของโรคนั้น. ปัจจุบันมีการเดินทางกันมาก รวมทั้งพวกผู้ลี้ภัยและพวกคนต่างด้าว โอกาสที่จะพบโรคแปลก ๆ ในผลิตผลของเลือดยิ่งมีมากขึ้น.
นอกจากนั้น ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคติดเชื้อได้เตือนว่า “เลือดที่ได้รับอาจต้องมีการตรวจสอบเพื่อป้องกันการแพร่ของความผิดปกติหลายอย่าง ซึ่งแต่เดิมเราไม่ถือว่าเป็นโรคติดต่อ รวมทั้งมะเร็งในเม็ดโลหิตขาว ลิมโฟมา และโรคสมองเสื่อม [หรือโรคแอลไซเมอร์].”—Transfusion Medicine Reviews, มกราคม 1989.
อันตรายเหล่านี้ดูน่ากลัว แต่มีอย่างอื่นอีกที่ทำให้ความกลัวทวีขึ้น.
การระบาดใหญ่ของโรคเอดส์
“โรคเอดส์ได้เปลี่ยนความคิดที่แพทย์และผู้ป่วยมีต่อเลือดอย่างสิ้นเชิง. และบรรดาแพทย์ซึ่งประชุมที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติเกี่ยวกับเรื่องการถ่ายเลือดให้ความเห็นว่า นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องทีเดียว.”—วอชิงตัน โพสต์, 5 กรกฎาคม 1988.
การระบาดใหญ่ของโรคเอดส์ (AIDS—acquired immunodeficiency syndrome) ซึ่งร้ายแรงอย่างยิ่ง ได้ปลุกให้ผู้คนตระหนักถึงอันตรายที่อาจติดโรคติดต่อจากเลือดได้. มีหลายล้านคนที่ได้รับเชื้อแล้ว. โรคนี้กำลังระบาดไปอย่างควบคุมไม่ได้. และอัตราตายของโรคนี้คือเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์.
โรคนี้เกิดจากไวรัส เอชไอวี (HIV—human immunodeficiency virus) ซึ่งแพร่โดยเลือดได้. เอดส์ซึ่งเป็นภัยร้ายแรงของยุคนี้ เริ่มเป็นที่รู้จักกันในปี 1981. ในปีต่อมา ผู้เชี่ยวชาญทางสาธารณสุขพบว่า ไวรัสนี้อาจแพร่ได้ทางผลผลิตจากเลือด. เป็นที่ยอมรับกันว่าองค์กรที่เกี่ยวข้องกับเลือดมีการตอบสนองช้ามากต่อเรื่องนี้ แม้หลังจากที่ได้ค้นพบวิธีการตรวจแยกเลือด ซึ่งมี เอชไอวี แอนติบอดีแล้วก็ตาม. ในที่สุดการตรวจเลือดบริจาคได้เริ่มในปี 1985a แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้ทำการตรวจเลือดที่เก็บอยู่แล้วในตอนนั้น.
หลังจากนั้นประชาชนได้รับการยืนยันว่า ‘บัดนี้ เลือดปลอดภัยแล้ว.’ แต่ต่อมามีการเปิดเผยว่ามี “ช่วงจุดบอด” ที่เป็นอันตราย. หลังจากที่บุคคลหนึ่งได้รับเชื้อโรคเอดส์แล้ว อาจกินเวลาหลายเดือน กว่าเขาจะมีแอนติบอดีในระดับที่ตรวจพบได้. โดยไม่ทราบว่าเขามีไวรัสเอดส์แล้ว เขาอาจบริจาคเลือดซึ่งให้ผลลบในการตรวจ. เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้ว. มีผู้คนที่เป็นโรคเอดส์ขึ้นมา หลังจากได้รับการถ่ายเลือดเช่นว่านี้!
สถานการณ์ดูน่ากลัวมากขึ้นอีก. วารสารเดอะ นิวอิงลันด์ เจอร์นัล อ็อฟ เมดิซีน (1 มิถุนายน 1989) ได้รายงานเรื่อง “การติดเชื้อ เอชไอวี แบบไม่แสดงอาการ.” มีการพิสูจน์ว่า คนเราอาจมีไวรัสเอดส์ในตัวอยู่ได้หลายปี โดยไม่อาจตรวจพบได้ด้วยวิธีการตรวจทางอ้อมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน. บางคนพยายามทำให้เรื่องนี้ดูไม่สำคัญโดยกล่าวว่านี้เป็นเพียงส่วนที่พบน้อยมาก แต่เรื่องนี้พิสูจน์ว่า “เรายังไม่อาจขจัดอันตรายของการแพร่โรคเอดส์ทางเลือดและส่วนประกอบของเลือดได้อย่างสิ้นเชิง.” (Patient Care, 30 พฤศจิกายน 1989) ข้อสรุปที่น่าตกใจคือ: ผู้ที่ให้ผลลบในการตรวจเลือดไม่อาจถือได้ว่าปลอดเชื้อ. จะมีอีกสักกี่คนที่จะติดเชื้อเอดส์จากเลือด?
เสียงรองเท้าตกข้างที่สอง? หรืออีกหลายข้าง?
หลายคนที่อาศัยอยู่ในบ้านพักที่มีหลายห้องเคยได้ยินเสียงรองเท้าที่ตกลงบนพื้นชั้นบน พวกเขาอาจรู้สึกเครียดรอฟังเสียงตกของรองเท้าข้างที่สอง. ในปัญหาเรื่องเลือดนี้ ไม่มีใครรู้ว่าจะมีไวรัสที่ทำให้ถึงตายอีกกี่ชนิด.
เชื้อไวรัสเอดส์ถูกเรียกว่า เอชไอวี แต่ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญบางคนเรียกมันว่า เอชไอวี-1. เพราะเหตุใด? เพราะพวกเขาได้พบไวรัสเอดส์อีกชนิดหนึ่ง (เอชไอวี-2). เชื้อนี้สามารถทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ของโรคเอดส์ และแพร่อยู่ในบางพื้นที่. นอกจากนั้น เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ (27 มิถุนายน 1989) รายงานว่าเชื้อนี้ “ไม่อาจตรวจพบได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายโดยการตรวจเอดส์ที่เราใช้กันอยู่ที่นี่. การค้นพบใหม่นี้ . . . ทำให้ธนาคารเลือดมีความยุ่งยากมากขึ้นอีก ที่จะแน่ใจว่าเลือดที่บริจาคนั้นปลอดภัยหรือไม่.”
หรือจะว่าอย่างไรกับเชื้อที่เป็นญาติห่าง ๆ กับไวรัสเอดส์? คณะกรรมาธิการของประธานาธิบดี (สหรัฐ) กล่าวว่าตัวหนึ่งในพวกนั้น “เชื่อกันว่าเป็นตัวทำให้เกิด ที-เซลล์ ลิวคีเมีย/ลิมโฟมา และโรคทางระบบประสาทที่ร้ายแรงชนิดหนึ่ง.” ไวรัสตัวนี้มีปรากฏอยู่แล้วในหมู่ผู้บริจาคเลือด และอาจแพร่ทางเลือดได้. ประชาชนจึงมีสิทธิที่จะสงสัยว่า ‘การตรวจแยกเลือดของธนาคารเลือดให้ความปลอดภัยมากน้อยเพียงใดกับเชื้อไวรัสอื่น ๆ เหล่านี้?’
ที่จริงแล้ว เวลาเท่านั้นที่จะบอกเราได้ว่า มีเชื้อไวรัสซึ่งอาจแพร่ทางเลือดได้ มากน้อยเพียงไรในเลือดที่ให้กันอยู่. ดร. แฮโรลด์ ที. เมรีแมน เขียนว่า “ตัวที่เรายังไม่รู้ยิ่งน่าวิตกมากกว่าตัวที่รู้จัก. เชื้อไวรัสที่ถ่ายทอดติดต่อกันได้ ซึ่งมีระยะฟักตัวนานหลาย ๆ ปี อาจยากที่จะโยงเข้ากับการถ่ายเลือด และยิ่งยากกว่าที่จะตรวจสอบได้. เห็นได้ชัดว่ากลุ่ม เอชทีแอลวี เป็นเพียงพวกแรกที่โผล่ออกมาให้เห็น.” (Transfusion Medicine Reviews, กรกฎาคม 1989) “เสมือนกับว่าการระบาดของเอดส์ยังไม่แย่พอ . . . มีการค้นพบหรือชี้ให้เห็นถึงโรคที่ติดต่อทางการถ่ายเลือดได้มากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นที่สนใจกันมากในช่วงทศวรรษปี 1980. คงไม่จำต้องใช้จินตนาการมากเท่าไรที่จะพยากรณ์ได้ว่ายังมีโรคไวรัสร้ายแรงอื่น ๆ อยู่อีก และถ่ายทอดได้ทางการถ่ายเลือดในกลุ่มเดียวกัน.”—Limiting Homologous Exposure: Alternative Strategies, 1989.
ดังนั้น เสียงตกของ “รองเท้า” ได้ดังขึ้นหลายครั้งแล้ว ทำให้ศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐแนะนำให้มี “ข้อควรระวังที่ใช้ทั่วโลก.” นั่นคือ ‘บุคคลากรทางการแพทย์จะต้องคิดว่าผู้ป่วยทุกคนอาจแพร่เชื้อ เอชไอวี และเชื้ออื่น ๆ ที่ติดต่อทางเลือดได้.’ มีเหตุผลทีเดียวที่ผู้ทำงานเกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยและประชาชนทั่วไป ประเมินทัศนะของตนเสียใหม่ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเลือด.
[เชิงอรรถ]
a เราไม่อาจพูดได้ว่ามีการตรวจเลือดทั้งหมด. ตัวอย่างเช่น มีรายงานในตอนต้นปี 1989 ว่า ร้อยละ 80 ของธนาคารเลือดในบราซิล ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล และเขาไม่ได้ทำการทดสอบสำหรับเอดส์.
[กรอบหน้า 8]
“การถ่ายเลือดประมาณ 1 ใน 100 รายจะร่วมด้วยการมีอาการไข้ หนาวสั่น หรือผื่นตามผิวหนัง. . . . การให้เม็ดเลือดแดงประมาณ 1 ใน 6,000 รายจะเกิดปฏิกิริยาแตกตัวของเม็ดเลือดแดงเนื่องจากการถ่ายเลือดขึ้น. ปฏิกิริยาทางระบบภูมิคุ้มกันที่รุนแรงนี้อาจเกิดขึ้นทันทีหรือเกิดล่าช้าออกไปหลายวันหลังการถ่ายเลือดก็ได้ ซึ่งอาจมีผลทำให้เกิดไตวายอย่างเฉียบพลัน ช็อค มีการแข็งตัวในหลอดเลือด และอาจเสียชีวิตได้.”—การประชุมของแนชันนัล อินสติติวต์ อ็อฟ เฮลท์ (NIH), 1988.
[กรอบหน้า 9]
เนลส์ เจอร์น นักวิทยาศาสตร์ชาวเดนมาร์ก เป็นผู้ร่วมรับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี 1984. เมื่อถูกถามว่า เหตุใดเขาจึงปฏิเสธการถ่ายเลือด เขาตอบว่า “เลือดของคน ๆ หนึ่งก็เหมือนกับลายนิ้วมือของเขา—ไม่มีเลือดของสองคนที่เหมือนกันจริง ๆ.”
[กรอบหน้า 10]
เลือด ตับที่เสียหาย และ . . .
เดอะ วอชิงตัน โพสต์ รายงานว่า “ตรงข้ามกับที่เราคาดไว้ โรคเอดส์ซึ่งติดต่อทางเลือด . . . ยังไม่เคยเป็นอันตรายร้ายเท่าโรคอื่น ๆ—เช่น ตับอักเสบเป็นต้น”
ถูกแล้ว มีคนจำนวนมากต้องเจ็บป่วยอย่างหนักและเสียชีวิตเนื่องจากตับอักเสบดังกล่าว ซึ่งยังไม่มีการรักษาเฉพาะที่ได้ผลดี. ยู.เอส. นิวส์ แอนด์ เวิลด์ รีพอร์ต (1 พฤษภาคม 1989) รายงานว่า ในสหรัฐฯประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ได้รับเลือดจะติดโรคตับอักเสบ—175,000 คนต่อปี. ประมาณครึ่งหนึ่งกลายเป็นพาหะนำเชื้อเรื้อรัง และอย่างน้อย 1 ใน 5 จะเป็นตับแข็งหรือมะเร็งตับต่อมา. ประมาณว่าจะมี 4,000 คนเสียชีวิต. ลองนึกภาพถึงพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์เมื่อมีเครื่องบินจัมโบเจ็ตตก ผู้โดยสารเสียชีวิตหมด. ดังนั้น 4,000 คนที่เสียชีวิตจะเท่ากับว่ามีเครื่องบินจัมโบเจ็ตซึ่งมีผู้โดยสารเต็มลำตกทุกเดือน!
แพทย์ได้ทราบนานมาแล้วว่าตับอักเสบชนิดรุนแรงน้อยกว่า (ชนิด เอ) แพร่ได้ทางอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด. ต่อมาพวกเขาพบว่าชนิดที่รุนแรงกว่าจะแพร่ได้ทางเลือด และเขาไม่มีทางตรวจสอบเลือดเพื่อรู้ได้. ในที่สุด พวกนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจก็พบวิธีที่จะตรวจพบ “ร่องรอย” ของเจ้าไวรัสตัวนี้ (ชนิด บี) ได้. ล่วงมาถึงต้นทศวรรษของปี 1970 ได้เริ่มมีการตรวจแยกเลือดในบาง ประเทศ. เลือดที่ใช้ดูเหมือนปลอดภัย และอนาคตของการใช้เลือดดูแจ่มใสดี. เป็นจริงอย่างนั้นไหม?
ต่อมาไม่นานนักก็ปรากฏชัดว่ามีหลายพันคนซึ่งได้รับเลือดที่มีการตรวจแยกแล้วยังคงเป็นโรคตับอักเสบขึ้น. หลายคน หลังจากที่เจ็บป่วยจนร่างกายทรุดโทรม พบว่าตับของเขาเสียหายแล้ว. แต่เหตุใดจึงเป็นอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่เลือดเหล่านั้นได้รับการตรวจสอบแล้ว? ในเลือดมีอีกแบบหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า ตับอักเสบแบบ ไม่ใช่ เอ ไม่ใช่ บี (non–A, non–B —NANB). เป็นเวลาหนึ่งทศวรรษทีเดียวที่เชื้อนี้ได้แพร่ทางการถ่ายเลือด—ระหว่าง 8 ถึง 17 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่รับการถ่ายเลือดในประเทศอิสราเอล อิตาลี ญี่ปุ่น สเปน สวีเดน และสหรัฐอเมริกาติดเชื้อนี้.
และแล้วก็มีพาดหัวข่าวต่าง ๆ เช่น “ในที่สุดก็แยกเชื้อตับอักเสบ ไม่ใช่ เอ ไม่ใช่ บี ตัวลึกลับได้แล้ว” “สามารถทำลายไข้จากเลือดได้แล้ว.” เหมือนเดิม ข่าวสารที่เราได้คือ ‘พบตัวการที่เคยหาไม่พบแล้ว!’ ต่อมาในเดือนเมษายน 1989 มีการประกาศว่าได้พบวิธีที่จะตรวจสอบ NANB ซึ่งปัจจุบันเรียกว่าตับอักเสบ ซี.
คุณอาจสงสัยว่าเราจะชื่นชมยินดีกันเร็วเกินไปไหม? ที่จริง นักวิจัยชาวอิตาลีได้รายงานถึงไวรัสตับอักเสบอีกตัวหนึ่ง เป็นตัวกลายพันธุ์ ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุของโรคนี้ถึงหนึ่งในสามของทั้งหมด. ใบแจ้งข่าวเรื่องสุขภาพโดยมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด (พฤศจิกายน 1989) ตั้งข้อสังเกตว่า “ผู้เชี่ยวชาญบางคนเป็นห่วงว่า เอ, บี, ซี, และดี ยังไม่ใช่ลำดับตัวอักษรทั้งหมดของไวรัสตับอักเสบ ยังอาจมีตัวอื่นตามมาอีก.” เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ (13 กุมภาพันธุ์ 1990) กล่าวว่า “ผู้เชี่ยวชาญสงสัยอย่างยิ่งว่ามีไวรัสอื่น ๆ อีกที่ทำให้เกิดตับอักเสบได้ ซึ่งถ้าค้นพบ จะถูกเรียกว่า ตับอักเสบ อี และต่อ ๆ ไป.”
บรรดาธนาคารเลือดก้าวทันกับการค้นหาวิธีทดสอบเลือดซึ่งมีรายการยาวมากขึ้นทุกที เพื่อทำให้เลือดปลอดภัยไหม? โดยอ้างถึงปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย ผู้อำนวยการคนหนึ่งของกาชาดอเมริกันให้ความเห็นที่น่าเป็นห่วงดังนี้ “เราไม่อาจเพิ่มการทดสอบอันแล้วอันเล่า สำหรับเชื้อแต่ละอย่างซึ่งอาจแพร่ขึ้นมา.”—Medical World News, 8 พฤษภาคม 1989.
แม้แต่การทดสอบสำหรับตับอักเสบ บี ก็ยังพลาดได้ หลายคนยังติดเชื้อนี้จากเลือด. ยิ่งกว่านั้น ผู้คนจะพอใจกับวิธีทดสอบตับอักเสบ ซี ซึ่งพบใหม่ไหม? วารสารของแพทยสมาคมแห่งอเมริกา (5 มกราคม 1990) แสดงว่า อาจจะกินเวลากว่าหนึ่งปีทีเดียว ก่อนที่แอนติบอดีต่อโรคนี้จะตรวจพบโดยวิธีทดสอบนี้ได้. ในระหว่างนี้ ผู้คนที่ได้รับเลือดของคนนั้น อาจประสบกับการที่ตับเสียหายและ—ตาย.
[กรอบ/ภาพหน้า 11]
โรคชากาสแสดงให้เห็นวิธีที่เลือดนำโรคไปสู่คนในที่ห่างไกล. “เดอะ เมดิคัล โพสต์” (ฉบับวันที่ 16 มกราคม 1990) รายงานว่า ‘มีคนในละตินอเมริกา 10-12 ล้านคนติดโรคนี้อย่างเรื้อรัง.’ โรคนี้ถูกเรียกว่าเป็น “หนึ่งในอันตรายที่สำคัญที่สุดของการถ่ายเลือดในอเมริกาใต้.” ตัว “แมลงนักลอบสังหาร” จะกัดเหยื่อที่หน้าขณะหลับ ดูดเลือด และถ่ายมูลไว้ในแผล. เหยื่ออาจเป็นตัวนำโรคชากาสไปหลายปี (ระหว่างนั้นอาจบริจาคเลือด) ก่อนที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนของหัวใจจนเสียชีวิต.
ผู้คนในทวีปที่ห่างไกลออกไปต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ทำไม? ใน “เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์” (23 พฤษภาคม 1989) ดร. แอล. เค. อัลต์มัน ได้รายงานเกี่ยวกับผู้ป่วยที่เป็นโรคชากาสหลังการถ่ายเลือดหลายราย เสียชีวิตหนึ่งราย. อัลต์มันเขียนว่า “ยังมีอีกหลายรายที่เราไม่ทราบกัน เพราะ [แพทย์ที่นี่] ไม่คุ้นกับโรคชากาส หรือไม่ทราบว่าโรคนี้แพร่โดยการถ่ายเลือดได้.” ถูกแล้ว เลือดเป็นเส้นทางหนึ่งที่โรคต่าง ๆ แพร่ไปอย่างกว้างขวาง.
[กรอบหน้า 12]
ดร. คนุด ลุนด์-โอเลเซน เขียนไว้ว่า “เนื่องจาก . . . บางคนในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงอาสาสมัครมาบริจาคเลือดเพราะพวกเขาจะได้รับการตรวจเอดส์โดยอัตโนมัติ ทำให้ผมคิดว่าเรามีเหตุผลที่จะปฏิเสธการถ่ายเลือด. พวกพยานพระยะโฮวาปฏิเสธการถ่ายเลือดมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว. พวกเขามองเห็นอนาคตหรือ?”—“Ugeskrift for Læger” (รายสัปดาห์สำหรับแพทย์) 26 กันยายน 1988.
[กรอบหน้า 9]
สันตะปาปารอดตายจากการถูกยิง. หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้ว ท่านถูกรับกลับเข้าไปอีกสองเดือน “เจ็บป่วยอย่างหนัก.” เพราะอะไร? เพราะโรคติดเชื้อไซโตเม็กกาโลไวรัสที่อันตรายถึงตาย จากเลือดที่ได้รับเข้าไป
[ที่มาของภาพ]
UPI/Bettmann Newsphotos
[รูปภาพหน้า 12]
ไวรัสเอดส์
[ที่มาของภาพ]
CDC. Atlanta, Ga.
-
-
ทางเลือกอื่น ๆ ที่มีคุณภาพแทนการถ่ายเลือดเลือดจะช่วยชีวิตคุณได้อย่างไร?
-
-
ทางเลือกอื่น ๆ ที่มีคุณภาพแทนการถ่ายเลือด
คุณอาจรู้สึกว่า ‘การถ่ายเลือดมีอันตรายอยู่มาก แต่มีทางเลือกอื่นที่มีคุณภาพไหม?’ เป็นคำถามที่ดี และโปรดสังเกตคำ “คุณภาพ.”
ทุกคน รวมทั้งพยานพระยะโฮวา ปรารถนาการรักษาทางการแพทย์ที่ได้ผล มีคุณภาพสูง. ดร.แกรนท์ อี. สเต็ฟเฟ็นชี้ถึงส่วนประกอบสำคัญสองประการ: “การรักษาทางการแพทย์ที่มีคุณภาพหมายถึงความสามารถของส่วนประกอบต่าง ๆ ในการรักษาที่จะบรรลุเป้าหมายทางการแพทย์และที่ไม่ใช่ทางการแพทย์อันชอบด้วยเหตุผล.” (The Journal of the American Medical Association, 1 กรกฎาคม 1988) “เป้าหมายที่ไม่ใช่ทางการแพทย์” ย่อมรวมทั้งการไม่ละเมิดจรรยาหรือสติรู้สึกผิดชอบตามหลักพระคัมภีร์ของผู้ป่วยด้วย.—กิจการ 15:28, 29.
มีวิธีการใด ๆ ไหมที่มีเหตุผลและได้ผลดีในการจัดการกับปัญหาที่ร้ายแรงทางการแพทย์ โดยไม่ต้องใช้เลือด? น่าดีใจที่คำตอบคือ มี.
ถึงแม้ว่าศัลยแพทย์ส่วนใหญ่ได้บอกว่าพวกเขาให้เลือดเฉพาะเมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น แต่หลังจากที่มีการแพร่ของเอดส์ขึ้น การใช้เลือดของพวกเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว. บทบรรณาธิการในวารสาร เมโย คลินิค โพรซีดิงส์ (กันยายน 1988) กล่าวว่า “ประโยชน์ข้อหนึ่งของการระบาดนี้” คือการที่มัน “ทำให้ทั้งผู้ป่วยและแพทย์หาวิธีต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการถ่ายเลือด.” เจ้าหน้าที่ของธนาคารเลือดอธิบายว่า “สิ่งที่ได้ เปลี่ยนไปคือ ความแรงกล้าของข่าวสารนี้ การตอบรับของแพทย์ต่อข่าวสารนี้ (เพราะมีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นในอันตรายที่อาจเกิดขึ้น) และเสียงเรียกร้องให้พิจารณาหาวิธีอื่นแทน.”—Transfusion Medicine Reviews, ตุลาคม 1989.
โปรดสังเกตว่ามีวิธีอื่น! เราจะเข้าใจเรื่องนี้เมื่อเราพิจารณาถึงเหตุที่มีการถ่ายเลือด.
ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงนำออกซิเจนซึ่งจำเป็นต่อชีวิตและสุขภาพดี. ดังนั้น ถ้าคนหนึ่งเสียเลือดไปจำนวนมาก อาจดูเหมือนสมเหตุผลที่จะเพียงทดแทนเลือดเข้าไป. ปกติคุณจะมีฮีโมโกลบินประมาณ 14 หรือ 15 กรัมต่อเลือด 100 ลูกบาศก์เซ็นติเมตร. (การวัดค่าความเข้มข้นอีกวิธีหนึ่งคือ ฮีมาโตคริต ซึ่งค่าปกติประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์) “กฎ” ที่ใช้กันทั่วไปคือ จะถ่ายเลือดให้กับผู้ป่วยก่อนผ่าตัดถ้าเขามีฮีโมโกลบินต่ำกว่า 10 (หรือค่าฮีมาโตคริต 30 เปอร์เซ็นต์). โวกซ์ ซันกูอินิส์ (มีนาคม 1987) วารสารสวิสรายงานว่า “[วิสัญญีแพทย์] 65 เปอร์เซ็นต์กำหนดให้ผู้ป่วยมีระดับฮีโมโกลบินอยู่ในระดับ 10 ก./ดล. ก่อนผ่าตัดสำหรับรายที่ไม่ใช่การผ่าตัดฉุกเฉิน.”
แต่ที่การประชุมเกี่ยวกับการถ่ายเลือดในปี 1988 ศาสตราจารย์โฮเวิร์ด แอล. เซาเดอร์ถามว่า “เราได้ ‘เลขมหัศจรรย์’ นี้มาจากไหน?” เขากล่าวอย่างชัดเจนว่า “ต้นตอของข้อเรียกร้องให้ผู้ป่วยต้องมีฮีโมโกลบิน (Hgb) 10 กรัมก่อนที่จะให้ยาสลบนั้นจมอยู่กับประเพณีคลุมด้วยความไม่ชัดแจ้ง และไม่ได้รับการสนับสนุนโดยหลักฐานทางคลินิคหรือการทดลอง.” คิดดูซิว่า ผู้ป่วยนับพัน ๆ คนที่ได้รับการถ่ายเลือดซึ่งอาศัยข้อบ่งชี้ที่ ‘ไม่ชัดแจ้ง ไม่มีข้อสนับสนุน’!
บางคนอาจสงสัยว่า ‘เหตุใดฮีโมโกลบินระดับ 14 จึงเป็นระดับปกติในเมื่อคุณก็ยังสามารถดำรงอยู่ได้ในระดับที่ต่ำกว่านั้นมาก?’ นั่นก็เพื่อจะให้คุณมีกำลังสำรองของการนำออกซิเจนเผื่อไว้มากพอพร้อมสำหรับการออกกำลังกายหรือการทำงานหนัก. การค้นคว้าในผู้ป่วยโลหิตจางยังเปิดเผยว่า “เป็นการยากที่จะตรวจพบความบกพร่องของประสิทธิภาพในการทำงาน ในระดับฮีโมโกลบินที่ต่ำจนถึง 7 ก./ดล. คนอื่นได้พบหลักฐานของความบกพร่องในระดับปานกลางเท่านั้น.”—Contemporary Transfusion Practice, 1987.
ขณะที่ผู้ใหญ่ทนต่อระดับฮีโมโกลบินที่ต่ำได้ จะเป็นอย่างไรกับเด็ก? ดร.เจมส์ เอ. สตอกมัน ที่สาม กล่าวว่า “ในกรณีส่วนใหญ่ ทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะมีฮีโมโกลบินลดลงในช่วงหนึ่งถึงสามเดือนแรก . . . ข้อบ่งชี้ของการถ่ายเลือดในหน่วยบริบาลเด็กอ่อนยังไม่มีขอบเขตที่ชัดเจน. ที่จริงแล้ว ทารกหลายรายสามารถทนต่อระดับของฮีโมโกลบินที่ต่ำมาก โดยไม่มีความผิดปกติทางการรักษาที่เห็นได้ชัด.”—Pediatric Clinic of North America, 1986.
ความรู้เช่นนี้มิได้หมายความว่า เราไม่ต้องทำอะไรเมื่อมีการเสียเลือดไปมากเพราะอุบัติเหตุ หรือขณะผ่าตัด. ถ้ามีการเสียเลือดอย่างรวดเร็วและเป็นจำนวนมาก ความดันโลหิตของคนนั้นจะลดลงและเขาอาจเข้าสู่ภาวะช็อคได้. สิ่งจำเป็นประการแรกคือ ต้องหยุดการเสียเลือดนั้น และชดเชยปริมาตร ที่เสียไป. การทำอย่างนั้นจะป้องกันการช็อค และช่วยรักษาเม็ดเลือดแดงที่เหลือกับส่วนประกอบต่าง ๆ ในระบบไหลเวียนให้ดำเนินต่อไป.
การทดแทนปริมาตรอาจทำได้โดยไม่ต้องใช้เลือดหรือพลาสมา.a มีของเหลวที่ไม่ใช่เลือดหลายอย่างซึ่งใช้เป็นตัวขยายปริมาตรที่ได้ผลดี. ของเหลวที่ง่ายที่สุดคือน้ำเกลือ ซึ่งทั้งถูกและเข้ากับเลือดเราได้ดี. นอกจากนั้น ยังมีของเหลวที่มีคุณสมบัติพิเศษต่าง ๆ เช่นเด็กซ์แทรน ฮีแม็คเซล และสารละลายแล็คเทต ริงเกอร์. เฮตาสตาร์ช (เอชอีเอส) เป็นสารขยายปริมาตรตัวใหม่กว่า และ “สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัยกับผู้ป่วย [แผลไฟไหม้] ซึ่งปฏิเสธการใช้ผลิตผลจากเลือด.” (Journal of Burn Care & Rehabilitation, มกราคม/กุมภาพันธ์ 1989) ของเหลวเหล่านี้มีข้อดีมากมาย. “สารละลายคริสตัลลอยด์ต่าง ๆ [เช่นน้ำเกลือและสารละลายแล็คเทต ริงเกอร์] เด็กซ์แทรนและเอชอีเอส เป็นตัวที่ค่อนข้างมีพิษน้อยและราคาถูก หาได้ง่าย สามารถเก็บไว้ในอุณหภูมิห้องได้ ไม่ต้องทำการทดสอบความเข้ากันได้ และปลอดจากอันตรายของโรคที่ติดได้จากการถ่ายเลือด.”—Blood Transfusion Therapy—A Physician’s Handbook, 1989.
กระนั้นคุณอาจถามว่า ‘เหตุใดของเหลวทดแทนที่ไม่ใช่เลือดได้ผลดี ในเมื่อฉันต้องการเม็ดเลือดแดงเพื่อนำออกซิเจนไปทั่วร่างกาย?’ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว คุณมีกำลังสำรองของการนำออกซิเจน. ถ้าคุณสูญเสียเลือด กลไกทดแทนอันวิเศษสุดจะเริ่มทำงานทันที. หัวใจของคุณจะสูบฉีดเลือดมากขึ้นในการเต้นแต่ละครั้ง. เนื่องจากเลือดที่เสียไปถูกทดแทนด้วยของเหลวที่เหมาะสม เลือดซึ่งตอนนี้ได้รับการเจือจางแล้วจะไหลได้สะดวกขึ้น แม้แต่ในเส้นเลือดเล็ก ๆ. ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางเคมี จะมีการปล่อยออกซิเจนให้กับเนื้อเยื่อมากขึ้น. การปรับตัวเหล่านี้มีประสิทธิภาพมาก แม้จะมีเม็ดเลือดแดงเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว การขนส่งออกซิเจนยังมีได้ถึงร้อยละ 75 ของปกติ. คนป่วยที่นอนพักอยู่ จะใช้ออกซิเจนที่มีพร้อมในเลือดของเขาเพียงร้อยละ 25 เท่านั้น. และการให้ยาสลบส่วนใหญ่มักจะทำให้ความต้องการออกซิเจนของร่างกายลดลง.
แพทย์จะช่วยได้อย่างไร?
แพทย์ที่ชำนาญสามารถช่วยผู้ที่เสียเลือดและจึงมีเม็ดเลือดแดงน้อยลง. เมื่อมีการทดแทนปริมาตรเรียบร้อยแล้ว แพทย์สามารถให้ออกซิเจนที่มีความเข้มข้นสูง. วิธีนี้ทำให้มีออกซิเจนมากขึ้นสำหรับร่างกาย และมักจะได้ผลดีอย่างน่าทึ่ง. แพทย์ที่อังกฤษได้ใช้วิธีนี้กับหญิงคนหนึ่งซึ่งได้เสียเลือดไปมาก “จนฮีโมโกลบินของเธอลดลงเหลือ 1.8 ก./ดล. เธอได้รับการรักษาอย่างได้ผลดี . . . ด้วยการให้ออกซิเจนความเข้มข้นสูง และการให้สารละลายเจลาติน [ฮีแม็คเซล] จำนวนมากเข้าทางเส้นเลือด.” (Anaesthesia, มกราคม 1987) รายงานนี้ยังกล่าวด้วยว่า อีกหลายคนที่มีการเสียเลือดอย่างฉับพลัน ได้รับการรักษาอย่างได้ผลในตู้ที่มีออกซิเจนความดันสูง.
นอกจากนั้นแพทย์ยังสามารถช่วยให้ผู้ป่วยสร้างเม็ดเลือดแดงมากขึ้นได้ด้วย. ทำอย่างไร? โดยการฉีดสารประกอบที่มีธาตุเหล็กให้ (เข้ากล้ามเนื้อหรือเข้าทางเส้นเลือดดำ) ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงได้เร็วกว่าปกติสามหรือสี่เท่า. เมื่อไม่นานมานี้มีอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยได้. ไตของคุณสร้างฮอร์โมนตัวหนึ่งที่เรียกว่า อิริโทรพอยเอติน (อีพีโอ) ซึ่งกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง. บัดนี้ มีอีพีโอสังเคราะห์. แพทย์อาจให้ฮอร์โมนนี้กับผู้ป่วยที่ซีด ดังนั้น ร่างกายเขาจะสร้างเม็ดเลือดแดงชดเชยได้อย่างรวดเร็ว.
แม้กระทั่งในระหว่างผ่าตัด ศัลยแพทย์และวิสัญญีแพทย์ที่ชำนาญและสำนึกถึงความรับผิดชอบอาจช่วยได้โดยการใช้วิธีการอันทันสมัยเพื่อให้เลือดออกน้อยที่สุด. เทคนิคการผ่าตัดที่ประณีต เช่นการใช้เครื่องจี้ไฟฟ้าเพื่อลดการเสียเลือดไม่อาจมองข้ามไปได้. บางครั้งเลือดที่ออกจากแผลอาจถูกดูดไว้ กรอง และส่งกลับเข้าในระบบไหลเวียนอีก.b
ผู้ป่วยที่ถูกต่อเข้ากับเครื่องปอด–หัวใจเทียม ซึ่งหล่อด้วยของเหลวที่ไม่ใช่เลือด อาจได้ประโยชน์จากการที่เลือดถูกทำให้เจือจางลง ทำให้การสูญเสียเม็ดเลือดแดงน้อยลง.
ยังมีวิธีอื่นอีกที่ช่วยได้. การทำให้อุณหภูมิผู้ป่วยลดลง เพื่อลดการใช้ออกซิเจนในระหว่างผ่าตัด. การวางยาสลบที่ความดันโลหิตระดับต่ำ. การให้ยาเพื่อช่วยเพิ่มการแข็งตัวของเลือด. การให้เดสโมเพรสซิน (ดีดีเอวีพี) เพื่อทำให้เวลาเลือดออกสั้นเข้า. “มีดผ่าตัด” เลเซอร์. คุณจะพบว่ารายการเหล่านี้ยาวขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ศัลยแพทย์และผู้ป่วยที่เป็นห่วงพยายามหาวิธีที่จะหลีกจากการถ่ายเลือด. เราหวังว่าคุณคงจะไม่เสียเลือดเป็นจำนวนมาก. แต่ถ้าคุณเสียเลือดอย่างนั้น เป็นไปได้มากทีเดียวว่าแพทย์ที่ชำนาญจะสามารถจัดการรักษาคุณได้โดยที่ไม่ต้องถ่ายเลือดให้คุณ ซึ่งมีอันตรายมากมาย.
ผ่าตัดได้—แต่ต้องไม่ใช้เลือด
หลายคนในปัจจุบันนี้ไม่ยอมรับเลือด. เนื่องด้วยเหตุผลทางด้านสุขภาพ พวกเขากำลังเรียกร้องในสิ่งที่พยานพระยะโฮวาเรียกร้องเพราะเหตุผลอันดับแรกทางด้านศาสนา นั่นคือ การรักษาทางการแพทย์อย่างดีโดยเลือกวิธีบำบัดอื่น ๆ ที่ไม่ใช้เลือด. อย่างที่เราได้กล่าวมาแล้ว การผ่าตัดใหญ่ทำได้โดยไม่ใช้เลือด. ถ้าคุณยังมีข้อสงสัย หลักฐานเพิ่มเติมจากวารสารทางการแพทย์อาจขจัดข้อสงสัยนั้นได้.
บทความชื่อ “การผ่าตัดเปลี่ยนข้อกระดูกที่สำคัญสี่แห่งในสมาชิกพยานพระยะโฮวา” (Orthopaedic Review, สิงหาคม 1986) บอกถึงผู้ป่วยที่ซีดซึ่งมี “ความเสื่อมสลายอย่างมากของทั้งข้อเข่าและข้อสะโพก.” มีการให้เด็กซ์แทรนที่ผสมธาตุเหล็ก ทั้งก่อนและหลังการผ่าตัดซึ่งทำเป็นขั้น ๆ ซึ่งได้ประสบผลสำเร็จอย่างดี. วารสาร บริติช เจอร์นัล อ็อฟ อะนิสธีเซีย (1982) รายงานผู้ป่วยพยานพระยะโฮวาอายุ 52 ปีซึ่งมีระดับฮีโมโกลบินต่ำกว่าสิบ. โดยวิธีการดมยาสลบที่ความดันต่ำเพื่อให้เสียเลือดน้อย เธอได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกและข้อหัวไหล่. คณะผ่าตัดที่มหาวิทยาลัยอาร์คันซอ (สหรัฐฯ) ได้ใช้วิธีนี้ในการเปลี่ยนข้อสะโพกหนึ่งร้อยรายแก่พยานฯและผู้ป่วยทั้งหมดฟื้นตัวเป็นปกติ. ศาสตราจารย์หัวหน้าแผนกนั้นกล่าวว่า “สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากผู้ป่วย (พยานฯ) เหล่านั้น บัดนี้เรานำมาใช้กับผู้ป่วยทั้งหมดที่เราทำการเปลี่ยนข้อสะโพก.”
สติรู้สึกผิดชอบของพยานฯบางคน ยินยอมให้เขารับการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะถ้าทำโดยไม่ใช้เลือด. รายงานของการผ่าตัดเปลี่ยนไต 13 รายสรุปว่า “ผลรวมทั้งหมดแสดงให้เห็นว่า การผ่าตัดเปลี่ยนไตอาจทำได้อย่างปลอดภัยและได้ผลดีในพยานพระยะโฮวาส่วนใหญ่.” (Transplantation, มิถุนายน 1988) เช่นเดียวกัน การปฏิเสธที่จะใช้เลือดก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแม้ในรายผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจที่บรรลุผลสำเร็จ.
คุณอาจสงสัยว่า ‘แล้วเป็นอย่างไรเกี่ยวกับการผ่าตัดแบบอื่น ๆ ซึ่งไม่ใช้เลือด?’ วารสาร เมดิคัล ฮอทไลน์ (เมษายน/พฤษภาคม 1983) กล่าวถึงการผ่าตัด “พยานพระยะโฮวาหลายคนซึ่งได้รับการผ่าตัดใหญ่ทางสูติ–นรีเวช (ที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐเวนน์ สหรัฐฯ) โดยไม่ได้มีการถ่ายเลือด.” ใบแจ้งข่าวนี้รายงานว่า “ไม่มีการตายหรือมีโรคแทรกซ้อนมากกว่าในผู้หญิงที่รับการผ่าตัดแบบเดียวกันซึ่งยอมรับการถ่ายเลือด.” ใบแจ้งข่าวนี้จึงให้ความเห็นว่า “ผลของการศึกษานี้อาจเป็นเหตุให้เราต้องทำการทบทวนใหม่ถึงการใช้เลือดในผู้หญิงทุกคนซึ่งรับการผ่าตัดทางสูติ–นรีเวช.”
ที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเกอตติงเกน (เยอรมนี) มีการผ่าตัดผู้ป่วย 30 คนที่ปฏิเสธการรับเลือด. “ไม่พบการแทรกซ้อนใด ๆ ที่นอกเหนือไปจากที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่รับเลือดเลย . . . . การไม่ยอมรับการถ่ายเลือดไม่ควรจะถือว่าเป็นเรื่องสำคัญจนเกินไปนัก และดังนั้น จึงไม่ควรนำไปสู่การที่แพทย์จะไม่ยอมทำผ่าตัดที่จำเป็นและทำสำเร็จได้.”—Risiko in der Chirurgie, 1987.
แม้แต่การผ่าตัดสมองโดยไม่ใช้เลือดก็เคยทำในผู้ใหญ่และเด็กหลายคน เช่นที่ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก. ในปี 1989 ดร.โจเซฟ รันโซฮอฟฟ์ หัวหน้าแผนกศัลยกรรมประสาท เขียนไว้ว่า “เห็นได้ชัดว่าในรายส่วนใหญ่ การหลีกเลี่ยงจากการใช้ผลิตผลของเลือดสามารถทำได้ด้วยความเสี่ยงเพียงเล็กน้อยในผู้ป่วยที่ความเชื่อทางศาสนาปฏิเสธการใช้ผลิตผลเหล่านั้น โดยเฉพาะถ้าการผ่าตัดนั้นสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว และใช้เวลาผ่าตัดค่อนข้างสั้น. ที่น่าสนใจคือ ผมมักจะลืมไปว่าผู้ป่วยเป็นพยานพระยะโฮวา จนกระทั่งตอนเขาจะกลับบ้าน เมื่อเขามาขอบคุณที่ผมได้เคารพต่อความเชื่อทางศาสนาของเขา.”
สุดท้ายคือ การผ่าตัดหัวใจและหลอดเลือดที่ซับซ้อนยิ่งโดยไม่ใช้เลือด จะทำได้สำเร็จในผู้ใหญ่และเด็กไหม? ดร. เด็นตัน เอ. คูลีย์ เป็นผู้บุกเบิกในกรณีนี้. ดังที่คุณจะอ่านพบในบทความทางการแพทย์ที่นำมาลงไว้ในภาคผนวกที่หน้า 27-29 อาศัยการวิเคราะห์ก่อนหน้านั้น ดร. คูลีย์ สรุปว่า “ความเสี่ยงของการผ่าตัดในกลุ่มผู้ป่วยพยานพระยะโฮวาไม่ได้มีมากไปกว่ากลุ่มอื่น.” บัดนี้ หลังจากการผ่าตัดรายเหล่านี้มา 1,106 รายแล้ว เขารายงานว่า “ในทุกกรณี ผมรักษาสัญญาหรือข้อตกลงที่ผมมีกับคนไข้ของผม” กล่าวคือจะไม่มีการใช้เลือด.
ศัลยแพทย์ต่างก็ได้สังเกตว่าทัศนะที่ดีเป็นอีกปัจจัยหนึ่งกับพยานพระยะโฮวา. ดร. คูลีย์เขียนไว้เมื่อเดือนตุลาคม 1989 ว่า “ทัศนะของคนไข้เหล่านี้ดีเยี่ยมเป็นตัวอย่าง. พวกเขาไม่มีความกลัวของการแทรกซ้อนหรือความตายซึ่งคนไข้ส่วนใหญ่มี. พวกเขามีความเชื่อลึกซึ้งและมั่นคงในหลักการที่เขายึดถืออยู่และในพระเจ้าของเขา.”
นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาเลือกสิทธิที่จะตาย. พวกเขาพยายามแสวงหาการรักษาที่ดี เพราะเขาต้องการจะหายป่วย. พวกเขามั่นใจว่าการเชื่อฟังพระเจ้าในเรื่องเลือดเป็นการฉลาด ซึ่งทัศนะนี้มีผลกระทบที่ดีต่อการผ่าตัดโดยไม่ใช้เลือด.
ศาสตราจารย์ ดร. วี. ชลอสเซอร์ แห่งโรงพยาบาลศัลยกรรมมหาวิทยาลัยไฟรบูร์ก (เยอรมนี) ตั้งข้อสังเกตว่า “อุบัติการของการเกิดเลือดออกในระหว่างผ่าตัด ในกลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้ไม่ได้สูงกว่ากลุ่มอื่น สำหรับการเกิดโรคแทรก ถ้ามีก็น้อยกว่ากลุ่มอื่น. ทัศนะพิเศษที่พวกเขามีต่อความเจ็บป่วย ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของพยานพระยะโฮวา มีผลกระทบในทางที่ดีในขณะผ่าตัด.”—Herz Kreislauf, สิงหาคม 1987.
[เชิงอรรถ]
a พยานพระยะโฮวาไม่รับการถ่ายเลือด เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด หรือพลาสมา. สำหรับส่วนประกอบย่อยอื่น ๆ เช่นอิมมูน กลอบูลิน โปรดดู หอสังเกตการณ์ 1 มิถุนายน 1990 หน้า 31-32.
b วารสารวอชเทาเวอร์ ฉบับ 1 มีนาคม 1989 หน้า 30-31 พิจารณาหลักพระคัมภีร์ที่เกี่ยวกับวิธีต่าง ๆ ในการสงวนเลือดไว้ และอุปกรณ์ของระบบไหลเวียน (นอกร่างกาย).
[กรอบหน้า 13]
“เราต้องสรุปว่าในปัจจุบันมีผู้ป่วยจำนวนมากได้รับส่วนประกอบต่าง ๆ ของเลือด ผู้ซึ่งไม่มีโอกาสได้ประโยชน์จากการถ่ายเลือดนั้นเลย (ไม่จำเป็นต้องได้รับเลือด) และกระนั้น เขาเสี่ยงอย่างมากต่อผลร้ายที่ตามมา. ไม่มีแพทย์คนใดจะตั้งใจให้คนไข้ต้องรับการรักษาซึ่งนอกจากจะไม่ได้ประโยชน์แล้วยังอาจเป็นอันตรายต่อเขาด้วย แต่นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อมีการถ่ายเลือดให้โดยที่ไม่จำเป็น.”—“Transfusion–Transmitted Viral Diseases,” 1987.
[กรอบหน้า 14]
“ผู้เขียนบางคนได้กล่าวว่าค่าฮีโมโกลบินที่ต่ำถึง 2 ถึง 2.5 ก./100 มล. อาจเป็นที่ยอมรับได้. . . . คนที่มีสุขภาพดีอาจทนต่อการเสียเม็ดเลือดแดงได้ถึงร้อยละ 50 และเกือบจะไม่มีอาการอะไรเลยถ้าการเสียเลือดนั้นเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง.”—“Techniques of Blood Transfusion,” 1982.
[กรอบหน้า 15]
“ความเชื่อเก่าเกี่ยวกับการขนส่งออกซิเจนไปยังเนื้อเยื่อ การหายของแผล และ ‘คุณค่าทางการบำรุงเลี้ยง’ ของเลือด กำลังจะถูกทิ้งไปหมดแล้ว. ประสบการณ์ที่มีกับผู้ป่วยซึ่งเป็นพยานพระยะโฮวาแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยทนต่อภาวะซีดอย่างรุนแรงได้ดี.”—“The Annals of Thoracic Surgery,” มีนาคม 1989.
[กรอบหน้า 16]
เด็กเล็ก ๆ ด้วยหรือ? “มีการทำผ่าตัดหัวใจเปิดในเด็กเล็กจำนวนสี่สิบเก้ารายอาศัยเทคนิคที่ไม่ใช้เลือด ไม่ว่าการผ่าตัดนั้นจะซับซ้อนยุ่งยากสักเพียงไรก็ตาม.” เด็กที่เล็กที่สุดหนักเพียง 4.7 กิโลกรัม. “เนื่องจากผลสำเร็จที่มีเสมอต้นเสมอปลายในผู้ป่วยพยานพระยะโฮวา รวมทั้งข้อเท็จจริงที่การถ่ายเลือดมีความเสี่ยงต่อโรคแทรกร้ายแรงมากมาย ปัจจุบันนี้เราจึงทำการผ่าตัดหัวใจในเด็กเล็กส่วนใหญ่โดยไม่มีการถ่ายเลือด.”—“Circulation,” กันยายน 1984.
[รูปภาพหน้า 15]
เครื่องปอด–หัวใจเทียมช่วยได้มากในการผ่าตัดหัวใจของผู้ป่วยที่ไม่ต้องการเลือด.
-
-
คุณมีสิทธิ์ที่จะเลือกเลือดจะช่วยชีวิตคุณได้อย่างไร?
-
-
คุณมีสิทธิ์ที่จะเลือก
วิธีทางการแพทย์สมัยใหม่ (ที่เรียกว่า การวิเคราะห์ความเสี่ยง/ผลดีที่จะได้รับ) ทำให้ง่ายขึ้นสำหรับแพทย์และผู้ป่วยในการร่วมมือกันเพื่อหลีกจากการรักษาด้วยเลือด. แพทย์จะชั่งดูปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความเสี่ยงของยาบางอย่างหรือการผ่าตัด กับผลดีต่าง ๆ ที่จะได้รับ. ผู้ป่วยจะมีส่วนด้วยในการวิเคราะห์นี้.
ให้เราใช้ตัวอย่างที่ผู้คนหลายแห่งเข้าใจได้ง่าย—โรคต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง. ถ้าคุณประสบกับปัญหานี้ คุณคงไปปรึกษาแพทย์. ที่จริง คุณอาจปรึกษาแพทย์สองคนก็ได้ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพมักจะแนะนำให้ฟังความเห็นจากอีกคนหนึ่ง. แพทย์คนหนึ่งอาจแนะนำให้ทำการผ่าตัด. เขาอธิบายให้ฟังคร่าว ๆ ว่านั่นหมายถึงอะไร: ระยะเวลาที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล ความเจ็บปวดมากน้อยอย่างไร และค่าใช้จ่าย. สำหรับเรื่องความเสี่ยงนั้น เขาบอกว่ามีน้อยรายที่จะมีเลือดออกมาก และโอกาสที่จะเสียชีวิตจากการผ่าตัดนี้มีน้อยมาก. แต่แพทย์อีกคนหนึ่งที่คุณไปปรึกษาด้วยแนะให้คุณลองใช้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ. เขาอธิบายถึงชนิดของยาที่จะใช้ โอกาสที่จะได้ผล และค่าใช้จ่าย. ในเรื่องความเสี่ยงนั้น เขาบอกว่ามีผู้ป่วยน้อยคนที่จะมีปฏิกิริยาอันอาจอันตรายถึงแก่ชีวิตเนื่องจากยานั้น.
แพทย์ที่มีความสามารถทุกคนคงจะได้พิจารณาถึงข้อดีและข้อเสียต่าง ๆ แต่บัดนี้คุณเอง ต้องชั่งดูความเสี่ยงและผลดีที่อาจได้รับ รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งคุณจะรู้ดีที่สุด. (คุณอยู่ในฐานะที่จะพิจารณาได้ดีที่สุดในด้านต่าง ๆ เช่น ความเข้มแข็งของคุณทางอารมณ์หรือทางฝ่ายวิญญาน ฐานะทางการเงินของครอบครัว ผลกระทบที่มีต่อครอบครัว และจริยธรรมส่วนตัว.) หลังจากนั้นคุณจึงตัดสินใจ. คุณอาจยินยอมโดยได้รับการชี้แจงครบถ้วนให้ทำการรักษาแบบหนึ่ง แต่ปฏิเสธการรักษาอีกแบบหนึ่ง.
คงจะเป็นอย่างนั้นเช่นกันเมื่อลูกของคุณเป็นทอนซิลอักเสบเรื้อรัง. คงจะมีการอธิบายให้คุณ ผู้เป็นบิดามารดาผู้เปี่ยมด้วยความรัก ผู้ซึ่งจะต้องได้รับผลกระทบมากที่สุด และจะต้องเป็นผู้รับมือกับผลที่เกิดต่อมา ให้ทราบถึงความเสี่ยง ประโยชน์ที่ได้ และวิธีรักษาต่าง ๆ. หลังจากพิจารณาทุกแง่แล้ว คุณจะเลือกตัดสินใจได้อย่างที่มีข้อมูลครบถ้วนในเรื่องของสุขภาพของบุตรของคุณ และแม้แต่เรื่องความเป็นความตายของเขา. บางทีคุณอาจยอมให้ทำการผ่าตัด โดยเข้าใจดีถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง. บิดามารดาคนอื่นอาจเลือกที่จะใช้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ พร้อมกับความเสี่ยงของมัน. เช่นเดียวกับที่แพทย์อาจมีคำแนะนำที่แตกต่างกัน ผู้ป่วยหรือบิดามารดาก็อาจมีความเห็นต่าง ๆ กันในเรื่องที่เขาเห็นว่าดีที่สุด. นี่คือหลักการทั่ว ๆ ไปของการตัดสินใจเลือก (ความเสี่ยง/ผลดีที่จะได้รับ) อย่างที่มีข้อมูลครบถ้วน.
จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับการใช้เลือด? ไม่มีใครที่ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างไม่ลำเอียงแล้วจะปฏิเสธได้ว่า การถ่ายเลือดมีอันตรายมาก. ดร. ชารล์ส ฮักกินส์ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการหน่วยบริการถ่ายเลือดของโรงพยาบาลแมสซาชูเซ็ตส์อันใหญ่โต ได้ทำให้เรื่องนี้ชัดเจน. เขากล่าวว่า “เลือดไม่เคยปลอดภัยกว่านี้มาก่อน. แต่ยังต้องถือว่าเลือดยังเป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้. เลือดเป็นสารที่อันตรายที่สุดที่เราใช้ในทางการแพทย์.”—The Boston Globe Magazine, 4 กุมภาพันธ์ 1990.
ด้วยเหตุผลที่ดี บุคลากรทางการแพทย์จึงได้รับคำแนะนำว่า “เราจำเป็นที่จะต้องทำการประเมินกันใหม่ในส่วนของความเสี่ยง ที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยง/ผลดีที่ได้รับของการถ่ายเลือด และค้นหาวิธีทดแทนอื่น ๆ.”—Perioperative Red Cell Transfusion, การประชุมสถาบันทางการสาธารณสุขแห่งชาติ, 27-29 มิถุนายน 1988.
แพทย์อาจไม่เห็นพ้องร่วมกันในเรื่องประโยชน์และโทษของการใช้เลือด. คนหนึ่งอาจให้เลือดหลายครั้งและเชื่อว่านั้นคุ้มกับการเสี่ยง. อีกคนหนึ่งอาจเห็นว่านั่นเป็นการเสี่ยงที่ไม่มีเหตุผล เพราะเขาเคยรักษาได้ผลดีโดยไม่ใช้เลือด. อย่างไรก็ดี ในที่สุดคุณเอง ซึ่งเป็นผู้ป่วยหรือเป็นบิดามารดา ต้องเป็นผู้ทำการตัดสินใจ. เหตุใดจึงต้องเป็นคุณ? เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับร่างกาย ชีวิต จริยธรรม และสัมพันธภาพที่มีกับพระเจ้าอันสำคัญยิ่ง ของคุณ (หรือลูกของคุณ).
สิทธิ์ของคุณเป็นที่ยอมรับ
ปัจจุบันนี้ในหลายประเทศ ผู้ป่วยมีสิทธิ์อันไม่อาจละเมิดได้ ที่จะตัดสินว่าเขาจะยอมรับการรักษาแบบใด. “กฎหมายของการยินยอมโดยที่ได้รับการชี้แจงครบถ้วนอาศัยรากฐานสองประการ: ประการแรกคือ ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับข้อมูลอย่างเพียงพอเพื่อที่จะทำการตัดสินใจเลือกอย่างที่มีข้อมูลครบถ้วนในการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ และประการที่สองคือ ผู้ป่วยอาจเลือกที่จะรับหรือปฏิเสธสิ่งที่แพทย์แนะนำได้. . . . นอกจากจะมีการยอมรับว่า ผู้ป่วยมีสิทธิ์ที่จะตอบรับ หรือปฏิเสธ หรือแม้แต่ตอบรับโดยมีเงื่อนไขต่าง ๆ มิฉะนั้น หลักการพื้นฐานของการให้ความยินยอมโดยที่มีข้อมูลครบถ้วน ก็ไม่มีความหมายอะไร.”—Informed Consent—Legal Theory and Clinical Practice, 1987.a
ผู้ป่วยบางคนได้ประสบการต่อต้านเมื่อเขาพยายามจะใช้สิทธิ์ของเขา. อาจเป็นจากเพื่อนซึ่งมีความคิดเห็นอย่างแรงกล้าเกี่ยวกับการผ่าตัดต่อมทอนซิล หรือไม่ก็เกี่ยวกับยาปฏิชีวนะ. หรืออาจเป็นจากแพทย์ผู้ซึ่งเชื่อว่าคำแนะนำของเขาดีที่สุด. หรือเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลอาจไม่เห็นด้วย เนื่องจากแง่มุมในด้านกฎหมายหรือในด้านการเงิน.
ดร.คาร์ล แอล. เนลสัน กล่าวว่า “ศัลยแพทย์กระดูกหลายคนเลือกที่จะไม่ทำการผ่าตัดผู้ป่วย (ซึ่งเป็นพยานพระยะโฮวา). สำหรับพวกเรา เราเชื่อว่าผู้ป่วยมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการรักษาทางการแพทย์แบบใดก็ได้. ถ้ามีวิธีที่เป็นไปได้ที่จะทำการผ่าตัดอย่างปลอดภัย ขณะเดียวกับที่ตัดการรักษาบางอย่างออกไป เช่นการให้เลือด ก็ควรถือว่านั่นเป็นทางเลือกอีกแบบหนึ่ง.”—The Journal of Bone and Joint Surgery, มีนาคม 1986.
ผู้ป่วยที่เห็นอกเห็นใจจะไม่พยายามบีบบังคับให้แพทย์ใช้วิธีการรักษาซึ่งเขาไม่ชำนาญ. กระนั้น อย่างที่ ดร. เนลสันได้กล่าวไว้ แพทย์ผู้เสียสละหลายคนสามารถปรับเปลี่ยนตามความเชื่อของผู้ป่วยได้. เจ้าหน้าที่ชาวเยอรมันผู้หนึ่งแนะนำว่า “แพทย์ไม่อาจปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ . . . ด้วยการชักเหตุผลที่ว่าเขาไม่อาจใช้การรักษาทุกวิธีที่เขามีในการรักษาพยานพระยะโฮวา. เขายังคงมีหน้าที่ที่จะต้องให้ความช่วยเหลือแม้หนทางจะถูกจำกัดลงก็ตาม.” (Der Frauenarzt, พฤษภาคม–มิถุนายน 1983) ในทำนองเดียวกัน โรงพยาบาลมีขึ้นมิใช่เพื่อทำเงินเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อบริการผู้คนโดยไม่เลือกหน้า. ริชาร์ด เจ. เดไวน์ นักเทววิทยาคาทอลิกแถลงว่า “ถึงแม้ว่าโรงพยาบาลจะต้องใช้ความพยายามทางการแพทย์ทุกวิธีที่จะรักษาสุขภาพและชีวิตของคนไข้ก็ตาม แต่จะต้องแน่ใจว่า การรักษานั้นไม่ละเมิดสติรู้สึกผิดชอบ (ของผู้ป่วย). นอกจากนั้น จะต้องหลีกเลี่ยงจากการขู่เข็ญทุกอย่าง จากการหลอกล่อผู้ป่วยเพื่อหาคำสั่งศาลมาบังคับให้รับการถ่ายเลือด.”—Health Progress, มิถุนายน 1989.
แทนที่จะพึ่งศาล
หลายคนเห็นพ้องกันว่า เรื่องส่วนตัวทางการแพทย์ไม่ใช่ธุระที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล. คุณจะรู้สึกอย่างไรถ้าคุณเลือกที่จะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ แต่มีใครบางคนไปฟ้องศาล เพื่อบังคับให้คุณผ่าตัดต่อมทอนซิลออก? แพทย์อาจอยากให้การรักษาอย่างที่เขาคิดว่าดีที่สุด แต่แพทย์ไม่มีหน้าที่ที่จะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ เพื่อเหยียบย่ำสิทธิอันชอบธรรมของคุณ. และเนื่องจากพระคัมภีร์ไบเบิลถือว่าการละเว้นจากเลือดมีความสำคัญทางด้านศีลธรรมเช่นเดียวกับการหลีกเว้นจากการล่วงประเวณี ดังนั้น การบังคับให้คริสเตียนรับเลือดก็เท่ากับการบังคับให้ร่วมเพศ—คือการข่มขืนนั่นเอง.—กิจการ 15:28, 29.
กระนั้น วารสาร อินฟอร์มด์ คอนเซ็นต์ ฟอร์ บลัด ทรานสฟิวชัน [การยินยอมโดยที่ได้รับการชี้แจงครบถ้วนเรื่องการถ่ายเลือด] (1989) รายงานว่า ศาลบางแห่งร้อนใจมากเมื่อผู้ป่วยเต็มใจที่จะรับความเสี่ยงบางประการเนื่องจากความเชื่อทางศาสนาของตน “จนทำให้พวกเขาอ้างข้อยกเว้นทางกฎหมายบางอย่าง—อาจเรียกว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นเองทางกฎหมายก็ว่าได้—เพื่อจะอนุญาตให้มีการถ่ายเลือด.” พวกเขาอาจพยายามยกข้ออ้างว่าคนไข้ตั้งครรภ์อยู่ หรือว่าคนไข้มีบุตรที่จะต้องเลี้ยงดู. หนังสือเล่มนี้กล่าวว่า “สิ่งเหล่านั้นคือนวนิยายทางกฎหมาย. ผู้ใหญ่ที่มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธการรักษาได้.”
บางคนที่ยืนยันจะต้องให้มีการถ่ายเลือดให้ได้ มองข้ามข้อเท็จจริงที่ว่าพยานพระยะโฮวาไม่ได้ปฏิเสธการรักษาทุกอย่าง. พวกเขาปฏิเสธการรักษาเพียงอย่างเดียว เท่านั้น เป็นการรักษาที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็กล่าวว่าเต็มไปด้วยอันตราย. ปกติแล้วปัญหาทางการแพทย์มีวิธีแก้ไขได้หลายวิธี. วิธีหนึ่งอาจมีความเสี่ยงในด้านหนึ่ง อีกวิธีหนึ่งเสี่ยงในอีกแง่หนึ่ง. ศาลเองหรือแพทย์จะทำตัวเหมือนเป็นพ่อเป็นแม่ในการตัดสินได้ไหมว่า การเสี่ยงอันใด “เป็นประโยชน์มากที่สุดสำหรับคุณ”? คุณเองจะต้องเป็นผู้ตัดสินเรื่องนั้น. พยานพระยะโฮวายืนมั่นว่าเขาไม่ต้องการให้ใครอื่นมาตัดสินแทนตน เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบส่วนตัวของเขาต่อพระพักตร์พระเจ้า.
ถ้าศาลบังคับการรักษาที่คุณเกลียดกลัว นั่นจะมีผลกระทบอย่างไรต่อสติรู้สึกผิดชอบ และปัจจัยสำคัญอันได้แก่ความปรารถนาของคุณที่จะมีชีวิตอยู่? ดร. คอนราด เดรบิงเกอร์เขียนไว้ว่า “คงจะต้องเป็นความทะเยอทะยานทางการแพทย์ที่ไม่ถูกต้องอย่างแน่นอนทีเดียว ที่ชักนำคนเราให้บังคับผู้ป่วยให้รับการรักษาใด ๆ ที่ขัดต่อสติรู้สึกผิดชอบของเขา เพียงเพื่อจะเยียวยาร่างกายของเขา แต่กลับทำลายจิตใจของเขา.”—Der Praktische Arzt, กรกฎาคม 1978.
การดูแลลูก ๆ ด้วยความรัก
คดีต่าง ๆ ที่ฟ้องร้องในเรื่องเลือดมักจะเกี่ยวข้องกับเด็ก. บางครั้งเมื่อบิดามารดาที่รักลูกได้แสดงความจำนงอย่างสุภาพให้ทำการรักษาโดยไม่ใช้เลือด บุคลากรทางการแพทย์บางคนได้ขออำนาจศาลเพื่อทำการให้เลือด. แน่นอน คริสเตียนเห็นด้วยกับกฎหมายและการปฏิบัติของศาลเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กถูกทำทารุณหรือถูกทอดทิ้ง. บางทีคุณเคยอ่านเรื่องบิดามารดาบางคนที่ทำร้ายเด็กอย่างทารุณหรือทอดทิ้งเด็กโดยไม่ให้การรักษาเลย. ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าใจจริง ๆ! เห็นได้ชัดว่า รัฐมีหน้าที่และควรเข้าไปปกป้องเด็ก ๆ ที่ถูกละเลย. แต่คุณคงเห็นได้ชัดว่า เป็นกรณีต่างกันทีเดียวเมื่อบิดามารดาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยเรียกร้องให้ทำการรักษาทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพโดยไม่ใช้เลือด.
คดีเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กอยู่ในโรงพยาบาล. เด็กเหล่านี้เข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลอย่างไร และเพื่อจุดประสงค์อะไร? ส่วนใหญ่แล้วก็เพราะบิดามารดาที่เป็นห่วงนำลูกของเขาไปเพื่อให้รับการรักษาที่ดี. ดังที่พระเยซูทรงสนพระทัยในพวกเด็ก ๆ บิดามารดาที่เป็นคริสเตียนสนใจและเอาใจใส่ลูก ๆ ของตนเช่นกัน. พระคัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึง ‘มารดาผู้เลี้ยงดูเอาใจใส่ลูก ๆ ของเธอ.’ พยานพระยะโฮวามีความรักอันลึกซึ้งเช่นนั้นต่อบุตรของตน.—1 เธซะโลนิเก 2:7; มัดธาย 7:11; 19:13-15.
โดยปกติแล้ว บิดามารดาทุกคนเป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความปลอดภัยของลูก ๆ: ครอบครัวจะใช้แก๊สหรือใช้ถ่านในครัว? จะพาเด็ก ๆ ไปด้วยเมื่อขับรถทางไกลไหม? จะให้เขาไปว่ายน้ำไหม? เรื่องเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่าง ๆ บางครั้งหมายถึงความเป็นความตายทีเดียว. แต่สังคมยอมรับว่าบิดามารดามีสิทธิในการตัดสินใจ ดังนั้น บิดามารดาจึงรับหน้าที่หลักเป็นผู้ตัดสินใจเกือบทุกเรื่องซึ่งเกี่ยวข้องกับลูกของเขา.
ในปีสากลศักราช 1979 ศาลสูงสุดของสหรัฐฯกล่าวอย่างชัดเจนว่า “หลักการของกฎหมายเกี่ยวกับครอบครัวอาศัยการอนุมานที่ว่า บิดามารดามีสิ่งที่เด็ก ๆ ขาดในแง่ของความคิดอ่าน ประสบการณ์ และความสามารถที่จำเป็นเพื่อตัดสินใจเรื่องยากลำบากของชีวิต. . . . เพียงเพราะการตัดสินใจของบิดามารดา [ในเรื่องที่เกี่ยวกับการแพทย์] ซึ่งดูเสี่ยงภัย ไม่หมายความว่าอำนาจของการตัดสินใจของเขาจะต้องถูกยกให้กับองค์กรหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยอัตโนมัติ.”—Parham v. J.R.
ในปีเดียวกันนั้น ศาลอุทธรณ์แห่งนิวยอร์กตัดสินว่า “ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะตัดสินว่าเด็กคนใดกำลังถูกกีดกันจากการรับการรักษาพยาบาลทางการแพทย์หรือไม่นั้น . . . ขึ้นอยู่กับว่าบิดามารดาได้ให้บุตรของตนรับการรักษาทางการแพทย์อันเป็นที่ยอมรับกันหรือไม่ตามสภาพแวดล้อมที่มีอยู่ทั้งหมด. การไต่สวนนี้ไม่อาจชี้ว่าการตัดสินใจของบิดามารดานั้นจะ “ถูก” หรือ “ผิด” เพราะวิธีปฏิบัติการทางการแพทย์ในปัจจุบัน แม้จะมีความก้าวหน้าอย่างยิ่งก็ตาม น้อยครั้งนักที่จะสามารถตัดสินได้อย่างแน่นอนในเรื่องนั้น. ทั้งศาลก็ไม่อาจทำหน้าที่แทนบิดามารดาได้.”—In re Hofbauer.
ย้อนกลับไปถึงตัวอย่างของบิดามารดาที่ต้องเลือกระหว่างการผ่าตัดหรือการใช้ยาปฏิชีวนะ. การรักษาแต่ละวิธีก็มีความเสี่ยงของมันเอง. บิดามารดาที่เปี่ยมด้วยความรัก มีความรับผิดชอบที่จะชั่งดูความเสี่ยง ผลดีที่อาจได้รับ รวมทั้งปัจจัยอื่น ๆ แล้วจึงตัดสินใจ. เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร. จอห์น แซมมวลส์ (Anesthesiology News, ตุลาคม 1989) แนะนำให้อ่านหนังสือ คำแนะนำสำหรับผู้พิพากษาเรื่องคำสั่งเกี่ยวกับเด็ก [Guides to the Judge in Medical Orders Affecting Children] ซึ่งมีจุดยืนดังนี้:
“ความรู้ทางการแพทย์ยังไม่ก้าวหน้าเพียงพอที่จะให้แพทย์คาดการณ์อย่างมีเหตุผลได้แน่นอนว่า ผู้ป่วยจะรอดหรือเสียชีวิต . . . ถ้ามีโอกาสเลือก วิธีการรักษา—เช่นแพทย์อาจแนะนำวิธีหนึ่งซึ่งมีโอกาสสำเร็จ 80 เปอร์เซนต์ แต่บิดามารดาไม่เห็นด้วย และบิดามารดาไม่คัดค้านวิธีการหนึ่งซึ่งมีโอกาสสำเร็จเพียง 40 เปอร์เซนต์—แพทย์จะต้องใช้วิธีที่เสี่ยงกว่าในทางการแพทย์ แต่บิดามารดาไม่คัดค้าน.”
ขณะที่มีการพบอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตหลายอย่างของการใช้เลือดในทางการแพทย์ และเพราะมีวิธีเลือกอื่นแทนซึ่งได้ผลดีในการรักษา เป็นไปได้ไหมที่การหลีกเลี่ยงจากเลือดเป็นวิธีที่มีอันตรายน้อยกว่า?
เป็นธรรมดาที่คริสเตียนจะชั่งดูปัจจัยหลายอย่างถ้าลูกจะต้องรับการผ่าตัด. การผ่าตัดทุกอย่างไม่ว่าจะใช้เลือดหรือไม่ก็มีความเสี่ยง. ศัลยแพทย์คนใดจะให้การรับรอง? บิดามารดาอาจทราบว่าได้เคยมีแพทย์ที่ชำนาญทำการผ่าตัดให้ลูกของพยานฯได้ผลอย่างดีโดยไม่ใช้เลือด. ดังนั้น แม้แพทย์หรือเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจะมีความเห็นอีกแบบหนึ่ง แทนที่จะมาต่อสู้กันในศาลซึ่งทั้งเสียเวลาและเครียด จะไม่มีเหตุผลกว่าหรือที่พวกเขาจะร่วมมือกับบิดามารดาที่รักลูกเหล่านั้น? หรือบิดามารดาอาจย้ายบุตรไปยังโรงพยาบาลอื่น ที่ซึ่งเจ้าหน้าที่มีประสบการณ์และเต็มใจในการรักษารายเหล่านั้น. ที่จริงแล้ว การรักษาโดยไม่ใช้เลือดน่าจะเป็นวิธีที่มีคุณภาพ เนื่องจากวิธีนี้สามารถช่วยให้ครอบครัว “บรรลุถึงเป้าหมายทางการแพทย์และที่ไม่ใช่ทางการแพทย์อันชอบด้วยเหตุผล” อย่างที่เราได้กล่าวไว้ในตอนต้น.
[เชิงอรรถ]
a โปรดดูบทความทางการแพทย์ที่มีชื่อ “เลือด: เป็นการเลือกของใคร และตามสติรู้สึกผิดและชอบของผู้ใด?” ในบางส่วนของภาคผนวกที่หน้า 30-31.
[กรอบหน้า 18]
การปลดเปลื้องความรับผิดชอบทางกฎหมาย
คุณอาจสงสัยว่า ‘เหตุใดแพทย์บางคนหรือโรงพยาบาลบางแห่งจึงด่วนที่จะร้องต่อศาลเพื่อสั่งให้มีการถ่ายเลือด?’ ในบางประเทศเหตุผลทั่วไปคือกลัวจะถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย.
ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเป็นห่วงในกรณีนี้เมื่อพยานพระยะโฮวาเลือกการรักษาโดยไม่ใช้เลือด. แพทย์ผู้หนึ่งที่วิทยาลัยการแพทย์ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (สหรัฐฯ) รายงานดังนี้ “ส่วนใหญ่ [พวกพยานฯ] พร้อมที่จะลงนามในแบบฟอร์มของแพทยสมาคมแห่งอเมริกา ปลดเปลื้องแพทย์และโรงพยาบาลจากความรับผิดชอบในความเสียหาย และหลายคนพกบัตร “เอกสารทางการแพทย์”. แบบฟอร์ม ‘การปฏิเสธที่จะรับผลิตผลจากเลือด’ ซึ่งมีการลงนามและวันที่อย่างถูกต้อง เป็นข้อตกลงที่เป็นสัญญาและมีผลผูกพันตามกฎหมาย.”—Anesthesiology News, ตุลาคม 1989.
ถูกแล้ว พยานพระยะโฮวาร่วมมือให้ความมั่นใจทางกฎหมายแก่แพทย์หรือโรงพยาบาลว่า จะไม่ถูกเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ในการจัดรักษาตามที่ถูกร้องขอโดยไม่ใช้เลือด. ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ พยานพระยะโฮวาแต่ละคนจะพกบัตรเอกสารทางการแพทย์ไว้. บัตรนี้จะเปลี่ยนใหม่ทุกปี และจะลงนามโดยเจ้าของบัตรและพยานซึ่งมักจะเป็นญาติใกล้ชิด.
ในปี 1990 ศาลสูงสุดแห่งประเทศแคนาดาได้ตัดสินยืนตามคำพิพากษาเดิมที่กล่าวไว้อย่างเห็นพ้องด้วยกับบัตรดังกล่าว: “บัตรนี้เป็นแถลงการอันเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับฐานะ ซึ่งผู้ถือบัตรอาจยึดถือได้อย่างชอบด้วยกฎหมายเพื่อวางข้อจำกัดเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับคำสัญญากับแพทย์.” ในหนังสือ Medicinsk Etik (1985) ศาสตราจารย์แดเนียล แอนเดอร์เซน เขียนไว้ว่า “ถ้ามีเอกสารที่เขียนไว้อย่างชัดเจนจากผู้ป่วยแจ้งว่าเขาเป็นพยานพระยะโฮวา และเขาไม่ต้องการเลือดไม่ว่าในกรณีใด ๆ แล้ว ด้วยความนับถือต่อความเป็นอิสระของผู้ป่วย เราต้องทำตามความประสงค์นี้เสมือนกับว่าเขาได้กล่าวจากปากของเขาเอง.”
พยานฯจะลงนามในใบยินยอมของโรงพยาบาลด้วย. แบบหนึ่งซึ่งใช้อยู่ที่โรงพยาบาลในไฟรบูร์ก เยอรมนี มีช่องว่างซึ่งแพทย์ใช้เขียนข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาที่เขาได้อธิบายให้ผู้ป่วย. และเหนือลายเซ็นต์ของแพทย์และผู้ป่วย แบบฟอร์มนี้มีข้อความเพิ่มเติมว่า “ในฐานะที่เป็นสมาชิกของคณะศาสนาแห่งพยานพระยะโฮวา ข้าพเจ้าขอปฏิเสธอย่างเด็ดขาดที่จะใช้เลือดหรือส่วนประกอบของเลือดจากภายนอกระหว่างการผ่าตัดของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าทราบดีว่าวิธีการที่จำเป็นและที่ได้กำหนดไว้จะมีความเสี่ยงมากขึ้นเนื่องจากปัญหาเลือดออก. หลังจากที่ได้รับคำอธิบายอย่างแจ่มแจ้งโดยเฉพาะในเรื่องนี้แล้ว ข้าพเจ้าเรียกร้องให้ทำการผ่าตัดที่จำเป็นโดยไม่ต้องใช้เลือดหรือส่วนประกอบของเลือดจากภายนอก.”—Herz Kreislauf, สิงหาคม 1987.
ที่จริงแล้ว การรักษาโดยไม่ใช้เลือดอาจมีความเสี่ยงน้อยกว่า. แต่จุดสำคัญ ณ ที่นี้คือผู้ป่วยพยานฯยินดีที่จะขจัดความกังวลที่ไม่จำเป็นทุกอย่างเพื่อที่บุคลากรทางการแพทย์จะได้จดจ่อกับสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำ นั่นคือการช่วยให้ผู้ป่วยหายเป็นปกติ. ความร่วมมืออย่างนี้เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย ดังที่ ดร. แอนเจโลส เอ. แคมบูริส รายงานไว้ใน “การผ่าตัดใหญ่ของช่องท้องในพยานพระยะโฮวา” ดังนี้:
“ศัลยแพทย์ควรถือว่าข้อตกลงก่อนการผ่าตัด เป็นข้อผูกมัดและต้องถือมั่นตลอดไป ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ตาม ในระหว่างการผ่าตัดหรือหลังจากนั้น. เรื่องนี้ช่วยให้ผู้ป่วยมีทัศนะที่ดีต่อการผ่าตัด และดึงความสนใจของศัลยแพทย์จากเรื่องทางกฎหมายและปรัชญา ให้จดจ่อในเรื่องของการผ่าตัดและเทคนิค ทั้งนี้จะช่วยให้เขาทำผ่าตัดได้อย่างดีที่สุด และเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยมากที่สุด.”—The American Surgoen, มิถุนายน 1987.
[กรอบหน้า 19]
การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์อย่างไม่จำเป็นคือสาเหตุใหญ่ของการเพิ่มขึ้นในค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาสุขภาพในปัจจุบัน. . . . การถ่ายเลือดมีความสำคัญเป็นพิเศษเพราะค่าใช้จ่ายที่สูงและมีอันตรายมาก. ดังนั้น คณะกรรมาธิการร่วมของการกำหนดมาตรฐานสำหรับโรงพยาบาลแห่งอเมริกาจึงจัดให้การถ่ายเลือดอยู่ในพวกที่ ‘มีปริมาณมาก มีความเสี่ยงสูง และผิดพลาดได้มาก.’”—“Transfusion,” กรกฎาคม–สิงหาคม 1989.
[กรอบหน้า 20]
สหรัฐฯ: รากฐานของความจำเป็นในการได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยคือหลักจรรยาของความเป็นอิสระในตัวของตัวเอง นั่นคือการตัดสินในเรื่องชะตากรรมควรจะเป็นสิทธิ์ของบุคคลคนนั้น. พื้นฐานทางด้านกฎหมายของการต้องขอความยินยอมเสียก่อน ก็เพราะการดำเนินการทางการแพทย์ใด ๆ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ป่วยถือเป็นการทำร้ายร่างกาย.”—“การยินยอมรับการถ่ายเลือดโดยได้รับการชี้แจงครบถ้วน”, 1989.
เยอรมนี: สิทธิ์ของผู้ป่วยในการตัดสินด้วยตนเองอยู่เหนือกว่าหลักการของการให้ความช่วยเหลือและการรักษาไว้ซึ่งชีวิต. ผลก็คือ: ไม่มีการถ่ายเลือดให้ผู้ป่วยโดยไม่ได้รับความยินยอม.”—“Herz Kreislauf,” สิงหาคม 1987.
ญี่ปุ่น: “ไม่มีสิ่งที่ ‘เด็ดขาด แน่นอน ไม่ผิดพลาด’ ในทางการแพทย์. แพทย์เชื่อว่าวิธีการแพทย์ในสมัยปัจจุบันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและดำเนินตามนั้น แต่พวกเขาไม่ควรบังคับผู้ป่วยให้ยอมรับทุกอย่างว่าเป็นสิ่ง ‘เด็ดขาด แน่นอน ไม่ผิดพลาด.’ ผู้ป่วยจะต้องมีอิสระในการเลือกด้วย.”—“มินามิ นิฮอน ชิมบุน” มิถุนายน 1985.
[กรอบหน้า 21]
“ผมได้พบว่าครอบครัว [ของพยานพระยะโฮวา] เป็นครอบครัวที่ใกล้ชิดกันและรักกันมาก.” ดร. ลอเรนซ์ เอส. แฟรงเคิล กล่าว. “พวกเด็ก ๆ มีการศึกษาดี มีน้ำใจ และมีมารยาทดี. . . . ดูเหมือนว่าเขาเต็มใจปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์มากกว่าคนทั่วไป ซึ่งอาจมาในรูปของความพยายามที่จะให้รับวิธีทางการแพทย์ใด ๆ ตราบใดที่ความเชื่อของพวกเขายอมให้.”—แผนกกุมารเวชศาสตร์, โรงพยาบาลและสถาบันมะเร็ง เอ็ม. ดี. แอนเดอร์สัน, ฮิวสตัน, สหรัฐฯ, 1985.
[กรอบหน้า 22]
“ดร. เจมส์ แอล. เฟล็ตเชอร์ จูเนียร์ กล่าวว่า “ผมคิดว่ามีไม่น้อยทีเดียว ที่ความเย่อหยิ่งทางอาชีพอาจเข้ามาแทนการตัดสินใจที่ดีทางการแพทย์. วิธีการรักษาที่คิดกันว่า ‘ดีที่สุดในทุกวันนี้’ อาจมีการดัดแปลงหรืออาจเลิกใช้ไปในวันข้างหน้าก็ได้. อะไรเป็นสิ่งที่อันตรายกว่ากันแน่ ‘บิดามารดาที่เคร่งศาสนา’ หรือแพทย์ที่หยิ่งยโสผู้ซึ่งถือว่าการรักษาแบบของเขาหรือของเธอ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างไม่มีข้อโต้แย้งได้?”—“Pediatrics,” ตุลาคม 1988.
-
-
เลือดที่ช่วยชีวิตได้จริง ๆเลือดจะช่วยชีวิตคุณได้อย่างไร?
-
-
เลือดที่ช่วยชีวิตได้จริง ๆ
เราได้เห็นหลายจุดชัดเจนจากรายละเอียดก่อนหน้านี้. ถึงแม้ว่าหลายคนจะถือว่าการถ่ายเลือดเป็นการช่วยชีวิต แต่ก็เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย. ในแต่ละปีหลายพันคนเสียชีวิตเนื่องจากการถ่ายเลือด ผู้คนอีกมากมายที่เจ็บป่วยอย่างหนักและรับผลเสียต่าง ๆ ในระยะยาว. ดังนั้น แม้จะมองในแง่สุขภาพทางกายแล้ว ต้องถือว่าเป็นการสุขุมรอบคอบในขณะนี้ทีเดียวที่จะเชื่อฟังคำสั่งของคัมภีร์ไบเบิลที่ให้ ‘ละเว้นจากเลือด.’—กิจการ 15:28, 29.
ผู้ป่วยได้รับการป้องกันจากอันตรายหลายอย่างถ้าเขาขอให้รักษาด้วยวิธีที่ไม่ใช้เลือด. แพทย์ที่เชี่ยวชาญซึ่งยอมรับข้อท้าทายในการใช้วิธีนี้กับพยานพระยะโฮวาได้พัฒนามาตรฐานการปฏิบัติที่ได้ผลและปลอดภัย ดังที่รายงานทางการแพทย์มากมายแสดงให้เห็น. แพทย์ที่ให้การรักษาอย่างที่มีคุณภาพโดยไม่ใช้เลือดไม่ได้ละเลยหลักการทางการแพทย์ที่มี
-