พระธรรมเล่มที่ 2—เอ็กโซโด
ผู้เขียน: โมเซ
สถานที่เขียน: ถิ่นทุรกันดาร
เขียนเสร็จ: 1512 ก.ส.ศ.
ครอบคลุมระยะเวลา: 1657-1512 ก.ส.ศ.
1. (ก) จุดเด่นของเอ็กโซโดมีอะไรบ้าง? (ข) เคยมีการเรียกเอ็กโซโดว่าอย่างไรบ้าง และพระธรรมนี้เป็นเรื่องต่อจากบันทึกใด?
เรื่องราวน่าประทับใจเกี่ยวกับหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่พระยะโฮวาทรงทำคราวเมื่อทรงช่วยไพร่พลที่เรียกตามพระนามของพระองค์ให้พ้นความทุกข์ลำบากจากอียิปต์, การจัดระเบียบชาวยิศราเอลให้เป็นทรัพย์ประเสริฐของพระองค์และเป็น “อาณาจักรแห่งปุโรหิตและ . . . ชนชาติอันบริสุทธิ์,” และการเริ่มต้นแห่งประวัติศาสตร์ของยิศราเอลฐานะเป็นชาติตามระบอบของพระเจ้า—เหล่านี้คือจุดเด่นของพระธรรมเอ็กโซโด. (เอ็ก. 19:6) พระธรรมเล่มนี้ถูกเรียกในภาษาฮีบรูว่า เวเอลʹเลห์ เชโมทʹ ซึ่งหมายความว่า “ต่อไปนี้เป็นลำดับชื่อ” หรือเรียกสั้น ๆ ว่า เชโมทʹ คือ “ลำดับชื่อ” ตามคำขึ้นต้นของพระธรรมนี้. ชื่อในสมัยปัจจุบันมาจากฉบับแปลกรีกเซปตัวจินต์ ที่เรียกพระธรรมนี้ว่าเอ็กʹโซโดส ซึ่งเขียนเป็นภาษาลาตินว่าเอ็กโซดุส หมายความว่า “การออกไป” หรือ “การจากไป.” ที่ว่าเอ็กโซโดเป็นเรื่องราวต่อจากเยเนซิศเห็นได้จากคำขึ้นต้นที่ว่า “ต่อไปนี้” (ตามตัวอักษรคือ “และ”) และจากการกล่าวซ้ำรายชื่อบุตรของยาโคบดังที่ยกมาจากบันทึกที่ละเอียดกว่าในเยเนซิศ 46:8-27.
2. เอ็กโซโดเปิดเผยอะไรเกี่ยวกับพระนามยะโฮวา?
2 พระธรรมเอ็กโซโดเปิดเผยพระนามอันเลอเลิศของพระเจ้าคือ ยะโฮวา ในด้านความรุ่งโรจน์ทั้งสิ้นแห่งความสง่างามและความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของพระนามนั้น. ขณะทรงสำแดงความลึกซึ้งแห่งความหมายของพระนามของพระองค์ พระเจ้าทรงบอกโมเซว่า “เราจะสำแดงว่า เป็น ซึ่งเราจะสำแดงว่า เป็น” และทรงบอกอีกว่า โมเซพึงแจ้งแก่ชนชาติยิศราเอลว่า “เราจะสำแดงว่า เป็น [ฮีบรู: אהיה, เอฮ์เยฮ์ʹ จากคำกริยาฮีบรู ฮายาฮ์ʹ] ได้ใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย.” พระนามยะโฮวา (יהוה, ยฮวฮ) มาจากคำกริยาฮีบรูที่มีรากศัพท์เดียวกันคือ ฮาวาห์ʹ “ให้เป็น” และแท้จริงหมายความว่า “พระองค์ทรงบันดาลให้เป็น.” แน่นอน พระราชกิจอันทรงฤทธิ์และน่าสะพรึงกลัวซึ่งพระองค์จะทรงทำเพื่อพวกยิศราเอลไพร่พลของพระองค์ได้เชิดชูและเสริมแต่งพระนามนั้นด้วยสง่าราศีอันรุ่งโรจน์ ทำให้พระนามนั้นเป็นที่จดจำรำลึก “ตลอดทุกชั่วอายุ” พระนามนี้แหละ ที่จะต้องได้รับความเคารพนับถือตลอดกาล. เป็นประโยชน์มากที่สุดที่เรารู้จักประวัติอันยอดเยี่ยมเกี่ยวกับพระนามนั้น และที่เรานมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว ผู้ทรงประกาศว่า “เราคือยะโฮวา.”a—เอ็ก. 3:14, 15, ล.ม.; 6:6.
3. (ก) เราทราบอย่างไรว่าโมเซเป็นผู้เขียนเอ็กโซโด? (ข) เอ็กโซโดถูกเขียนเมื่อไร และครอบคลุมระยะเวลาใด?
3 โมเซเป็นผู้เขียนพระธรรมเอ็กโซโด ดังเห็นได้จากข้อที่ว่าเอ็กโซโดเป็นเล่มที่สองของเพนทาทุก. เอ็กโซโดเองมีบันทึกไว้สามครั้งว่าโมเซเขียนบันทึกตามพระบัญชาของพระยะโฮวา. (17:14; 24:4; 34:27) ตามที่เวสต์คอตต์ และ ฮอร์ต ผู้คงแก่เรียนด้านคัมภีร์ไบเบิลกล่าว พระเยซูและผู้เขียนพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกได้ยกมากล่าวหรืออ้างถึงเอ็กโซโดมากกว่า 100 ครั้ง เช่นเมื่อพระเยซูตรัสว่า “โมเซได้ให้บัญญัติแก่ท่านทั้งหลายมิใช่หรือ.” เอ็กโซโดถูกเขียนขึ้นในถิ่นทุรกันดารซีนายเมื่อปี 1512 ก.ส.ศ. หนึ่งปีหลังจากลูกหลานของยิศราเอลออกมาจากอียิปต์. เอ็กโซโดครอบคลุมเรื่องราวในระยะเวลา 145 ปี ตั้งแต่โยเซฟสิ้นชีวิตในปี 1657 ก.ส.ศ. จนถึงการตั้งพลับพลานมัสการพระยะโฮวาในปี 1512 ก.ส.ศ.—โย. 7:19; เอ็ก. 1:6; 40:17.
4, 5. หลักฐานทางโบราณคดีอะไรสนับสนุนเรื่องราวในเอ็กโซโด?
4 เมื่อพิจารณาว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเอ็กโซโดเกิดขึ้นเมื่อราว ๆ 3,500 ปีมาแล้ว แต่มีหลักฐานทางโบราณคดีและหลักฐานภายนอกอื่น ๆ จำนวนมากจนน่าแปลกใจซึ่งพิสูจน์ความถูกต้องแม่นยำของบันทึกนั้น. ในเอ็กโซโดมีการใช้ชื่อต่าง ๆ ในภาษาอียิปต์อย่างถูกต้อง และตำแหน่งต่าง ๆ ที่มีกล่าวถึงก็ตรงกับคำจารึกของชาวอียิปต์. โบราณคดีเผยให้ทราบว่าเป็นธรรมเนียมของชาวอียิปต์ที่ยอมให้ชาวต่างชาติอาศัยอยู่ในอียิปต์แต่ให้แยกอยู่ต่างหากจากพวกตน. มีการใช้น้ำในแม่น้ำไนล์สำหรับอาบ ซึ่งทำให้ระลึกถึงว่า ธิดาของฟาโรห์ทรงสรงน้ำที่นั่น. มีการพบอิฐที่ทำด้วยฟางและที่ไม่ใช้ฟาง. นอกจากนั้น ในช่วงที่อียิปต์รุ่งเรือง พวกนักมายาการมีฐานะสำคัญ.—เอ็ก. 8:22; 2:5; 5:6, 7, 18; 7:11.
5 อนุสาวรีย์ต่าง ๆ แสดงว่า ฟาโรห์ทั้งหลายได้นำขบวนรถรบของตนเข้าสู่การสัประยุทธ์ด้วยตนเอง และพระธรรมเอ็กโซโดชี้ให้เห็นว่า ฟาโรห์ในสมัยโมเซได้ปฏิบัติตามธรรมเนียมนี้ด้วย. ท่านต้องอัปยศอดสูมากเสียจริง ๆ! แต่เหตุใดบันทึกโบราณของอียิปต์ไม่กล่าวถึงการที่ชาวยิศราเอลพำนักในอียิปต์ชั่วคราว หรือไม่กล่าวถึงความหายนะที่เกิดแก่อียิปต์? โบราณคดีแสดงว่า เป็นธรรมเนียมที่ราชวงศ์ใหม่ในอียิปต์จะลบทุกเรื่องที่ไม่ให้การสรรเสริญเยินยอออกจากบันทึกก่อน ๆ. พวกเขาไม่เคยบันทึกความพ่ายแพ้อันน่าอัปยศไว้เลย. ภัยพิบัติที่เกิดแก่พระต่าง ๆ ของอียิปต์—เช่น เทพเจ้าแห่งแม่น้ำไนล์, เทพเจ้ากบ, และสุริยเทพ—ซึ่งทำให้พระเทียมเท็จเหล่านี้เสื่อมความน่านับถือและแสดงว่าพระยะโฮวาทรงเป็นองค์สูงสุด คงไม่เหมาะจะบันทึกไว้ในพงศาวดารของชาติที่เย่อหยิ่ง.—14:7-10; 15:4.b
6. โดยทั่วไปมีการระบุว่า การตั้งค่ายในตอนแรก ๆ ของชาวยิศราเอลเป็นสถานที่ใดบ้าง?
6 งานเลี้ยงแกะที่โมเซทำกับยิธโร 40 ปีทำให้โมเซคุ้นเคยกับสภาพการดำรงชีวิตรวมทั้งแหล่งน้ำและอาหารในแถบนั้น ดังนั้นจึงทำให้ท่านมีคุณสมบัติจะนำหน้าการอพยพ. เส้นทางที่แน่ชัดของการอพยพไม่อาจสืบสาวร่องรอยได้แน่นอนในทุกวันนี้ เนื่องจากหลายสถานที่ซึ่งมีกล่าวถึงในบันทึกเรื่องราวนี้ไม่อาจกำหนดตำแหน่งได้แน่นอน. แต่มาราห์ (มารา) ซึ่งเป็นที่ตั้งค่ายแห่งหนึ่งในตอนแรก ๆ ในคาบสมุทรซีนายนั้นมักถูกระบุว่าเป็นที่เดียวกับเอน ฮาววารา ซึ่งอยู่ห่างจากสุเอซในปัจจุบัน 80 กิโลเมตรค่อนไปทางตะวันออกเฉียงใต้. เอลิม ที่ตั้งค่ายแห่งที่สอง ถูกระบุตามที่บอกเล่าต่อกันมาว่าเป็นที่เดียวกับ วาดี การานเดล ซึ่งอยู่ห่างจากสุเอซราว 88 กิโลเมตรค่อนไปทางตะวันออกเฉียงใต้. น่าสนใจ สถานที่นี้ในปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นแหล่งน้ำที่มีพืชผักและต้นปาล์ม ทำให้ระลึกถึงตำบลเอลิมในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งมี “บ่อน้ำพุสิบสองบ่อ, มีต้นอินทผลัมเจ็ดสิบต้น.”c อย่างไรก็ดี ความน่าเชื่อถือของบันทึกของโมเซไม่ได้อาศัยการยืนยันของพวกนักโบราณคดีเกี่ยวกับสถานที่ต่าง ๆ ตามเส้นทางอพยพนั้น.—15:23, 27, ฉบับแปลใหม่.
7. พยานหลักฐานอื่นอะไร ซึ่งรวมถึงการสร้างพลับพลาด้วย ที่ยืนยันว่าเอ็กโซโดได้รับการเขียนด้วยการดลใจ?
7 บันทึกเกี่ยวกับการสร้างพลับพลาบนที่ราบหน้าภูเขาซีนายสอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น. ผู้คงแก่เรียนคนหนึ่งกล่าวว่า “ด้วยรูปแบบ, โครงสร้าง, และวัสดุ พลับพลานั้นนับว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวงกับถิ่นทุรกันดาร. ไม้ที่ใช้เป็นโครงก็มีมากมายที่นั่น.”d พยานหลักฐานกองโตนอกพระคัมภีร์ ไม่ว่าในด้านชื่อ, ขนบธรรมเนียมประเพณี, ศาสนา, สถานที่, สภาพทางภูมิศาสตร์, หรือวัสดุต่าง ๆ ล้วนแต่ยืนยันบันทึกที่มีขึ้นโดยการดลใจในเอ็กโซโด ซึ่งบัดนี้มีอายุเกือบ 3,500 ปีแล้ว.
8. มีการแสดงให้เห็นอย่างไรว่าเอ็กโซโดเกี่ยวพันกับส่วนอื่น ๆ ของพระคัมภีร์ในฐานะเป็นพระธรรมที่มีขึ้นโดยการดลใจและเป็นประโยชน์?
8 ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลคนอื่น ๆ ได้กล่าวถึงเอ็กโซโดเป็นประจำ ซึ่งแสดงถึงความสำคัญและคุณค่าในเชิงพยากรณ์ของพระธรรมเล่มนี้. อีกกว่า 900 ปีหลังจากนั้น ยิระมะยาได้เขียนเกี่ยวกับ “พระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ใหญ่ยิ่งและทรงฤทธิ์ พระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์จอมโยธา” ที่ทรงดำเนินการเพื่อนำพวกยิศราเอลไพร่พลของพระองค์ออกจากอียิปต์ “ด้วยหมายสำคัญและการอัศจรรย์และด้วยพระหัตถ์เข้มแข็งและพระกรที่เหยียดออกและด้วยความสยดสยองยิ่งนัก.” (ยิระ. 32:18-21, ฉบับแปลใหม่) อีก 1,500 กว่าปีต่อมา ซะเตฟาโนได้ใช้เรื่องราวส่วนใหญ่จากพระธรรมเอ็กโซโด เมื่อให้คำพยานอันเร้าใจซึ่งทำให้ท่านต้องพลีชีวิตเพื่อความเชื่อ. (กิจ. 7:17-44) มีกล่าวถึงชีวิตของโมเซเพื่อเป็นตัวอย่างด้านความเชื่อสำหรับพวกเราไว้ในเฮ็บราย 11:23-29 และเปาโลกล่าวอ้างอิงถึงเอ็กโซโดในที่อื่นบ่อย ๆ ในการให้ตัวอย่างและคำเตือนสำหรับพวกเราในทุกวันนี้. (กิจ. 13:17; 1 โก. 10:1-4, 11, 12; 2 โก. 3:7-16) ทั้งหมดนี้ช่วยเราให้เข้าใจว่าส่วนต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวพันกันอย่างไร โดยแต่ละตอนมีส่วนเปิดเผยพระประสงค์ของพระยะโฮวาอย่างที่เป็นประโยชน์.
เนื้อเรื่องในเอ็กโซโด
9. โมเซถือกำเนิดและได้รับการเลี้ยงดูภายใต้สภาพการณ์เช่นไร?
9 พระยะโฮวาทรงมอบหมายหน้าที่แก่โมเซ ทรงเน้นพระนามของพระองค์เองให้เป็นที่จดจำรำลึก (1:1–4:31). หลังจากบอกชื่อบุตรทั้งหลายของยิศราเอลที่ได้มายังอียิปต์ จากนั้นเอ็กโซโดก็บันทึกเรื่องความตายของโยเซฟ. ต่อมากษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองอียิปต์. เมื่อท่านเห็นว่าพวกยิศราเอล “ทวีมากขึ้น และมีกำลังมากทีเดียว” ท่านจึงใช้มาตรการกดขี่ซึ่งรวมทั้งการบังคับให้ทำงานหนัก และพยายามลดจำนวนประชากรชายของยิศราเอลโดยสั่งฆ่าเด็กชายที่เพิ่งคลอดทุกคน. (1:7, ฉบับแปลใหม่) ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้เองที่ชาวยิศราเอลคนหนึ่งในตระกูลเลวีให้กำเนิดบุตรชาย. เด็กคนนี้เป็นบุตรคนที่สามในครอบครัว. พออายุได้สามเดือน มารดาเอาบุตรใส่ตะกร้าพาไพรัสซ่อนไว้ในกอปรือริมฝั่งแม่น้ำไนล์. ราชธิดาของฟาโรห์ได้มาพบเข้าและนางรู้สึกชอบเด็กชายคนนี้จึงรับเลี้ยงเขา. มารดาของเขาเองได้เป็นแม่นม และยังผลให้เขาได้เติบโตขึ้นในบ้านของชาวยิศราเอล. ภายหลังเขาถูกนำมาอยู่ในราชสำนักของฟาโรห์และได้ชื่อว่าโมเซ ซึ่งหมายถึง “ฉุดขึ้นมา [คือ ช่วยให้รอดจากน้ำ].”—เอ็ก. 2:10; กิจ. 7:17-22.
10. เหตุการณ์อะไรบ้างนำไปสู่การมอบหมายให้โมเซทำงานรับใช้พิเศษ?
10 โมเซผู้นี้สนใจในสวัสดิภาพของชนยิศราเอลเพื่อนร่วมชาติของตน. โมเซฆ่าชาวอียิปต์คนหนึ่งที่ทำทารุณชาวยิศราเอล. ผลก็คือ โมเซจำต้องหนี และจึงได้มายังแผ่นดินมิดยาน. ที่นั่นท่านแต่งงานกับซิพโพราบุตรสาวของยิธโร ปุโรหิตแห่งมิดยาน. ต่อมาโมเซมีบุตรชายสองคนชื่อเฆระโซมและอะลีเอเซร. แล้วเมื่ออายุ 80 ปี หลังจากที่ได้ใช้เวลา 40 ปีในถิ่นทุรกันดาร โมเซได้รับมอบหมายจากพระยะโฮวาให้ทำงานรับใช้พิเศษเพื่อทำให้พระนามของพระยะโฮวาเป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์. วันหนึ่งขณะที่โมเซเลี้ยงฝูงสัตว์ของยิธโรใกล้ภูเขาโฮเรบ “ภูเขาของพระเจ้า [“เที่ยงแท้,” ล.ม.]” โมเซเห็นพุ่มไม้มีไฟลุกโชนอยู่แต่มิได้ไหม้ไป. เมื่อเข้าไปตรวจดู ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระยะโฮวาตรัสกับท่าน แจ้งให้ท่านทราบว่าพระเจ้าทรงประสงค์จะพาพลไพร่ของพระองค์คือ “ชาติยิศราเอลออกจากประเทศอายฆุบโต.” (เอ็ก. 3:1, 10) โมเซจะถูกใช้เป็นเครื่องมือของพระยะโฮวาในการปลดปล่อยชนยิศราเอลจากการเป็นทาสชาวอียิปต์.—กิจ. 7:23-35.
11. บัดนี้พระยะโฮวาทรงทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่รู้จักในความหมายพิเศษอะไร?
11 แล้วโมเซถามว่าท่านจะต้องชี้แจงกับชนยิศราเอลอย่างไรว่าพระเจ้าคือใคร. ตอนนี้แหละเป็นครั้งแรกที่พระยะโฮวาทรงแจ้งให้ทราบความหมายที่แท้จริงของพระนามของพระองค์ โดยเชื่อมโยงพระนามนั้นกับพระประสงค์เฉพาะอย่างของพระองค์และทรงตั้งพระนามนั้นไว้เป็นอนุสรณ์. “เจ้าจงไปบอกชนชาติยิศราเอลว่า ‘เราจะสำแดงว่า เป็น ได้ใช้ข้าพเจ้ามาหาท่าน.’ . . . ยะโฮวาพระเจ้าของบรรพบุรุษของเจ้า: คือพระเจ้าของอับราฮาม, ยิศฮาค, และยาโคบ ได้ใช้ข้าพเจ้ามาหาท่าน.” พระนามของพระองค์ ยะโฮวา ระบุพระองค์ว่าเป็นผู้นั้นแหละที่จะทำให้พระประสงค์ของพระองค์อันเกี่ยวกับไพร่พลที่เรียกตามพระนามของพระองค์นั้นสำเร็จ. สำหรับไพร่พลเหล่านี้ ซึ่งเป็นลูกหลานของอับราฮาม พระองค์จะทรงประทานแผ่นดินที่ทรงสัญญาไว้กับบรรพบุรุษของเขาให้ “ซึ่งเป็นแผ่นดินบริบูรณ์ไปด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง.”—เอ็ก. 3:14, 15, 17, ล.ม.
12. พระยะโฮวาทรงชี้แจงอะไรกับโมเซเกี่ยวกับการปลดปล่อยชาวยิศราเอล และประชาชนยอมรับหมายสำคัญต่าง ๆ อย่างไร?
12 พระยะโฮวาทรงชี้แจงกับโมเซว่า กษัตริย์แห่งอียิปต์จะไม่ยอมปล่อยพวกยิศราเอลไปเป็นอิสระ แต่พระองค์จะต้องโจมตีอียิปต์ด้วยการอัศจรรย์ทั้งหลายของพระองค์เสียก่อน. โมเซจะมีอาโรนพี่ชายของตนเป็นผู้พูดแทน แล้วทั้งสองได้รับหมายสำคัญสามประการเพื่อจะสำแดงให้ชาวยิศราเอลมั่นใจว่า เขาทั้งสองมาในนามของพระยะโฮวา. ขณะที่เดินทางไปอียิปต์ บุตรชายของโมเซจำต้องได้รับสุหนัตเพื่อป้องกันไม่ให้คนในครอบครัวต้องเสียชีวิต ซึ่งเตือนใจโมเซให้ระลึกถึงข้อเรียกร้องของพระยะโฮวา. (เย. 17:14) โมเซและอาโรนเรียกชุมนุมผู้เฒ่าผู้แก่ของชนยิศราเอลและแจ้งให้พวกเขาทราบว่าพระยะโฮวาทรงประสงค์จะพาพวกเขาออกจากอียิปต์และนำไปยังแผ่นดินแห่งคำสัญญา. โมเซและอาโรนสำแดงหมายสำคัญ และประชาชนก็เชื่อ.
13. การที่โมเซเผชิญหน้ากับฟาโรห์ครั้งแรกมีผลอย่างไรบ้าง?
13 ภัยพิบัติแก่อียิปต์ (5:1–10:29). ตอนนี้โมเซและอาโรนเข้าเฝ้าฟาโรห์และประกาศว่า พระยะโฮวาพระเจ้าของยิศราเอลได้ตรัสว่า “จงปล่อยพลไพร่ของเราให้ไป.” ฟาโรห์ผู้ยโสตอบอย่างดูถูกดูหมิ่นว่า “พระยะโฮวานั้นเป็นผู้ใดเล่า, ที่เราจะต้องฟังคำของท่าน, และปล่อยชนชาติยิศราเอลไป. เราไม่รู้จักพระยะโฮวา, และยิ่งกว่านั้นเราจะไม่ปล่อยชนชาติยิศราเอลให้ไปเลย.” (5:1, 2) แทนที่จะปล่อยพวกยิศราเอลเป็นอิสระ ฟาโรห์กลับบังคับพวกเขาให้ทำงานหนักขึ้นอีก. อย่างไรก็ตาม พระยะโฮวาทรงย้ำคำสัญญาของพระองค์เรื่องการช่วยให้รอด โดยผูกโยงเรื่องนี้อีกครั้งเข้ากับการทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์ดังนี้: “เราคือยะโฮวา . . . เราจะพิสูจน์ว่าเป็นพระเจ้าแก่เจ้าจริง . . . เราคือยะโฮวา.”—6:6-8, ล.ม.
14. ชาวอียิปต์ถูกทำให้จำต้องยอมรับ “กิจการแห่งนิ้วพระหัตถ์พระเจ้า” โดยวิธีใด?
14 หมายสำคัญที่โมเซสำแดงต่อหน้าฟาโรห์โดยให้อาโรนโยนไม้เท้าของท่านลงให้กลายเป็นงูใหญ่นั้นพวกนักบวชที่ทำมายาการของอียิปต์ก็ทำเลียนแบบ. แม้ว่างูเหล่านั้นของพวกเขาถูกงูใหญ่ของอาโรนกลืนกิน แต่ใจฟาโรห์ยังคงแข็งกระด้าง. ถึงตอนนี้ พระยะโฮวาทรงเริ่มนำภัยพิบัติร้ายแรงสิบประการมาเหนืออียิปต์ทีละอย่าง. ทีแรก แม่น้ำไนล์และแหล่งน้ำทั้งหลายในอียิปต์กลายเป็นเลือด. ครั้นแล้วภัยพิบัติจากฝูงกบก็เกิดแก่พวกเขา. ภัยพิบัติสองประการนี้ พวกนักบวชที่ทำมายาการก็ทำเลียนแบบ แต่ภัยพิบัติประการที่สามคือฝูงริ้นที่มาตอมมนุษย์และสัตว์นั้นพวกเขาเลียนแบบไม่ได้. พวกนักบวชแห่งอียิปต์ต้องยอมรับว่าเหตุนี้เป็น “กิจการแห่งนิ้วพระหัตถ์พระเจ้า.” อย่างไรก็ตาม ฟาโรห์จะไม่ปล่อยพวกยิศราเอลไป.—8:19.
15. ภัยพิบัติประการใดบ้างซึ่งเกิดเฉพาะแก่ชาวอียิปต์เท่านั้น และเหตุผลเดียวที่พระยะโฮวาทรงยอมให้ฟาโรห์อยู่ต่อไปคืออะไร?
15 ภัยพิบัติสามประการแรกเกิดแก่ทั้งพวกอียิปต์และพวกยิศราเอลเหมือนกัน แต่นับจากภัยพิบัติที่สี่เป็นต้นไป เฉพาะชาวอียิปต์เท่านั้นที่ได้รับความลำบาก ส่วนพวกยิศราเอลอยู่ต่างหากในความคุ้มครองของพระยะโฮวา. ภัยพิบัติประการที่สี่คือเหลือบฝูงใหญ่. แล้วก็เกิดโรคระบาดร้ายแรงแก่ปศุสัตว์ทั้งหมดในอียิปต์ ตามด้วยฝีและตุ่มพองซึ่งเกิดขึ้นที่ตัวคนและสัตว์ ถึงขนาดที่พวกนักบวชที่ทำมายาการไม่อาจยืนต่อหน้าโมเซได้. พระยะโฮวาทรงปล่อยให้ใจของฟาโรห์แข็งกระด้างอีกโดยตรัสแก่ฟาโรห์ผ่านทางโมเซว่า “แต่เหตุที่เรายังให้ฟาโรดำรงชีวิตอยู่ก็เพื่อจะให้ฟาโรเห็นฤทธานุภาพของเรา, และเพื่อนามของเราจะได้ลือกระฉ่อนไปทั่วโลก.” (9:16) ครั้นแล้วโมเซแจ้งให้ฟาโรห์ทราบถึงภัยพิบัติถัดไปคือ “จะให้ลูกเห็บตกลงมาอย่างหนัก” และตอนนี้แหละคัมภีร์ไบเบิลมีบันทึกเป็นครั้งแรกว่า ข้าราชการบางคนของฟาโรห์เกรงกลัวพระดำรัสของพระยะโฮวาและปฏิบัติตาม. ภัยพิบัติประการที่แปดและเก้าตามมาอย่างรวดเร็ว คือการบุกรุกของตั๊กแตนฝูงใหญ่และความมืดทึบ และทำให้ฟาโรห์ที่แข็งกระด้างและเกรี้ยวกราดขู่โมเซว่า โมเซจะต้องตายถ้าท่านพยายามมาเฝ้าฟาโรห์อีก.—9:18, ฉบับแปลใหม่.
16. พระยะโฮวาทรงบัญชาอะไรเกี่ยวกับปัศคาและเทศกาลกินขนมปังไม่ใส่เชื้อ?
16 ปัศคาและการประหารบุตรหัวปี (11:1–13:16). บัดนี้ พระยะโฮวาตรัสว่า “เราจะนำมหาภัยมายังกษัตริย์ฟาโรและประเทศอายฆุบโตอีกอย่างหนึ่ง” นั่นคือความตายของบุตรหัวปี. (11:1) พระองค์ทรงกำหนดให้เดือนอาบิบเป็นเดือนแรกของปีสำหรับพวกยิศราเอล. ในวันที่ 10 พวกเขาต้องเอาแกะหรือแพะตัวผู้อายุหนึ่งปีปราศจากพิการมาตัวหนึ่งและให้ฆ่าในวันที่ 14. เย็นวันนั้นพวกเขาจะต้องเอาเลือดของสัตว์นั้นประพรมที่เสาประตูทั้งสองข้างและที่คานประตู และพวกเขาต้องอยู่ในเรือนและกินเนื้อสัตว์ปิ้งซึ่งไม่ได้ทำให้กระดูกแตกหักสักท่อนเดียว. ต้องไม่มีเชื้อขนมปังในบ้าน, และพวกเขาต้องรีบกิน, แต่งตัวและเตรียมพร้อมจะเดินทาง. ปัศคานี้ควรถือเป็นอนุสรณ์ เป็นเทศกาลฉลองแด่พระยะโฮวาตลอดเชื้อวงศ์ของเขา. ถัดจากปัศคานี้จะต้องถือเทศกาลกินขนมปังไม่ใส่เชื้อเป็นเวลาเจ็ดวัน. พวกเขาจะต้องสอนลูกหลานให้เข้าใจถ่องแท้ถึงความหมายของเทศกาลทั้งหมดนี้. (ต่อมาภายหลัง พระยะโฮวาทรงให้คำสั่งเพิ่มเติมอันเกี่ยวกับเทศกาลเลี้ยงเหล่านี้ และพระองค์ทรงบัญชาว่า บุตรชายหัวปีและลูกสัตว์หัวปีตัวผู้ของชาวยิศราเอล จะต้องจัดไว้ต่างหากสำหรับพระองค์.)
17. เหตุการณ์อะไรบ้างที่ทำให้คืนนั้นเป็นคืนที่พึงจดจำรำลึก?
17 พวกยิศราเอลทำตามที่พระยะโฮวาทรงบัญชา. ครั้นแล้วภัยพิบัติก็จู่โจม! ณ เวลาเที่ยงคืนพระยะโฮวาทรงประหารบุตรหัวปีทั้งสิ้นของชาวอียิปต์ แต่ทรงเว้นผ่านและช่วยบุตรหัวปีของยิศราเอลให้รอด. ฟาโรห์ตะโกนว่า “จงยกออกไปจากประชากรของเราเถิด.” แล้ว “ชาวอียิปต์ก็เร่งรัดให้ชนชาตินั้นออกไปจากประเทศโดยเร็ว.” (12:31, 33, ฉบับแปลใหม่) พวกยิศราเอลไม่ได้ไปมือเปล่า เพราะพวกเขาขอและได้รับเครื่องเงินและทองรวมทั้งเสื้อผ้าจากชาวอียิปต์. พวกเขาเดินออกจากอียิปต์เป็นขบวนรบ มีชายฉกรรจ์ 600,000 คน พร้อมกับครอบครัวของเขาและฝูงชนชาติอื่นที่ไม่ใช่ชาวยิศราเอลจำนวนมากมาย พร้อมทั้งฝูงสัตว์จำนวนมาก. ทั้งนี้เป็นตอนสิ้นสุดระยะเวลา 430 ปีตั้งแต่อับราฮามข้ามแม่น้ำยูเฟรทิสเพื่อเข้าสู่แผ่นดินคะนาอัน. นั่นเป็นคืนที่พึงจดจำรำลึกอย่างแท้จริง.—เอ็ก. 12:40, เชิงอรรถที่สองในฉบับแปลโลกใหม่พร้อมด้วยข้ออ้างอิง; ฆลา. 3:17.
18. การทำให้พระนามของพระยะโฮวาเป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์ในขั้นสุดยอดเช่นไรซึ่งเกิดขึ้นที่ทะเลแดง?
18 พระนามของพระยะโฮวาเป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์ที่ทะเลแดง (13:17–15:21). โดยนำทางพวกยิศราเอลด้วยเสาเมฆในตอนกลางวันและด้วยเสาไฟในตอนกลางคืน พระยะโฮวาทรงพาพวกเขาออกมาทางเมืองซุโคธ. ฟาโรห์เกิดมีใจแข็งกระด้างอีก จึงไล่ตามพวกยิศราเอลไปโดยใช้รถรบที่คัดเลือกไว้และฟาโรห์คิดว่าพวกยิศราเอลจนตรอกแล้วที่ทะเลแดง. โมเซทำให้ประชาชนมั่นใจอีกครั้งโดยกล่าวว่า “อย่ากลัวเลย, จงยืนอยู่นิ่ง ๆ, จะได้เห็นความรอดมาแต่พระยะโฮวา, ซึ่งพระองค์จะทรงประทานแก่เจ้าทั้งหลายในวันนี้.” (14:13) ครั้นแล้ว พระยะโฮวาทรงบันดาลให้น้ำทะเลไหลย้อน เกิดเป็นช่องทางหนีที่โมเซพาพวกยิศราเอลไปถึงฝั่งตะวันออกอย่างปลอดภัย. กองทัพอันเกรียงไกรของฟาโรห์รีบไล่ตามไป แล้วก็ติดกับและจมน้ำตายเมื่อน้ำไหลกลับมา. ช่างเป็นการทำให้พระนามของพระยะโฮวาเป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์ในขั้นสุดยอดจริง ๆ! นับเป็นเหตุให้พระองค์ปีติยินดีอย่างยิ่ง! ความปีติยินดีเช่นนี้จึงมีการแสดงให้เห็นในเพลงแห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่บทแรกในคัมภีร์ไบเบิลดังนี้: “ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวา, เพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างสง่าผ่าเผย; พระองค์ได้ทรงผลักม้าและพลม้าลงในทะเล. พระยะโฮวาเป็นกำลังและเป็นกำเนิดบทเพลงสรรเสริญแห่งข้าพเจ้า, พระองค์เป็นผู้ช่วยให้ข้าพเจ้ารอด . . . พระยะโฮวาจะทรงครอบครองอยู่เป็นนิตย์นิรันดร์.”—15:1, 2, 18.
19. เกิดเหตุการณ์อะไรบ้างระหว่างการเดินทางไปยังซีนาย?
19 พระยะโฮวาทรงทำสัญญาไมตรีโดยทางพระบัญญัติที่ซีนาย (15:22–34:35). ชนยิศราเอลเดินทางเป็นระยะ ๆ ตามการทรงนำของพระยะโฮวามุ่งไปยังซีนาย ภูเขาของพระเจ้าเที่ยงแท้. เมื่อประชาชนบ่นเรื่องน้ำขมที่ตำบลมาราห์ พระองค์ก็บันดาลให้น้ำขมกลายเป็นน้ำจืดสำหรับพวกเขา. อีกครั้ง เมื่อพวกเขาบ่นเรื่องไม่มีเนื้อและขนมปังกิน พระองค์ก็ทรงจัดให้มีนกกระทาสำหรับเขาในตอนเย็นและทรงประทาน “มานา” อันมีรสหวาน ลักษณะเหมือนน้ำค้างตามพื้นดินในเวลาเช้า. มานานี้จะเป็นอาหารสำหรับพวกยิศราเอลนาน 40 ปีต่อจากนี้ไป. นอกจากนั้น เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่พระยะโฮวาทรงกำหนดให้มีการถือรักษาวันหยุดพัก หรือซะบาโต โดยให้พวกยิศราเอลเก็บมานามากเป็นสองเท่าในวันที่หก และไม่ให้มานาตกในวันที่เจ็ด. พระองค์ยังทรงบันดาลน้ำให้พวกเขาที่ระพีดีมและทรงต่อสู้ชาติอะมาเล็กเพื่อพวกเขาด้วย ทรงให้โมเซบันทึกคำพิพากษาของพระองค์ที่ว่า ชาติอะมาเล็กจะถูกกวาดล้างโดยสิ้นเชิง.
20. มีการจัดระเบียบให้ดีขึ้นโดยวิธีใด?
20 ครั้นแล้ว ยิธโรพ่อตาของโมเซพาภรรยาและบุตรชายสองคนของโมเซมา. ตอนนี้เป็นเวลาจะจัดระเบียบในชาติยิศราเอลให้ดีขึ้น และยิธโรมีส่วนช่วยให้คำแนะนำบางอย่างที่ใช้ได้ผลดี. เขาแนะนำโมเซไม่ให้แบกภาระทั้งหมดเสียเอง แต่ให้แต่งตั้งผู้ชายที่มีความสามารถและเกรงกลัวพระเจ้าให้ทำการตัดสินความของประชาชนในฐานะหัวหน้าของพันคนบ้าง, ร้อยคนบ้าง, ห้าสิบคนบ้าง, และสิบคนบ้าง. โมเซทำตามนั้น ดังนั้นตอนนี้ก็มีแต่กรณียาก ๆ เท่านั้นที่มาถึงโมเซ.
21. ต่อจากนั้น พระยะโฮวาสัญญาอะไร แต่ภายใต้เงื่อนไขอะไร?
21 ภายในสามเดือนหลังจากการอพยพ พวกยิศราเอลได้มาตั้งค่ายในถิ่นทุรกันดารซีนาย. ที่นั่นพระยะโฮวาทรงสัญญาว่า “เหตุฉะนี้ถ้าเจ้าทั้งหลายจะฟังถ้อยคำของเราจริง ๆ, และรักษาคำสัญญาไมตรีของเราไว้, เจ้าจะเป็นทรัพย์ประเสริฐของเรายิ่งกว่า [“จากท่ามกลาง,” ล.ม.] ชาติทั้งปวง: เพราะเราเป็นเจ้าของโลกทั้งสิ้น: เจ้าทั้งหลายจะเป็นอาณาจักรแห่งปุโรหิต, และจะเป็นชนชาติอันบริสุทธิ์สำหรับเรา.” ประชาชนปฏิญาณว่า “สิ่งสารพัตรที่พระยะโฮวาตรัสนั้นข้าพเจ้าทั้งหลายจะกระทำตาม.” (19:5, 6, 8) หลังจากช่วงเวลาที่พวกยิศราเอลชำระตัวให้บริสุทธิ์ พระยะโฮวาเสด็จลงมาบนภูเขานั้นในวันที่สาม ทำให้ภูเขามีควันและสั่นสะเทือน.
22. (ก) มีบัญญัติอะไรบ้างในพระบัญญัติสิบประการ? (ข) กฎเกณฑ์การตัดสินความอะไรอื่นอีกที่ทรงตั้งไว้สำหรับชาติยิศราเอล และชนชาตินั้นได้ถูกนำเข้ามามีส่วนในสัญญาไมตรีเกี่ยวกับพระบัญญัติโดยวิธีใด?
22 ครั้นแล้วพระยะโฮวาทรงประทานสิบถ้อยคำ หรือพระบัญญัติสิบประการ. บัญญัติเหล่านี้เน้นเรื่องความเลื่อมใสโดยเฉพาะต่อพระยะโฮวา, สั่งห้ามการมีพระเจ้าอื่น ๆ, การนมัสการรูปเคารพ, และการออกพระนามของพระยะโฮวาเปล่า ๆ. พวกยิศราเอลได้รับพระบัญชาให้ทำงานหกวันแล้วถือวันซะบาโตสำหรับพระยะโฮวา และให้เกียรติแก่บิดาและมารดา. กฎหมายที่ห้ามการฆ่าคน, การล่วงประเวณี, การขโมย, การเป็นพยานเท็จ, และการโลภทำให้พระบัญญัติสิบประการนั้นครบถ้วน. จากนั้น พระยะโฮวาทรงตั้งกฎเกณฑ์ในการตัดสินความไว้แก่พวกเขา คำบัญชาสำหรับชาติใหม่ซึ่งครอบคลุมเรื่องทาส, การทำร้ายร่างกาย, ความเสียหาย, การชดใช้, การลักทรัพย์, ความเสียหายจากอัคคีภัย, การนมัสการเท็จ, การล่อลวงหญิง, การข่มเหงแม่ม่ายและลูกกำพร้า, เงินกู้, และเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย. พระองค์ทรงประทานกฎหมายเกี่ยวกับซะบาโตและกำหนดเทศกาลประจำปีสามอย่างไว้สำหรับการนมัสการพระยะโฮวา. ครั้นแล้ว โมเซจึงเขียนพระคำของพระยะโฮวาไว้ มีการถวายเครื่องบูชาและประพรมเลือดครึ่งหนึ่งบนแท่นบูชา. มีการอ่านหนังสือสัญญาไมตรีให้ประชาชนฟัง และหลังจากพวกเขายืนยันอีกครั้งถึงความเต็มใจจะเชื่อฟัง โมเซเอาเลือดที่เหลือพรมหนังสือและผู้คนทั้งปวง. ด้วยวิธีนี้ พระยะโฮวาทรงทำสัญญาไมตรีเกี่ยวกับพระบัญญัติกับยิศราเอลโดยมีโมเซเป็นผู้กลาง.—เฮ็บ. 9:19, 20.
23. บนภูเขานั้นพระยะโฮวาทรงให้คำบัญชาอะไรบ้างแก่โมเซ?
23 จากนั้น โมเซขึ้นไปเฝ้าพระยะโฮวาและรับพระบัญญัติบนภูเขา. เป็นเวลา 40 วันสี่สิบคืนที่โมเซได้รับคำบัญชาหลายประการเกี่ยวกับวัสดุสำหรับพลับพลา, รายละเอียดของเครื่องตกแต่งต่าง ๆ, ข้อกำหนดที่ละเอียดสำหรับพลับพลาเอง, และแบบเครื่องแต่งกายของปุโรหิต, ซึ่งรวมทั้งแผ่นทองคำบริสุทธิ์ซึ่งมีคำจารึกว่า “ความบริสุทธิ์เป็นของพระยะโฮวา” บนผ้าโพกศีรษะของอาโรน. มีการบอกรายละเอียดเกี่ยวกับการแต่งตั้งและงานรับใช้ของคณะปุโรหิต และโมเซได้รับการเตือนใจว่าซะบาโตจะเป็นหมายสำคัญระหว่างพระยะโฮวากับชาติยิศราเอล “เสมอไป [“จนถึงเวลาที่ไม่มีกำหนด,” ล.ม.]” แล้วโมเซได้รับแผ่นจารึกพระบัญญัติสองแผ่นซึ่งจารึกด้วย ‘นิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า.’—เอ็ก. 28:36, ล.ม.; 31:16-18.
24. (ก) ประชาชนทำบาปอะไร และผลเป็นอย่างไร? (ข) ต่อจากนั้นพระยะโฮวาทรงเผยพระนามและสง่าราศีของพระองค์แก่โมเซอย่างไร?
24 ระหว่างนั้นประชาชนรู้สึกทนรอไม่ไหวจึงขอให้อาโรนสร้างพระขึ้นมาเพื่อนำหน้าพวกเขา. อาโรนทำตามโดยสร้างรูปลูกวัวทองคำซึ่งประชาชนนมัสการรูปนั้นใน “เทศกาลเลี้ยงถวายพระยะโฮวา” ตามที่ท่านเรียก. (32:5) พระยะโฮวาตรัสว่าจะล้างผลาญชนยิศราเอล แต่โมเซวิงวอนพระองค์เพื่อพวกเขา แม้ว่าท่านได้โยนแผ่นศิลาทั้งสองแตกด้วยโทสะที่พลุ่งขึ้น. ตอนนั้นบุตรหลานเลวียืนอยู่ฝ่ายการนมัสการบริสุทธิ์ ฆ่าฟันคนสำมะเลเทเมาถึง 3,000 คน. พระยะโฮวาก็ทรงบันดาลให้เกิดภัยพิบัติแก่พวกเขาด้วย. หลังจากที่โมเซอ้อนวอนพระเจ้าขอให้ทรงนำพวกเขาต่อไป โมเซได้รับแจ้งว่าท่านจะได้เห็นสง่าราศีของพระองค์แวบหนึ่งและได้รับคำสั่งให้สกัดศิลาอีกสองแผ่นซึ่งพระยะโฮวาจะทรงจารึกพระบัญญัติสิบประการนั้นอีกครั้งหนึ่ง. เมื่อท่านขึ้นภูเขาเป็นครั้งที่สอง พระยะโฮวาทรงประกาศพระนามยะโฮวาต่อท่านขณะที่พระองค์เสด็จผ่านดังนี้: “พระยะโฮวา ๆ พระเจ้าผู้ทรงเมตตากรุณา, ผู้ทรงอดพระทัยได้นาน, และบริบูรณ์ด้วยความดีและความจริง; ผู้ทรงเมตตาต่อมนุษย์ถึงหลายพันชั่วอายุคน.” (34:6, 7) ครั้นแล้วพระองค์ตรัสข้อความแห่งสัญญาไมตรีของพระองค์ และโมเซก็เขียนสัญญาไมตรีนั้นไว้ดังที่เราอ่านได้สมัยนี้ในพระธรรมเอ็กโซโด. เมื่อโมเซลงมาจากภูเขาซีนาย ผิวหน้าของท่านเปล่งแสงเนื่องจากสง่าราศีที่พระยะโฮวาทรงเผยให้เห็น. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงต้องใช้ผ้าคลุมหน้าไว้.—2 โก. 3:7-11.
25. บันทึกกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับพลับพลาและการสำแดงสง่าราศีของพระยะโฮวาอีกครั้ง?
25 การสร้างพลับพลา (35:1–40:38). ต่อมาโมเซเรียกชนยิศราเอลมาประชุมกันแล้วถ่ายทอดคำตรัสของพระยะโฮวาแก่พวกเขา บอกกับพวกเขาว่า คนที่มีความเต็มใจจะมีสิทธิพิเศษในการบริจาคและคนที่มีสติปัญญาจะมีสิทธิพิเศษในการสร้างพลับพลา. ในไม่ช้าโมเซได้รับรายงานว่า “พลไพร่นำของมาถวายเพิ่มเติมจนเกินความต้องการที่จะใช้ในงานนั้น ๆ, ตามซึ่งพระยะโฮวามีรับสั่งให้กระทำ.” (36:5) ภายใต้การดูแลของโมเซพวกช่างซึ่งเปี่ยมด้วยพระวิญญาณของพระยะโฮวาลงมือสร้างพลับพลาพร้อมทั้งเครื่องตกแต่งและทำเครื่องแต่งกายทั้งหมดสำหรับพวกปุโรหิตด้วย. หนึ่งปีหลังจากการอพยพ พลับพลาจึงแล้วเสร็จและตั้งขึ้นในที่ราบหน้าภูเขาซีนาย. พระยะโฮวาทรงสำแดงความพอพระทัยโดยให้เมฆของพระองค์มาปกคลุมพลับพลาประชุมและให้สง่าราศีของพระองค์ปรากฏอยู่เต็มพลับพลานั้น โมเซจึงเข้าไปในพลับพลาไม่ได้. เมฆที่ปกคลุมตอนกลางวันและไฟซึ่งปรากฏตอนกลางคืนเป็นเครื่องหมายแสดงถึงการทรงนำของพระยะโฮวาตลอดการเดินทางของพวกเขา. ตอนนั้นเป็นปี 1512 ก.ส.ศ. และบันทึกในเอ็กโซโดก็จบลงตรงนี้เอง พร้อมกับการที่พระนามของพระยะโฮวาได้รับการยกย่องอย่างรุ่งโรจน์โดยพระราชกิจมหัศจรรย์ทั้งหลายที่พระองค์ทรงทำเพื่อชนชาติยิศราเอล.
เหตุที่เป็นประโยชน์
26. (ก) เอ็กโซโดสร้างความเชื่อในพระยะโฮวาอย่างไร? (ข) ข้ออ้างอิงต่าง ๆ ถึงเอ็กโซโดที่มีในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกเสริมความเชื่อของเราอย่างไร?
26 ในประการสำคัญที่สุด เอ็กโซโดเปิดเผยว่าพระยะโฮวาทรงเป็นผู้ช่วยให้รอด ผู้จัดระเบียบ และผู้ทำให้พระประสงค์อันยอดเยี่ยมของพระองค์สำเร็จองค์ยิ่งใหญ่ และพระธรรมนี้สร้างความเชื่อของเราในพระองค์. ความเชื่อนี้เพิ่มพูนเมื่อเราศึกษาข้ออ้างอิงถึงเอ็กโซโดหลายตอนในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก ซึ่งระบุถึงความสำเร็จเป็นจริงของลักษณะสำคัญ ๆ ในสัญญาไมตรีเกี่ยวกับพระบัญญัติ, คำรับประกันเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย, การจัดเตรียมของพระยะโฮวาเพื่อค้ำจุนไพร่พลของพระองค์, แบบอย่างสำหรับงานบรรเทาทุกข์ของคริสเตียน, คำแนะนำเรื่องการเอาใจใส่บิดามารดา, ข้อเรียกร้องเพื่อได้รับชีวิต, และทัศนคติต่อการลงโทษที่สมควรกับความผิด. ในที่สุดก็มีการสรุปความพระบัญญัติเป็นพระบัญชาสองข้อซึ่งเกี่ยวกับการแสดงความรักต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์.—มัด. 22:32—เอ็ก. 4:5; โย. 6:31-35 และ 2 โก. 8:15—เอ็ก. 16:4, 18; มัด. 15:4 และ เอเฟ. 6:2—เอ็ก. 20:12; มัด. 5:26, 38, 39—เอ็ก. 21:24; มัด. 22:37-40.
27. บันทึกทางประวัติศาสตร์ในเอ็กโซโดเป็นประโยชน์อย่างไรต่อคริสเตียน?
27 ที่เฮ็บราย 11:23-29 เราอ่านเรื่องความเชื่อของโมเซและบิดามารดาของท่าน. โดยความเชื่อท่านออกจากอียิปต์, โดยความเชื่อท่านฉลองปัศคา, และโดยความเชื่อท่านนำชนยิศราเอลผ่านทะเลแดง. พวกยิศราเอลได้รับบัพติสมาเข้าส่วนกับโมเซ อีกทั้งกินอาหารฝ่ายวิญญาณและดื่มเครื่องดื่มฝ่ายวิญญาณ. พวกเขาคอยท่าศิลาฝ่ายวิญญาณ หรือพระคริสต์ แต่กระนั้น พวกเขาไม่ได้รับความพอพระทัยจากพระเจ้า เพราะพวกเขาทดลองพระเจ้าและกลายเป็นคนไหว้รูปเคารพ, คนผิดประเวณี, และคนขี้บ่น. เปาโลอธิบายว่าเรื่องนี้มีความหมายสำหรับคริสเตียนยุคปัจจุบัน: “เหตุการณ์เหล่านี้ได้บังเกิดแก่เขาเป็นตัวอย่างสำหรับผู้อื่น และได้บันทึกไว้แล้วเพื่อจะเตือนสติเราทั้งหลายผู้อยู่ในปัจจุบันนี้, ผู้ซึ่งกำลังอยู่ในกาลสุดปลายของแผ่นดินโลก. เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวมั่นคงดีอยู่แล้วจงระวังให้ดี, กลัวว่าจะหลงผิดไป.”—1 โก. 10:1-12; เฮ็บราย 3:7-13.
28. เงาแห่งพระบัญญัติและลูกแกะปัศคาได้สำเร็จเป็นจริงอย่างไร?
28 ความหมายสำคัญอันลึกซึ้งฝ่ายวิญญาณมากมายของเอ็กโซโด พร้อมกับความสำเร็จผลเชิงพยากรณ์มีบอกไว้ในข้อเขียนของเปาโล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเฮ็บรายบท 9 และ 10. “โดยเหตุที่พระบัญญัตินั้นได้เป็นแต่เงาของสิ่งดีที่จะมาภายหน้า, มิใช่ตัวจริงแห่งของสิ่งนั้นทีเดียว, พระบัญญัตินั้นจะใช้เครื่องบูชาที่เขาถวายทุกปี ๆ เสมอมากระทำให้ผู้ถวายสักการบูชานั้นถึงที่สำเร็จไม่ได้.” (เฮ็บ. 10:1) ดังนั้น เราจึงสนใจจะรู้จักเงาและเข้าใจตัวจริง. พระคริสต์ “ทรงกระทำบูชาเพราะความบาปเพียงหนเดียวซึ่งใช้ได้เป็นนิตย์.” พระองค์ได้รับการพรรณนาว่าเป็น “พระเมษโปดกของพระเจ้า.” กระดูกของ “พระเมษโปดก” นี้ไม่แตกหักสักชิ้นเช่นเดียวกับลูกแกะที่เป็นภาพเล็งถึง. อัครสาวกเปาโลอธิบายว่า “ด้วยว่าพระคริสต์ผู้เป็นปัศคาของเราทั้งหลายได้ถูกฆ่าบูชาเสียแล้ว. เหตุฉะนั้นให้เราทั้งหลายถือปัศคานั้น, มิใช่ด้วยเชื้อเก่าหรือเชื้อของความชั่วร้าย, แต่ด้วยขนมปังที่ไม่มีเชื้อ, คือความสัตย์ซื่อและความจริง.”—เฮ็บ. 10:12; โย. 1:29 และ 19:36—เอ็ก. 12:46; 1 โก. 5:7, 8—เอ็ก. 23:15.
29. (ก) จงบอกข้อแตกต่างระหว่างสัญญาไมตรีเกี่ยวกับพระบัญญัติกับสัญญาไมตรีใหม่. (ข) เครื่องบูชาอะไรที่ยิศราเอลฝ่ายวิญญาณถวายแด่พระเจ้าในขณะนี้?
29 พระเยซูได้มาเป็นผู้กลางแห่งสัญญาไมตรีใหม่ ดังที่โมเซเคยเป็นผู้กลางแห่งสัญญาไมตรีเกี่ยวกับพระบัญญัติ. ข้อแตกต่างระหว่างสัญญาไมตรีสองอย่างนี้มีการอธิบายอย่างชัดเจนโดยอัครสาวกเปาโล ผู้ซึ่งกล่าวถึง “เอกสารที่เขียนด้วยมือ” ที่ได้ถูกลบโดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนหลักทรมาน. พระเยซูผู้คืนพระชนม์ในฐานะมหาปุโรหิตเป็น “ผู้ปฏิบัติในสถานอันบริสุทธิ์และในพลับพลาแท้, ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างไม่ใช่มนุษย์สร้าง.” ปุโรหิตภายใต้พระบัญญัติได้ถวายการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ “ตามแบบและเงาแห่งสิ่งเหล่านั้นที่อยู่ในสวรรค์” ตามอย่างที่โมเซได้ให้ไว้. “แต่ว่า [“พระเยซู,” ล.ม.] ได้ทรงเป็นคนกลางแห่งคำสัญญาไมตรีอันประเสริฐกว่าเก่า, เพราะได้ทรงตั้งขึ้นโดยคำสัญญาอันดีกว่าเก่าเท่าใด บัดนี้พระองค์ก็ได้ตำแหน่งอันเลิศกว่าเก่าเท่านั้น.” สัญญาไมตรีเก่ากลายเป็นสิ่งหมดอายุ และถูกยกเลิกเพราะเป็นประมวลกฎหมายที่นำไปสู่ความตาย. มีการพรรณนาถึงพวกยิวที่ไม่เข้าใจข้อนี้ว่ามีใจแข็งกระด้าง แต่ผู้เชื่อถือซึ่งเข้าใจว่า ยิศราเอลฝ่ายวิญญาณได้มาอยู่ใต้สัญญาไมตรีใหม่ย่อม “ไม่มีผ้าคลุมหน้าก็สะท้อนสง่าราศีของพระยะโฮวาเสมือนกระจก” โดยได้มีคุณวุฒิเพียงพอในฐานะผู้รับใช้แห่งสัญญาไมตรีใหม่. ด้วยสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาด คนเหล่านี้จึงสามารถถวายด้วยตนเองซึ่ง “คำสรรเสริญแด่พระเจ้าเป็นเครื่องบูชาเสมอ กล่าวคือผลแห่งริมฝีปากที่ประกาศพระนามของพระองค์อย่างเปิดเผย.”—โกโล. 2:14, ล.ม.; เฮ็บ. 8:1-6, 13; 2 โก. 3:6-18, ล.ม.; เฮ็บ. 13:15, ล.ม.; เอ็ก. 34:27-35.
30. การช่วยชาวยิศราเอลให้รอดรวมทั้งการเชิดชูพระนามของพระยะโฮวาในอียิปต์สำแดงล่วงหน้าถึงสิ่งใด?
30 พระธรรมเอ็กโซโดยกย่องพระนามของพระยะโฮวาและพระบรมเดชานุภาพของพระองค์ และชี้ไปยังการช่วยให้รอดอันรุ่งโรจน์สำหรับชนชาติคริสเตียนแห่งยิศราเอลฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมีการกล่าวถึงชนเหล่านี้ไว้ว่า “ท่านทั้งหลายเป็นตระกูลที่ทรงเลือกไว้, เป็นพวกปุโรหิตหลวง, เป็นประเทศอันบริสุทธิ์, เป็นพลไพร่ของพระเจ้าเอง, เพื่อท่านทั้งหลายจะได้สำแดงพระบารมีคุณของพระองค์, ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืดเข้าในสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์. เมื่อก่อนท่านทั้งหลายหาเป็นพลไพร่ไม่, แต่บัดนี้ท่านเป็นพลไพร่ของพระเจ้าแล้ว.” ฤทธิ์อำนาจของพระยะโฮวาดังที่แสดงให้เห็นด้วยการรวบรวมยิศราเอลฝ่ายวิญญาณของพระองค์ออกจากโลกเพื่อยกย่องพระนามของพระองค์เป็นการอัศจรรย์ที่ไม่ด้อยไปกว่าฤทธิ์เดชที่พระองค์ทรงสำแดงเพื่อเห็นแก่ไพร่พลของพระองค์ในอียิปต์โบราณ. ด้วยการไว้ชีวิตฟาโรห์เพื่อสำแดงฤทธิ์ของพระองค์และเพื่อพระนามของพระองค์จะได้รับการประกาศ พระยะโฮวาได้ทรงสำแดงล่วงหน้าถึงการให้คำพยานที่ใหญ่โตกว่านั้นมากซึ่งพยานคริสเตียนของพระองค์จะทำให้สำเร็จ.—1 เป. 2:9, 10; โรม 9:17; วิ. 12:17.
31. เอ็กโซโดสำแดงล่วงหน้าถึงอะไรอันเกี่ยวกับราชอาณาจักรและการประทับของพระยะโฮวา?
31 ด้วยเหตุนั้น เราจึงพูดได้โดยอาศัยพระคัมภีร์ว่า ชาติที่ก่อตั้งภายใต้โมเซชี้ถึงชาติใหม่ภายใต้พระคริสต์และชี้ถึงราชอาณาจักรที่จะไม่มีวันถูกสั่นคลอน. โดยคำนึงถึงเรื่องนี้ เราได้รับการสนับสนุนให้ “ถวายการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์แด่พระเจ้า . . . ด้วยความกลัวและเกรงขามพระองค์.” เช่นเดียวกับที่พระยะโฮวาเสด็จประทับเหนือพลับพลาในถิ่นทุรกันดาร พระองค์จึงทรงสัญญาว่าจะประทับอยู่ตลอดกาลกับผู้ที่เกรงกลัวพระองค์: “จงดูเถิด. พลับพลาของพระเจ้าก็อยู่กับมนุษย์แล้ว, พระองค์จะสถิตอยู่กับเขา, เขาจะเป็นพลเมืองของพระองค์, พระเจ้าเองจะดำรงอยู่กับเขา . . . จงจารึกไว้เถิด. เพราะว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำสุจริตและสัตย์จริง.” จริงทีเดียว พระธรรมเอ็กโซโดเป็นส่วนที่สำคัญและเป็นประโยชน์ของบันทึกในคัมภีร์ไบเบิล.—เอ็ก. 19:16-19—เฮ็บ. 12:18-29, ล.ม.; เอ็ก. 40:34—วิ. 21:3, 5.
[เชิงอรรถ]
a เอ็กโซโด 3:14, เชิงอรรถ; ในพระคัมภีร์ฉบับแปลโลกใหม่พร้อมด้วยข้ออ้างอิง; การหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 2 หน้า 12.
b การหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 1 หน้า 532, 535; โบราณคดีและประวัติศาสตร์คัมภีร์ไบเบิล (ภาษาอังกฤษ) 1964 เจ. พี. ฟรี หน้า 98.
c การหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 1 หน้า 540-541.
d เอ็กโซดัส 1874 เอฟ. ซี. คุก หน้า 247.