พระธรรมเล่มที่ 41—มาระโก
ผู้เขียน: มาระโก
สถานที่เขียน: โรม
เขียนเสร็จ: ประมาณปี ส.ศ. 60-65
ครอบคลุมระยะเวลา: ปี ส.ศ. 29-33
1. เรารู้อะไรเกี่ยวกับมาระโกและครอบครัวของท่าน?
ในคราวพระเยซูถูกจับที่สวนเฆ็ธเซมาเนและพวกอัครสาวกหนีไป “มีชายหนุ่มคนหนึ่งห่มผ้าป่านผืนหนึ่ง” ติดตามพระองค์ไป. เมื่อฝูงชนพยายามจะจับเขาด้วย “เขาได้สลัดทิ้งผ้าป่านผืนนั้นเสียแล้วหนีเปลือยกายไป.” โดยทั่วไปแล้วเชื่อกันว่าชายหนุ่มคนนี้คือมาระโก. มีการพรรณนาถึงท่านไว้ในพระธรรมกิจการว่าเป็น “โยฮันผู้มีชื่ออีกว่ามาระโก” และอาจมาจากครอบครัวที่มีอันจะกินซึ่งอยู่ในกรุงยะรูซาเลม เนื่องจากพวกเขามีบ้านของตนเองและมีคนรับใช้. มาเรียมารดาของท่านก็เป็นคริสเตียนด้วย และประชาคมในสมัยแรกได้ใช้บ้านของนางเป็นที่ประชุม. ในคราวที่ทูตสวรรค์ช่วยเปโตรออกจากคุก ท่านไปยังบ้านนี้และพบพี่น้องประชุมกันที่นั่น.—มโก. 14:51, 52; กิจ. 12:12, 13.
2, 3. (ก) อะไรกระตุ้นมาระโกให้เข้าสู่งานรับใช้เป็นมิชชันนารีอย่างไม่ต้องสงสัย? (ข) มาระโกมีการคบหาเช่นไรกับมิชชันนารีคนอื่น ๆ โดยเฉพาะกับเปโตรและเปาโล?
2 บาระนาบาซึ่งเป็นมิชชันนารีและเป็นชาวตระกูลเลวีจากเกาะไซปรัส (กุบโร) เป็นลูกพี่ลูกน้องกับมาระโก. (กิจ. 4:36; โกโล. 4:10) คราวที่บาระนาบามายังกรุงยะรูซาเลมกับเปาโลเพื่องานบรรเทาทุกข์จากการกันดารอาหาร มาระโกจึงได้รู้จักเปาโลด้วย. ไม่ต้องสงสัยว่าการคบหากับคนเหล่านี้ในประชาคมและกับผู้รับใช้ที่มีใจแรงกล้าซึ่งมาเยี่ยมได้ปลูกฝังความปรารถนาจะเข้าสู่งานรับใช้เป็นมิชชันนารีไว้ในตัวมาระโก. ดังนั้น เราจึงพบท่านเป็นผู้ติดตามและผู้รับใช้เปาโลและบาระนาบาในการเดินทางเผยแพร่ยังต่างประเทศรอบแรกของท่านทั้งสอง. แต่เนื่องด้วยเหตุผลบางประการ มาระโกได้ละท่านทั้งสองไว้ในเมืองเประเฆ มณฑลปัมฟูเลีย และกลับไปยังกรุงยะรูซาเลม. (กิจ. 11:29, 30; 12:25; 13:5, 13) เนื่องด้วยเหตุนี้ เปาโลจึงไม่ยอมพามาระโกไปด้วยในการเดินทางเผยแพร่ยังต่างประเทศรอบที่สอง และนั่นยังผลให้เปาโลกับบาระนาบาแยกทางกัน. เปาโลพาซีลาไป ในขณะที่บาระนาบาพามาระโกลูกพี่ลูกน้องของเขาลงเรือไปยังเกาะไซปรัสด้วย.—กิจ. 15:36-41.
3 มาระโกพิสูจน์ตัวในงานรับใช้และได้มาเป็นผู้ช่วยที่มีค่า ไม่เพียงแก่บาระนาบาเท่านั้น แต่แก่อัครสาวกเปโตรและเปาโลในภายหลังด้วย. มาระโกอยู่กับเปาโล (ประมาณปี ส.ศ. 60-61) ระหว่างที่ท่านถูกกักขังครั้งแรกในกรุงโรม. (ฟิเล. 1, 24) ต่อมาเราพบมาระโกอยู่กับเปโตรในกรุงบาบูโลนระหว่างปี ส.ศ. 62 ถึงปี ส.ศ. 64. (1 เป. 5:13) เปาโลตกเป็นนักโทษอีกครั้งในกรุงโรมคงในราวปี ส.ศ. 65 และในจดหมายฉบับหนึ่ง ท่านขอให้ติโมเธียวพามาระโกมาด้วยโดยกล่าวว่า “เพราะเขาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าในการปรนนิบัติ.” (2 ติโม. 1:8; 4:11) นี่เป็นการกล่าวถึงมาระโกครั้งสุดท้ายในบันทึกของคัมภีร์ไบเบิล.
4-6. (ก) มาระโกสามารถได้เรื่องราวโดยละเอียดสำหรับกิตติคุณของท่านอย่างไร? (ข) อะไรบ่งชี้ถึงการคบหาใกล้ชิดของท่านกับเปโตร? (ค) จงยกตัวอย่างลักษณะเฉพาะของเปโตรในกิตติคุณเล่มนี้.
4 การเรียบเรียงกิตติคุณเล่มที่สั้นที่สุดนี้เชื่อกันว่าทำโดยมาระโกผู้นี้. ท่านเป็นผู้ร่วมงานกับเหล่าอัครสาวกของพระเยซูและเป็นผู้อุทิศชีวิตของตนในงานรับใช้แห่งข่าวดี. แต่มาระโกไม่ใช่หนึ่งในอัครสาวก 12 คนและไม่ได้เป็นผู้ติดตามใกล้ชิดของพระเยซู. ท่านได้เรื่องราวโดยละเอียดจากที่ใดซึ่งทำให้บันทึกของท่านเกี่ยวกับงานรับใช้ของพระเยซูมีชีวิตชีวาจริง ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ? ตามคำเล่าสืบปากในสมัยต้น ๆ ของพาพีอัส, ออริเกน, และเทอร์ทูลเลียน แหล่งนั้นคือเปโตรผู้ซึ่งมาระโกได้คบหาอย่างใกล้ชิด.a เปโตรเรียกท่านว่า “บุตรของข้าพเจ้า” มิใช่หรือ? (1 เป. 5:13) เปโตรเป็นประจักษ์พยานในเกือบทุกเรื่องที่มาระโกบันทึก ดังนั้น มาระโกคงรู้รายละเอียดหลายอย่างจากเปโตรซึ่งไม่มีในกิตติคุณเล่มอื่น. ตัวอย่างเช่น มาระโกพูดถึง “ลูกจ้าง” ที่ทำงานให้เซเบดาย, คนโรคเรื้อนที่ “คุกเข่า” วิงวอนพระเยซู, ชายถูกผีสิงที่ “เอาหินเชือดเนื้อของตัว,” และการที่พระเยซูทรงพยากรณ์เรื่อง ‘การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ด้วยอานุภาพและสง่าราศีอันยิ่งใหญ่’ ขณะที่พระองค์ประทับนั่งอยู่บนภูเขามะกอกเทศ “ตรงที่มองเห็นพระวิหาร.”—มโก. 1:20, 40; 5:5; 13:3, 26, ล.ม.
5 เปโตรเองเป็นคนที่มีความรู้สึกลึกซึ้งและด้วยเหตุนั้นจึงสามารถเข้าใจและพรรณนาความรู้สึกและอารมณ์ของพระเยซูให้มาระโกฟังได้. ดังนั้น จึงเป็นมาระโกนั่นแหละซึ่งบันทึกบ่อยครั้งว่าพระเยซูทรงรู้สึกและมีปฏิกิริยาเช่นไร ตัวอย่างเช่น พระองค์ทอดพระเนตรดู “รอบด้วยพระพิโรธ, มีพระทัยเป็นทุกข์,” พระองค์ “ทรงถอนพระทัย,” และพระองค์ทรง “ถอนพระทัยใหญ่.” (3:5; 7:34; 8:12, ล.ม.) มาระโกเป็นผู้บอกเราให้ทราบความรู้สึกที่พระเยซูมีต่อขุนนางหนุ่มผู้มั่งคั่ง โดยบอกว่าพระองค์ “ทรงรักเขา.” (10:21) และน่าอบอุ่นใจจริง ๆ ที่เราพบในบันทึกนี้ที่ว่า พระเยซูไม่เพียงแต่ให้เด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งมายืนอยู่ท่ามกลางเหล่าสาวกของพระองค์เท่านั้น แต่ยังทรง “อุ้มเด็กนั้นไว้” และในอีกโอกาสหนึ่ง “พระองค์ทรงอุ้มเด็กเล็ก ๆ เหล่านั้น”!—9:36; 10:13-16.
6 ลักษณะเฉพาะบางอย่างของเปโตรจะเห็นได้ในลีลาการเขียนของมาระโกซึ่งฉับไว, เหมือนมีชีวิต, มีพลัง, มีชีวิตชีวา, และละเอียด. ดูราวกับว่าท่านเล่าเหตุการณ์ได้ไม่เร็วพอ. ตัวอย่างเช่น คำว่า “ทันใดนั้น” ปรากฏครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งทำให้เรื่องดำเนินไปอย่างน่าตื่นเต้น.
7. อะไรทำให้กิตติคุณของมาระโกแตกต่างจากของมัดธาย?
7 แม้มาระโกหาอ่านกิตติคุณของมัดธายได้และบันทึกของท่านมีเพียง 7 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่มีอยู่ในกิตติคุณเล่มอื่น แต่คงเป็นการผิดพลาดถ้าจะเชื่อว่ามาระโกเพียงแต่ย่อกิตติคุณของมัดธายและเพิ่มรายละเอียดพิเศษไม่กี่อย่างเข้าไป. ในขณะที่มัดธายให้ภาพพระเยซูเป็นพระมาซีฮาและพระมหากษัตริย์ตามที่มีสัญญาไว้ มาระโกกลับพิจารณาชีวิตและการงานของพระองค์จากอีกแง่มุมหนึ่ง. ท่านให้ภาพพระเยซูในฐานะบุตรของพระเจ้าซึ่งทำการอัศจรรย์ ผู้ช่วยให้รอดที่มีชัย. มาระโกเน้นการงานของพระคริสต์มากกว่าจะเน้นคำเทศน์และคำสอนของพระองค์. มีแต่อุปมาเล็กน้อยและคำบรรยายยาว ๆ ของพระเยซูเรื่องเดียวที่มีรายงานไว้ และคำเทศน์บนภูเขาก็ถูกตัดออก. ด้วยเหตุนี้เองที่กิตติคุณของมาระโกสั้นกว่า ถึงแม้ว่ามีกล่าวถึงสิ่งที่พระเยซูทรงทำมากพอ ๆ กับกิตติคุณเล่มอื่น ๆ. มีกล่าวโดยเฉพาะถึงการอัศจรรย์อย่างน้อย 19 อย่าง.
8. ลักษณะอะไรบ้างที่แสดงว่ากิตติคุณของมาระโกเขียนขึ้นเพื่อชาวโรมันอย่างเห็นได้ชัด?
8 ในขณะที่มัดธายเขียนกิตติคุณเพื่อชาวยิว เห็นได้ชัดว่ามาระโกเขียนเพื่อชาวโรมันเป็นอันดับแรก. เราทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร? มีการกล่าวถึงพระบัญญัติของโมเซต่อเมื่อบันทึกการสนทนาที่กล่าวถึงพระบัญญัตินั้นเท่านั้น และลำดับวงศ์วานของพระเยซูก็ถูกตัดออก. มีการเสนอกิตติคุณของพระคริสต์ว่าสำคัญต่อทุกคน. ท่านให้ความเห็นเพื่ออธิบายธรรมเนียมและคำสอนของชาวยิวซึ่งผู้อ่านที่มิใช่ชาวยิวอาจไม่คุ้นเคย. (2:18; 7:3, 4; 14:12; 15:42) มีการแปลคำภาษาอาระเมอิก. (3:17; 5:41; 7:11, 34; 14:36; 15:22, 34) ท่านใช้ชื่อทางภูมิศาสตร์และชีวิตพืชในแถบปาเลสไตน์พร้อมกับคำอธิบาย. (1:5, 13; 11:13; 13:3) มีการบอกค่าเงินเหรียญของชาวยิวเป็นเงินโรมัน. (12:42, ล.ม. เชิงอรรถ) ท่านใช้คำภาษาลาตินมากกว่าผู้เขียนกิตติคุณคนอื่น เช่น speculator (เพชฌฆาต [“ราชองครักษ์,” ล.ม.]), praetorium (ศาลไปรโตเรียน [“จวนผู้สำเร็จราชการ,” ล.ม.]), และ centurio (นายร้อย).—6:27; 15:16, 39.
9. พระธรรมมาระโกได้รับการเขียนขึ้นที่ไหนและเมื่อไร และอะไรยืนยันว่าพระธรรมเล่มนี้เชื่อถือได้?
9 เนื่องจากเห็นได้ชัดว่ามาระโกเขียนเพื่อชาวโรมันเป็นประการสำคัญ จึงน่าเป็นไปได้มากที่สุดว่าท่านเขียนในกรุงโรม. ทั้งคำเล่าสืบปากในสมัยแรกเริ่มและเนื้อหาของพระธรรมนี้ต่างเปิดช่องให้ลงความเห็นว่า พระธรรมนี้ถูกเรียบเรียงขึ้นในกรุงโรมระหว่างที่อัครสาวกเปาโลถูกกักขังครั้งแรกหรือไม่ก็ครั้งที่สอง และดังนั้น จึงเป็นในระหว่างปี ส.ศ. 60-65. ในช่วงปีดังกล่าว มาระโกอยู่ในกรุงโรมอย่างน้อยหนึ่งครั้ง และอาจเป็นสองครั้ง. นักวิชาการชั้นนำทั้งหลายในศตวรรษที่สองและสามต่างยืนยันว่ามาระโกเป็นผู้เขียน. กิตติคุณนี้มีการส่งเวียนกันในหมู่คริสเตียนอยู่แล้วเมื่อถึงตอนกลางศตวรรษที่สอง. การที่มีกิตติคุณเล่มนี้ปรากฏอยู่ในรายชื่อหนังสือทั้งหมดของพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกในสมัยแรกยืนยันว่ากิตติคุณของมาระโกเชื่อถือได้.
10. ควรถือว่าส่วนคำลงท้ายทั้งที่ยาวและที่สั้นของพระธรรมมาระโกนั้นเป็นอย่างไร และเพราะเหตุใด?
10 อย่างไรก็ตาม ส่วนคำลงท้ายทั้งที่ยาวและสั้นซึ่งบางครั้งถูกเพิ่มเข้ามาหลังจากบท 16 ข้อ 8 นั้นไม่เป็นที่ยอมรับว่าเชื่อถือได้. ส่วนนั้นไม่มีในฉบับสำเนาโบราณส่วนใหญ่ เช่น ฉบับไซนายติกและฉบับวาติกันหมายเลข 1209. ยูเซบิอุสและเจโรม ผู้คงแก่เรียนในศตวรรษที่สี่เห็นพ้องกันว่า บันทึกที่เชื่อถือได้นั้นจบด้วยถ้อยคำว่า “เพราะเขากลัว.” คำลงท้ายอื่น ๆ อาจถูกเพิ่มเข้ามาโดยมุ่งหมายให้กิตติคุณนี้ซึ่งจบลงห้วน ๆ นั้นสละสลวยขึ้น.
11. (ก) อะไรพิสูจน์ว่ากิตติคุณของมาระโกถูกต้องแม่นยำ และมีการเน้นถึงอำนาจอะไร? (ข) เหตุใดกิตติคุณนี้จึงเป็น “ข่าวดี” และกิตติคุณของมาระโกครอบคลุมระยะเวลาใด?
11 ที่ว่าบันทึกของมาระโกถูกต้องแม่นยำนั้นเห็นได้จากการที่กิตติคุณของท่านสอดคล้องลงรอยอย่างเต็มที่ไม่เพียงแต่กับกิตติคุณเล่มอื่น ๆ เท่านั้น แต่กับพระคัมภีร์บริสุทธิ์ทั้งหมดตั้งแต่เยเนซิศถึงวิวรณ์ด้วย. ยิ่งกว่านั้น มีการแสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าพระเยซูเป็นผู้ที่มีอำนาจไม่เพียงแต่ในคำตรัสของพระองค์ แต่เหนือพลังธรรมชาติ, เหนือซาตานและภูตผีปิศาจ, เหนือความเจ็บป่วยและโรคภัย, ใช่แล้ว เหนือความตายด้วย. ดังนั้น มาระโกเริ่มเรื่องของท่านด้วยคำนำที่น่าประทับใจว่า “ตอนเริ่มต้นของข่าวดีเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์.” การเสด็จมาและงานรับใช้ของพระเยซูหมายถึง “ข่าวดี” และดังนั้น การศึกษากิตติคุณของมาระโกคงต้องก่อประโยชน์แก่ผู้อ่านทุกคน. เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มาระโกพรรณนาครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี ส.ศ. 29 ถึงฤดูใบไม้ผลิปี ส.ศ. 33.
เนื้อเรื่องในมาระโก
12. อะไรถูกบรรจุแน่นอยู่ใน 13 ข้อแรกของพระธรรมมาระโก?
12 การรับบัพติสมาและการล่อใจพระเยซู (1:1-13). มาระโกเริ่มต้นกิตติคุณด้วยการระบุตัวโยฮันผู้ให้บัพติสมา. ท่านเป็นทูตที่มีพยากรณ์ไว้ ซึ่งถูกส่งให้ไปประกาศว่า “จงเตรียมทางของพระยะโฮวา เจ้าทั้งหลาย จงทำพระมรคาของพระองค์ให้ตรงไป.” เกี่ยวกับผู้ที่จะมาในอีกไม่ช้า โยฮันผู้ให้บัพติสมาบอกว่า ‘ท่านยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้า.’ ใช่แล้ว พระองค์จะทรงให้บัพติสมาไม่ใช่ด้วยน้ำ แต่ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์. หลังจากนั้นพระเยซูเสด็จมาจากบ้านนาซาเร็ธ แคว้นแกลิลี (ฆาลิลาย) และโยฮันให้บัพติสมาแก่พระองค์. พระวิญญาณลงมาบนพระเยซูดุจนกพิราบ และมีพระสุรเสียงดังจากฟ้าว่า “เจ้าเป็นบุตรของเรา ผู้เป็นที่รัก; เราโปรดปรานเจ้า.” (1:3, 7, 11, ล.ม.) พระเยซูถูกซาตานล่อใจในถิ่นทุรกันดาร และทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์. เหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นเร้าใจทั้งหมดนี้ถูกบรรจุแน่นอยู่ใน 13 ข้อแรกของพระธรรมมาระโก.
13. ในตอนแรก ๆ พระเยซูทรงสำแดงอำนาจของพระองค์ในฐานะ “ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า” ด้วยวิธีใดบ้าง?
13 พระเยซูทรงเริ่มงานรับใช้ในแกลิลี (1:14–6:6). หลังจากโยฮันถูกจับ พระเยซูเสด็จไปประกาศข่าวดีของพระเจ้าในแกลิลี. พระองค์มีข่าวสารที่น่าตื่นเต้นจริง ๆ! “ราชอาณาจักรของพระเจ้ามาใกล้แล้ว. จงกลับใจเถิด เจ้าทั้งหลาย และมีความเชื่อในข่าวดี.” (1:15, ล.ม.) พระองค์ทรงเรียกซีโมนกับอันดะเรอาและยาโกโบกับโยฮันจากอวนของพวกเขาให้มาเป็นสาวกของพระองค์. ในวันซะบาโต พระองค์เริ่มสอนในธรรมศาลาที่เมืองกัปเรนาอูม. ผู้คนต่างประหลาดใจเพราะพระองค์ทรงสั่งสอน “เหมือนผู้มีอำนาจ, ไม่เหมือนพวกอาลักษณ์.” พระองค์ทรงสำแดงอำนาจของพระองค์ในฐานะ “ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้า” ด้วยการขับผีโสโครกออกจากชายคนหนึ่งซึ่งถูกผีสิงและโดยการรักษาแม่ยายของซีโมนซึ่งป่วยเป็นไข้. ข่าวนั้นแพร่ออกไปราวกับไฟป่า และพอตกค่ำ “คนทั้งเมือง” ก็มาชุมนุมกันข้างนอกบ้านซีโมน. พระเยซูทรงรักษาคนป่วยมากมายและขับผีออกหลายตน.—1:22, 24, 33.
14. พระเยซูทรงพิสูจน์เรื่องอำนาจของพระองค์ในการให้อภัยบาปอย่างไร?
14 พระเยซูทรงแจ้งเรื่องงานที่พระองค์ได้รับมอบหมายว่า “เพื่อเราจะได้ประกาศ.” (1:38, ล.ม.) พระองค์ทรงประกาศทั่วแกลิลี. ทุกแห่งที่พระองค์เสด็จไป พระองค์ทรงขับผีและรักษาคนป่วย ซึ่งรวมทั้งคนโรคเรื้อนคนหนึ่งและคนง่อยคนหนึ่งซึ่งพระองค์ตรัสแก่เขาว่า “บาปของเจ้าได้รับการให้อภัยแล้ว.” บางคนในพวกอาลักษณ์คิดในใจว่า ‘นี่เป็นการหมิ่นประมาท. ใครจะให้อภัยบาปได้เว้นแต่พระเจ้า?’ ด้วยทรงทราบความคิดของพวกเขา พระเยซูทรงพิสูจน์ว่า “บุตรมนุษย์มีอำนาจจะให้อภัยบาป” โดยตรัสแก่คนง่อยนั้นให้ลุกขึ้นและกลับบ้าน. ประชาชนสรรเสริญพระเจ้า. เมื่อเลวี (มัดธาย) คนเก็บภาษีมาเป็นผู้ติดตามพระองค์ พระเยซูทรงบอกพวกอาลักษณ์ว่า “เรามาเพื่อเรียก ไม่ใช่คนชอบธรรม แต่คนบาป.” พระองค์ทรงสำแดงพระองค์เองเป็น “เจ้าแห่งวันซะบาโต.”—2:5, 7, 10, 17, 28, ล.ม.
15. พระเยซูทรงแถลงอะไรเกี่ยวกับคนเหล่านั้นซึ่งไม่ยอมรับการอัศจรรย์ของพระองค์ และพระองค์ตรัสอะไรเกี่ยวกับสายสัมพันธ์ทางครอบครัว?
15 หลังจากนั้น พระเยซูทรงตั้งกลุ่มอัครสาวก 12 คน. ญาติ ๆ ของพระองค์แสดงการต่อต้านอยู่บ้าง และต่อมาพวกอาลักษณ์บางคนจากกรุงยะรูซาเลมกล่าวหาพระองค์ว่าขับผีออกด้วยอำนาจของนายผี. พระเยซูทรงถามพวกเขาว่า “ซาตานจะขับซาตานให้ออกอย่างไรได้?” และทรงเตือนพวกเขาว่า “แต่ผู้ใดก็ตามที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ได้รับการให้อภัยตลอดกาล แต่มีความผิดฐานเป็นบาปถาวร.” ระหว่างที่ถกกันอยู่นั้น มารดาและน้องชายของพระองค์มาหาพระองค์ และพระเยซูถูกกระตุ้นให้แถลงว่า “ผู้ใดจะประพฤติตามน้ำพระทัยพระเจ้า, ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา.”—3:23, 29, ล.ม. 35.
16. โดยอุทาหรณ์ต่าง ๆ พระเยซูทรงสอนอะไรเกี่ยวกับ “ราชอาณาจักรของพระเจ้า”?
16 พระเยซูทรงเริ่มต้นสั่งสอน “ความลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า” ด้วยอุทาหรณ์ต่าง ๆ. พระองค์ตรัสถึงชายที่หว่านเมล็ดซึ่งตกลงบนดินหลายชนิด (แสดงถึงผู้ได้ยินพระคำของพระเจ้าในประเภทต่าง ๆ) และตรัสถึงตะเกียงที่ส่องแสงจากเชิงตะเกียง. ในอุทาหรณ์อีกเรื่องหนึ่ง พระเยซูตรัสว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหมือนเมื่อชายคนหนึ่งหว่านเมล็ดลงบนดิน “เพราะแผ่นดินเองทำให้พืชงอกจำเริญขึ้นเป็นลำต้นก่อน, ภายหลังก็ออกรวง, แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มในรวงนั้น.” (4:11, ล.ม., 28) พระองค์ยังทรงยกอุทาหรณ์เรื่องเมล็ดพันธุ์ผักกาด [มัสตาร์ด] ด้วย ซึ่งแม้จะเล็กกว่าเมล็ดทั้งหลาย แต่ก็เจริญเติบโตมีกิ่งก้านใหญ่ที่ให้ร่มเงา.
17. การอัศจรรย์ของพระเยซูสำแดงขอบเขตแห่งอำนาจของพระองค์อย่างไร?
17 ขณะที่พระเยซูกับเหล่าอัครสาวกข้ามทะเลแกลิลี พระเยซูทรงทำให้พายุสงบอย่างมหัศจรรย์ และทะเลที่ปั่นป่วนก็สงบลงตามพระบัญชาของพระองค์ที่ว่า “จงสงบเงียบเถิด.” (4:39) เมื่อข้ามไปในเมืองฆะดารา พระเยซูทรงขับผี “กอง” หนึ่งออกจากชายคนหนึ่งและทรงอนุญาตให้พวกมันเข้าไปสิงในฝูงสุกรประมาณ 2,000 ตัวซึ่งวิ่งไปกระโดดหน้าผาและจมน้ำตายในทะเล. (5:8-13) หลังจากนั้น พระเยซูเสด็จข้ามกลับไปยังชายฝั่งตรงข้าม. ผู้หญิงคนหนึ่งได้รับการรักษาให้หายจากโรคโลหิตตกซึ่งรักษาไม่หายมานาน 12 ปีโดยเพียงแต่แตะเสื้อชั้นนอกของพระเยซูขณะที่พระองค์กำลังเสด็จไปปลุกลูกสาวอายุ 12 ขวบของญายโรให้มีชีวิตอีก. จริงทีเดียว บุตรมนุษย์ทรงมีอำนาจเหนือชีวิตและความตาย! แต่ผู้คนในแถบบ้านเกิดของพระเยซูโต้เถียงกันในเรื่องอำนาจของพระองค์. พระองค์ประหลาดพระทัยที่พวกเขาขาดความเชื่อ แต่พระองค์ก็ยังคง “เสด็จไปเทศนาสั่งสอนทั่วบ้านทั่วเมือง.”—6:6.
18. (ก) งานรับใช้ของพระเยซูแผ่ขยายไปอย่างไร? (ข) อะไรกระตุ้นพระเยซูให้สอนและทำการอัศจรรย์?
18 งานรับใช้ในแกลิลีแผ่ขยาย (6:7–9:50). อัครสาวก 12 คนถูกส่งออกไปเป็นคู่โดยได้รับคำสั่งและอำนาจให้ประกาศและสอน, รักษาผู้คน, และขับผี. พระนามของพระเยซูกำลังเป็นที่เลื่องลือ บางคนคิดว่าเป็นโยฮันผู้ให้บัพติสมาซึ่งถูกปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย. ความเป็นไปได้ข้อนี้ทำให้กษัตริย์เฮโรดซึ่งได้สั่งให้ตัดศีรษะโยฮันในงานเลี้ยงวันเกิดของตนรู้สึกกังวล. พวกอัครสาวกกลับจากการเดินทางประกาศและรายงานการงานของตนต่อพระเยซู. ฝูงชนขนาดใหญ่ติดตามพระเยซูไปทั่วแกลิลี และพระองค์ “ทรงรู้สึกสงสารพวกเขา เพราะพวกเขาเป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง.” ดังนั้น พระองค์จึงเริ่มสอนพวกเขาหลายสิ่ง. (6:34, ล.ม.) พระองค์ทรงจัดเตรียมด้วยความรักให้มีอาหารด้วย ทรงเลี้ยงผู้ชาย 5,000 คนด้วยขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัว. หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเหล่าสาวกที่อยู่ในเรือกำลังฝ่าพายุด้วยความลำบากขณะที่พวกเขาแล่นเรือไปเมืองเบธซายะดานั้น พระองค์ทรงดำเนินบนทะเลมาหาเขาและทำให้ลมสงบ. ไม่น่าแปลกใจที่แม้แต่เหล่าสาวกของพระองค์ก็ “ประหลาดอัศจรรย์ใจเหลือประมาณ”!—6:51.
19, 20. (ก) พระเยซูทรงว่ากล่าวพวกอาลักษณ์และฟาริซายอย่างไร? (ข) สภาพการณ์อะไรที่ทำให้เปโตรถูกว่ากล่าวเช่นกัน?
19 ในแขวงเฆ็นเนซาเร็ต พระเยซูทรงถกกับพวกอาลักษณ์และฟาริซายที่มาจากกรุงยะรูซาเลมเกี่ยวกับการรับประทานอาหารโดยไม่ได้ล้างมือ และพระองค์ทรงตำหนิพวกเขาอย่างแรงที่ “ละข้อบัญญัติของพระเจ้า, และกลับไปถือตามถ้อยคำของมนุษย์ที่เขาสอนต่อ ๆ กันมา.” พระองค์ตรัสว่ามิใช่สิ่งภายนอกที่เข้าไปซึ่งทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่สิ่งที่ออกมาจากภายใน คือจากหัวใจต่างหาก ซึ่งก็คือ “ความคิดชั่วร้าย.” (7:8, 21) เมื่อเสด็จขึ้นไปทางเหนือเข้าไปในเขตเมืองตุโรและเมืองซีโดน พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์แก่คนต่างชาติ ทรงขับผีออกจากบุตรีของผู้หญิงชาติซีเรียฟีนิเซีย.
20 เมื่อกลับมาแกลิลี อีกครั้งที่พระเยซูรู้สึกสงสารฝูงชนซึ่งติดตามพระองค์และทรงเลี้ยงอาหารผู้ชาย 4,000 คนด้วยขนมปังเจ็ดก้อนกับปลาตัวเล็ก ๆ สองสามตัว. พระองค์ทรงเตือนเหล่าสาวกของพระองค์เรื่องเชื้อของพวกฟาริซายและเชื้อของเฮโรด แต่ในเวลานั้นพวกเขาไม่เข้าใจ. ต่อมาพระองค์ทรงทำการอัศจรรย์อีกครั้งหนึ่ง คือรักษาชายตาบอดคนหนึ่งที่เบธซายะดา. ในการสนทนาระหว่างเดินทางไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ ในแคว้นซีซาเรีย ฟิลิปปี (กายซาไรอา ฟิลิปปอย) เปโตรระบุตัวพระเยซูด้วยความมั่นใจว่าเป็น “พระคริสต์” แต่แล้วก็คัดค้านอย่างแข็งขันเมื่อพระเยซูตรัสถึงการทนทุกข์และความตายของบุตรมนุษย์ที่กำลังใกล้เข้ามา. เนื่องด้วยการทำเช่นนี้ พระเยซูทรงว่ากล่าวท่านว่า “อ้ายซาตาน, จงถอยไปข้างหลังเรา, เพราะเจ้ามิได้คิดตามพระดำริของพระเจ้า, แต่ตามความคิดของมนุษย์.” (8:29, 33) พระเยซูทรงกระตุ้นเตือนเหล่าสาวกของพระองค์ให้ติดตามพระองค์ต่อ ๆ ไปเพื่อเห็นแก่ข่าวดี; หากพวกเขามีความละอายเพราะพระองค์ พระองค์จะทรงละอายเพราะพวกเขาเมื่อพระองค์เสด็จมาด้วยสง่าราศีแห่งพระบิดาของพระองค์.
21. (ก) ใครบ้างเห็น “ราชอาณาจักรของพระเจ้ามาด้วยอำนาจ” และโดยวิธีใด? (ข) พระเยซูทรงเน้นการจัดให้ราชอาณาจักรอยู่ในอันดับแรกอย่างไร?
21 หกวันต่อมา เมื่อขึ้นไปบนภูเขาสูงลูกหนึ่ง เปโตร, ยาโกโบ, และโยฮันได้รับสิทธิพิเศษให้เห็น “ราชอาณาจักรของพระเจ้ามาด้วยอำนาจ” ขณะที่พวกเขาได้เห็นพระเยซูทรงจำแลงพระกายด้วยสง่าราศี. (9:1, ล.ม.) พระเยซูทรงสำแดงอำนาจของพระองค์อีกครั้งโดยขับผีใบ้จากเด็กชายผู้หนึ่ง และพระองค์ตรัสเป็นครั้งที่สองถึงการทนทุกข์และความตายที่ใกล้เข้ามา. พระองค์ทรงแนะนำเหล่าสาวกไม่ให้ยอมให้สิ่งใด ๆ มาขัดขวางพวกเขาจากการเข้าสู่ชีวิต. มือเจ้าทำให้เจ้าสะดุดหรือ? จงตัดมันทิ้ง! เท้าของเจ้าหรือ? จงตัดมันทิ้ง! นัยน์ตาของเจ้าหรือ? จงควักมันทิ้ง! ที่จะเข้าในราชอาณาจักรของพระเจ้าอย่างคนพิการก็ดีกว่าถูกทิ้งในเกเฮนนาโดยมีอวัยวะครบมากนัก.
22. คำแนะนำอะไรที่เป็นจุดเด่นในงานรับใช้ของพระเยซูในพีเรีย?
22 งานรับใช้ในพีเรีย (10:1-52). พระเยซูเสด็จมาถึงชายแดนยูเดียและ “ข้ามแม่น้ำยาระเดน” (เข้าไปในพีเรีย). คราวนี้พวกฟาริซายทูลถามพระองค์เกี่ยวกับการหย่าร้าง และพระองค์ทรงใช้โอกาสนั้นชี้แจงหลักการของพระเจ้าสำหรับการสมรส. เศรษฐีหนุ่มทูลถามพระองค์เกี่ยวกับการได้ชีวิตนิรันดร์ แต่เป็นทุกข์ใจเมื่อได้ยินว่าถ้าจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ เขาต้องขายทรัพย์สมบัติของเขาและมาเป็นผู้ติดตามพระเยซู. พระเยซูทรงบอกเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “อูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในราชอาณาจักรของพระเจ้า.” พระองค์ทรงหนุนกำลังใจผู้ที่ได้สละทุกสิ่งเพื่อเห็นแก่กิตติคุณ ทรงสัญญาว่าพวกเขาจะ “ได้รับตอบแทนร้อยเท่าในเวลานี้ . . . พร้อมด้วยการข่มเหง และในระบบที่จะมีมาจะได้ชีวิตนิรันดร์.”—10:1, 25, 30, ล.ม.
23. มีการสนทนาและการอัศจรรย์อะไรระหว่างทางไปกรุงยะรูซาเลม?
23 จากนั้นพระเยซูกับอัครสาวก 12 คนออกเดินทางไปกรุงยะรูซาเลม. พระเยซูทรงบอกพวกเขาเป็นครั้งที่สามเกี่ยวกับความทุกข์ที่อยู่เบื้องหน้าพระองค์รวมทั้งการคืนพระชนม์ของพระองค์ด้วย. พระองค์ถามพวกเขาว่าพวกเขาจะดื่มจากจอกเดียวกับที่พระองค์ดื่มได้หรือไม่ และพระองค์ทรงบอกพวกเขาว่า “ผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้น, ก็ให้ผู้นั้นเป็นทาสของคนทั้งปวง.” ขณะเดินทางออกจากเมืองยะริโฮ ขอทานตาบอดคนหนึ่งร้องเรียกจากริมถนนว่า “ท่านเยซูบุตรดาวิดเจ้าข้า, ขอโปรดเมตตาข้าพเจ้า.” พระเยซูทรงทำให้ชายตาบอดคนนั้นเห็นได้—นี่เป็นการรักษาโรคด้วยการอัศจรรย์ครั้งสุดท้ายที่มาระโกบันทึกไว้.—10:44, 47, 48.
24, 25. (ก) พระเยซูทรงพิสูจน์อำนาจของพระองค์ด้วยการทำอะไรบ้าง? (ข) พระองค์ทรงตอบฝ่ายปฏิปักษ์ของพระองค์โดยใช้เหตุผลอะไรบ้าง? (ค) พระเยซูทรงให้คำเตือนอะไรแก่ฝูงชน และพระองค์ทรงชมเชยเรื่องอะไรให้เหล่าสาวกฟัง?
24 พระเยซูในกรุงยะรูซาเลมและรอบ ๆ (11:1–15:47). เรื่องราวดำเนินไปอย่างรวดเร็ว! พระเยซูทรงลูกลาเข้าไปในกรุง และประชาชนโห่ร้องต้อนรับพระองค์ในฐานะกษัตริย์. วันรุ่งขึ้น พระองค์ทรงชำระพระวิหาร. พวกปุโรหิตใหญ่และพวกอาลักษณ์เริ่มกลัวพระองค์และหาทางสังหารพระองค์. พวกเขาถามว่า “ท่านกระทำการนี้โดยอำนาจอะไร?” (11:28) พระเยซูทรงย้อนถามพวกเขาอย่างชำนิชำนาญและตรัสอุปมาเรื่องชาวสวนที่ฆ่าผู้รับมรดกสวนองุ่นนั้น. พวกเขาเข้าใจความหมายและจากพระองค์ไป.
25 ต่อมาพวกเขาส่งฟาริซายบางคนมาจับผิดพระองค์ด้วยคำถามเรื่องภาษี. เมื่อขอเงินเดนาริอนมาเหรียญหนึ่ง พระองค์ตรัสถามว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?” พวกเขาตอบว่า “ของซีซาร์.” พระเยซูจึงตรัสว่า “จงจ่ายของของซีซาร์คืนแก่ซีซาร์ แต่ของของพระเจ้าแด่พระเจ้า.” ไม่แปลกเลยที่พวกเขาประหลาดใจในพระองค์! (12:16, 17, ล.ม.) จากนั้นพวกซาดูกายซึ่งไม่เชื่อในการกลับเป็นขึ้นจากตายพยายามจับผิดพระองค์ด้วยคำถามว่า ‘ถ้าผู้หญิงคนหนึ่งมีสามีเจ็ดคนตามลำดับ นางจะเป็นภรรยาของใครเมื่อกลับเป็นขึ้นจากตาย?’ พระเยซูตรัสตอบทันทีว่าคนเหล่านั้นที่เป็นขึ้นจากตายจะเป็น “เหมือนทูตสวรรค์” เพราะพวกเขาจะไม่สมรส. (12:19-23, 25) คนหนึ่งในพวกอาลักษณ์ทูลถามว่า “พระบัญญัติข้อใดเป็นเอกเป็นใหญ่กว่าบัญญัติทั้งปวง?” พระเยซูทรงตอบว่า “พระบัญญัติที่เป็นเอกเป็นใหญ่กว่าบัญญัติทั้งปวงนั้นคือว่า, ดูก่อนพวกยิศราเอล จงฟังเถิด, พระยะโฮวาพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าองค์เดียว, จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตต์ของเจ้า, ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของเจ้า. และบัญญัติที่สองนั้นคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง.” (12:28-31) หลังจากนั้น ไม่มีใครกล้าถามพระองค์อีก. อำนาจของพระองค์ในฐานะครูที่ดีพร้อมได้รับการยกย่อง. ฝูงชนรับฟังด้วยความยินดี และพระเยซูทรงเตือนพวกเขาให้ระวังพวกอาลักษณ์ที่ชอบวางท่าโอ้อวด. แล้วพระองค์ทรงชมเชยหญิงม่ายยากจนที่ใส่เงินลงไปในตู้เก็บเงินมากกว่าคนทั้งปวงนั้นให้เหล่าสาวกฟัง เนื่องจากเงินเหรียญเล็ก ๆ สองอันของเธอเป็น “เงินที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตของตน.”—12:44.
26. การสนทนายืดยาวครั้งเดียวที่มาระโกบันทึกไว้คืออะไร และการสนทนานั้นจบลงด้วยคำเตือนสติอะไร?
26 เมื่อทรงประทับนั่งบนภูเขามะกอกเทศตรงที่ทอดพระเนตรเห็นพระวิหาร พระเยซูทรงบอกเฉพาะสาวกสี่คนของพระองค์ถึงเรื่อง “หมายสำคัญ” ของช่วงอวสานแห่งสิ่งเหล่านี้. (นี่เป็นการสนทนาที่ยืดยาวครั้งเดียวที่มาระโกบันทึก และการสนทนานี้คล้ายกับที่มัดธายบท 24 และ 25.) การสนทนานั้นจบด้วยคำเตือนสติของพระเยซูที่ว่า “วันนั้นโมงนั้นไม่มีผู้ใดรู้, ถึงทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว. ซึ่งเราบอกพวกท่าน, เราก็บอกคนทั้งปวงด้วยว่า, จงเฝ้าระวังอยู่เถิด.”—13:4, 32, 37.
27. จงพรรณนาเหตุการณ์ต่าง ๆ ก่อนการทรยศพระเยซูในเฆ็ธเซมาเน.
27 ณ หมู่บ้านเบธาเนียซึ่งอยู่ใกล้ ๆ หญิงผู้หนึ่งชะโลมพระเยซูด้วยน้ำมันหอมราคาแพง. บางคนคัดค้านว่าการทำเช่นนั้นเป็นการทำให้เสียเปล่า แต่พระเยซูตรัสว่านั่นเป็นการกระทำที่ดี เป็นการเตรียมสำหรับงานศพของพระองค์. ตามเวลากำหนด พระเยซูและอัครสาวก 12 คนประชุมกันในเมืองนั้นเพื่อฉลองปัศคา. พระเยซูทรงระบุตัวผู้ทรยศพระองค์และทรงตั้งอาหารมื้อเย็นอันเป็นอนุสรณ์กับเหล่าสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ แล้วพวกเขาก็ออกไปยังภูเขามะกอกเทศ. ระหว่างทาง พระเยซูทรงบอกพวกเขาว่าพวกเขาทุกคนจะสะดุดล้มไป. เปโตรร้องทูลว่า “ข้าพเจ้าจะไม่สะดุดเลย.” แต่พระเยซูตรัสแก่เขาว่า “ในคืนวันนี้เอง, ก่อนไก่จะขันสองหนท่านจะปฏิเสธเราถึงสามครั้ง.” เมื่อถึงสถานที่ที่มีชื่อว่าเฆ็ธเซมาเน พระเยซูจึงทรงแยกตัวไปอธิษฐาน ทรงขอให้เหล่าสาวกของพระองค์เฝ้าระวังอยู่. คำอธิษฐานของพระองค์บรรลุจุดสุดยอดด้วยคำตรัสว่า “อาบา, พระบิดาเจ้าข้า, พระองค์อาจทรงกระทำสรรพสิ่งทั้งปวงได้ ขอให้จอกนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพเจ้าเถิด แต่ว่าอย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพเจ้า. แต่ให้เป็นตามพระทัยของพระองค์.” พระเยซูเสด็จกลับมาหาเหล่าสาวกของพระองค์สามครั้ง และพระองค์ทรงพบว่าพวกเขากำลังหลับอยู่ทั้งสามครั้ง แม้แต่เมื่อ “เวลาซึ่งบุตรมนุษย์ต้องถูกมอบไว้ในมือคนบาปมาถึงแล้ว.” (14:29, ล.ม. 30, 36, 41) แต่ชั่วโมงนั้นก็มาถึง! ดูสิ!—ผู้ทรยศ!
28. สภาพการณ์เป็นอย่างไรเมื่อพระเยซูถูกจับและถูกนำตัวไปอยู่ต่อหน้ามหาปุโรหิต?
28 ยูดาเข้ามาใกล้และจูบพระเยซู. นั่นคือสัญญาณบอกคนของปุโรหิตใหญ่ที่ถืออาวุธมานั้นให้จับพระองค์. พวกเขานำพระองค์ไปยังบ้านมหาปุโรหิต ที่ซึ่งหลายคนเป็นพยานเท็จปรักปรำพระองค์ แต่คำให้การของพวกเขาไม่สอดคล้องกัน. พระเยซูเองทรงนิ่งเงียบ. ในที่สุด มหาปุโรหิตถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นพระคริสต์บุตรของผู้ทรงบรมสุขหรือ.” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเป็น.” มหาปุโรหิตร้องว่า ‘หมิ่นประมาท!’ แล้วคนทั้งปวงพากันกล่าวโทษพระองค์ว่าสมควรตาย. (14:61-64) ในลานบ้านข้างล่าง เปโตรปฏิเสธพระเยซูสามครั้ง. ไก่ขันครั้งที่สอง และเปโตรนึกถึงคำตรัสของพระเยซู ท่านจึงเสียใจและร้องไห้.
29. มาระโกบันทึกอะไรเกี่ยวกับการพิจารณาคดีขั้นสุดท้ายและการประหารพระเยซู และมีการแสดงให้เห็นอย่างไรว่าราชอาณาจักรเป็นประเด็นสำคัญ?
29 ทันทีที่ฟ้าสางศาลซันเฮดรินก็ปรึกษากันและส่งพระเยซูซึ่งถูกมัดไปให้ปีลาต. ปีลาตรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าพระเยซูมิได้เป็นอาชญากรและพยายามจะปล่อยตัวพระองค์. อย่างไรก็ตาม ด้วยการยืนกรานของฝูงชนซึ่งถูกพวกปุโรหิตใหญ่ปลุกปั่น ในที่สุด เขาส่งมอบพระเยซูไปตรึง. พระเยซูถูกนำตัวไปยังโกลโกทา (โฆละโฆธา) (หมายความว่า “สถานที่กะโหลกศีรษะ”) และถูกตรึง มีคำประจานเขียนไว้เหนือพระเศียรของพระองค์ว่า “กษัตริย์ของชาติยูดาย.” ผู้ที่เดินผ่านไปมาพูดดูถูกพระองค์ว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้, ช่วยตัวของตัวเองไม่ได้.” ในตอนเที่ยง (ชั่วโมงที่หก) ความมืดแผ่คลุมทั่วแผ่นดินจนสามนาฬิกาหลังเที่ยง. แล้วพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “พระเจ้าข้า ๆ, เหตุไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเสีย?” แล้วสิ้นพระชนม์. เมื่อได้เห็นสิ่งเหล่านี้ นายทหารผู้หนึ่งพูดว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระราชบุตรของพระเจ้า.” โยเซฟแห่งบ้านอาริมาธาย สมาชิกคนหนึ่งแห่งศาลซันเฮดรินแต่เป็นผู้เชื่อถือในราชอาณาจักรของพระเจ้า ขอพระศพของพระเยซูจากปีลาตแล้วเอาวางไว้ในอุโมงค์ซึ่งขุดไว้ในศิลา.—15:22, 26, 31, 34, 39.
30. ในวันแรกของสัปดาห์ เกิดอะไรขึ้นที่อุโมงค์นั้น?
30 เหตุการณ์ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู (16:1-8). ในตอนเช้าตรู่วันแรกของสัปดาห์นั้น หญิงสามคนไปที่อุโมงค์. พวกเธอต้องประหลาดใจที่พบว่าหินก้อนใหญ่ที่ปากทางเข้าอุโมงค์นั้นถูกกลิ้งออกไปแล้ว. “คนหนุ่มคนหนึ่ง” ซึ่งนั่งอยู่ข้างในบอกพวกเธอว่าพระเยซูถูกปลุกให้คืนพระชนม์แล้ว. (16:5) พระองค์มิได้อยู่ที่นั่นแต่เสด็จไปยังแคว้นแกลิลีก่อนพวกเธอแล้ว. พวกเธอหนีออกจากอุโมงค์ ตัวสั่นและหวาดกลัว.
เหตุที่เป็นประโยชน์
31. (ก) มาระโกพิสูจน์ยืนยันอย่างไรว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮา? (ข) อะไรพิสูจน์อำนาจของพระเยซูในฐานะพระบุตรของพระเจ้า และพระองค์ทรงเน้นเรื่องอะไร?
31 โดยข้อความที่พรรณนาถึงพระเยซูคริสต์อย่างมีชีวิตชีวานี้ ผู้อ่านพระธรรมมาระโกทุกคน ตั้งแต่สมัยคริสเตียนรุ่นแรกจนบัดนี้ จึงสามารถระบุความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์หลายตอนจากพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูที่เกี่ยวข้องกับพระมาซีฮา. ตั้งแต่ข้อความแรกที่ยกมาจากพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูที่ว่า “ดูก่อนท่าน, เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน” จนกระทั่งถึงคำตรัสด้วยความทุกข์สาหัสของพระเยซูบนหลัก ที่ว่า “พระเจ้าข้า ๆ, เหตุไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพเจ้าเสีย?” เรื่องราวทั้งสิ้นเกี่ยวกับงานรับใช้ด้วยใจแรงกล้าของพระองค์ตามที่มาระโกบันทึกไว้นั้นสอดคล้องกับที่พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูพยากรณ์ไว้. (มโก. 1:2; 15:34; มลคี. 3:1; เพลง. 22:1) ยิ่งกว่านั้น การอัศจรรย์และราชกิจอันวิเศษของพระองค์, คำสอนที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ, การพิสูจน์หักล้างที่ไร้ข้อบกพร่อง, คำตรัสของพระองค์ที่อาศัยพระคำและพระวิญญาณของพระยะโฮวา, และการบำรุงเลี้ยงแกะด้วยความอ่อนโยน—ทั้งหมดนี้แสดงว่าพระองค์เป็นผู้นั้นแหละที่เสด็จมาด้วยอำนาจในฐานะพระบุตรของพระเจ้า. พระองค์ทรงสั่งสอน “เหมือนผู้มีอำนาจ” คืออำนาจที่ได้รับจากพระยะโฮวา และพระองค์ทรงเน้นว่าการ “ประกาศข่าวดีของพระเจ้า” กล่าวคือ “ราชอาณาจักรของพระเจ้ามาใกล้แล้ว” เป็นงานสำคัญอันดับแรกของพระองค์บนแผ่นดินโลก. การสอนของพระองค์ปรากฏว่าเป็นประโยชน์อย่างเหลือประมาณแก่ทุกคนที่เอาใจใส่.—มโก. 1:22, 14, 15, ล.ม.
32. มาระโกใช้คำ “ราชอาณาจักรของพระเจ้า” กี่ครั้ง และหลักชี้นำอะไรบ้างที่ท่านวางไว้สำหรับการได้รับชีวิตโดยทางราชอาณาจักร?
32 พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ความลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าทรงโปรดให้พวกเจ้ารู้.” มาระโกใช้คำ “ราชอาณาจักรของพระเจ้า” 14 ครั้ง และได้วางหลักชี้นำหลายข้อสำหรับผู้ซึ่งจะได้รับชีวิตโดยทางราชอาณาจักร. พระเยซูตรัสว่า “ผู้ใดก็ตามที่สูญเสียจิตวิญญาณของตนเพราะเห็นแก่เราและข่าวดีจะช่วยจิตวิญญาณของตนให้รอด.” ทุกสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้ได้รับชีวิตจะต้องถูกกำจัด “ที่เจ้าจะเข้าในราชอาณาจักรของพระเจ้าด้วยตาข้างเดียวก็ดีกว่าถูกโยนลงในเกเฮนนาโดยมีตาสองข้าง.” พระเยซูทรงแถลงต่อไปอีกว่า “ผู้ใดก็ตามที่ไม่รับราชอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็ก ๆ จะเข้าในราชอาณาจักรนั้นไม่ได้เลย” และ “ยากจริง ๆ ที่คนมั่งมีจะเข้าในราชอาณาจักรของพระเจ้า!” พระองค์ตรัสว่า ผู้ที่สังเกตเข้าใจว่าการถือรักษาพระบัญญัติข้อใหญ่สองข้อนั้นมีค่ายิ่งกว่าเครื่องบูชาถวายทั้งปวงนั้นก็ “ไม่ไกลจากราชอาณาจักรของพระเจ้า.” คำสอนเหล่านี้และคำสอนอื่น ๆ เรื่องราชอาณาจักรในกิตติคุณของมาระโกมีคำเตือนสติที่ดีมากมายที่เราจะนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน.—4:11; 8:35; 9:43-48; 10:13-15, 23-25; 12:28-34, ล.ม.
33. (ก) เราจะได้รับประโยชน์จากกิตติคุณของมาระโกอย่างไร? (ข) พระธรรมมาระโกน่าจะหนุนกำลังใจเราให้มุ่งในแนวทางไหน และเพราะเหตุใด?
33 กิตติคุณที่ “เรียบเรียงโดยมาระโก” อาจอ่านจบได้ภายในหนึ่งหรือสองชั่วโมง ทำให้ผู้อ่านได้พิจารณางานรับใช้ของพระเยซูอย่างน่าตื่นเต้น, รวดเร็ว, และมีพลัง. การอ่านเรื่องราวที่เขียนโดยการดลใจนี้รวดเดียวรวมทั้งการศึกษาและไตร่ตรองอย่างละเอียดย่อมเป็นประโยชน์เสมอ. กิตติคุณของมาระโกยังเป็นประโยชน์แก่คริสเตียนที่ถูกกดขี่ข่มเหงในทุกวันนี้เช่นเดียวกับในศตวรรษแรก เพราะในขณะนี้คริสเตียนแท้เผชิญ “วิกฤตกาลซึ่งยากที่จะรับมือได้” และจำเป็นต้องได้การชี้นำโดยการดลใจดังกล่าวตามที่มีอยู่ในบันทึกนี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับพระเยซูคริสต์ผู้เป็นแบบฉบับของเรา. จงอ่านพระธรรมมาระโก, ตื่นเต้นกับการงานที่น่าทึ่ง และได้รับการหนุนกำลังใจให้ติดตามรอยพระบาทของพระเยซูผู้นำองค์เอกและผู้ปรับปรุงความเชื่อของเราให้สมบูรณ์ ด้วยความยินดีที่ไม่มีใครทำลายได้อย่างที่พระองค์ทรงสำแดง. (2 ติโม. 3:1, ล.ม.; เฮ็บ. 12:2) ถูกแล้ว จงมองพระองค์ในฐานะมนุษย์ผู้ทำงาน จงเต็มไปด้วยความมีใจแรงกล้าอย่างพระองค์และเลียนแบบความซื่อสัตย์มั่นคงที่ไม่ยอมอะลุ่มอล่วยและความกล้าหาญของพระองค์เมื่อตกอยู่ในการทดลองและการต่อต้าน. จงได้รับการปลอบโยนจากส่วนที่อุดมนี้แห่งพระคัมภีร์ที่มีขึ้นโดยการดลใจ. จงให้พระธรรมนี้ก่อประโยชน์แก่คุณในการมุ่งแสวงหาชีวิตถาวร!
[เชิงอรรถ]
a การหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 2 หน้า 337.