พระธรรมเล่มที่ 62—1 โยฮัน
ผู้เขียน: อัครสาวกโยฮัน
สถานที่เขียน: เอเฟโซ หรือใกล้เคียง
เขียนเสร็จ: ประมาณปี ส.ศ. 98
1. (ก) คุณลักษณะอะไรที่มีอยู่ตลอดพระธรรมที่โยฮันเขียนถึง กระนั้น อะไรแสดงว่าท่านไม่ใช่คนอ่อนไหว? (ข) เหตุใดจดหมายของท่านทั้งสามฉบับจึงเหมาะกับเวลา?
โยฮัน อัครสาวกผู้เป็นที่รักของพระเยซูคริสต์มีความรักอันแรงกล้าต่อความชอบธรรม. สิ่งนี้ช่วยให้ท่านหยั่งเห็นเข้าใจพระทัยของพระคริสต์อย่างลึกซึ้ง. ดังนั้น เราจึงไม่แปลกใจที่อรรถบทเรื่องความรักเป็นเรื่องเด่นในพระธรรมที่ท่านเขียน. อย่างไรก็ดี ท่านไม่ใช่คนอ่อนไหว เพราะพระเยซูตรัสถึงท่านว่าเป็นคนหนึ่งใน “โบอาเนอเย แปลว่า ลูกฟ้าร้อง.” (มโก. 3:17, ฉบับแปลใหม่) แท้จริง ที่ท่านเขียนจดหมายทั้งสามฉบับก็เพื่อปกป้องความจริงและความชอบธรรม เพราะการออกหากที่อัครสาวกเปาโลบอกล่วงหน้าไว้นั้นได้ปรากฏชัด. จดหมายสามฉบับของโยฮันจึงเหมาะกับเวลาจริง ๆ เพราะจดหมายเหล่านี้เป็นเครื่องช่วยเสริมกำลังคริสเตียนรุ่นแรกในการต่อสู้กับการบุกรุกของ “ตัวชั่วร้าย.”—2 เธ. 2:3, 4; 1 โย. 2:13, 14; 5:18, 19, ล.ม.
2. (ก) อะไรแสดงว่าจดหมายของท่านโยฮันเขียนหลังจากพระธรรมมัดธาย, มาระโก, และจดหมายมิชชันนารีนานมาก? (ข) จดหมายเหล่านี้ดูเหมือนเขียนเมื่อไรและที่ไหน?
2 เมื่อวินิจฉัยจากเนื้อหา จดหมายทั้งสามเขียนในช่วงเวลาหลังจากกิตติคุณของมัดธายและมาระโกนานมาก—และหลังจากจดหมายมิชชันนารีของเปโตรและเปาโลด้วย. ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป. ไม่มีการกล่าวถึงลัทธิยูดาย ซึ่งเป็นสิ่งคุกคามอย่างหนักต่อประชาคมต่าง ๆ ในช่วงที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ ๆ และไม่ปรากฏว่ามีการยกข้อความจากพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูไปกล่าวโดยตรงสักแห่งเดียว. อีกด้านหนึ่ง โยฮันพูดถึง “โมงสุดท้าย” และการปรากฏของ “ผู้ต่อต้านพระคริสต์หลายคน.” (1 โย. 2:18, ล.ม.) ท่านกล่าวถึงผู้อ่านของท่านโดยใช้คำว่า “ลูกเล็ก ๆ ของข้าพเจ้า” และกล่าวถึงตัวเองว่าเป็น “ผู้เฒ่าผู้แก่.” (1 โย. 2:1, 12, 13, 18, 28; 3:7, 18; 4:4; 5:21; 2 โย. 1, ล.ม.; 3 โย. 1, ล.ม.) ทั้งหมดนี้ชี้ถึงเวลาที่เขียนจดหมายสามฉบับของท่านว่าอยู่ในช่วงหลัง ๆ. นอกจากนั้น 1 โยฮัน 1:3, 4 ดูเหมือนระบุว่ากิตติคุณของโยฮันก็เขียนในช่วงเวลาเดียวกัน. เชื่อกันโดยทั่วไปว่าจดหมายสามฉบับของโยฮันเขียนเสร็จประมาณปี ส.ศ. 98 ไม่นานก่อนท่านอัครสาวกสิ้นชีวิต และเขียนในบริเวณใกล้เมืองเอเฟโซ.
3. (ก) อะไรยืนยันฐานะผู้เขียนและความเชื่อถือได้ของพระธรรมโยฮันฉบับต้น? (ข) มีการเพิ่มเติมอะไรเข้ามาภายหลัง แต่อะไรพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นเป็นของปลอม?
3 ที่ว่าอัครสาวกโยฮันเป็นผู้เขียนพระธรรมนี้มีแสดงให้เห็นโดยความคล้ายคลึงกันมากกับกิตติคุณเล่มที่สี่ ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่าท่านเขียน. ตัวอย่างเช่น ท่านขึ้นต้นจดหมายโดยพรรณนาถึงตัวเองในฐานะเป็นประจักษ์พยานซึ่งได้เห็น “พระวาทะแห่งชีวิต . . . ชีวิตนิรันดร์นั้นได้ดำรงอยู่กับพระบิดาและได้ปรากฏแก่เราทั้งหลาย” คำพูดซึ่งคล้ายคลึงกันอย่างเห็นได้ชัดกับคำขึ้นต้นกิตติคุณของโยฮัน. ความเชื่อถือได้ของพระธรรมนี้มีการยืนยันโดยชิ้นส่วนของมูราโทรีและโดยนักเขียนรุ่นแรก ๆ แห่งศตวรรษที่สอง เช่น อิเรแนอุส, โพลีคาร์ป, และพาพีอัส.a ตามคำกล่าวของยูเซบิอุส (ประมาณปี ส.ศ. 260-340) ความเชื่อถือได้ของพระธรรมนี้ไม่เคยเป็นที่สงสัย.b อย่างไรก็ตาม พึงสังเกตว่าฉบับแปลที่เก่ากว่าบางฉบับได้เพิ่มเติมข้อความต่อไปนี้ในตอนท้ายข้อ 7 และตอนต้นข้อ 8 ของบทที่ 5 ดังนี้: “ในสวรรค์ พระบิดา, พระวาทะ, และพระวิญญาณบริสุทธิ์: และทั้งสามนี้เป็นหนึ่งเดียว. และมีสามสิ่งด้วยกันที่เป็นพยานบนแผ่นดินโลก.” (ฉบับแปลคิงเจมส์) แต่ข้อความนี้ไม่มีในฉบับสำเนาภาษากรีกรุ่นแรก ๆ ไม่ว่าฉบับใดและเห็นได้ชัดว่าข้อความดังกล่าวถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อสนับสนุนหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ. ฉบับแปลสมัยใหม่ส่วนใหญ่ ทั้งของคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ ไม่ได้รวมข้อความเหล่านี้ไว้ในเนื้อความหลัก.—1 โย. 1:1, 2, ฉบับแปลใหม่.c
4. โยฮันพยายามปกป้องพี่น้องคริสเตียนของท่านไว้จากใคร และท่านหักล้างคำสอนเท็จอะไรบ้าง?
4 โยฮันเขียนเพื่อปกป้องพวก “ที่รักทั้งหลาย” ของท่าน ซึ่งเป็น “ลูกเล็ก ๆ ทั้งหลาย” ของท่าน ไว้จากคำสอนผิด ๆ ของ “ผู้ต่อต้านพระคริสต์หลายคน” ที่ได้ออกไปจากท่ามกลางพวกเขาและพยายามล่อลวงพวกเขาให้ออกไปจากความจริง. (2:7, 18, ล.ม.) ผู้ต่อต้านพระคริสต์ซึ่งเป็นผู้ออกหากเหล่านี้อาจได้รับอิทธิพลจากปรัชญากรีก รวมทั้งลัทธิไญยนิยมสมัยแรก ๆ ซึ่งผู้ที่ถือลัทธินี้อ้างว่ามีความรู้พิเศษจากพระเจ้า.d โดยยืนหยัดต่อต้านการออกหาก โยฮันเขียนอย่างละเอียดเกี่ยวกับสามเรื่องคือ บาป, ความรัก, และผู้ต่อต้านพระคริสต์. คำกล่าวของท่านที่เกี่ยวกับบาปและที่สนับสนุนเรื่องค่าไถ่ของพระเยซูบ่งว่า ผู้ต่อต้านพระคริสต์เหล่านี้เป็นพวกที่ถือว่าตัวเองชอบธรรมโดยอ้างว่าตนไม่มีบาปและไม่จำเป็นต้องมีเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซู. “ความรู้” ที่มุ่งแต่เรื่องตัวเองของพวกเขาทำให้พวกเขาเห็นแก่ตัวและไร้ความรัก เป็นสภาพที่โยฮันเปิดโปงขณะที่ท่านเน้นอย่างต่อเนื่องในเรื่องความรักแท้แบบคริสเตียน. ยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนโยฮันกำลังต่อสู้กับหลักคำสอนเท็จขณะที่ท่านชี้แจงว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์, พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนมาเป็นมนุษย์, และพระองค์เสด็จมาในสภาพเนื้อหนังในฐานะพระบุตรของพระเจ้าเพื่อจัดเตรียมความรอดให้แก่คนที่เชื่อ. (1:7-10; 2:1, 2; 4:16-21; 2:22; 1:1, 2; 4:2, 3, 14, 15) โยฮันตราหน้าผู้สอนเท็จเหล่านี้ว่า “ผู้ต่อต้านพระคริสต์” และท่านบอกวิธีต่าง ๆ เพื่อจะดูออกว่าใครเป็นบุตรของพระเจ้าและใครเป็นลูกของมาร.—2:18, 22; 4:3.
5. อะไรแสดงว่าพระธรรมโยฮันฉบับต้นเขียนขึ้นเพื่อประชาคมคริสเตียนทั้งหมด?
5 เนื่องจากไม่มีกล่าวถึงประชาคมใดโดยเฉพาะ จึงปรากฏว่าจดหมายนี้เขียนเพื่อคริสเตียนทั้งหมด. การไม่มีคำทักทายตอนต้นหรือคำอวยพรตอนท้ายก็สนับสนุนเรื่องนี้ด้วย. บางคนกระทั่งพูดถึงพระธรรมนี้ว่าเป็นบทความมากกว่าเป็นจดหมาย. การใช้คำพหูพจน์ว่า “ท่านทั้งหลาย” โดยตลอด (ดังที่แสดงให้เห็นในฉบับแปลโลกใหม่ [ภาษาอังกฤษ] โดยใช้ตัวพิมพ์ใหญ่) แสดงว่าผู้เขียนมุ่งเขียนถ้อยคำของตนถึงกลุ่มคนมากกว่าถึงคนใดคนหนึ่ง.
เนื้อเรื่องในโยฮันฉบับต้น
6. โยฮันเทียบให้เห็นความแตกต่างอะไรระหว่างผู้ที่ดำเนินในความสว่างและผู้ที่อยู่ในความมืด?
6 การดำเนินในความสว่าง ไม่ใช่ในความมืด (1:1–2:29). โยฮันกล่าวว่า “เราเขียนข้อความเหล่านี้เพื่อความปลาบปลื้มยินดีของเราจะได้เต็มเปี่ยม.” เนื่องจาก “พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง” เฉพาะผู้ที่ “ดำเนินอยู่ในความสว่าง” ก็กำลัง “ร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์” และกับผู้ที่ดำเนินอย่างเดียวกัน. คนเหล่านี้ได้รับการชำระให้สะอาดจากบาปโดย “พระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์.” อีกด้านหนึ่ง ผู้ที่ “ยังดำเนินอยู่ในความมืด” และผู้ที่อ้างว่า “เราไม่มีบาป” ก็กำลังหลอกตัวเองให้หลง และความจริงไม่มีอยู่ในพวกเขา. ถ้าเขาสารภาพบาปของเขา พระเจ้าจะทรงสัตย์ซื่อและทรงอภัยพวกเขา.—1:4-8, ฉบับแปลใหม่.
7. (ก) คนเราจะแสดงอย่างไรว่าเขารู้จักและรักพระเจ้า? (ข) มีการระบุตัวผู้ต่อต้านพระคริสต์อย่างไร?
7 พระเยซูคริสต์ได้รับการระบุตัวว่าเป็น “เครื่องบูชาระงับพระพิโรธ” เพื่อบาปทั้งหลาย พระองค์ผู้เป็น “ผู้ช่วยเหลืออยู่กับพระบิดา.” ผู้ที่อ้างว่ารู้จักพระเจ้าแต่ไม่ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ก็เป็นคนมุสา. ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็อยู่ในความสว่าง แต่ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องก็กำลังเดินอยู่ในความมืด. โยฮันแนะนำอย่างหนักแน่นไม่ให้รักโลกหรือสิ่งของในโลก ท่านกล่าวว่า เพราะ “ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักของพระบิดามิได้อยู่ในผู้นั้นเลย.” ผู้ต่อต้านพระคริสต์หลายคนมาแล้ว และโยฮันอธิบายว่า “พวกเขาได้ออกไปจากพวกเรา” เพราะ “เขามิได้เป็นพวกเรา.” พวกผู้ต่อต้านพระคริสต์เป็นคนที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์. เขาปฏิเสธทั้งพระบิดาและพระบุตร. ขอให้ “ลูกเล็ก ๆ” ตั้งอยู่ในสิ่งที่ได้เรียนรู้ตั้งแต่เดิมเพื่อ “จะคงอยู่ร่วมสามัคคีกับพระบุตรและร่วมสามัคคีกับพระบิดา” ตามการแต่งตั้งที่ได้รับจากพระองค์ ซึ่งเป็นความจริง.—2:1, 2, 15, 18, 19, 24, ล.ม.
8. (ก) อะไรแยกบุตรของพระเจ้าจากลูกของมาร? (ข) “ลูกเล็ก ๆ” มารู้จักความรักอย่างไร และพวกเขาต้องตรวจดูอะไรอยู่เรื่อย ๆ เกี่ยวกับหัวใจของตน?
8 บุตรของพระเจ้าไม่ทำบาปเป็นอาจิณ (3:1-24). เนื่องจากความรักของพระบิดา พวกเขาจึงถูกเรียกว่า “บุตรของพระเจ้า” และในคราวการปรากฏของพระเจ้าพวกเขาจะเป็นเหมือนพระองค์และจะ “เห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น.” บาปคือการละเลยกฎหมาย และผู้ที่คงอยู่ร่วมสามัคคีกับพระคริสต์จะไม่ทำบาปเป็นอาจิณ. ผู้ที่ทำบาปอยู่เรื่อยไปก็เกิดมาจากมารซึ่งพระบุตรของพระเจ้าจะทำลายการงานของมันเสีย. ดังนั้น บุตรของพระเจ้าและลูกของมารจึงปรากฏชัด นั่นคือ ผู้ที่เกิดจากพระเจ้ามีความรักต่อกัน แต่ผู้ที่เกิดจากตัวชั่วร้ายเป็นเหมือนคายินซึ่งเกลียดชังและฆ่าน้องชายของตน. โยฮันบอก “ลูกเล็ก ๆ” ว่า พวกเขาได้มารู้จักความรักเพราะ “พระองค์ได้ทรงยอมสละจิตวิญญาณของพระองค์” เพื่อพวกเขา และท่านเตือนสติพวกเขาไม่ให้ “ปิดประตูแห่งความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุน” ต่อพี่น้องของตน. ให้พวกเขา “รัก มิใช่ด้วยถ้อยคำหรือลิ้น แต่ด้วยการกระทำและความจริง.” เพื่อให้รู้แน่ว่าพวกเขา “เกิดจากความจริง” หรือไม่ พวกเขาต้องตรวจดูสิ่งที่อยู่ในหัวใจของตนและดูว่าเขา “ทำสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่ชอบในสายพระเนตร [ของพระเจ้า]” หรือไม่. พวกเขาต้องปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์เพื่อจะ “มีความเชื่อในพระนามพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์และรักซึ่งกันและกัน.” ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะรู้ว่าพวกเขายังคงร่วมสามัคคีกับพระองค์ และพระองค์ทรงสถิตกับพวกเขาโดยพระวิญญาณ.—3:1, 2, 16-19, 22, 23, ล.ม.
9. (ก) ต้องทำการตรวจสอบอะไรเกี่ยวกับคำกล่าวที่มีขึ้นโดยการดลใจ? (ข) อะไรเน้นพันธะที่ให้รักกันและกัน?
9 การรักซึ่งกันและกันร่วมสามัคคีกับพระเจ้า (4:1–5:21). คำกล่าวโดยการดลใจจะต้องมีการตรวจสอบ. คำกล่าวที่ปฏิเสธเรื่องพระคริสต์เสด็จมาในสภาพเนื้อหนัง “มิได้มาจากพระเจ้า” แต่เป็นของผู้ต่อต้านพระคริสต์. คำกล่าวเหล่านั้นเกิดมาจากโลกและร่วมสามัคคีกับโลก แต่คำกล่าวโดยการดลใจที่เกี่ยวกับความจริงเกิดมาจากพระเจ้า. โยฮันกล่าวว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก” และ “ความรักในกรณีนี้คือ ไม่ใช่ว่าเราได้รักพระเจ้า แต่ว่าพระองค์ได้ทรงรักเราและได้ส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องบูชาระงับพระพิโรธเพราะบาปของเรา.” ดังนั้น จึงเป็นพันธะอันใหญ่หลวงจริง ๆ ที่ให้รักกันและกัน! ผู้ที่รักคนอื่นก็มีพระเจ้าคงอยู่ร่วมสามัคคีกับเขา และดังนั้น ความรักจึงถูกทำให้สมบูรณ์พร้อมจนพวกเขา “จะพูดอย่างสะดวกใจ” โดยปราศจากความกลัว. โยฮันกล่าวว่า “ส่วนพวกเรา เรารักเพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน.” “ผู้ที่รักพระเจ้าควรรักพี่น้องของตนด้วย.”—4:3, 8, 10, 17, 19, 21, ล.ม.
10. (ก) บุตรของพระเจ้าจะเอาชนะโลกอย่างไร และพวกเขามีความมั่นใจในเรื่องใด? (ข) พวกเขาต้องมีเจตคติเช่นไรต่อบาปและการไหว้รูปเคารพ?
10 การแสดงความรักในฐานะบุตรของพระเจ้าหมายถึงการปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ และเรื่องนี้จึงยังผลให้เอาชนะโลกโดยความเชื่อ. เกี่ยวกับผู้ที่แสดงความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าทรงให้คำพยานว่า พระองค์ได้ทรงประทาน “ชีวิตนิรันดร์ . . . และชีวิตนี้อยู่ในพระบุตรของพระองค์.” ดังนั้น พวกเขาจะมั่นใจว่าพระองค์จะทรงสดับฟังพวกเขาไม่ว่าเรื่องใดที่พวกเขาขอโดยประสานกับพระทัยประสงค์ของพระองค์. การอธรรมทุกอย่างเป็นบาป แต่ก็มีบาปซึ่งไม่ทำให้เกิดความตาย. ทุกคนที่กำเนิดจากพระเจ้าไม่ทำบาปเป็นอาจิณ. แม้ว่า “โลกทั้งสิ้นอยู่ในอำนาจตัวชั่วร้ายนั้น. แต่ . . . พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาแล้ว” และพระองค์ได้ทรงประทาน “ความสามารถทางปัญญา” แก่เหล่าสาวกของพระองค์เพื่อจะรับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ ซึ่งบัดนี้พวกเขาร่วมสามัคคีกับพระองค์ “โดยทางพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์.” พวกเขาต้องรักษาตัวให้พ้นจากรูปเคารพด้วย!—5:11, 19, 20, ล.ม.
เหตุที่เป็นประโยชน์
11. คริสเตียนในปัจจุบันจะต่อสู้ผู้ต่อต้านพระคริสต์และความปรารถนาแบบโลกอย่างไร?
11 ช่วงปีท้าย ๆ ของศตวรรษแรกแห่งสากลศักราชเป็นเช่นไร ทุกวันนี้ก็เป็นเช่นนั้นคือมี “ผู้ต่อต้านพระคริสต์หลายคน” ซึ่งเป็นพวกที่คริสเตียนแท้ต้องได้รับการเตือนให้ระวัง. คริสเตียนแท้เหล่านี้ต้องยึดมั่นกับ ‘ข่าวสารที่พวกเขาได้ยินแต่เดิมที่ว่า ให้มีความรักต่อกัน’ อีกทั้งคงอยู่ร่วมสามัคคีกับพระเจ้าและคำสอนแท้ต่อไป โดยปฏิบัติความชอบธรรมพร้อมกับพูดอย่างสะดวกใจ. (2:18, ล.ม.; 3:11, ล.ม.; 2:27-29) ที่สำคัญยิ่งเช่นกันคือคำเตือนให้ระวัง “ความปรารถนาของเนื้อหนัง, ความปรารถนาของตา, และการอวดอ้างปัจจัยการดำรงชีวิตของตน” ซึ่งเป็นการชั่วของโลกในแบบนิยมวัตถุเหล่านั้นที่ครอบงำพวกที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนเป็นส่วนใหญ่. คริสเตียนแท้จะปฏิเสธโลกและความปรารถนาของโลกโดยรู้ว่า “ผู้ที่ทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์.” ในยุคนี้ซึ่งมีแต่ความปรารถนาแบบโลก, การถือลัทธินิกาย, และความเกลียดชัง นับว่าเป็นประโยชน์จริง ๆ ที่จะศึกษาพระทัยประสงค์ของพระเจ้าโดยทางพระคัมภีร์ซึ่งมีขึ้นโดยการดลใจและทำตามพระทัยประสงค์นั้น!—2:15-17, ล.ม.
12. พระธรรมหนึ่งโยฮันเทียบให้เห็นความแตกต่างในเรื่องใดบ้างเพื่อประโยชน์ของเรา และเราจะเอาชนะโลกนี้อย่างไร?
12 เพื่อประโยชน์ของเรานั่นเองที่พระธรรมโยฮันฉบับต้นทำให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างแสงสว่างที่ส่องมาจากพระบิดากับความมืดที่มาจากตัวชั่วร้ายซึ่งเป็นความมืดที่ทำลายความจริง, ระหว่างคำสอนของพระเจ้าซึ่งให้ชีวิตกับคำโกหกหลอกลวงของผู้ต่อต้านพระคริสต์, ระหว่างความรักซึ่งแผ่คลุมประชาคมทั้งสิ้นแห่งผู้ที่ร่วมสามัคคีกับพระบิดาและพระบุตรของพระองค์กับความเกลียดชังที่ทำให้เกิดการฆาตกรรมเหมือนของคายินซึ่งมีอยู่ในพวกที่ “ออกไปจากพวกเรา . . . เพื่อจะเป็นที่ปรากฏชัดว่า มิใช่ทุกคนเป็นพวกเรา.” (2:19, ล.ม.; 1:5-7; 2:8-11, 22-25; 3:23, 24, 11, 12) เมื่อเข้าใจเรื่องนี้ เราควรปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะ ‘เอาชนะโลกนี้.’ และเราจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ก็โดยมีความเชื่อเข้มแข็งและโดยมี “ความรักต่อพระเจ้า” ซึ่งหมายถึงการปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์.—5:3, 4, ล.ม.
13. (ก) ความรักต่อพระเจ้าได้รับการเน้นอย่างไรว่าเป็นพลังที่เกิดผลจริง? (ข) ความรักของคริสเตียนควรเป็นแบบใด ซึ่งยังผลเป็นความสามัคคีเช่นไร?
13 “ความรักต่อพระเจ้า”—พลังกระตุ้นนี้ได้รับการเน้นอย่างดีเยี่ยมจริง ๆ ตลอดจดหมายนี้! ในบท 2 เราพบการเทียบให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างความรักต่อโลกและความรักต่อพระบิดา. จากนั้น จดหมายนี้ชี้ให้เราสนใจเรื่องที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก.” (4:8, 16, ล.ม.) และความรักนี้เกิดผลจริง ๆ! ความรักนี้มีการแสดงออกอย่างเลิศล้ำในการที่พระบิดาทรงส่ง “พระบุตรมาเป็นผู้ช่วยมนุษย์โลกให้รอด.” (4:14, ฉบับแปลใหม่) เรื่องนี้ควรกระตุ้นหัวใจเราให้มีความรักแบบที่หยั่งรู้ค่าและปราศจากความกลัว ซึ่งสอดคล้องกับถ้อยคำของท่านอัครสาวกที่ว่า “ส่วนพวกเรา เรารักเพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน.” (4:19, ล.ม.) ความรักของเราควรเป็นแบบเดียวกับความรักของพระบิดาและพระบุตร คือความรักที่เสียสละตัวเองและเกิดผลจริง. พระเยซูทรงสละจิตวิญญาณเพื่อพวกเราฉันใด “เราจึงมีพันธะที่จะสละจิตวิญญาณของเราเพื่อพี่น้อง” ฉันนั้น ใช่แล้ว ที่จะเปิดประตูแห่งความเห็นอกเห็นใจอันอ่อนละมุนเพื่อจะรักพี่น้องของเรา ไม่ใช่ด้วยถ้อยคำเท่านั้น แต่ “ด้วยการกระทำและความจริง.” (3:16-18, ล.ม.) ดังที่จดหมายของโยฮันแสดงอย่างชัดเจน ความรักนี้แหละ ซึ่งผนวกกับความรู้แท้เกี่ยวกับพระเจ้า ซึ่งผูกพันคนเหล่านั้นซึ่งดำเนินกับพระเจ้าต่อไปไว้ในความสามัคคีที่แตกสลายไม่ได้กับพระบิดาและพระบุตร. (2:5, 6) โยฮันกล่าวต่อรัชทายาทแห่งราชอาณาจักรซึ่งอยู่ในเครื่องผูกพันแห่งความรักอันน่ายินดีนี้ว่า “และเราร่วมสามัคคีกับองค์เที่ยงแท้ โดยทางพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์. นี่คือพระเจ้าเที่ยงแท้และชีวิตนิรันดร์.”—5:20, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
a สารานุกรม ดิ อินเตอร์แนชันแนล สแตนดาร์ด ไบเบิล (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 2 1982 เรียบเรียงโดย จี. ดับเบิลยู. บรอมิลีย์ หน้า 1095-1096.
b ดิ เอคเคลซิแอสตีคัล ฮิสตอรี III, XXIV, 17.
c การหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 2 หน้า 1019.
d พจนานุกรมคัมภีร์ไบเบิลฉบับใหม่ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับพิมพ์ครั้งที่สอง 1986 เรียบเรียงโดย เจ. ดี. ดักลาส หน้า 426, 604.