การศึกษาพระคัมภีร์ที่มีขึ้นโดยการดลใจพร้อมด้วยภูมิหลัง
บทเรียนที่ 9—โบราณคดีและบันทึกที่มีขึ้นโดยการดลใจ
การศึกษาสิ่งที่ค้นพบทางโบราณคดีและบันทึกโบราณเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ทางโลกที่สนับสนุนบันทึกในคัมภีร์ไบเบิล.
1. อะไรเป็นความหมายของ (ก) โบราณคดีเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล? (ข) สิ่งประดิษฐ์?
โบราณคดีเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลเป็นการศึกษาเรื่องชนชาติและเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสมัยคัมภีร์ไบเบิลโดยทางบันทึกเรื่องราว, เครื่องมือ, สิ่งปลูกสร้าง, และซากอื่น ๆ ซึ่งพบในพื้นดิน. การค้นหาซากโบราณหรือสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ตามโบราณสถานในคัมภีร์ไบเบิลต้องทำโดยการสำรวจมากมายและการขนย้ายดินหลายล้านตัน. สิ่งประดิษฐ์คือวัตถุใดก็ตามที่แสดงถึงผลงานของมนุษย์และให้หลักฐานเกี่ยวกับกิจกรรมและชีวิตของมนุษย์. สิ่งประดิษฐ์อาจหมายรวมถึงสิ่งของต่าง ๆ เช่น เครื่องปั้นดินเผา, ซากอาคาร, แผ่นดินเหนียว, ข้อความจารึก, เอกสาร, อนุสาวรีย์, และพงศาวดารที่จารึกบนหิน.
2. โบราณคดีเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลมีคุณค่าอย่างไร?
2 พอถึงต้นศตวรรษที่ 20 โบราณคดีได้รับการพัฒนาเป็นวิชาการที่ศึกษาอย่างถี่ถ้วน โดยที่การสำรวจดินแดนในคัมภีร์ไบเบิลได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยและพิพิธภัณฑสถานชั้นนำในยุโรปและอเมริกา. ผลก็คือ นักโบราณคดีได้เปิดเผยข้อมูลมากมายซึ่งให้ความกระจ่างเกี่ยวกับความเป็นไปของเรื่องราวต่าง ๆ ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล. บางครั้งการค้นพบทางโบราณคดีได้แสดงให้เห็นความเชื่อถือได้ของคัมภีร์ไบเบิล โดยแสดงว่าคัมภีร์ไบเบิลถูกต้องแม่นยำกระทั่งในรายละเอียดที่ปลีกย่อยที่สุด.
โบราณคดีและพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู
3. ซากและบันทึกโบราณอะไรบ้างที่ยืนยันเรื่องการมีซิกกุรัตในบาบูโลนโบราณ?
3 หอบาเบล. ตามคัมภีร์ไบเบิล หอบาเบลเป็นงานก่อสร้างที่ใหญ่โต. (เย. 11:1-9) น่าสนใจที่นักโบราณคดีได้ค้นพบสถานที่ตั้งซิกกุรัต หรือวิหารสูงที่เป็นขั้นบันไดรูปทรงคล้ายพีระมิดเป็นจำนวนมากทั้งในและรอบ ๆ ซากกรุงบาบูโลนโบราณ รวมทั้งซากวิหารเอเตเมนานกิซึ่งอยู่ภายในกำแพงกรุงบาบูโลนด้วย. บันทึกโบราณเกี่ยวกับวิหารเหล่านั้นมักมีข้อความว่า “ยอดของวิหารนี้จะสูงจดสวรรค์.” มีรายงานว่ากษัตริย์นะบูคัดเนซัรตรัสดังนี้: “ข้าได้สร้างยอดหอขั้นบันไดขึ้นที่เอเตเมนานกิเพื่อยอดหอนั้นจะสูงเทียมสวรรค์.” บันทึกนั้นชิ้นหนึ่งบอกเรื่องการพังทลายของซิกกุรัตนั้นแห่งหนึ่งด้วยถ้อยคำต่อไปนี้: “การสร้างวิหารนี้ได้ทำให้พวกพระขุ่นเคือง. ในคืนเดียวพวกพระได้ทำให้สิ่งที่สร้างขึ้นมาพังลง. พวกพระทำให้ฝูงชนกระจัดกระจายไป และทำให้ภาษาของพวกเขาผิดประหลาดไป. พวกพระขัดขวางไม่ให้คืบหน้า.”a
4. มีสิ่งที่ค้นพบทางโบราณคดีอะไรบ้างที่ฆีโฮน และสิ่งเหล่านั้นอาจเกี่ยวข้องกับบันทึกในคัมภีร์ไบเบิลอย่างไร?
4 อุโมงค์ส่งน้ำที่บ่อน้ำพุฆีโฮน. ในปี 1867 ที่บริเวณกรุงยะรูซาเลม ชาลส์ วอร์เรน ได้ค้นพบช่องทางที่น้ำไหลจากบ่อน้ำพุฆีโฮนเข้าไปในเขา ซึ่งมีช่องทางตรงขึ้นไปยังเมืองของดาวิด. ดูเหมือนทางนี้เป็นทางที่คนของดาวิดใช้บุกเมืองนี้เป็นครั้งแรก. (2 ซามู. 5:6-10) ระบบอุโมงค์ส่งน้ำจากบ่อน้ำพุฆีโฮนทั้งหมดถูกทำความสะอาดในปี 1909-1911. อุโมงค์ใหญ่อุโมงค์หนึ่งมีความสูงเฉลี่ย 1.8 เมตร เจาะผ่านหินแข็งเป็นระยะทาง 533 เมตร. อุโมงค์นี้เริ่มต้นจากน้ำพุฆีโฮนมายังสระชีโลอามในหุบเขาทีโรพีโอน (ภายในกรุง) และดูเหมือนว่าเป็นอุโมงค์ที่ฮิศคียาสร้างไว้. มีการพบคำจารึกด้วยอักขระฮีบรูยุคต้น ๆ บนผนังอุโมงค์แคบ ๆ. บางส่วนของคำจารึกนั้นอ่านว่า “และนี่เป็นทางที่เจาะเข้ามา—ขณะ [ . . . ] ยัง [ . . . ] ขวาน แต่ละคนเจาะไปหากัน และขณะที่ยังเหลืออีกสามศอกที่ต้องเจาะให้ทะลุ [ก็ได้ยิน] เสียงชายคนหนึ่งร้องเรียกเพื่อน เพราะก้อนหินทางขวา [กับทางซ้าย] เหลื่อมกัน. และเมื่ออุโมงค์มาบรรจบกัน คนที่ขุดเจาะก็เจาะ (ก้อนหิน) อย่างแรง แต่ละคนต่างเจาะเข้าหาเพื่อน ขวานกระทบกัน และน้ำไหลจากบ่อน้ำพุไปยังที่เก็บน้ำเป็นระยะทาง 1,200 ศอก และความสูงของหินเหนือศีรษะของคนขุด 100 ศอก.” นับเป็นความเก่งกาจทางวิศวกรรมสำหรับสมัยนั้นจริง ๆ!b—2 กษัต. 20:20; 2 โคร. 32:30.
5. มีหลักฐานทางโบราณคดีอะไรซึ่งพบที่คาร์นักเกี่ยวกับการรุกรานของชีชักกับชื่อสถานที่ในคัมภีร์ไบเบิล?
5 ภาพนูนแสดงชัยชนะของชีชัก. ในคัมภีร์ไบเบิลมีกล่าวถึงชีชักกษัตริย์ของอียิปต์เจ็ดครั้ง. เพราะกษัตริย์ระฮับอามละทิ้งพระบัญญัติของพระยะโฮวา พระยะโฮวาจึงปล่อยให้ชีชักรุกรานยูดาห์ในปี 993 ก.ส.ศ. แต่ไม่ให้ทำลายจนสิ้นซาก. (1 กษัต. 14:25-28; 2 โคร. 12:1-12) จนถึงเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ดูเหมือนมีแต่คัมภีร์ไบเบิลเท่านั้นที่บันทึกเรื่องการรุกรานครั้งนั้น. แล้วต่อมาจึงปรากฏหลักฐานขนาดใหญ่เกี่ยวกับฟาโรห์ที่คัมภีร์ไบเบิลเรียกว่าชีชัก (เชชองที่ 1). หลักฐานนี้เป็นอักษรภาพและภาพนูนขนาดใหญ่บนกำแพงด้านใต้ของวิหารใหญ่โตของอียิปต์ที่เมืองคาร์นัก (เมืองทีบส์โบราณ). บนภาพนูนที่ใหญ่โตนี้มีภาพเทพอาโมนของชาวอียิปต์ ซึ่งมือขวาถือดาบรูปร่างเหมือนเคียว. เทพองค์นั้นกำลังนำเชลยชาวปาเลสไตน์ 156 คนซึ่งถูกล่ามติดกันไปให้ฟาโรห์ชีชัก พวกเขาถูกล่ามด้วยเชือกที่ผูกกับมือซ้ายของอาโมน. เชลยแต่ละคนเป็นตัวแทนจากเมืองหรือหมู่บ้านซึ่งมีชื่อแสดงไว้ด้วยตัวอักษรภาพ. ชื่อเมืองเท่าที่ยังอ่านและระบุได้คือเมืองราบีธ (ยโฮ. 19:20); ธานาค, เบธซาน, และมะคิโด (ยโฮ. 17:11); ซูเนม (ยโฮ. 19:18); ระโฮบ (ยโฮ. 19:28); ฮะฟารายิม (ยโฮ. 19:19); ฆิบโอน (ยโฮ. 18:25); เบธโฮโรน (ยโฮ. 21:22); อายาโลน (ยโฮ. 21:24); โซโค (ยโฮ. 15:35); และอาราด (ยโฮ. 12:14). หลักฐานนั้นยังกล่าวถึง “ทุ่งนาของอับราม” ด้วย ซึ่งเป็นการกล่าวถึงอับราฮามครั้งแรกสุดในบันทึกของชาวอียิปต์.c
6, 7. ประวัติของศิลาจารึกของชาวโมอาบเป็นอย่างไร และศิลานี้ให้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับสงครามระหว่างชาติยิศราเอลกับโมอาบ?
6 ศิลาจารึกของชาวโมอาบ. ในปี 1868 มิชชันนารีชาวเยอรมันชื่อ เอฟ. เอ. ไคลน์ ได้ทำการค้นพบที่โดดเด่นเกี่ยวกับข้อความจารึกโบราณที่ไดบาน (ดีโบน). ข้อความจารึกนี้มาเป็นที่รู้จักกันว่า ศิลาจารึกของชาวโมอาบ. มีการใช้ปูนปลาสเตอร์พิมพ์ข้อความบนศิลาจารึกนี้ออกมา แต่ตัวศิลาเองถูกชาวเบดูอินทำแตกก่อนจะขนย้ายได้. อย่างไรก็ตาม ชิ้นส่วนเกือบทั้งหมดถูกนำกลับคืนมา และปัจจุบันศิลานี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานลูฟร์ที่ปารีส มีแบบจำลองอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานอังกฤษที่ลอนดอน. แต่เดิมศิลานี้ตั้งอยู่ที่ดีโบนในโมอาบ และมีข้อความจากแง่คิดของกษัตริย์เมซาเรื่องการกบฏต่อยิศราเอล. (2 กษัต. 1:1; 3:4, 5) ข้อความบางส่วนมีว่า “ข้า (คือ) เมซา โอรสแห่งคีโมส [ . . . ] กษัตริย์แห่งโมอาบ ชาวดีโบน . . . สำหรับอัมรีกษัตริย์ยิศราเอล เขากดขี่โมอาบหลายปี (ตามตัวอักษร, หลายวัน) เพราะคีโมส [พระแห่งโมอาบ] พิโรธต่อแผ่นดินของพระองค์. โอรสของท่านก็รู้สึกเหมือนกันและท่านได้กล่าวด้วยว่า ‘ข้าจะกดขี่ชาวโมอาบ.’ ในยุคของข้าท่านก็ได้พูด (อย่างนั้น) แต่ข้าได้เอาชนะท่านและราชวงศ์ของท่าน โดยที่ชาติยิศราเอลได้สาบสูญไปตลอดกาล! . . . และคีโมสได้ตรัสแก่ข้าว่า ‘จงไปชิงเมืองเนโบจากยิศราเอล!’ ดังนั้นข้าจึงเดินทัพตอนกลางคืนและรบกับเมืองนั้นนับตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเที่ยง ยึดเมืองนั้นได้ และสังหารทุกคน . . . และข้าได้นำ [ภาชนะ] ของยาห์เวห์ และได้นำมาต่อหน้าคีโมส.”d ขอให้สังเกตการกล่าวถึงพระนามของพระเจ้าในประโยคสุดท้าย. จะเห็นพระนามนี้ได้จากภาพศิลาจารึกของชาวโมอาบในหน้าก่อน. พระนามนี้อยู่ในรูปเททรากรัมมาทอน ทางมุมขวาของคำจารึกบรรทัดที่ 18.
7 ศิลาจารึกของชาวโมอาบยังกล่าวถึงสถานที่ต่อไปนี้ในคัมภีร์ไบเบิลด้วย เช่น เมืองอะตาโรธาและเนโบ (อาฤ. 32:34, 37); อะระโนน, อะโรเอร, ที่ราบเมดะบา, และดีโบน (ยโฮ. 13:9); บาโมธบาละ, เบธบาละมะโอน, ยาฮะซา, และคีระยาธายิม (ยโฮ. 13:17-19); เบเซ็ร (ยโฮ. 20:8); โฮโรนายิม (ยซา. 15:5); และเบ็ดดิบลาธายิมและฆรีโอธ (ยิระ. 48:23, 24). ศิลาจารึกของชาวโมอาบจึงสนับสนุนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเมืองเหล่านี้.
8. คัมภีร์ไบเบิลบันทึกอะไรเกี่ยวกับซันเฮริบ และการขุดค้นพระราชวังของท่านเผยให้เห็นอะไร?
8 แท่งปริซึมของกษัตริย์ซันเฮริบ. คัมภีร์ไบเบิลบันทึกละเอียดมากทีเดียวเกี่ยวกับการรุกรานโดยพวกอัสซีเรียภายใต้การนำของกษัตริย์ซันเฮริบในปี 732 ก.ส.ศ. (2 กษัต. 18:13–19:37; 2 โคร. 32:1-22; ยซา. 36:1–37:38) ระหว่างปี 1847-1851 เอ. เอช. เลย์อาร์ด นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ขุดพบซากพระราชวังหลังใหญ่ของซันเฮริบที่นีนะเวในเขตของอัสซีเรียโบราณ. พระราชวังหลังนี้มีประมาณ 70 ห้อง มีผนังยาวเกือบ 3,000 เมตรที่มีแผ่นรูปแกะสลักเรียงรายไว้. บันทึกเหตุการณ์ประจำปีของซันเฮริบถูกบันทึกลงบนกระบอกดินเหนียวหรือปริซึม. บันทึกเหตุการณ์ชุดสุดท้ายดูเหมือนเขียนไม่นานก่อนท่านสิ้นชีพ ปรากฏบนสิ่งที่รู้จักกันว่าแท่งปริซึมเทย์เลอร์ ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานอังกฤษ แต่สถาบันเกี่ยวกับตะวันออกแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโกมีปริซึมที่ดีเยี่ยมกว่านั้นอีกซึ่งถูกค้นพบใกล้กับที่ตั้งเมืองนีนะเวโบราณ เมืองหลวงของจักรวรรดิอัสซีเรีย.
9. ซันเฮริบบันทึกเรื่องอะไรซึ่งสอดคล้องกับบันทึกในคัมภีร์ไบเบิล แต่ท่านไม่ได้กล่าวถึงอะไร และเพราะเหตุใด?
9 ในบันทึกประจำปีชุดสุดท้ายนี้ ซันเฮริบให้บันทึกคำโอ้อวดของตนในเรื่องการรุกรานยูดาห์ดังนี้: “เกี่ยวกับฮิศคียาชาวยิว เขาไม่ยอมอยู่ใต้แอกของข้า ข้าได้ล้อม 46 เมืองที่แข็งแกร่งซึ่งมีป้อมที่มีกำแพง รวมทั้งหมู่บ้านเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนในเขตแดนของเขา และพิชิต (เมืองเหล่านั้น) โดยใช้บันไดพาดที่แข็งแรง และเครื่องกระทุ้งกำแพง (ซึ่ง) นำมาใกล้ (กำแพง) (ร่วมกับ) การโจมตีโดยพลเดินเท้า, (ซึ่งใช้) ทางใต้ดิน, รอยแตกบนกำแพง, รวมทั้งการขุดอุโมงค์. ข้าได้นำ (พวกเขา) 200,150 คน ทั้งเด็กและคนแก่, ชายและหญิง, ม้า, ลา, ล่อ, อูฐ, วัวทั้งใหญ่และเล็กนับไม่ถ้วน, และถือว่าเป็นของยึดมาได้. ตัวเขาเอง [ฮิศคียา] ข้าขังไว้ในยะรูซาเลม ในวังของเขา เหมือนนกในกรง . . . เมืองต่าง ๆ ของเขาที่ข้าปล้นมา ข้าแยกออกจากประเทศของเขาและยก (ให้) มิทินทิกษัตริย์แห่งอัศโดด, ปาดิกษัตริย์แห่งเอคโรน และซิลลิเบลกษัตริย์แห่งกาซา . . . ฮิศคียาเอง . . . ภายหลังได้ส่งมายังนีนะเวนครโอ่อ่าของข้าด้วยทองคำ 30 ตะลันต์, เงิน 800 ตะลันต์, อัญมณีล้ำค่าต่าง ๆ, พลวง, พลอยสีแดงเจียระไนเม็ดใหญ่, ที่นอน (ฝัง) งาช้าง, เก้าอี้นิเมดู (ฝัง) งาช้าง, หนังช้าง, ไม้ดำ, ไม้ต้นบอกซ์, และทรัพย์สมบัติมีค่าทุกชนิด, ธิดา (ของเขา), นางสนม, นักดนตรีชายหญิง. เพื่อถวายบรรณาการและเพื่อแสดงการอ่อนน้อมเยี่ยงทาส เขาได้ส่งราชทูต (ส่วนตัว) มา.”e เกี่ยวกับบรรณาการที่ซันเฮริบเรียกร้องจากฮิศคียานั้น คัมภีร์ไบเบิลยืนยันว่ามีทองคำ 30 ตะลันต์จริง แต่กล่าวถึงเงินเพียง 300 ตะลันต์เท่านั้น. ยิ่งกว่านั้น คัมภีร์ไบเบิลแสดงว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อน ที่ซันเฮริบคุกคามยะรูซาเลมด้วยการล้อม. ในรายงานที่บิดเบือนของซันเฮริบสำหรับประวัติศาสตร์อัสซีเรีย เขาเจตนาตัดทอนคำกล่าวเกี่ยวกับการที่เขาพ่ายแพ้ย่อยยับในยูดา เมื่อทูตของพระยะโฮวาทำลายทหารของเขา 185,000 คนในคืนเดียว จึงบังคับเขาให้หนีกลับนีนะเวเหมือนสุนัขที่ถูกตี. ถึงกระนั้น บันทึกข้อความโอ้อวดบนแท่งปริซึมของซันเฮริบก็บอกเรื่องการรุกรานยูดาห์ครั้งใหญ่ก่อนที่พระยะโฮวาทรงทำให้ชาวอัสซีเรียล่าถอยไปหลังจากคุกคามกรุงยะรูซาเลม.—2 กษัต. 18:14; 19:35, 36.
10, 11. (ก) จดหมายของลาคิชคืออะไร และจดหมายเหล่านั้นสะท้อนให้เห็นอะไร? (ข) จดหมายเหล่านั้นสนับสนุนบันทึกของยิระมะยาอย่างไร?
10 จดหมายของลาคิช. ลาคิช เมืองด่านที่มีชื่อได้รับการกล่าวถึงมากกว่า 20 ครั้งในคัมภีร์ไบเบิล. เมืองนี้ตั้งอยู่ห่างจากยะรูซาเลมไปทางตะวันตกเฉียงใต้ 44 กิโลเมตร. ซากเมืองถูกขุดค้นเป็นบริเวณกว้าง. ในปี 1935 ในห้องยามหนึ่งในบรรดาห้องยามที่อยู่สองฟากของประตูเมือง มีการพบชิ้นส่วนเครื่องปั้นดินเผาที่มีข้อความจารึกไว้ 18 ชิ้น (อีก 3 ชิ้นพบในปี 1938). ชิ้นส่วนเหล่านี้ปรากฏว่าเป็นจดหมายจำนวนหนึ่งที่เขียนด้วยตัวอักขระฮีบรูโบราณ. ชุดชิ้นส่วน 21 ชิ้นนี้ปัจจุบันรู้จักกันว่าจดหมายของลาคิช. ลาคิชเป็นหนึ่งในบรรดาที่มั่นสุดท้ายของยูดาห์ซึ่งต้านทานการโจมตีของนะบูคัดเนซัร ถูกทำลายเป็นซากหักพังระหว่างปี 609-607 ก.ส.ศ. จดหมายเหล่านั้นแสดงให้เห็นความเร่งด่วนของสมัยนั้น. จดหมายเหล่านั้นดูเหมือนเป็นจดหมายที่ทหารแนวหน้าของยูดาห์ที่ยังเหลืออยู่เขียนถึงยาโอช ผู้บัญชาการทหารที่ลาคิช. ฉบับหนึ่ง (หมายเลข 4) มีข้อความบางส่วนดังนี้: “ขอ ยฮวฮ [เททรากรัมมาทอน, “ยะโฮวา”] ทรงโปรดให้นายข้าได้ยินข่าวดีแม้ในตอนนี้. . . . เรากำลังมองหาสัญญาณไฟจากลาคิช ตามสัญญาณต่าง ๆ ที่นายข้าให้ เพราะเรามองไม่เห็นอะเซคา.” นี่เป็นการยืนยันอย่างน่าทึ่งเกี่ยวกับยิระมะยา 34:7 ซึ่งกล่าวถึงลาคิชและอะเซคาว่าเป็นเมืองที่มั่นสองแห่งสุดท้ายที่เหลืออยู่. จดหมายนี้ดูเหมือนบ่งชี้ว่าอะเซคาแตกแล้ว. พระนามของพระเจ้าในรูปของเททรากรัมมาทอนปรากฏบ่อยครั้งในจดหมายเหล่านั้น แสดงว่ามีการใช้พระนามยะโฮวาเป็นประจำท่ามกลางชาวยิวในสมัยนั้น.
11 จดหมายอีกฉบับหนึ่ง (หมายเลข 3) เริ่มต้นดังนี้: “ขอ ยฮวฮ [คือ ยะโฮวา] ทรงโปรดให้นายข้าได้ยินข่าวเรื่องสันติสุข! . . . มีรายงานมาถึงบ่าวของท่านว่า ‘ผู้บัญชาการทหารโคนียาบุตรเอลนาธัน ได้ลงมาเพื่อไปยังอียิปต์และไปหาโฮดาวิอาบุตรของอะฮียาและท่านได้ส่งคนของท่านไปรับ [เสบียง] จากเขา.’” จดหมายนี้ดูเหมือนยืนยันว่ายูดาห์ได้ไปขอความช่วยเหลือจากอียิปต์ เป็นการฝ่าฝืนพระบัญชาของพระยะโฮวาและเป็นความพินาศแก่ตนเอง. (ยซา. 31:1; ยิระ. 46:25, 26) ชื่อเอลนาธันและโฮซายาห์ซึ่งปรากฏในข้อความทั้งหมดของจดหมายนี้ก็พบได้ที่ยิระมะยา 36:12 และยิระมะยา 42:1 (ฉบับแปลใหม่) ด้วย. อีกสามชื่อที่กล่าวถึงในจดหมายเหล่านั้นก็พบในพระธรรมยิระมะยาเช่นกัน. ชื่อเหล่านั้นคือ คะมาระยา, เนรียา, และยาซันยา.—ยิระ. 32:12; 35:3; 36:10.f
12, 13. พงศาวดารนะโบไนดัสอธิบายเรื่องอะไร และเหตุใดพงศาวดารนี้จึงมีค่าเป็นพิเศษ?
12 พงศาวดารนะโบไนดัส. ในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 การขุดค้นใกล้กรุงแบกแดดทำให้พบแผ่นและกระบอกดินเหนียวที่ให้ความกระจ่างมากเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของบาบูโลนโบราณ. หนึ่งในสิ่งเหล่านี้เป็นเอกสารที่มีค่ามากซึ่งรู้จักกันว่า พงศาวดารนะโบไนดัส ซึ่งตอนนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑสถานอังกฤษ. กษัตริย์นะโบไนดัสแห่งบาบูโลนเป็นบิดาของเบละซาซัรผู้ครองราชย์ร่วมกัน. ท่านมีอายุยืนกว่าเบละซาซัรราชบุตรซึ่งถูกฆ่าในคืนที่กองทหารของไซรัสชาวเปอร์เซียยึดบาบูโลน เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ปี 539 ก.ส.ศ. (ดานิ. 5:30, 31) พงศาวดารนะโบไนดัส เป็นบันทึกที่บอกเวลาที่บาบูโลนล่มจมอย่างชัดเจน ช่วยให้กำหนดแน่ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นวันใด. ต่อไปนี้เป็นการแปลส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งของพงศาวดารนะโบไนดัส: “ในเดือนทาชริทู [ทิชรี (กันยายน-ตุลาคม)] เมื่อไซรัสโจมตีกองทัพของอักกาดที่เมืองโอปิสบนฝั่งแม่น้ำไทกริส . . . วันที่ 14 เมืองซิพพาร์ถูกยึดโดยปราศจากการรบ. นะโบไนดัสหนีไป. วันที่ 16 [วันที่ 11 ตุลาคม ปี 539 ก.ส.ศ. ตามปฏิทินของจูเลียน หรือ วันที่ 5 ตุลาคมตามปฏิทินเกรกอเรียน] โกไบรอัส (อุกบารู) ผู้ว่าราชการเมืองกูทิอุมและกองทัพของไซรัสเข้าสู่บาบูโลนโดยไม่มีการสู้รบ. หลังจากนั้นนะโบไนดัสถูกจับในบาบูโลนเมื่อท่านกลับไป (ที่นั่น). . . . ในเดือนอะราห์ชัมนู [มาร์เชสวาน (ตุลาคม-พฤศจิกายน) วันที่ 3 [วันที่ 28 ตุลาคมตามปฏิทินจูเลียน] ไซรัสเข้าบาบูโลน มีการปูกิ่งไม้สีเขียวข้างหน้าท่าน—มีการประกาศสภาพการณ์ ‘สันติสุข’ (ซุลมู) แก่เมืองนี้. ไซรัสได้ส่งความปรารถนาดีไปทั่วบาบูโลน. โกไบรอัส ผู้ว่าราชการของท่าน ได้ตั้ง (รอง) ผู้ว่าราชการในบาบูโลน.”g
13 อาจสังเกตเห็นว่าไม่มีการกล่าวถึงดาระยาศชาวมีเดียในพงศาวดารนี้ และจนถึงบัดนี้ ก็ไม่พบชื่อดาระยาศในข้อความจารึกภายนอกคัมภีร์ไบเบิล และไม่มีการกล่าวถึงในเอกสารทางประวัติศาสตร์ทางโลกก่อนสมัยของโยเซฟุส (นักประวัติศาสตร์ชาวยิวสมัยศตวรรษแรก ส.ศ.). บางคนจึงแนะว่าดาระยาศน่าจะเป็นโกไบรอัสที่มีกล่าวถึงในบันทึกในข้อก่อน. ขณะที่ข้อมูลเกี่ยวกับโกไบรอัสเท่าที่หาได้ดูเหมือนคล้ายคลึงกับข้อมูลเกี่ยวกับดาระยาศ แต่ก็ไม่อาจระบุแน่นอนเช่นนั้นได้.h ไม่ว่าอย่างไร ประวัติศาสตร์ทางโลกก็ระบุแน่นอนว่า ไซรัสเป็นบุคคลสำคัญในการพิชิตบาบูโลนและภายหลังท่านได้ปกครองเป็นกษัตริย์ที่นั่น.
14. กระบอกดินเหนียวของไซรัสบันทึกอะไรไว้?
14 กระบอกดินเหนียวของไซรัส. หลังจากไซรัสเริ่มปกครองเป็นกษัตริย์แห่งมหาอำนาจเปอร์เซียระยะหนึ่ง เรื่องที่ไซรัสยึดบาบูโลนในปี 539 ก.ส.ศ. จึงถูกบันทึกลงบนกระบอกดินเหนียว. เอกสารที่โดดเด่นนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานอังกฤษเช่นกัน. ส่วนหนึ่งของข้อความที่ได้รับการแปลคือดังนี้: “ข้าคือไซรัส กษัตริย์ของโลก กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ กษัตริย์ที่ชอบด้วยกฎหมาย กษัตริย์แห่งบาบูโลน กษัตริย์แห่งซูเมอร์และอักกาด กษัตริย์แห่งทิศทั้งสี่ (แห่งแผ่นดินโลก) . . . ข้าได้ส่งคืนถึงเมืองศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ [ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้] บนอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำไทกริส, สถานศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่ปรักหักพังมาเป็นเวลานาน, รูปปั้นซึ่ง (เคย) อยู่ในที่นั้น, และได้ตั้งสถานศักดิ์สิทธิ์ถาวรให้. ข้า (ยังได้) รวบรวมผู้คนที่ (เคย) อาศัยอยู่ในที่เหล่านั้นและได้ส่งพวกเขากลับไป (ยังที่เหล่านั้น).”i
15. กระบอกดินเหนียวของไซรัสเผยให้ทราบอะไรเกี่ยวกับไซรัส และเรื่องนี้สอดคล้องกับคัมภีร์ไบเบิลอย่างไร?
15 กระบอกดินเหนียวของไซรัสจึงทำให้เราทราบนโยบายของกษัตริย์ในเรื่องการส่งชนชาติที่ตกเป็นเชลยกลับไปยังที่ที่พวกเขาเคยอยู่. สอดคล้องกับเรื่องนี้ ไซรัสได้มีราชโองการให้ชาวยิวกลับไปยังยะรูซาเลมและสร้างพระวิหารของพระยะโฮวาขึ้นใหม่ที่นั่น. น่าสนใจที่ 200 ปีก่อนหน้านั้น พระยะโฮวาทรงเอ่ยชื่อไซรัสในคำพยากรณ์ว่าเป็นผู้ซึ่งจะยึดบาบูโลนและทำให้มีการนำไพร่พลของพระยะโฮวากลับไปสู่ที่เดิม.—ยซา. 44:28; 45:1; 2 โคร. 36:23.
โบราณคดีและพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก
16. โบราณคดีได้เผยให้เห็นอะไรซึ่งเกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก?
16 เช่นเดียวกับพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู โบราณคดีเผยให้เห็นสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจหลายอย่างซึ่งสนับสนุนบันทึกโดยการดลใจในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก.
17. โบราณคดีสนับสนุนการถกเหตุผลของพระเยซูเกี่ยวกับคำถามเรื่องภาษีอย่างไร?
17 เหรียญเดนาริอนพร้อมกับรูปของทิเบริอุส. คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นชัดเจนว่างานรับใช้ของพระเยซูมีขึ้นระหว่างการปกครองของทิเบริอุส ซีซาร์ (ติเบเรียวกายะซา). ผู้ต่อต้านพระเยซูบางคนพยายามทำให้พระองค์ติดกับโดยถามเรื่องการเสียภาษีแก่ซีซาร์. บันทึกบอกว่า “พระองค์ทรงทราบอุบายของเขาจึงตรัสแก่เขาว่า, ‘ท่านทั้งหลายมาทดลองเราทำไม? จงเอาเงินตราแผ่นหนึ่งมาให้เราดู.’ เขาก็เอามาให้. พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า, ‘รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?’ เขาทูลตอบพระองค์ว่า, ‘ของกายะซา,’ พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า, ‘ของของกายะซาจงถวายแก่กายะซา, และของของพระเจ้า จงถวายแก่พระเจ้า.’ ฝ่ายเขาก็ประหลาดใจในพระองค์ยิ่งนัก.” (มโก. 12:15-17) นักโบราณคดีได้พบเหรียญเดนาริอนที่เป็นเงินซึ่งมีรูปศีรษะของทิเบริอุส ซีซาร์! มีการออกเหรียญแบบนี้มาใช้ราว ๆ ปี ส.ศ. 15. เรื่องนี้สอดคล้องกับระยะเวลาที่ทิเบริอุสปกครองเป็นจักรพรรดิซึ่งเริ่มในปี ส.ศ. 14 และเรื่องนี้ยังสนับสนุนบันทึกที่กล่าวว่าการรับใช้ของโยฮันผู้ให้บัพติสมาเริ่มในปีที่ 15 แห่งรัชกาลของทิเบริอุส หรือในฤดูใบไม้ผลิปี ส.ศ. 29.—ลูกา 3:1, 2.
18. มีการค้นพบอะไรซึ่งมีข้ออ้างอิงถึงปนเตียว ปีลาต?
18 คำจารึกเกี่ยวกับปนเตียว ปีลาต. สิ่งที่ค้นพบทางโบราณคดีมีการอ้างอิงถึงปนเตียว ปีลาตเป็นครั้งแรกในปี 1961. นั่นเป็นแผ่นหินซึ่งอยู่ที่เมืองซีซาเรีย (กายซาไรอา) มีชื่อปนเตียว ปีลาตในภาษาลาติน.
19. อะไรยังคงมีอยู่ที่เอเธนส์ซึ่งยืนยันฉากเหตุการณ์ในกิจการ 17:16-34?
19 อารีโอพากุส (อาเรียว). ในเอเธนส์ ประเทศกรีซ เมื่อปี ส.ศ. 50 เปาโลได้ให้คำบรรยายอันเลื่องชื่อที่สุดครั้งหนึ่งในคำบรรยายทั้งหลายของท่านที่มีบันทึกไว้. (กิจ. 17:16-34) นั่นเป็นคราวที่ชาวเอเธนส์บางคนจับเปาโลและนำท่านไปที่อารีโอพากุส. อารีโอพากุส หรือเขาอาเรส (เขามาส์) เป็นชื่อของเขาโล้นที่เต็มไปด้วยหิน สูงราว 113 เมตร อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอะโครโพลิสของนครเอเธนส์. บันไดที่เกิดจากการเจาะหินเป็นขั้น ๆ นำขึ้นสู่ยอดเขา ที่นั่นมีม้านั่งหินที่สกัดอย่างหยาบ ๆ ประกอบเป็นสามด้านของสี่เหลี่ยมซึ่งยังพบเห็นได้. อารีโอพากุสยังคงอยู่ ซึ่งยืนยันฉากเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับการบรรยายครั้งประวัติศาสตร์ของเปาโล.
20. ซุ้มประตูของทิทุสยังคงยืนยันเรื่องอะไร และโดยวิธีใด?
20 ซุ้มประตูของทิทุส. ยะรูซาเลมและพระวิหารถูกทำลายโดยกองทัพโรมันภายใต้ทิทุสเมื่อปี ส.ศ. 70. ที่โรมในปีต่อมา ทิทุสฉลองชัยชนะของเขาพร้อมกับราชบิดาคือจักรพรรดิเวสปาเชียน. เชลยชาวยิวที่ถูกเลือกไว้เจ็ดร้อยคนถูกนำมาเดินในขบวนแห่ฉลองชัย. ทรัพย์สิ่งของมากมายที่ยึดได้จากสงครามถูกนำมาแสดงในขบวนแห่ด้วย รวมทั้งสมบัติในพระวิหาร. ต่อมาทิทุสได้เป็นจักรพรรดิ ครองราชย์ตั้งแต่ปี ส.ศ. 79 ถึงปี ส.ศ. 81 และหลังจากเขาสิ้นชีพ อนุสาวรีย์ขนาดใหญ่ คือซุ้มประตูของทิทุส ก็สร้างเสร็จและอุทิศแด่ดิโว ทิโท (แด่ทิทุสที่ได้รับการยกย่องเสมือนพระเจ้า). มีการสลักภาพขบวนแห่ฉลองชัยชนะของเขาเป็นภาพนูนบนผนังแต่ละด้านของทางผ่านซุ้มประตู. บนด้านหนึ่งเป็นภาพทหารโรมันถือหอกที่ไม่มีปลายหอกและสวมมงกุฎใบไม้ แบกหามเครื่องใช้อันศักดิ์สิทธิ์จากพระวิหารในยะรูซาเลม. เครื่องใช้เหล่านั้นรวมทั้งเชิงตะเกียงเจ็ดกิ่งและโต๊ะตั้งขนมปัง มีแตรศักดิ์สิทธิ์วางอยู่บนนั้น. ภาพนูนอีกด้านหนึ่งแสดงให้เห็นทิทุสผู้มีชัยยืนบนรถรบที่ลากด้วยม้าสี่ตัวและนำโดยผู้หญิงที่เป็นตัวแทนกรุงโรม.j แต่ละปีมีผู้คนนับพันนับหมื่นมาชมซุ้มประตูแห่งชัยชนะของทิทุสซึ่งยังคงตั้งอยู่ในกรุงโรมเป็นพยานอย่างเงียบ ๆ ถึงความสำเร็จเป็นจริงแห่งคำพยากรณ์ของพระเยซูและการสำเร็จโทษอันน่ากลัวตามคำพิพากษาของพระยะโฮวาต่อยะรูซาเลมที่ขืนอำนาจ.—มัด. 23:37–24:2; ลูกา 19:43, 44; 21:20-24.
21. (ก) ในทางใดที่โบราณคดีช่วยเราเช่นเดียวกับการค้นพบฉบับสำเนาเก่าแก่? (ข) ควรมีเจตคติที่เหมาะสมเช่นไรต่อโบราณคดี?
21 เช่นเดียวกับที่การค้นพบฉบับสำเนาโบราณช่วยให้ได้ข้อความดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ของคัมภีร์ไบเบิล การค้นพบสิ่งประดิษฐ์จำนวนมากก็มักแสดงให้เห็นว่าเรื่องต่าง ๆ ที่มีกล่าวถึงในข้อความของคัมภีร์ไบเบิลนั้นไว้ใจได้ในด้านประวัติศาสตร์, ลำดับเวลา, และภูมิศาสตร์ จนถึงรายละเอียดปลีกย่อยที่สุด. อย่างไรก็ตาม คงเป็นความผิดพลาดถ้าจะลงความเห็นว่าโบราณคดีสอดคล้องกับคัมภีร์ไบเบิลในทุกกรณี. พึงต้องจำไว้ว่าโบราณคดีไม่ใช่สาขาวิชาที่ไม่มีข้อผิดพลาด. สิ่งที่ค้นพบทางโบราณคดีเป็นไปตามการตีความของมนุษย์ และการตีความเหล่านั้นบางอย่างเปลี่ยนไปเป็นครั้งคราว. บางครั้งโบราณคดีก็สนับสนุนความจริงแห่งพระคำของพระเจ้าอย่างไม่ได้คาดหมาย. นอกจากนั้น ดังที่เซอร์เฟรเดอริก เคนยอนผู้ล่วงลับ ซึ่งเคยเป็นผู้อำนวยการและบรรณารักษ์ใหญ่แห่งพิพิธภัณฑสถานอังกฤษเป็นเวลาหลายปี ได้กล่าวว่า โบราณคดีได้ทำให้คัมภีร์ไบเบิล “เป็นที่เข้าใจได้ดีขึ้นโดยความรู้ที่ละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นเกี่ยวกับภูมิหลังและสภาพแวดล้อมของคัมภีร์ไบเบิล.”k แต่ความเชื่อต้องอาศัยคัมภีร์ไบเบิล ไม่ใช่โบราณคดี.—โรม 10:9; เฮ็บ. 11:6.
22. จะมีการพิจารณาหลักฐานอะไรในบทเรียนต่อไป?
22 ในคัมภีร์ไบเบิลมีหลักฐานที่แย้งไม่ได้ที่ว่า แท้จริง คัมภีร์ไบเบิลเป็น “พระคำของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่และทรงดำรงอยู่เป็นนิตย์” ดังที่เราจะเห็นในบทเรียนต่อไป.—1 เป. 1:23, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
a คัมภีร์ไบเบิลและพลั่ว (ภาษาอังกฤษ) 1938 เอส. แอล. ไคเกอร์ หน้า 29.
b ข้อความโบราณที่ตะวันออกใกล้ (ภาษาอังกฤษ) 1974 เจ. บี. พริตชาร์ด หน้า 321; การหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 1 หน้า 941-942, 1104.
c แสงสว่างจากสมัยโบราณ (ภาษาอังกฤษ) 1959 เจ. ไฟน์แกน หน้า 91, 126.
d ข้อความโบราณจากตะวันออกใกล้ (ภาษาอังกฤษ) หน้า 320.
e ข้อความโบราณจากตะวันออกใกล้ (ภาษาอังกฤษ) หน้า 288.
f การหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 1 หน้า 151-152; แสงสว่างจากสมัยโบราณ (ภาษาอังกฤษ) หน้า 192-195.
g ข้อความโบราณจากตะวันออกใกล้ (ภาษาอังกฤษ) หน้า 306.
h การหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 1 หน้า 581-583.
i ข้อความโบราณจากตะวันออกใกล้ (ภาษาอังกฤษ) หน้า 316.
j แสงสว่างจากสมัยโบราณ (ภาษาอังกฤษ) หน้า 329.
k คัมภีร์ไบเบิลและโบราณคดี (ภาษาอังกฤษ) 1940 หน้า 279.
[ภาพหน้า 419]
ศิลาจารึกของชาวโมอาบ
ภาพขยายเททรากรัมมาทอน ซึ่งเป็นอักขระโบราณในบรรทัดที่ 18 ด้านขวา
[ภาพหน้า 420]
แท่งปริซึมของกษัตริย์ซันเฮริบ
[ภาพหน้า 421]
พงศาวดารนะโบไนดัส
[ภาพหน้า 422]
เหรียญเดนาริอนที่มีรูปของทิเบริอุส
[ภาพหน้า 423]
ซุ้มประตูของทิทุส
[ที่มาของภาพหน้า 423]
ที่มาของภาพสหรับบทเรียนที่ 9
หน้า 333, Musée du Louvre, Paris;
หน้า 334, Courtesy of the Oriental Institute, University of Chicago;
หน้า 335, Courtesy of the Trustees of The British Museum;
หน้า 3336, Courtesy of the Trustees of The British Museum.