บทสี่
คุณจะดูแลครัวเรือนได้อย่างไร?
1. ทำไมการดูแลครัวเรือนอาจเป็นเรื่องยากทีเดียวในทุกวันนี้?
“ฉากของโลกนี้กำลังเปลี่ยนไป.” (1 โกรินโธ 7:31, ล.ม.) ถ้อยคำเหล่านี้เขียนไว้ 1,900 กว่าปีมาแล้ว และเป็นจริงสักเพียงไรในทุกวันนี้! สิ่งต่าง ๆ กำลัง เปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับชีวิตครอบครัว. สิ่งที่เคยถือว่าเป็นเรื่องปกติหรือเป็นไปตามประเพณีเมื่อ 40 หรือ 50 ปีมาแล้วบ่อยครั้งไม่เป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน. เพราะเหตุนี้ การดูแลครัวเรือนอย่างเป็นผลสำเร็จอาจก่อให้เกิดข้อท้าทายมากมาย กระนั้น ถ้าใส่ใจคำแนะนำในพระคัมภีร์ คุณจะรับมือกับข้อท้าทายนั้นได้.
อยู่ตามอัตภาพ
2. สภาพแวดล้อมเช่นไรทางเศรษฐกิจก่อความเครียดในครอบครัว?
2 ทุกวันนี้ผู้คนมากมายไม่พอใจอีกต่อไปกับชีวิตแบบเรียบง่ายที่มีเวลาให้กับครอบครัว. ขณะที่โลกการค้าเสนอผลิตภัณฑ์มากขึ้นทุกทีและใช้ทักษะในการโฆษณาเพื่อล่อใจคนทั่วไป บิดาและมารดาหลายล้านคนใช้เวลาทำงานหลายชั่วโมงเพื่อจะซื้อหาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้. อีกหลายล้านคนเผชิญกับการต่อสู้ดิ้นรนทุกวันเพียงเพื่อให้มีอาหารกิน. พวกเขาต้องใช้เวลาในที่ทำงานมากยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา บางทีรับงานสองอย่าง เพียงเพื่อมีเงินซื้อสิ่งจำเป็น. ส่วนคนอื่น ๆ คงจะยินดีถ้าได้งานทำ เนื่องจากการว่างงานเป็นปัญหาที่มีอยู่ทั่วไป. ถูกแล้ว ชีวิตใช่ว่าจะง่ายเสมอไปสำหรับครอบครัวสมัยปัจจุบัน ทว่าหลักการในคัมภีร์ไบเบิลสามารถช่วยครอบครัวทั้งหลายให้ทำดีที่สุดเท่าที่สภาพแวดล้อมของเขาอำนวยให้.
3. อัครสาวกเปาโลอธิบายหลักการอะไร และการนำหลักการนั้นมาใช้จะช่วยคนเราประสบผลสำเร็จในการดูแลครัวเรือนได้อย่างไร?
3 อัครสาวกเปาโลเคยประสบความกดดันด้านเศรษฐกิจ. ในการรับมือกับปัญหานั้น ท่านเรียนรู้บทเรียนอันทรงคุณค่า ซึ่งท่านอธิบายในจดหมายถึงติโมเธียวเพื่อนของท่าน. เปาโลเขียนว่า “เราเข้ามาในโลกไม่ได้เอาอะไรมาฉันใด, เราไปจากโลกก็เอาอะไรไปไม่ได้ฉันนั้น แต่ว่าถ้าเรามีเครื่องอุปโภคบริโภค, ก็ให้เราอิ่มใจด้วยของเหล่านั้นเถิด.” (1 ติโมเธียว 6:7, 8) จริงอยู่ ครอบครัวต้องมีไม่เพียงแค่อาหารและเครื่องนุ่งห่ม. จำเป็นต้องมีที่อยู่อาศัยด้วย. เด็ก ๆ จำเป็นต้องได้รับการศึกษา. และมีค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ. กระนั้น หลักการในถ้อยคำของเปาโลก็ยังนำมาใช้ได้. หากเราอิ่มใจพอใจกับการสนองความจำเป็น ของเราแทนที่จะปล่อยตามใจกับความต้องการ ของเราแล้ว ชีวิตก็จะง่ายขึ้น.
4, 5. การคิดล่วงหน้าและการวางแผนสามารถช่วยได้อย่างไรในการดูแลครัวเรือน?
4 หลักการที่เป็นประโยชน์อีกข้อพบได้ในอุทาหรณ์เรื่องหนึ่งของพระเยซู. พระองค์ตรัสว่า “ในพวกท่านมีผู้ใดเมื่อปรารถนาจะสร้างป้อม, แล้วจะไม่นั่งลงคิดราคาดูเสียก่อนว่าจะมีพอสร้างให้สำเร็จได้หรือไม่?” (ลูกา 14:28) ณ ที่นี้พระเยซูกำลังตรัสถึงการคิดล่วงหน้า การวางแผนไว้ก่อน. เราได้เห็นในบทก่อนแล้วว่า เรื่องนี้ช่วยได้อย่างไรเมื่อคู่หนุ่มสาวกำลังคิดจะแต่งงาน. และภายหลังการสมรสแล้ว การวางแผนเป็นประโยชน์ด้วยในการดูแลครัวเรือน. การคิดล่วงหน้าในขอบเขตนี้เกี่ยวข้องกับการมีงบประมาณ วางแผนล่วงหน้าเพื่อใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่หามาได้นั้นอย่างสุขุมที่สุด. โดยวิธีนี้ ครอบครัวสามารถควบคุมค่าใช้จ่าย กันเงินไว้สำหรับใช้ในสิ่งจำเป็นแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์ และไม่ใช้จ่ายเกินตัว.
5 ในบางประเทศ การทำงบประมาณดังกล่าวอาจหมายถึงต้องต้านทานแรงกระตุ้นให้กู้ยืมเงินด้วยอัตราดอกเบี้ยสูงสำหรับการซื้อของที่ไม่จำเป็น. ในประเทศอื่น นั่นอาจหมายถึงการควบคุมอย่างเคร่งครัดในการใช้บัตรเครดิต. (สุภาษิต 22:7) นั่นยังอาจหมายถึงการต้านทานการซื้อแบบหุนหัน คือซื้ออะไรบางอย่างด้วยความปรารถนาชั่วแล่นโดยไม่พิจารณาดูความจำเป็นและผลที่จะเกิดขึ้น. นอกจากนี้ การทำงบประมาณจะทำให้ปรากฏชัดว่า การใช้เงินที่เสียไปเปล่า ๆ อย่างเห็นแก่ตัวโดยการเล่นพนัน, การใช้ยาสูบ, และการดื่มจัดนั้นทำความเสียหายแก่สภาวะเศรษฐกิจของครอบครัว อีกทั้งขัดกับหลักการในคัมภีร์ไบเบิล.—สุภาษิต 23:20, 21, 29-35; โรม 6:19; เอเฟโซ 5:3-5.
6. มีความจริงอะไรบ้างตามหลักพระคัมภีร์ซึ่งช่วยคนเหล่านั้นที่ต้องดำรงชีวิตอยู่ในสภาพยากไร้?
6 แต่จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับคนเหล่านั้นที่ต้องอยู่ในสภาพยากไร้? สิ่งหนึ่งก็คือ พวกเขาอาจได้รับการปลอบประโลมที่ทราบว่า ปัญหาทั่วโลกเช่นนี้มีอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น. ในโลกใหม่ที่กำลังคืบใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว พระยะโฮวาจะกำจัดความยากจนพร้อมกับสิ่งชั่วร้ายอื่น ๆ ทั้งหมดซึ่งก่อความทุกขเวทนาแก่มนุษยชาติ. (บทเพลงสรรเสริญ 72:1, 12-16) ในระหว่างนี้ คริสเตียนแท้ ถึงแม้ว่ายากจนข้นแค้น ก็ไม่ได้รู้สึกหมดหวังสิ้นท่า เพราะเขามีความเชื่อในคำสัญญาของพระยะโฮวาที่ว่า “เราจะไม่ละท่านไว้เลยและจะไม่ทิ้งท่านเสียเลย.” เนื่องจากเหตุนี้ ผู้มีความเชื่อจึงพูดได้อย่างมั่นใจว่า “พระยะโฮวาเป็นผู้ช่วยข้าพเจ้า; ข้าพเจ้าจะไม่กลัว.” (เฮ็บราย 13:5, 6, ล.ม.) ในสมัยที่ยุ่งยากนี้ พระยะโฮวาได้ทรงค้ำจุนผู้นมัสการพระองค์ในหลายวิธีเมื่อเขาดำเนินชีวิตตามหลักการของพระองค์และจัดราชอาณาจักรของพระองค์ไว้เป็นอันดับแรกในชีวิตของเขา. (มัดธาย 6:33) พวกเขาจำนวนมากทีเดียวสามารถยืนยันได้ โดยกล่าวอย่างเดียวกับอัครสาวกเปาโลว่า “ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญกับความอิ่มท้องและความอดอยาก ความสมบูรณ์พูนสุขและความขัดสน. ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า.”—ฟิลิปปอย 4:12, 13, ฉบับแปลใหม่.
ช่วยกันแบ่งเบาภาระ
7. คำตรัสอะไรของพระเยซู หากนำมาใช้ จะช่วยในการดูแลครัวเรือนอย่างเป็นผลสำเร็จ?
7 เมื่องานสั่งสอนของพระองค์ทางแผ่นดินโลกใกล้จะสิ้นสุดลง พระเยซูตรัสว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง.” (มัดธาย 22:39) การเอาคำแนะนำนี้มาใช้ในครอบครัวช่วยได้มากในการดูแลครัวเรือน. ที่แท้แล้ว ใครเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดที่สุด ซึ่งเรารักที่สุดหากไม่ใช่คนเหล่านั้นซึ่งอยู่ในครอบครัวของเรา คือ สามีและภรรยา, บิดามารดากับบุตร? สมาชิกในครอบครัวจะแสดงความรักต่อกันและกันได้อย่างไร?
8. จะแสดงความรักภายในครอบครัวได้โดยวิธีใด?
8 วิธีหนึ่งคือ สมาชิกครอบครัวแต่ละคนทำงานบ้านส่วนที่ตนพึงทำ. ด้วยเหตุนี้ ต้องสอนเด็กให้รู้จักเก็บของให้เรียบร้อยหลังจากใช้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือของเล่น. อาจต้องใช้เวลาและความพยายามเพื่อจัดที่นอนทุกเช้า ทว่านั่นช่วยได้มากในการดูแลบ้านเรือน. แน่ละ ความไม่เป็นระเบียบเล็ก ๆ น้อย ๆ ชั่วครั้งชั่วคราวเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ทุกคนสามารถร่วมมือกันรักษาบ้านให้เรียบร้อยพอควรได้ รวมถึงการล้างถ้วยชามภายหลังรับประทานอาหารแล้ว. ความเกียจคร้าน, การทำตามอำเภอใจ, และน้ำใจที่หวงตัว ไม่เต็มใจย่อมมีผลกระทบในทางลบต่อทุกคน. (สุภาษิต 26:14-16) ในอีกด้านหนึ่ง น้ำใจยินดีและเต็มใจย่อมเสริมสร้างชีวิตครอบครัวที่มีความสุข. “พระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี.”—2 โกรินโธ 9:7.
9, 10. (ก) ภาระอะไรมักจะตกอยู่กับฝ่ายหญิงในบ้าน และจะทำให้ภาระนี้เบาลงได้โดยวิธีใด? (ข) มีการเสนอแนะทัศนะที่สมดุลอะไรเกี่ยวกับงานบ้าน?
9 ความเห็นอกเห็นใจและความรักจะช่วยป้องกันสถานการณ์ที่เป็นปัญหาร้ายแรงในบางครอบครัว. ตามที่ถือปฏิบัติกันมา มารดาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในบ้าน. มารดาเอาใจใส่ดูแลบุตร, ทำความสะอาดบ้าน, ทำงานซักรีดของครอบครัว, ซื้อและทำอาหาร. ในบางดินแดน เป็นปกติวิสัยด้วยที่ผู้หญิงทำไร่ไถนา, ขายพืชผลในตลาด, หรือมีส่วนช่วยงบประมาณของครอบครัวในวิธีอื่น. ถึงแม้ในที่ที่ไม่เคยมีธรรมเนียมเช่นนี้มาก่อน ความจำเป็นได้บีบบังคับผู้หญิงนับล้านที่แต่งงานแล้วให้หางานอาชีพทำนอกบ้าน. ผู้ที่เป็นทั้งภรรยาและมารดาซึ่งทำงานหนักในขอบเขตต่าง ๆ เหล่านี้สมควรได้รับคำชมเชย. เช่นเดียวกับ “ภรรยาที่ดี [“มีความสามารถ,” ล.ม.]” ตามที่พรรณนาไว้ในคัมภีร์ไบเบิล เธอขยันขันแข็ง. “[เธอ] ไม่ชุบมือเปิบ.” (สุภาษิต 31:10, 27, ฉบับแปลใหม่) แต่นี่มิได้หมายความว่า ผู้หญิงเป็นเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้นที่สามารถทำงานในบ้าน. หลังจากทั้งสามีกับภรรยาได้ทำงานนอกบ้านมาตลอดวันแล้ว ควรไหมที่ภรรยาจะแบกภาระการงานในบ้านแต่ผู้เดียว ขณะที่สามีและคนอื่นในครอบครัวพักผ่อน? ไม่อย่างแน่นอน. (เทียบกับ 2 โกรินโธ 8:13, 14.) ดังนั้น เพื่อเป็นตัวอย่าง หากมารดากำลังทำอาหาร เธอคงรู้สึกขอบคุณหากสมาชิกคนอื่นในครอบครัวช่วยในการตระเตรียมโดยจัดโต๊ะ, ซื้อของบางอย่าง, หรือทำความสะอาดบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ. ถูกแล้ว ทุกคนสามารถร่วมกันรับผิดชอบได้.—เทียบกับฆะลาเตีย 6:2.
10 บางคนอาจพูดว่า “ในแถบที่ฉันอาศัยอยู่ ไม่ใช่หน้าที่ของผู้ชายที่จะทำงานแบบนั้น.” นั่นอาจเป็นความจริง แต่คงจะเป็นประโยชน์มิใช่หรือที่จะคำนึงถึงเรื่องนี้บ้าง? เมื่อพระยะโฮวาพระเจ้าทรงริเริ่มครอบครัว พระองค์มิได้มีรับสั่งว่า งานบางอย่างให้เฉพาะผู้หญิงเท่านั้นทำ. คราวหนึ่ง เมื่อผู้ส่งข่าวพิเศษจากพระยะโฮวามาเยี่ยมอับราฮามบุรุษผู้ซื่อสัตย์ ท่านมีส่วนในการเตรียมอาหารและบริการผู้มาเยือนนั้นด้วยตัวเอง. (เยเนซิศ 18:1-8) คัมภีร์ไบเบิลแนะนำว่า “สามีควรจะรักภรรยาของตนเหมือนรักกายของตนเองด้วย.” (เอเฟโซ 5:28) หากในตอนเย็นสามีรู้สึกเหนื่อยล้าและต้องการพักผ่อน ภรรยาก็คงจะรู้สึกอย่างเดียวกันมิใช่หรือ บางทีมากกว่าด้วยซ้ำ? (1 เปโตร 3:7) ดังนั้นแล้ว คงจะเหมาะสมและเป็นการแสดงความรักมิใช่หรือที่สามีจะช่วยทำงานบ้าน?—ฟิลิปปอย 2:3, 4.
11. พระเยซูทรงวางตัวอย่างที่ดีงามในทางใดสำหรับสมาชิกแต่ละคนในครัวเรือน?
11 พระเยซูเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของผู้ซึ่งทำให้พระเจ้าพอพระทัยและนำความสุขมาสู่มิตรสหายของพระองค์. แม้ไม่เคยสมรส พระเยซูเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับสามี อีกทั้งภรรยาและลูก ๆ. พระองค์ตรัสถึงพระองค์เองว่า “บุตรมนุษย์ก็ดีมิได้มาเพื่อให้เขาปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา” นั่นคือ เพื่อรับใช้คนอื่น. (มัดธาย 20:28) ครอบครัวที่สมาชิกทุกคนปลูกฝังเจตคติเช่นนั้นช่างเป็นสุขเบิกบานสักเพียงไร!
ความสะอาด—ทำไมจึงสำคัญมาก?
12. พระยะโฮวาทรงเรียกร้องอะไรจากคนเหล่านั้นที่รับใช้พระองค์?
12 หลักการในคัมภีร์ไบเบิลอีกข้อหนึ่งที่สามารถช่วยในการดูแลครัวเรือนนั้นปรากฏที่ 2 โกรินโธ 7:1. ที่นั่นเราอ่านว่า “ให้เราชำระตัวของเราให้ปราศจากมลทินทุกอย่างแห่งเนื้อหนังและวิญญาณจิตต์.” คนเหล่านั้นซึ่งเชื่อฟังถ้อยคำที่มีขึ้นโดยการดลใจนี้เป็นที่ยอมรับของพระยะโฮวาพระเจ้า ผู้ทรงเรียกร้อง “การนมัสการที่สะอาดและปราศจากมลทิน.” (ยาโกโบ 1:27, ล.ม.) และครอบครัวของเขาได้รับผลประโยชน์อีกมากมาย.
13. ทำไมความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญในการดูแลครัวเรือน?
13 เพื่อเป็นตัวอย่าง คัมภีร์ไบเบิลรับรองกับเราว่า จะมีวันหนึ่งที่โรคภัยและความเจ็บป่วยจะไม่มีอีกต่อไป. ในเวลานั้น “จะไม่มีใครที่อาศัยอยู่ที่นั่นพูดว่า, ‘ข้าพเจ้าป่วยอยู่.’” (ยะซายา 33:24; วิวรณ์ 21:4, 5) อย่างไรก็ดี กว่าจะถึงเวลานั้น ทุกครอบครัวต้องรับมือกับความเจ็บป่วยเป็นครั้งคราว. แม้แต่เปาโลกับติโมเธียวก็ยังป่วย. (ฆะลาเตีย 4:13; 1 ติโมเธียว 5:23) กระนั้นก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์บอกว่า ความเจ็บป่วยหลายอย่างป้องกันได้. ครอบครัวที่ฉลาดสุขุมรอดพ้นจากความป่วยไข้บางอย่างที่ป้องกันได้หากเขาหลีกเลี่ยงความไม่สะอาดทางกายและด้านวิญญาณ. ขอให้เราพิจารณาดูว่าเป็นไปได้อย่างไร.—เทียบกับสุภาษิต 22:3.
14. ความสะอาดด้านศีลธรรมสามารถป้องกันครอบครัวไว้จากความเจ็บป่วยได้ในทางใด?
14 ความสะอาดด้านวิญญาณหมายรวมถึงความสะอาดด้านศีลธรรม. ดังที่ทราบกันดี คัมภีร์ไบเบิลส่งเสริมมาตรฐานทางศีลธรรมที่สูงส่งและแถลงว่า ความสัมพันธ์ทางเพศนอกสายสมรสไม่ว่าแบบใดก็ตามเป็นสิ่งผิด. “คนผิดประเวณี . . . หรือคนเล่นชู้ หรือชายเก็บไว้เพื่อวัตถุประสงค์ผิดธรรมชาติ หรือชายที่นอนกับชายด้วยกัน . . . จะไม่ได้รับราชอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก.” (1 โกรินโธ 6:9, 10, ล.ม.) การปฏิบัติตามมาตรฐานที่เคร่งครัดเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญทีเดียวสำหรับคริสเตียนที่ดำรงชีวิตอยู่ในโลกที่เสื่อมทรามทุกวันนี้. การทำเช่นนั้นทำให้พระเจ้าพอพระทัย และนอกจากนั้นช่วยป้องกันครอบครัวไว้จากโรคติดต่อทางเพศ เช่น โรคเอดส์, ซิฟิลิส, โรคหนองใน, และโรคคลามีเดีย.—สุภาษิต 7:10-23.
15. จงให้ตัวอย่างที่ว่า การขาดความสะอาดด้านร่างกายสามารถก่อความเจ็บป่วยได้โดยไม่จำเป็น.
15 ‘การชำระตัวให้ปราศจากมลทินทุกอย่างแห่งเนื้อหนัง’ ช่วยป้องกันครอบครัวไว้จากความเจ็บป่วยอื่น ๆ ด้วย. หลายโรคเกิดจากการขาดความสะอาดด้านร่างกาย. ตัวอย่างอันดับแรกคือ นิสัยการใช้ยาสูบ. การใช้ยาสูบไม่เพียงแต่ทำให้ปอด, เสื้อผ้า, และอากาศสกปรก แต่ทำให้คนป่วยด้วย. ผู้คนนับล้านตายทุกปีเพราะใช้ยาสูบ. ขอให้คิดถึงเรื่องนี้ แต่ละปี หลายล้านคนคงจะไม่ล้มป่วยและตายก่อนเวลาอันควร หากเขาหลีกเลี่ยง ‘มลทินแห่งเนื้อหนัง’ เช่นนั้น!
16, 17. (ก) กฎหมายอะไรที่พระยะโฮวาประทานให้ซึ่งป้องกันชนยิศราเอลไว้จากโรคบางอย่าง? (ข) จะนำหลักการที่แฝงอยู่ในพระบัญญัติ 23:12, 13 มาใช้ในทุกครัวเรือนได้โดยวิธีใด?
16 จงพิจารณาอีกตัวอย่างหนึ่ง. ประมาณ 3,500 ปีมาแล้ว พระเจ้าประทานพระบัญญัติของพระองค์แก่ชาติยิศราเอลเพื่อจัดระเบียบการนมัสการ และชีวิตประจำวันของเขาถึงระดับหนึ่ง. พระบัญญัตินั้นได้ช่วยป้องกันชาติยิศราเอลไว้จากโรคภัยโดยการกำหนดกฎพื้นฐานบางอย่างทางสุขอนามัย. กฎหมายดังกล่าวข้อหนึ่งเกี่ยวข้องกับการกำจัดสิ่งปฏิกูลของมนุษย์ ซึ่งต้องฝังอย่างเหมาะสมห่างจากค่ายเพื่อว่าบริเวณที่ผู้คนอาศัยอยู่จะไม่ถูกทำให้สกปรก. (พระบัญญัติ 23:12, 13) กฎหมายโบราณข้อนั้นยังคงเป็นคำแนะนำที่ดีอยู่. แม้แต่ในทุกวันนี้ผู้คนเจ็บป่วยและตายเนื่องจากเขาไม่ได้ปฏิบัติตามกฎนั้น.a
17 ประสานกับหลักการที่แฝงอยู่ในกฎหมายของชาติยิศราเอลข้อนั้น ห้องน้ำและบริเวณห้องส้วมของครอบครัว ไม่ว่าอยู่ข้างในหรือข้างนอกบ้าน ควรรักษาให้สะอาดและฆ่าเชื้อ. หากบริเวณห้องส้วมไม่ได้รักษาให้สะอาดและปิดมิดชิดแล้ว แมลงวันจะไปตอมที่นั่นและแพร่เชื้อโรคไปยังบริเวณอื่นของบ้าน—และบนอาหารที่เรารับประทานด้วยซ้ำ! นอกจากนี้ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ควรล้างมือหลังจากเข้าห้องส้วม. มิฉะนั้น เขาจะนำเชื้อโรคติดมากับผิวหนัง. ตามที่แพทย์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งบอก การล้างมือ “ยังคงเป็นหลักประกันที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับการป้องกันการติดเชื้อทางระบบย่อยอาหาร, ทางระบบหายใจ, หรือทางผิวหนัง.”
18, 19. มีการให้ข้อแนะอะไรบ้างเรื่องการรักษาบ้านให้สะอาดแม้แต่อยู่ในย่านคนยากจน?
18 จริงอยู่ ความสะอาดเป็นสิ่งท้าทายในย่านคนยากจน. คนหนึ่งที่คุ้นเคยกับสถานที่ดังกล่าวอธิบายว่า “ภูมิอากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้งานทำความสะอาดหนักเป็นสองเท่า. พายุฝุ่นกลบรอยแตกทุกแห่งในบ้านด้วยผงละเอียดสีน้ำตาล. . . . จำนวนประชากรที่ทวีมากขึ้นอย่างรวดเร็วในเมืองใหญ่อีกทั้งในเขตชนบทบางแห่ง ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพด้วย. ทางระบายน้ำเสียแบบเปิด, กองขยะที่ไม่ได้เก็บ, ส้วมสาธารณะที่สกปรก, หนู, แมลงสาบ, และแมลงวันที่เป็นพาหะของโรคได้กลายเป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไป.”
19 การรักษาความสะอาดภายใต้สภาพการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องยาก. กระนั้น นับว่าคุ้มค่ากับความพยายาม. สบู่กับน้ำและงานเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยมีราคาถูกกว่าค่ายาและค่ารักษาพยาบาล. หากคุณอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น เท่าที่เป็นไปได้ จงรักษาบ้านของคุณเองและบริเวณบ้านให้สะอาด และปราศจากมูลสัตว์. หากทางเดินเข้าบ้านของคุณมักจะเฉอะแฉะช่วงที่ฝนตก คุณจะโรยกรวดหรือปูหินตามทางเดินได้ไหมเพื่อจะได้ไม่เหยียบโคลนเข้าบ้าน? หากมีการใช้รองเท้าหรือรองเท้าแตะ ก่อนเข้าบ้านผู้สวมจะถอดรองเท้านั้นออกได้ไหม? นอกจากนี้ คุณต้องคอยระวังแหล่งน้ำของคุณไม่ให้ปนเปื้อน. มีการกะประมาณกันว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยสองล้านรายต่อปีเนื่องจากโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำสกปรกและการสุขาภิบาลไม่ดี.
20. เพื่อบ้านจะสะอาด ใครต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบ?
20 บ้านที่สะอาดขึ้นอยู่กับทุกคน—บิดา, มารดา, บุตร, และผู้มาเยือน. มารดาคนหนึ่งซึ่งมีลูกแปดคนในประเทศเคนยาบอกว่า “ทุกคนได้เรียนรู้ที่จะทำส่วนของตน.” บ้านที่สะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อยสะท้อนถึงทั้งครอบครัวเป็นอย่างดี. สุภาษิตสเปนบทหนึ่งบอกว่า “ไม่มีการขัดแย้งกันระหว่างความยากจนกับความสะอาด.” ไม่ว่าคนเราอาศัยอยู่ในคฤหาสน์, อพาร์ตเมนต์, บ้านที่ไม่โอ่อ่าหรูหรา, หรือกระท่อมก็ตาม ความสะอาดเป็นเคล็ดลับนำไปสู่ครอบครัวซึ่งมีสุขภาพที่ดีกว่า.
การหนุนกำลังใจทำให้เรามีใจเบ่งบาน
21. ประสานกับสุภาษิต 31:28 อะไรจะช่วยนำความสุขมาสู่ครัวเรือน?
21 เมื่อพรรณนาถึงภรรยาที่มีความสามารถ พระธรรมสุภาษิตแจ้งว่า “ลูก ๆ ของเธอตื่นขึ้นมาก็ชมเชยเธอ สามีของเธอก็สรรเสริญเธอ.” (สุภาษิต 31:28, ฉบับแปลใหม่) เมื่อไรเป็นครั้งสุดท้ายที่คุณชมเชยสมาชิกในครอบครัวของคุณ? ที่จริง เราเป็นดุจดังพฤกษชาติในฤดูใบไม้ผลิที่พร้อมจะออกดอกเมื่อได้รับความอบอุ่นและความชุ่มชื้นบ้าง. ในกรณีของเรา เราจำเป็นต้องได้รับความอบอุ่นจากคำชมเชย. การชมเชยช่วยให้ภรรยาทราบว่า สามีหยั่งรู้ค่างานหนักและการเอาใจใส่ดูแลด้วยความรักของเธอ และเขาไม่ได้มองข้ามงานที่เธอทำ. (สุภาษิต 15:23; 25:11) และเป็นที่น่ายินดีเมื่อภรรยาชมเชยสามีเรื่องงานของเขาทั้งนอกบ้านและในบ้าน. เด็ก ๆ จะมีใจเบ่งบานด้วยเช่นกันเมื่อบิดามารดาชมเชยเขาเรื่องความบากบั่นพยายามที่บ้าน, ที่โรงเรียน, หรือในประชาคมคริสเตียน. และการแสดงความหยั่งรู้ค่าเล็ก ๆ น้อย ๆ ช่างก่อผลมากมายสักเพียงไร! ต้องเสียอะไรไหมในการพูดว่า “ขอบคุณ”? แทบจะไม่เสียอะไรเลย กระนั้น อาจเกิดผลมากทีเดียวในด้านกำลังใจของครอบครัว.
22. อะไรเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ครอบครัว “ตั้งมั่นคง” และจะบรรลุเรื่องนี้ได้โดยวิธีใด?
22 ด้วยเหตุผลหลายประการ การดูแลครัวเรือนไม่ใช่เรื่องง่าย. กระนั้น นั่นอาจทำได้พร้อมด้วยผลสำเร็จ. สุภาษิตข้อหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิลแจ้งว่า “โดยสติปัญญาครอบครัวจะได้รับการเสริมสร้าง และโดยการสังเกตเข้าใจจะปรากฏว่าตั้งมั่นคง.” (สุภาษิต 24:3, ล.ม.) อาจได้มาซึ่งสติปัญญาและการสังเกตเข้าใจหากทุกคนในครอบครัวพยายามเรียนรู้พระทัยประสงค์ของพระเจ้าและนำไปใช้ในชีวิตของเขา. ครอบครัวที่มีความสุขคุ้มค่ากับความพยายามอย่างแน่นอน!
a ในคู่มือแนะนำวิธีหลีกเลี่ยงโรคท้องร่วง โรคธรรมดาซึ่งทำให้ทารกหลายคนเสียชีวิต องค์การอนามัยโลกแถลงว่า “หากไม่มีห้องส้วม: ให้ถ่ายสิ่งปฏิกูลห่างจากบ้าน และจากบริเวณที่เด็กเล่น และห่างจากแหล่งน้ำอย่างน้อยที่สุด 10 เมตร แล้วเอาดินกลบ.”