แนวคิดนี้เข้ามาในศาสนายิว, คริสต์ศาสนจักร, และศาสนาอิสลาม
“ศาสนาเป็นวิธีที่ทำให้ผู้คนยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า สักวันเขาคงต้องตายไป ไม่ว่าโดยคำสัญญาเรื่องชีวิตที่ดีกว่าหลังจากตาย, โดยการเกิดใหม่, หรือทั้งสอง.”—แกร์ฮาร์ด เฮอร์ม, นักประพันธ์ชาวเยอรมัน.
1. ศาสนาส่วนใหญ่ให้คำสัญญาของตนในเรื่องชีวิตหลังจากตายอาศัยความเชื่ออะไร?
ในการให้คำสัญญาเรื่องชีวิตหลังจากตายนั้น เกือบทุกศาสนาอาศัยความเชื่อที่ว่า มนุษย์มีจิตวิญญาณซึ่งเป็นอมตะและเมื่อตายแล้วจึงเดินทางสู่อีกดินแดนหนึ่งหรือย้ายไปอยู่ในสิ่งมีชีวิตอีกอย่างหนึ่ง. ดังที่กล่าวไว้ในตอนก่อน ความเชื่อในเรื่องสภาพอมตะของมนุษย์เป็นส่วนที่สำคัญของศาสนาต่าง ๆ ทางตะวันออกตั้งแต่ตอนเริ่มต้นของศาสนาเหล่านั้นแล้ว. แต่จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับศาสนายิว, คริสต์ศาสนจักร, และศาสนาอิสลาม? คำสอนนี้กลายมาเป็นแก่นแห่งศาสนาเหล่านี้โดยวิธีใด?
ศาสนายิวรับเอาแนวความคิดของชาวกรีก
2, 3. ตามที่สารานุกรมจูไดกา กล่าว คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ภาคภาษาฮีบรูสอนเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณไหม?
2 ต้นตอของศาสนายิวย้อนไปราว ๆ 4,000 ปีถึงสมัยอับราฮาม. คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ภาคภาษาฮีบรูเริ่มมีการเขียนขึ้นในศตวรรษที่ 16 ก.ส.ศ. และเขียนเสร็จในสมัยที่โสกราตีสกับเพลโตได้ตั้งทฤษฎีสภาพอมตะของจิตวิญญาณขึ้นมา. คัมภีร์เหล่านั้นสอนเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณไหม?
3 สารานุกรมจูไดกา (ภาษาอังกฤษ) ให้คำตอบดังนี้: “เฉพาะแต่ในช่วงหลังสมัยคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้นที่ความเชื่อที่ชัดเจนและหนักแน่นในเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณถูกตั้งไว้ . . . และกลายเป็นหลักพื้นฐานข้อหนึ่งของศาสนายิวและคริสเตียน.” สารานุกรมนี้ยังบอกด้วยว่า “ในสมัยคัมภีร์ไบเบิลสภาพบุคคลถูกถือว่าเป็นหนึ่งเดียว. ดังนั้น จิตวิญญาณไม่ได้ถูกแยกต่างหากเด็ดขาดจากร่างกาย.” สารานุกรมนี้ชี้ให้เห็นว่า ชาวยิวสมัยแรกเชื่อเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย และเรื่องนี้ “ต้องแยกต่างหากจากความเชื่อใน . . . สภาพอมตะของจิตวิญญาณ.”
4-6. หลักคำสอนเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณกลายมาเป็น “หลักพื้นฐานข้อหนึ่ง” ของศาสนายิวได้อย่างไร?
4 ถ้าเช่นนั้น หลักคำสอนนี้กลายเป็น “หลักพื้นฐานข้อหนึ่ง” ของศาสนายิวได้อย่างไร? ประวัติศาสตร์ให้คำตอบ. ในปี 332 ก.ส.ศ. อะเล็กซานเดอร์มหาราชได้ยึดอาณาเขตส่วนใหญ่ของตะวันออกกลางในการพิชิตแบบสายฟ้าแลบ. เมื่อมาถึงกรุงยะรูซาเลม ชาวยิวอ้าแขนต้อนรับเขา. ตามที่ฟลาวิอุส โยเซฟุส นักประวัติศาสตร์ชาวยิวในศตวรรษแรกกล่าวไว้ ชาวยิวกระทั่งให้เขาดูคำพยากรณ์จากพระธรรมดานิเอลที่เขียนไว้ก่อนนั้นถึง 200 กว่าปีด้วยซ้ำ ซึ่งพรรณนาอย่างชัดเจนถึงชัยชนะของอะเล็กซานเดอร์ในบทบาทของ “ราชาของเฮเลน [“กรีซ,” ล.ม.].” (ดานิเอล 8:5-8, 21) ผู้สืบตำแหน่งต่อจากอะเล็กซานเดอร์ดำเนินแผนเฮลเลไนเซชันของเขาต่อไปคือ การทำให้ภาษา, วัฒนธรรม, และปรัชญาของกรีกแผ่ซ่านไปทั่วทั้งจักรวรรดิ. การผสมผสานของวัฒนธรรมสองอย่าง คือของกรีกกับของยิว จึงไม่อาจเลี่ยงได้.
5 ในตอนต้นศตวรรษที่สาม ก.ส.ศ. การแปลพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูเป็นภาษากรีกครั้งแรกที่เรียกว่าฉบับ เซปตัวจินต์ ได้เริ่มต้น. โดยฉบับแปลนี้ คนต่างชาติจำนวนมากได้มานับถือและคุ้นเคยกับศาสนายิว บางคนถึงกับเปลี่ยนมานับถือศาสนายิวด้วยซ้ำ. อีกด้านหนึ่ง ชาวยิวก็มีความรู้เกี่ยวกับแนวคิดของชาวกรีก และบางคนได้กลายเป็นนักปรัชญา ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลย. ในศตวรรษแรก ส.ศ. ฟีโลจากอะเล็กซานเดรียเป็นคนหนึ่งในนักปรัชญาชาวยิวดังกล่าว.
6 ฟีโลเลื่อมใสเพลโตและพยายามอธิบายศาสนายิวด้วยถ้อยคำตามหลักปรัชญากรีก. หนังสือชื่อ สวรรค์—ประวัติศาสตร์ตอนหนึ่ง (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “โดยการผสมผสานแบบที่ไม่เหมือนใครของปรัชญาแบบเพลโตกับคำสอนจากพระคัมภีร์ ฟีโลได้เตรียมทางไว้สำหรับคนช่างคิดที่เป็นคริสเตียน [รวมทั้งชาวยิว] รุ่นหลัง.” และความเชื่อของฟีโลในเรื่องจิตวิญญาณล่ะเป็นอย่างไร? หนังสือนั้นบอกต่อไปดังนี้: “สำหรับเขาแล้ว ความตายนำจิตวิญญาณกลับคืนสู่สภาพเดิม ก่อนมาเกิด. เนื่องจากจิตวิญญาณเป็นของโลกวิญญาณ ชีวิตในร่างกายเป็นเพียงเหตุการณ์ช่วงสั้น ๆ ที่เลวร้ายอยู่บ่อย ๆ.” นักคิดชาวยิวคนอื่น ๆ ซึ่งเชื่อเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณนั้นรวมถึง ไอซิก อิซเรลี แพทย์ชาวยิวผู้เลื่องชื่อในศตวรรษที่ 10 และโมเสส เมนเดลสัน นักปรัชญาชาวเยอรมัน-ยิวในศตวรรษที่ 18 ด้วย.
7, 8. (ก) คัมภีร์ทัลมุดพรรณนาถึงจิตวิญญาณอย่างไร? (ข) หนังสือของชาวยิวในสมัยต่อมาอันเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับกล่าวอย่างไรในเรื่องจิตวิญญาณ?
7 หนังสือหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งต่อความคิดและชีวิตของชาวยิวเช่นกันคือคัมภีร์ทัลมุด เป็นหนังสือที่สรุปสาระสำคัญของสิ่งที่เรียกว่ากฎหมายสืบปาก พร้อมกับอรรถาธิบายและคำชี้แจงต่าง ๆ อันเกี่ยวกับกฎหมายนี้ ซึ่งรวบรวมโดยพวกรับบีตั้งแต่ศตวรรษที่สอง ส.ศ. ถึงในยุคกลาง. สารานุกรมจูไดกา กล่าวว่า “พวกรับบีที่รวบรวมทัลมุดนั้นเชื่อในเรื่องการที่จิตวิญญาณดำรงอยู่ต่อไปภายหลังความตาย.” ทัลมุดยังกล่าวถึงการที่คนตายติดต่อกับคนเป็นด้วยซ้ำ. สารานุกรมศาสนาและจริยธรรม (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “อาจเป็นได้ว่าเนื่องจากอิทธิพลของลัทธิเพลโต [พวกรับบี] จึงเชื่อในการดำรงอยู่ก่อนของจิตวิญญาณ.”
8 คาบาลา หนังสือของชาวยิวในสมัยต่อมาอันเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ ดำเนินไปไกลถึงขั้นสอนเรื่องการกลับชาติ. เกี่ยวกับความเชื่อนี้ สารานุกรมยิวมาตรฐานฉบับใหม่ (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “แนวคิดนี้ดูเหมือนมีต้นตอในอินเดีย. . . . ในคาบาลาห์ แนวคิดนี้ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในหนังสือบาฮีร์ แล้วต่อจากนั้น นับแต่โซฮาร์เป็นต้นมา ก็เป็นที่ยอมรับทั่วไปโดยพวกสาวกที่เชื่อเรื่องลี้ลับ แนวคิดนี้มีบทบาทสำคัญในความเชื่อและหนังสือของนิกายฮาซิด.” ในอิสราเอลทุกวันนี้ การกลับชาติเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายว่าเป็นคำสอนของชาวยิว.
9. จุดยืนของนิกายส่วนใหญ่ของศาสนายิวในทุกวันนี้ในเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณคืออย่างไร?
9 ดังนั้น แนวคิดเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณได้เข้ามาในศาสนายิวโดยอิทธิพลของหลักปรัชญากรีก และในปัจจุบันแนวคิดนี้ก็เป็นที่ยอมรับโดยนิกายส่วนใหญ่ของศาสนายิว. ส่วนเรื่องที่คำสอนนี้เข้ามาในคริสต์ศาสนจักรล่ะจะบอกได้อย่างไร?
คริสต์ศาสนจักรรับเอาแนวคิดของเพลโต
10. ผู้คงแก่เรียนที่โดดเด่นชาวสเปนคนหนึ่งลงความเห็นเช่นไรเกี่ยวกับความเชื่อของพระเยซูในเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณ?
10 ศาสนาคริสเตียนแท้เริ่มต้นที่พระคริสต์เยซู. เกี่ยวกับพระเยซู มิเกล เดอ อูนามูโน ผู้คงแก่เรียนที่โดดเด่นชาวสเปนในศตวรรษที่ 20 เขียนไว้ดังนี้: “พระองค์เชื่อในการกลับเป็นขึ้นจากตายของเนื้อหนังตามคำสอนของชาวยิว ไม่ใช่ในเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณตามคำสอนของเพลโต [ชาวกรีก]. . . . ข้อพิสูจน์ถึงเรื่องนี้เห็นได้ในหนังสือใดก็ตามที่ให้คำอธิบายอย่างซื่อตรง.” เขาลงความเห็นว่า “เรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณ . . . เป็นหลักคำสอนเชิงปรัชญาแบบนอกรีต.”
11. หลักปรัชญากรีกเริ่มรุกเข้ามาในศาสนาคริสเตียนเมื่อไร?
11 “หลักคำสอนเชิงปรัชญาแบบนอกรีต” นี้แทรกซึมเข้ามาในศาสนาคริสเตียนเมื่อไรและโดยวิธีใด? สารานุกรมบริแทนนิกาฉบับใหม่ (ภาษาอังกฤษ) ชี้ให้เห็นว่า “ตั้งแต่ตอนกลางศตวรรษที่สอง ค.ศ. ชนคริสเตียนที่ได้รับการอบรมด้านปรัชญากรีกอยู่บ้างได้เริ่มรู้สึกถึงความจำเป็นต้องสำแดงความเชื่อของตนในแบบปรัชญากรีก ทั้งเพื่อความพอใจของตนในด้านความรู้และเพื่อจะเปลี่ยนศาสนาของชาวนอกรีตที่มีการศึกษา. ปรัชญาที่เหมาะที่สุดกับคนเหล่านั้นคือหลักปรัชญาของเพลโต.”
12-14. ออริเกนและเอากุสตีนมีบทบาทเช่นไรในการหลอมรวมหลักปรัชญาของเพลโตกับศาสนาคริสเตียน?
12 นักปรัชญาสมัยแรกดังกล่าวสองคนมีอิทธิพลมากต่อหลักคำสอนของคริสต์ศาสนจักร. คนหนึ่งคือออริเกนแห่งอะเล็กซานเดรีย (ประมาณปี ส.ศ. 185-254) และอีกคนหนึ่งคือ เอากุสตีนแห่งฮิปโป (ส.ศ. 354-430). เกี่ยวกับคนเหล่านี้ สารานุกรมคาทอลิกฉบับใหม่ (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “เฉพาะแต่ออริเกนในคริสตจักรทางตะวันออกและกับนักบุญ เอากุสตีนในคริสตจักรทางตะวันตกเท่านั้นที่มีการกำหนดว่าจิตวิญญาณมีลักษณะเป็นวิญญาณ และกำหนดแนวความคิดทางปรัชญาเกี่ยวกับลักษณะของจิตวิญญาณ.” ออริเกนและเอากุสตีนอาศัยพื้นฐานอะไรมากำหนดแนวคิดของตนในเรื่องจิตวิญญาณ?
13 สารานุกรมคาทอลิกฉบับใหม่ กล่าวว่า ออริเกนเป็นศิษย์ของเคลเมนต์แห่งอะเล็กซานเดรียซึ่งเป็น “คนแรกแห่งนักเขียนคริสเตียนซึ่งเห็นชัดแจ้งว่ายืมเรื่องมาจากคำสอนสืบปากเกี่ยวกับจิตวิญญาณของชาวกรีก.” แนวคิดของเพลโตเกี่ยวกับจิตวิญญาณคงต้องมีอิทธิพลต่อออริเกนอย่างลึกซึ้งทีเดียว. นักศาสนศาสตร์ เวอร์เนอร์ แยเกอร์ ให้ข้อสังเกตในหนังสือเดอะ ฮาร์เวิร์ด ทีออลอจิคัล รีวิว ดังนี้: “[ออริเกน] ได้เพิ่มชุดคำสอนที่ยืดยาวเกี่ยวกับจิตวิญญาณซึ่งเขาได้รับจากเพลโตนั้นเข้าไปในคำสอนคริสเตียน.”
14 บางคนในคริสต์ศาสนจักรมองเอากุสตีนว่าเป็นนักคิดผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในสมัยก่อนยุคกลาง. ก่อนเปลี่ยนมานับถือ “ศาสนาคริสเตียน” เมื่ออายุ 33 ปี เอากุสตีนมีความสนใจอย่างแรงกล้าในปรัชญาและได้กลายเป็นนักปรัชญาเพลโตใหม่.a เมื่อเขาเปลี่ยนความเชื่อ ปรัชญาเพลโตใหม่ยังคงอยู่ในความคิดของเขา. สารานุกรมบริแทนนิกาฉบับใหม่ กล่าวว่า “จิตใจเขาเป็นเบ้าหลอมซึ่งศาสนาแห่งพันธสัญญาใหม่ถูกผสมเป็นเนื้อเดียวกันอย่างสมบูรณ์ยิ่งกับคำสอนของเพลโตในหลักปรัชญากรีก.” สารานุกรมคาทอลิกฉบับใหม่ ยอมรับว่า “หลักคำสอนของเอากุสตีน [เรื่องจิตวิญญาณ] ซึ่งได้กลายเป็นมาตรฐานของโลกตะวันตกจนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 12 นั้น ส่วนใหญ่แล้วอาศัย . . . ลัทธิปรัชญาเพลโตใหม่.”
15, 16. ความสนใจที่ผู้คนในศตวรรษที่ 13 มีต่อคำสอนของอาริสโตเติลได้เปลี่ยนจุดยืนของคริสตจักรเกี่ยวกับคำสอนเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณไหม?
15 ในศตวรรษที่ 13 มีการรับเอาคำสอนของอาริสโตเติลด้วยความนิยมชมชอบในยุโรป ส่วนใหญ่เนื่องจากการที่หาได้ง่ายในงานเขียนภาษาลาตินของเหล่าผู้คงแก่เรียนชาวอาหรับซึ่งได้ให้คำอธิบายอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับหนังสือของอาริสโตเติล. ผู้คงแก่เรียนชาวคาทอลิกคนหนึ่งชื่อโทมัส อะควินาส ประทับใจมากกับแนวคิดแบบอาริสโตเติล. เนื่องด้วยหนังสือของอะควินาส ความคิดเห็นของอาริสโตเติลจึงทรงอิทธิพลต่อคำสอนของคริสตจักรยิ่งกว่าของเพลโตเสียอีก. ถึงกระนั้น แนวโน้มเช่นนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อคำสอนเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณ.
16 อาริสโตเติลสอนว่า จิตวิญญาณเกี่ยวพันกับร่างกายอย่างที่แยกออกไม่ได้และไม่ดำรงอยู่ต่อไปตามลำพังหลังจากตาย และสอนว่า หากมีสิ่งใดดำรงอยู่ตลอดไปในมนุษย์ละก็ นั่นคือสิ่งที่เป็นนามธรรม เป็นปัญญาซึ่งไม่มีลักษณะของบุคคล. การมองดูจิตวิญญาณในวิธีนี้ไม่ประสานกับความเชื่อของคริสตจักรในเรื่องจิตวิญญาณของบุคคลที่รอดจากความตาย. ฉะนั้น อะควินาสจึงปรับเปลี่ยนความคิดเห็นของอาริสโตเติลในเรื่องจิตวิญญาณโดยยืนยันว่า เรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณพิสูจน์ได้ด้วยเหตุผล. ดังนั้น ความเชื่อของคริสตจักรในเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณจึงยังคงไม่ได้รับความเสียหาย.
17, 18. (ก) การปฏิรูปในศตวรรษที่ 16 ได้นำการเปลี่ยนแปลงเข้ามาในคำสอนเกี่ยวกับจิตวิญญาณไหม? (ข) จุดยืนของนิกายส่วนใหญ่แห่งคริสต์ศาสนจักรในเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณเป็นเช่นไร?
17 ระหว่างศตวรรษที่ 14 และ 15 ช่วงต้นของยุคเรเนซองซ์ (ยุคศิลปวรรณกรรมเฟื่องฟู) เกิดความสนใจขึ้นมาใหม่ในหลักปรัชญาของเพลโต. ตระกูลเมดิชี ที่มีชื่อในอิตาลีถึงกับช่วยตั้งสำนักขึ้นในเมืองฟลอเรนซ์เพื่อส่งเสริมการศึกษาหลักปรัชญาของเพลโต. ในช่วงศตวรรษที่ 16 และ 17 ความสนใจในอาริสโตเติลลดลง. และการปฏิรูปในศตวรรษที่ 16 ก็ไม่ได้นำการเปลี่ยนแปลงเข้ามาในคำสอนเรื่องจิตวิญญาณ. แม้นักปฏิรูปชาวโปรเตสแตนต์ไม่เห็นด้วยกับคำสอนเรื่องไฟชำระ แต่พวกเขาก็ยอมรับเอาแนวคิดเรื่องการลงโทษหรือการให้บำเหน็จตลอดไป.
18 ด้วยเหตุนั้น คำสอนเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณจึงแพร่หลายในนิกายส่วนใหญ่ของคริสต์ศาสนจักร. เมื่อสังเกตเรื่องนี้ ผู้คงแก่เรียนชาวอเมริกันคนหนึ่งเขียนว่า “แท้จริง ศาสนาสำหรับผู้คนส่วนใหญ่ในเผ่าพันธุ์ของเราเองหมายถึง สภาพอมตะ และไม่มีอะไรอื่นอีก. พระเจ้าทรงเป็นผู้ทรงบันดาลสภาพอมตะ.”
สภาพอมตะและศาสนาอิสลาม
19. ศาสนาอิสลามถูกตั้งขึ้นเมื่อไร และโดยใคร?
19 ศาสนาอิสลามเริ่มต้นด้วยการที่มุฮัมหมัดถูกเรียกให้เป็นผู้พยากรณ์เมื่อเขาอายุราว 40 ปี. ชาวมุสลิมโดยทั่วไปเชื่อกันว่า การเปิดเผยต่าง ๆ มีมายังเขาในช่วงเวลาราว 20 ถึง 23 ปี ตั้งแต่ประมาณปี ส.ศ. 610 จนถึงเวลาที่เขาสิ้นชีวิตในปี ส.ศ. 632. การเปิดเผยเหล่านั้นมีบันทึกในอัลกุรอาน คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม. ในเวลาที่ศาสนาอิสลามเกิดขึ้นนั้น แนวความคิดแบบเพลโตในเรื่องจิตวิญญาณได้แทรกซึมเข้ามาในศาสนายิวและคริสต์ศาสนจักร.
20, 21. ความเชื่อของชาวมุสลิมเป็นเช่นไรในเรื่องชีวิตหลังความตาย?
20 ชาวมุสลิมเชื่อว่าความเชื่อของตนคือสุดยอดแห่งการเปิดเผยที่มีการประทานแก่ชาวฮีบรูและชนคริสเตียนผู้ซื่อสัตย์ในสมัยโบราณ. คัมภีร์อัลกุรอานอ้างถึงทั้งพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูและพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก. แต่ในเรื่องคำสอนเกี่ยวกับสภาพอมตะของจิตวิญญาณนั้น คัมภีร์อัลกุรอานสอนต่างไปจากพระคัมภีร์ทั้งสอง. คัมภีร์อัลกุรอานสอนว่ามนุษย์มีจิตวิญญาณซึ่งมีชีวิตอยู่ต่อไปหลังจากตาย. นอกจากนั้น คัมภีร์นี้ยังกล่าวถึงการกลับเป็นขึ้นมาของคนตาย, วันพิพากษา, และจุดหมายปลายทางสุดท้ายของจิตวิญญาณอีกด้วย—ไม่ว่าจะเป็นชีวิตในอุทยานสวรรค์หรือการลงโทษในไฟนรก.
21 ชาวมุสลิมเชื่อว่าจิตวิญญาณของผู้ตายไปยังบาร์ซากห์ หรือ “ฉากกำบัง,” “สถานที่หรือสถานะซึ่งผู้คนจะอยู่หลังจากตายและก่อนการพิพากษา.” (ซูเราะห์ 23:99, 100, อัลกุรอานบริสุทธิ์ [ภาษาอังกฤษ], เชิงอรรถ) ที่นั่น จิตวิญญาณที่มีความรู้สึกนึกคิด ประสบกับสิ่งที่เรียกว่า “การลงโทษในหลุมฝังศพ” หากคนนั้นเคยเป็นคนชั่ว หรือไม่ก็ประสบความสุขหากเขาเคยเป็นคนซื่อสัตย์. แต่คนที่ซื่อสัตย์ยังต้องประสบการทรมานบ้างเช่นกันเนื่องจากความบาปบางอย่างที่ได้ทำขณะมีชีวิต. ในวันพิพากษา แต่ละคนจะประสบกับจุดหมายปลายทางตลอดกาลของตน ซึ่งทำให้สถานะในขั้นกลางนี้สิ้นสุดลง.
22. นักปรัชญาชาวอาหรับบางคนเสนอทฤษฎีต่าง ๆ กันอะไรบ้างเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางของจิตวิญญาณ?
22 แนวคิดเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณในศาสนายิวและคริสต์ศาสนจักรปรากฏขึ้นเนื่องจากอิทธิพลของปรัชญาแบบเพลโต แต่แนวความคิดนี้ถูกก่อขึ้นในศาสนาอิสลามตั้งแต่ตอนเริ่มต้นของศาสนานี้. นี่ไม่ใช่จะบอกว่าผู้คงแก่เรียนชาวอาหรับไม่ได้พยายามจะรวมคำสอนของอิสลามกับปรัชญากรีกเข้าด้วยกัน. ที่จริง แวดวงชาวอาหรับได้รับผลประทบอย่างมากทีเดียวจากงานเขียนของอาริสโตเติล. และพวกผู้คงแก่เรียนชาวอาหรับที่มีชื่อเสียงอย่างเช่น อะวิเซนนาและอะเวอร์โรอีส ต่างชี้แจงและขยายความจากแนวคิดของอาริสโตเติล. อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาพยายามจะทำให้แนวคิดแบบกรีกประสานกับคำสอนของชาวมุสลิมในเรื่องจิตวิญญาณนั้น พวกเขาได้คิดทฤษฎีที่แตกต่างกันขึ้นมา. ตัวอย่างเช่น อะวิเซนนาได้แถลงว่าจิตวิญญาณของบุคคลเป็นอมตะ. อีกด้านหนึ่ง อะเวอร์โรอีสโต้แย้งความคิดเห็นนั้น. ไม่ว่าความคิดเห็นเหล่านั้นจะเป็นเช่นไร เรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณก็ยังคงเป็นความเชื่อของชาวมุสลิมอยู่ดี.
23. ศาสนายิว, คริสต์ศาสนจักร, และศาสนาอิสลามมีจุดยืนเช่นไรในประเด็นเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณ?
23 ดังนั้น เห็นได้ชัดว่าศาสนายิว, คริสต์ศาสนจักร, และศาสนาอิสลาม ล้วนสอนหลักคำสอนเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณ.
[เชิงอรรถ]
a ผู้ยึดมั่นกับปรัชญาเพลโตใหม่ ซึ่งเป็นหลักปรัชญาเพลโตแบบใหม่ที่คิดขึ้นโดยโพลตินุส ในโรมเมื่อศตวรรษที่สาม.
[รูปภาพหน้า 14]
ชัยชนะของอะเล็กซานเดอร์มหาราชนำไปสู่การผสมผสานวัฒนธรรมของชาวกรีกกับชาวยิว
[รูปภาพหน้า 15]
ออริเกน (บน) และเอากุสตีนพยายามหลอมรวมหลักปรัชญาของเพลโตเข้ากับหลักการคริสเตียน
[รูปภาพหน้า 16]
อะวิเซนนา (บน) แถลงว่าจิตวิญญาณของบุคคลเป็นอมตะ. อะเวอร์โรอีสโต้แย้งความเห็นนั้น