ติดตามความเลื่อมใสในพระเจ้าต่อ ๆ ไปฐานะคริสเตียนที่รับบัพติสมาแล้ว
“อย่างไรก็ดี ท่านที่เป็นคนของพระเจ้า . . . จงติดตามความชอบธรรม ความเลื่อมใสในพระเจ้า.”—1 ติโมเธียว 6:11, ล.ม.
1. คุณจะตอบคำถามอย่างไรที่ว่า วันไหนเป็นวันสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ? ทำไมคุณตอบเช่นนั้น?
วันไหนสำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ? ถ้าคุณเป็นพยานของพระยะโฮวาซึ่งรับบัพติสมาแล้ว โดยไม่ต้องสงสัย คุณก็จะตอบว่า ‘ก็วันที่ฉันรับบัพติสมาอย่างไรล่ะ!’ แน่นอน การรับบัพติสมาเป็นขั้นตอนสำคัญมากในชีวิตของคุณ. เป็นสัญลักษณ์ที่ประจักษ์แจ้งว่าคุณได้อุทิศตัวแด่พระยะโฮวาโดยครบถ้วนและไม่มีเงื่อนไขเพื่อจะทำตามพระประสงค์ของพระองค์. วันที่คุณรับบัพติสมาเป็นวันที่คุณได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวา พระเจ้าองค์สูงสุด.
2. (ก) อาจยกตัวอย่างเปรียบเทียบได้อย่างไรว่าการรับบัพติสมาของคุณไม่ใช่ขั้นตอนสุดท้ายในแนวทางของคริสเตียน? (ข) คุณได้ปฏิบัติขั้นตอนสำคัญเบื้องต้นอะไรบ้างก่อนรับบัพติสมา?
2 แต่ว่าการรับบัพติสมาเป็นขั้นสุดท้าย แห่งแนวทางคริสเตียนของคุณไหม? หามิได้! ยกตัวอย่าง: การฉลองพิธีสมรสในหลายประเทศบ่งบอกว่าระยะเวลาการวางแผน การเตรียมงาน (และตามปกติระยะเวลาแห่งการติดต่อฝากรัก) เป็นอันสิ้นสุดลง. ในเวลาเดียวกัน วันนั้นเป็นการเริ่มมีชีวิตอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา. ทำนองเดียวกัน การรับบัพติสมาของคุณเป็นสุดยอดแห่งระยะการตระเตรียมซึ่งตลอดระยะนี้คุณได้ก้าวตามขั้นตอนเบื้องต้นหลายตอนที่สำคัญ. คุณได้มารู้จักพระเจ้าและพระคริสต์. (โยฮัน 17:3) คุณเริ่มแสดงความเชื่อศรัทธาในพระยะโฮวาฐานะเป็นพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ ศรัทธาในพระคริสต์ฐานะเป็นผู้ช่วยให้รอด และเชื่อว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นพระวจนะของพระเจ้า. (กิจการ 4:12; 1 เธซะโลนิเก 2:13; เฮ็บราย 11:6) คุณได้แสดงความเชื่อเช่นนั้นโดยที่คุณกลับใจจากการประพฤติในแนวทางเก่า ๆ และเปลี่ยนเข้ามาอยู่ในแนวทางที่ชอบธรรม. (กิจการ 3:19) ครั้นแล้วคุณได้ตัดสินใจจะอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาเพื่อทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์. (มัดธาย 16:24) ในที่สุด คุณก็รับบัพติสมา.—มัดธาย 28:19, 20.
3. (ก) เราสามารถแสดงให้ปรากฏโดยวิธีใดว่าการรับบัพติสมาของเราบ่งชี้ว่าเป็นการเริ่มชีวิตการรับใช้ที่ได้อุทิศแด่พระเจ้า? (ข) เกิดมีคำถามอะไรบ้างและทำไมเราควรสนใจอย่างจริงจังในคำตอบเหล่านั้น?
3 กระนั้น การรับบัพติสมาของคุณหาใช่ขั้นตอนสุดท้ายไม่ แต่เป็นการเริ่มต้น ชีวิตที่ได้อุทิศให้แก่พระเจ้าเพื่อการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์. ดังที่ผู้เชี่ยวชาญด้านคัมภีร์ไบเบิลให้ข้อสังเกตว่า ชีวิตคริสเตียนต้องไม่เป็นแบบ ‘ตื่นเต้นในตอนแรก เสร็จแล้วก็เฉื่อยช้าลง.’ ทีนี้ คุณจะแสดงให้เห็นโดยวิธีใดว่าในกรณีของคุณนั้น การรับบัพติสมามิใช่เป็นเพียง ‘ความตื่นเต้นในตอนแรก’? ก็โดยการดำเนินตามความเลื่อมใสในพระเจ้าตลอดชีวิต. ความเลื่อมใสในพระเจ้าหมายถึงอะไร? ทำไมจึงต้องมุ่งติดตามสิ่งนี้? คุณจะฝึกฝนตัวอย่างไรเพื่อความเลื่อมใสในพระเจ้าจะเพิ่มขึ้นในชีวิตของคุณ? เราน่าจะสนใจคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้อย่างจริงจัง เพราะเราต้องเป็นบุคคลที่ใคร ๆ ก็ชี้ตัวได้โดย “การกระทำด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า” ถ้าเราจะรอดผ่านวันแห่งการพิพากษาของพระยะโฮวาที่กำลังใกล้เข้ามา.—2 เปโตร 3:11, 12.
ความหมายของความเลื่อมใสในพระเจ้า
4. เปาโลได้แนะนำให้ติโมเธียวทำอะไร และอะไรเป็นจริงกับติโมเธียวในตอนนั้น?
4 ระหว่างปีสากลศักราช 61 ถึง 64 อัครสาวกเปาโลได้รับการดลใจให้เขียนจดหมายฉบับแรกถึงติโมเธียวสาวกคริสเตียน. หลังจากได้พรรณนาถึงอันตรายต่าง ๆ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้เพราะการรักเงิน เปาโลเขียนว่า “แต่ท่านที่เป็นคนของพระเจ้า จงหนีไปจากสิ่งเหล่านี้. แต่จงติดตาม . . . ความเลื่อมใสในพระเจ้า.” (1 ติโมเธียว 6:9-11) เป็นเรื่องน่าสนใจ ตอนนั้นติโมเธียวคงมีอายุราว ๆ สามสิบปีเศษ ๆ. ท่านเคยร่วมเดินทางไปกับอัครสาวกเปาโลและได้รับอำนาจให้แต่งตั้งผู้ดูแลและผู้รับใช้ในประชาคมต่าง ๆ. (กิจการ 16:3; 1 ติโมเธียว 5:22) กระนั้น เปาโลยังได้แนะนำชายหนุ่มคริสเตียนที่อาวุโสผู้นี้ซึ่งอุทิศตัวรับบัพติสมาแล้วให้มุ่งติดตามความเลื่อมใสในพระเจ้า.
5. อะไรคือความหมายของถ้อยคำ “ความเลื่อมใสในพระเจ้า”?
5 เปาโลหมายความถึงอะไรโดยถ้อยคำ “ความเลื่อมใสในพระเจ้า”? คำเดิมในภาษากรีก (อ็อยเซʹบิอา) ตามตัวอักษรอาจแปลได้ว่า “การเคารพยำเกรงอย่างนอบน้อม.” เกี่ยวกับความหมายของคำนี้เราอ่านว่า “อ็อยเซʹบิอา เป็นคำที่ใช่เป็นครั้งคราวเชิงแสดงความเลื่อมใสของบุคคลที่มีต่อศาสนาในบทจารึกสมัยเดียวกัน . . . แต่ความหมายกว้าง ๆ ในภาษากรีกที่นิยมใช้กันสมัยโรมันนั้นคือ ‘ความภักดี’ . . . สำหรับคริสเตียน คำอ็อยเซʹบิอา เป็นความเลื่อมใสอย่างสูงส่งต่อพระเจ้า.” (คริสเตียน เวิร์ดส โดยไนเกล เทอร์เนอร์) ฉะนั้น คำ “ความเลื่อมใสในพระเจ้า” ที่ใช้ในพระคัมภีร์จึงพาดพิงถึงความเคารพยำเกรงหรือความเลื่อมใสพร้อมกับความภักดีเป็นส่วนตัวต่อพระยะโฮวาเจ้า.
6. คริสเตียนให้พยานหลักฐานแสดงความความเลื่อมใสในพระเจ้าโดยวิธีใด?
6 แต่ความเลื่อมใสในพระเจ้าที่ว่านี้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความรู้สึกที่จะบูชานมัสการ. “ความเชื่ออันปราศจากการประพฤติก็ตายแล้ว” ฉันใด ความเลื่อมใสในพระเจ้าก็ต้องมีการแสดงออกในชีวิตของเราฉันนั้น. (ยาโกโบ 2:26) ในหนังสือนิว เทสทาเมสนท์ เวิร์ดส วิลเลียม บาร์คเลย์ เขียนไว้ว่า “[คำอ็อยเซʹบิอา และคำที่เกี่ยวข้อง] ไม่เพียงแต่ให้ความหมายบ่งบอกความรู้สึกเกรงกลัวและเคารพ แต่ยังหมายถึงการนมัสการ ซึ่งเหมาะสมคู่ควรกับความเกรงขาม และการดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟัง อย่างเคร่งครัดอันคู่ควรแก่ความเคารพนั้น.” อ็อยเซʹบิอา ถูกนิยามด้วยว่าเป็น “ความตระหนักถึงพระเจ้าอย่างที่จะเป็นคุณประโยชน์แท้จริงในทุกแง่มุมของชีวิต.” (จดหมายฉบับที่สองของเปโตร และจดหมายของยูดา โดยมิเชล กรีน) คริสเตียนจึงต้องให้หลักฐานแสดงความผูกพันของตัวเองต่อพระยะโฮวาโดยวิถีชีวิตของตน.—1 ติโมเธียว 2:2; 2 เปโตร 3:11.
จำต้องพยายามอย่างแข็งขัน
7. แม้ว่าติโมเธียวรับบัพติสมาแล้ว แต่เปาโลหมายความอย่างไรเมื่อท่านกระตุ้นติโมเธียวให้ “ติดตาม” ความเลื่อมใสในพระเจ้า?
7 แต่อะไรเกี่ยวข้องกับการพัฒนาและการแสดงออกซึ่งความเลื่อมใสในพระเจ้า? เพียงแต่การรับบัพติสมาเท่านั้นไหม? ขอให้นึกถึงกรณีของติโมเธียว. แม้ท่านเป็นผู้ที่รับบัพติสมาแล้ว แต่ก็ได้รับคำแนะนำให้ “ติดตาม [ตามตัวอักษร—คุณจงติดตามต่อ ๆ ไป] ความเลื่อมใส.a” (1 ติโมเธียว 6:11) ปรากฏชัดว่า เปาโลมิได้ชวนให้คิดว่าสาวกติโมเธียวขาดความเลื่อมใสในพระเจ้า. แต่ท่านเน้นให้ติโมเธียวคำนึงถึงความจำเป็นที่จะติดตามความเลื่อมใสต่อ ๆ ไป อย่างกระตือรือร้นและบากบั่น. (เทียบกับฟิลิปปอย 3:14.) ชัดแจ้งอยู่แล้วว่า เป็นการติดตามตลอดชีวิต. ติโมเธียวก็เช่นเดียวกับคริสเตียนที่ได้รับบัพติสมา คือสามารถดำเนินต่อไปเพื่อวัฒนายิ่งขึ้นในการสำแดงความเลื่อมใสในพระเจ้า.
8. เปโตรแสดงอย่างไรว่า ความบากบั่นพยายามเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคริสเตียนผู้ซึ่งอุทิศตัวรับบัพติสมาแล้วในอันที่จะติดตามความเลื่อมใสในพระเจ้า?
8 ความพยายามอย่างแข็งขันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคริสเตียนซึ่งได้อุทิศตัวรับบัพติสมาเพื่อติดตามความเลื่อมใสในพระเจ้า. เมื่ออัครสาวกเปโตรเขียนจดหมายถึงคริสเตียนที่รับบัพติสมาแล้ว ซึ่งมีความหวังจะ ‘เป็นผู้มีส่วนในลักษณะของพระเจ้า’ ท่านบอกว่า “ถูกแล้ว ด้วยเหตุผลนี้ทีเดียวแหละ โดยการที่ท่านทั้งหลายมีส่วนในการตอบรับความพยายามอย่างจริงจังทุกอย่าง จงเพิ่มความเชื่อของท่านทั้งหลายด้วยคุณความดี เพิ่มคุณความดีด้วยความรู้ เพิ่มความรู้ด้วยการรู้จักบังคับตน เพิ่มการรู้จักบังคับตนด้วยความอดทน เพิ่มความอดทนด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า.” (2 เปโตร 1:4-6, ล.ม.) เห็นได้ชัดว่า ความเชื่อขนาดพอสมควรเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อคนเราขอรับบัพติสมา. อย่างไรก็ดี เมื่อรับบัพติสมาแล้ว เราไม่อาจจะปล่อยตัวเป็นคนเรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ พอใจในตัวเองที่ได้ชื่อเป็นคริสเตียน. แทนที่จะทำเช่นนั้น ขณะที่เราก้าวหน้าในการดำเนินชีวิตแบบคริสเตียน เราจำต้องพัฒนาคุณลักษณะที่ดีหลาย ๆ อย่าง รวมทั้งความเลื่อมใสในพระเจ้าด้วย ซึ่งจะเพิ่มเข้ากับความเชื่อของเรา. เปโตรกล่าวว่า ทั้งหมดนี้เรียกร้องเอาความบากบั่นพยายามของเรา.
9. (ก) คำภาษากรีกที่นำมาแปลว่า “เพิ่ม” บ่งชี้อย่างไรถึงขีดความพยายามที่จำเป็นเพื่อการปลูกฝังความเลื่อมใสในพระเจ้า? (ข) เปโตรสนับสนุนพวกเราให้ทำอะไร?
9 เปโตรใช้คำกรีกเอพิโคเรเกʹโอ ที่ให้ความหมายว่า “เพิ่ม.” คำนี้มีภูมิหลังที่น่าสนใจและแสดงถึงระดับความพยายามที่จำเป็น. คำนี้มาจากคำนาม (โคเรกอสʹ) ซึ่งถ้าแปลตรงตัวหมายความว่า “ผู้จัดการนักร้อง.” คำนี้พาดพิงถึงบุคคลที่ยอมจ่ายค่าฝึกค่าเรียนทุกอย่างและตั้งวงนักร้องประกอบละคร. บุคคลดังกล่าวเต็มใจแบกความรับผิดชอบเช่นนั้นเนื่องจากความรักที่มีต่อประชากรในเมืองนั้นและยอมควักกระเป๋าตัวเองจ่าย. มันเป็นความภูมิใจของคนเหล่านั้นที่จะใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เพื่อจะทำให้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการแสดงนั้นดีเยี่ยม. และคำนี้จึงกลายมาเป็นคำที่ให้ความหมายว่า “เพิ่ม, ให้, จัดหาให้บริบูรณ์.” (เทียบกับ 2 เปโตร 1:11.) ดังนั้นเปโตรสนับสนุนเราที่จะจัดหาแก่ตัวเองไม่เพียงแต่ความเลื่อมใสในพระเจ้าอยู่บ้าง แต่การสำแดงคุณลักษณะอันมีค่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้.
10, 11. (ก) เพราะเหตุใดจึงต้องบากบั่นพยายามเพื่อจะปลูกฝังและแสดงออกซึ่งความเลื่อมใสในพระเจ้า? (ข) เราจะเอาชนะอุปสรรคได้อย่างไร?
10 ถึงกระนั้น ทำไมจึงต้องพยายามมากขนาดนั้นเพื่อปลูกฝังและแสดงออกซึ่งความเลื่อมใสในพระเจ้า? ประการหนึ่ง เพราะเราต้องต่อสู้ความอ่อนแอของเนื้อหนัง. เนื่องจาก “ความคิดในใจของมนุษย์นั้นล้วนแต่ชั่วตั้งแต่เด็กมา” ฉะนั้นจึงไม่ง่ายที่จะดำเนินชีวิตในแบบที่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างเอาจริงเอาจัง. (เยเนซิศ 8:21; โรม 7:21-23) “อันที่จริง ทุกคนที่ปรารถนาจะดำเนินชีวิตด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์นั้นก็จะถูกข่มเหงด้วย.” (2 ติโมเธียว 3:12, ล.ม.) ใช่แล้ว คริสเตียนผู้ซึ่งบากบั่นจะดำเนินชีวิตเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัยต้องต่างไปจากโลก. เขามีมาตรฐานและเป้าหมายที่แตกต่างไปจากโลก. ดังพระเยซูทรงเตือนไว้ การทั้งนี้ทำให้โลกชั่วร้ายนี้เกลียดชังคริสเตียน.—โยฮัน 15:19; 1 เปโตร 4:4.
11 อย่างไรก็ดี เราสามารถชนะการต่อสู้ได้ เพราะ “พระยะโฮวาทรงทราบวิธีช่วยคนที่เลื่อมใสในพระเจ้าให้รอดพ้นจากการทดลอง.” (2 เปโตร 2:9, ล.ม.) แต่เราต้องทำส่วนของตัวเองโดยติดตามความเลื่อมใสในพระเจ้าต่อ ๆ ไป.
การปลูกฝังความเลื่อมใสในพระเจ้า
12. เปโตรระบุไว้อย่างไรถึงสิ่งจำเป็นที่จะเพิ่มความเลื่อมใสในพระเจ้าให้มากขึ้น?
12 ดังนั้น คุณจะปลูกฝังความเลื่อมใสในพระเจ้าให้มากยิ่งขึ้นโดยวิธีใด? อัครสาวกเปโตรจัดหาคำตอบไว้แล้ว ที่ 2 เปโตร 1:5, 6 (ล.ม.) เมื่อเรียงคุณลักษณะต่าง ๆ ซึ่งต้องเพิ่มเข้ากับความเชื่อของเรา ท่านจัดเอาความรู้มาก่อนความเลื่อมใสในพระเจ้า. ในบทเดียวกันตอนต้น ๆ ท่านได้เขียนว่า “อำนาจของพระองค์ได้ประทานทุกสิ่งเกี่ยวกับชีวิตและความเลื่อมใสในพระเจ้าให้เราอย่างไม่อั้น โดยทางความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับพระองค์ผู้ทรงเรียกเรา.” (2 เปโตร 1:3, ล.ม.) ฉะนั้น เปโตรได้ผูกความเลื่อมใสในพระเจ้าเข้ากับความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับพระยะโฮวา.”
13. ทำไมความรู้ถ่องแท้เป็นสิ่งจำเป็นต่อการปลูกฝังความเลื่อมใสในพระเจ้า?
13 ที่จริง ถ้าปราศจากความรู้ถ่องแท้ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะปลูกฝังความเลื่อมใสในพระเจ้า. เพราะเหตุใด? เอาล่ะ นึกดูซิว่าความเลื่อมใสในพระเจ้านั้นเป็นการแสดงต่อพระยะโฮวาเป็นส่วนพระองค์ และปรากฏให้เห็นโดยวิธีที่เราดำเนินชีวิต. ความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับพระยะโฮวาจึงสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากความรู้ดังกล่าวรวมเอาการรู้จักพระองค์ฐานะเป็นบุคคล รู้จักเป็นอย่างดี รู้จักคุณลักษณะต่าง ๆ และแนวทางทั้งสิ้นของพระองค์โดยตลอด. ยิ่งกว่านั้นความเลื่อมใสเกี่ยวข้องกับความพยายามที่จะเลียนแบบพระองค์. (เอเฟโซ 5:1) ยิ่งเราก้าวหน้าด้วยการเรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาและสะท้อนแนวทางของพระองค์พร้อมกับคุณลักษณะต่าง ๆ ออกมาในชีวิตของเรา เรายิ่งรู้จักพระองค์ได้ดีขึ้น. (2 โกรินโธ 3:18; เทียบกับ 1 โยฮัน 2:3-6.) การนี้ยังผลเป็นความหยั่งรู้ค่าอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นในคุณลักษณะอันยอดเยี่ยมประการต่าง ๆ ของพระยะโฮวา เพิ่มพูนขนาดแห่งความเลื่อมใสในพระองค์อย่างเต็มที่ยิ่งขึ้น.
14. ที่จะได้มาซึ่งความรู้ถ่องแท้ กำหนดการศึกษาส่วนตัวของเราควรจะรวมอะไรเข้าไว้ด้วย และทำไม?
14 คุณจะได้มาซึ่งความรู้ถ่องแท้ดังกล่าวโดยวิธีใด? ไม่มีทางลัด. ที่จะได้ความรู้ถ่องแท้ เราต้องขยันหมั่นเพียรศึกษาพระวจนะของพระเจ้าและหนังสือที่อาศัยพระคัมภีร์เป็นหลัก. การศึกษาส่วนตัวดังกล่าวควรจะรวมเอาการอ่านพระคัมภีร์เป็นประจำไว้ด้วย ดังที่กำหนดไว้ในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบการของพระเจ้า. (บทเพลงสรรเสริญ 1:2) เนื่องจากพระคัมภีร์เป็นของประทานของพระยะโฮวา ฉะนั้นการที่เราศึกษาเป็นส่วนตัวมากน้อยเพียงใดจึงเป็นสิ่งสะท้อนให้เห็นว่าเราหยั่งรู้ค่าของประทานนั้นมากเพียงไร. นิสัยรักการศึกษาพระคัมภีร์เป็นส่วนตัวของคุณเผยให้เห็นอะไรเกี่ยวกับความลึกซึ้งแห่งความหยั่งรู้ค่าของคุณในการจัดเตรียมของพระยะโฮวาสำหรับฝ่ายวิญญาณ?—บทเพลงสรรเสริญ 119:97.
15, 16. (ก) อะไรอาจช่วยเราก่อความกระหายฝ่ายวิญญาณเพื่อการศึกษาพระคัมภีร์เป็นส่วนตัว? (ข) ถ้าการศึกษาพระคัมภีร์ส่วนตัวก่อผลดีในการปลูกฝังความเลื่อมใสในพระเจ้าเช่นนั้นแล้ว ควรทำประการใดเมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้าเป็นตอน ๆ?
15 เป็นที่ยอมรับกันว่า การอ่านและการศึกษาไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับบางคน. แต่ด้วยการให้เวลาบวกกับความพยายาม คุณสามารถปลูกฝังความกระหายทางฝ่ายวิญญาณได้เพื่อการศึกษาพระคัมภีร์เป็นส่วนตัว. (1 เปโตร 2:2) เมื่อคุณไตร่ตรองด้วยความหยั่งรู้ค่าด้วยบรรดาการต่าง ๆ ที่พระยะโฮวาเจ้าได้กระทำมาแล้วเพื่อประโยชน์ของคุณ และกำลังกระทำอยู่ ทั้งยังจะทรงกระทำอีก หัวใจของคุณคงจะกระตุ้นคุณให้เรียนรู้ทุกอย่างซึ่งเกี่ยวข้องกับพระองค์เท่าที่คุณจะทำได้.—บทเพลงสรรเสริญ 25:4.
16 แต่ถ้าการศึกษาพระคัมภีร์เป็นส่วนตัวเช่นนั้นจะยังผลให้คุณได้พัฒนาความเลื่อมใสในพระเจ้า เป้าหมายของคุณคงไม่เป็นเพียงแค่พลิกอ่านผ่าน ๆ หรือรับคำแนะนำไว้ในจิตใจเท่านั้น. แทนที่จะทำอย่างนั้น เมื่อคุณอ่านส่วนต่าง ๆ ในพระวจนะของพระเจ้า คุณต้องจัดเวลาไว้สำหรับตรึกตรองเนื้อเรื่อง ตั้งคำถามขึ้นถามตัวเองเช่น ‘เรื่องที่ฉันอ่านสอนอะไรเกี่ยวกับคุณลักษณะและแนวทางแห่งความรักใคร่เอ็นดูของพระยะโฮวา? ฉันจะสามารถเป็นเหมือนพระยะโฮวามากขึ้นในสิ่งเหล่านี้ได้โดยวิธีใด?’
17. (ก) เราเรียนอะไรจากพระธรรมโฮเซอาเกี่ยวด้วยความเมตตาของพระยะโฮวา? (ข) การตรึกตรองถึงความเมตตาของพระยะโฮวาควรกระทบกระเทือนเราอย่างไร?
17 จงพิจารณาตัวอย่าง. คราวหนึ่งมีการกำหนดให้อ่านพระธรรมโฮเซอาตลอดเล่มตามตารางเวลาในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบการของพระเจ้า. หลังจากอ่านจนจบแล้ว คุณอาจถามตัวเองว่า ‘ฉันได้เรียนรู้อะไรจากพระธรรมเล่มนี้เกี่ยวกับพระยะโฮวาในฐานะบุคคล—คุณลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์อีกทั้งแนวทางของพระองค์?’ วิธีที่ผู้เขียนพระคัมภีร์ในสมัยต่อมาใช้พระธรรมเล่มนี้ชี้ว่า เราเรียนรู้มากเกี่ยวด้วยความรักใคร่เอ็นดูของพระยะโฮวาจากพระธรรมโฮเซอา. (เทียบระหว่างมัดธาย 9:13; กับโฮเซอา 6:6; โรม 9:22-26 กับโฮเซอา 1:10 และ 2:21-23.) ความเต็มพระทัยของพระยะโฮวาที่จะแสดงความเมตตาแก่ชาติยิศราเอลนั้นมีอุทาหรณ์เปรียบเทียบโดยวิธีที่โฮเซอาเกี่ยวข้องกับนางโฆเมรภรรยาของท่าน. (โฮเซอา 1:2; 3:1-5) ถึงแม้ในชาติยิศราเอลสมัยนั้นมีการฆ่าฟัน การลักทรัพย์ การผิดประเวณีและการไหว้รูปเคารพแพร่ระบาดอย่างกว้างขวาง แต่พระยะโฮวา “พูดปลอบโยนใจของเขา” (โฮเซอา 2:13, 14; 4:2) พระยะโฮวาไม่มีข้อผูกมัดต้องแสดงความเมตตา แต่ที่ทรงกระทำเช่นนั้นเพราะพระองค์ “รักเขาอย่างเต็มใจ” ทั้งนี้ก็เพื่อชาวยิศราเอลจะแสดงการกลับใจและหันกลับจากการประพฤติชั่ว. (โฮเซอา 14:4; เทียบกับโฮเซอา 3:3.) ขณะที่คุณตรึกตรองเช่นนี้ถึงความเมตตาอันล้นเหลือของพระยะโฮวา หัวใจของคุณจะรับแรงกระตุ้น ทำให้ความผูกพันที่คุณมีต่อพระองค์กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น.
18. ภายหลังการตรึกตรองเรื่องความเมตตาของพระยะโฮวาที่กล่าวย้ำในพระธรรมโฮเซอา คุณอาจถามตัวเองอย่างไร?
18 แต่ยังมีสิ่งที่จำเป็นกว่านี้อีก. พระเยซูตรัสว่า “บุคคลผู้ใดมีใจเมตตาปรานีก็เป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับความเมตตาปรานีเหมือนกัน.” (มัดธาย 5:7) เหตุฉะนั้น ครั้นได้ไตร่ตรองดูความเมตตาของพระยะโฮวาดังที่กล่าวย้ำในพระธรรมโฮเซอาแล้ว จงถามตัวเองว่า ‘ฉันจะเลียนแบบความเมตตาของพระยะโฮวาให้ดียิ่งขึ้นโดยวิธีใดเมื่อฉันเกี่ยวข้องกับคนอื่น? ถ้าพี่น้องชายหญิงคนใดคนหนึ่งได้ทำผิดต่อฉันหรือทำให้ฉันขัดเคืองใจแล้วขออภัย ฉันจะให้อภัย “ด้วยใจยินดี” ไหม? (โรม 12:8; เอเฟโซ 4:32) ถ้าคุณปฏิบัติหน้าที่ในประชาคมในฐานะผู้ปกครองที่ได้รับการแต่งตั้ง คุณอาจถามตัวเองว่า ‘เมื่อพิจารณาตัดสินความ ผมจะเลียนแบบพระยะโฮวาให้มากยิ่งขึ้นโดยวิธีใด พระองค์ผู้ทรงมุ่งมั่น “พร้อมจะให้อภัยโทษ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ทำผิดแสดงหลักฐานการสำนึกผิดอย่างแท้จริงแล้วกลับใจด้วยใจจริง’? (บทเพลงสรรเสริญ 86:5; สุภาษิต 28:13) ‘ผมควรจะมองหาอะไรเป็นมูลฐานสำหรับการแผ่ความเมตตา?—เทียบกับโฮเซอา 5:4 และ 7:14.
19, 20. (ก) เมื่อทำการศึกษาพระคัมภีร์อย่างละเอียดลออแล้ว มีผลอะไร? (ข) อะไรเป็นเครื่องช่วยอีกอย่างหนึ่งในการปลูกฝังความเลื่อมใสในพระเจ้า?
19 การศึกษาพระคัมภีร์เป็นส่วนตัวทำให้คุณได้ประโยชน์มากเพียงไรเมื่อทำอย่างละเอียดลออเช่นนี้! หัวใจของคุณจะอิ่มเอิบด้วยความหยั่งรู้ค่าต่อคุณลักษณะต่าง ๆ อันดีเยี่ยมของพระยะโฮวา. และโดยพยายามอย่างไม่ละลดที่จะเลียนแบบคุณลักษณะเหล่านี้ในชีวิตของคุณ คุณจะทำให้ความผูกพันระหว่างคุณกับพระยะโฮวาเหนียวแน่นมากขึ้น. โดยวิธีนี้ คุณจะติดตามความเลื่อมใสในพระเจ้าฐานะผู้รับใช้ที่ได้อุทิศตัวแด่พระยะโฮวา.—1 ติโมเธียว 6:11.
20 อีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยปลูกฝังคุณลักษณะพิเศษนี้พบได้ในพระเยซูคริสต์—ตัวอย่างที่สมบูรณ์พร้อมของความเลื่อมใสในพระเจ้า. การติดตามตัวอย่างของพระเยซูจะส่งเสริมคุณอย่างไรทั้งในด้านการปลูกฝังและการแสดงออกซึ่งความเลื่อมใสในพระเจ้า? จะมีการนำเอาเรื่องนี้และคำถามต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องขึ้นมาพิจารณาในบทความที่หน้า 18.
[เชิงอรรถ]
a เกี่ยวกับคำกรีก ดิโอʹโค (ติดตาม) เดอะ นิว อินเตอร์แนชันนัล ดิกชันนารี อ็อฟ นิวเทสทาเมนท์ ธีโอโลจี ชี้แจงว่า ในวรรณคดีกรีกโบราณ คำนี้ “ตามตัวอักษรหมายถึง ไล่ตาม มุ่งไม่ลดละ วิ่งตาม . . . และโดยนัยหมายถึงบากบั่นติดตาม พยายามทำให้บรรลุ พยายามจะเอาให้ได้.”
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ เหตุใดการรับบัพติสมาจึงหาใช่ขั้นตอนสุดท้ายแห่งแนวทางของคริสเตียนไม่?
▫ อะไรคือความหมายของ “ความเลื่อมใสในพระเจ้า” และคุณจะแสดงหลักฐานถึงสิ่งนี้โดยวิธีใด?
▫ ทำไมจึงจำต้องบากบั่นเพื่อจะปลูกฝังความเลื่อมใสในพระเจ้า?
▫ คุณจะปลูกฝังความเลื่อมใสในพระเจ้าให้มากยิ่งขึ้นได้โดยวิธีใด?