ติดตามตัวอย่างของพระเยซูด้านความเลื่อมใสในพระเจ้า
“ข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความเลื่อมใสในพระเจ้านี้เป็นที่ยอมรับว่ายิ่งใหญ่จริง: ‘พระองค์ [พระเยซู] ถูกส่งมาให้ปรากฏเป็นเนื้อหนัง.’”—1 ติโมเธียว 3:16, ล.ม.
1. (ก) ปัญหาอะไรซึ่งเป็นปริศนาอยู่นานกว่า 4,000 ปี? (ข) มีการไขปริศนานั้นเมื่อไรและโดยวิธีใด?
ข้อลึกลับนี้เป็นปริศนานานกว่า 4,000 ปี. นับตั้งแต่อาดามมนุษย์คนแรกไม่ได้รักษาความซื่อสัตย์มั่นคง ปัญหานั้นคือความเลื่อมใสในพระเจ้าจะปรากฏให้เห็นได้อย่างไรท่ามกลางมนุษยชาติ? ในที่สุดก็ได้คำตอบเมื่อพระบุตรของพระเจ้าได้เข้ามาในโลกในศตวรรษแรกแห่งสากลศักราช. พระเยซูคริสต์ทรงแสดงให้ประจักษ์ชัดถึงความผูกพันระหว่างพระองค์เองกับพระยะโฮวาในทุกทาง ไม่ว่าทางความคิด คำพูดและการกระทำ. ฉะนั้น พระองค์ได้ทรงเปิดเผย ‘ข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความเลื่อมใสในพระเจ้า’ เป็นการแสดงให้เห็นแนวทางไว้สำหรับมนุษย์ที่ได้อุทิศตัวแล้วจะพึงรักษาความเลื่อมใสเช่นนั้น.—1 ติโมเธียว 3:16.
2. เมื่อติดตามความเลื่อมใสในพระเจ้า เหตุใดเราควรพิจารณาตัวอย่างของพระเยซูอย่างใกล้ชิด?
2 ด้วยการมุ่งติดตามความเลื่อมใสในพระเจ้าฐานะเป็นคริสเตียนที่รับบัพติสมาแล้ว เราสมควร “มองเขม้น” ตัวอย่างของพระเยซู. (เฮ็บราย 12:3) ทำไม? ด้วยเหตุผลสองประการ. ประการแรก ตัวอย่างของพระเยซูสามารถช่วยเราปลูกฝังความเลื่อมใสในพระเจ้าได้. พระเยซูทรงรู้จักพระบิดาของพระองค์ดีกว่าใคร ๆ. (โยฮัน 1:18) และพระเยซูเลียนแบบแนวทางและคุณลักษณะประการต่าง ๆ ของพระยะโฮวาใกล้ชิดมาก ถึงขนาดพระองค์จึงกล่าวได้ว่า “ผู้ที่ได้เห็นเราก็เห็นพระบิดา.” (โยฮัน 14:9) เมื่อเป็นเช่นนั้น โดยการพิจารณาชีวิตและการสั่งสอนของพระเยซู พวกเราจึงเกิดความหยั่งรู้ค่าคุณลักษณะต่าง ๆ อันเปี่ยมด้วยความเอ็นดูของพระยะโฮวาได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และความผูกพันของเราต่อพระผู้สร้างผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักใคร่ก็ยิ่งกระชับแน่น. ประการที่สอง ตัวอย่างของพระเยซูย่อมส่งเสริมพวกเราในการสำแดงความเลื่อมใสในพระเจ้า. พระองค์ทรงวางตัวอย่างที่ดีพร้อมด้านการประพฤติที่แสดงถึงความเลื่อมใสในพระเจ้า. ดังนั้น เป็นการสมควรที่เราพึงพิจารณาว่าเราจะ ‘ประดับตัวด้วยพระคริสต์’ อย่างไร ซึ่งก็หมายถึงการรับเอาพระองค์เป็นแบบอย่าง เลียนแบบอย่างของพระองค์.—โรม 13:14.
3. กำหนดการที่เราจัดไว้สำหรับการศึกษาพระคัมภีร์เป็นส่วนตัวควรรวมอะไรเข้าไปด้วย และทำไม?
3 ไม่ใช่ทุกอย่างซึ่งพระคริสต์ตรัสและทรงกระทำได้รับการบันทึกลงไว้เป็นลายลักษณ์อักษร. (โยฮัน 21:25) เหตุฉะนั้น สิ่งซึ่งถูกบันทึกไว้โดยการดลบันดาลจากพระเจ้าจึงน่าจะเป็นสิ่งที่เราควรสนใจเป็นพิเศษ. กำหนดการศึกษาพระคัมภีร์เป็นส่วนตัวจึงควรรวมการอ่านพระธรรมที่กล่าวถึงเรื่องชีวิตของพระเยซูเข้าไปด้วย. แต่ถ้าการอ่านกิตติคุณจะช่วยเราให้มุ่งติดตามความเลื่อมใสในพระเจ้า เราต้องจัดเวลาไว้สำหรับคิดไตร่ตรองลึกซึ้งในคุณค่าของเนื้อหาที่เราได้อ่าน. นอกจากนั้น เราต้องตื่นตัวเพื่อจะมองลึกลงไปกว่าที่เห็นแต่เพียงผิวเผิน.
บิดาเป็นอย่างไร บุตรก็เป็นอย่างนั้น
4. (ก) มีอะไรแสดงว่าพระเยซูทรงมีความรักใคร่และห่วงใยอย่างลึกซึ้ง? (ข) พระเยซูทรงเป็นฝ่ายริเริ่มอย่างไรเมื่อพระองค์ปฏิบัติกับผู้อื่น?
4 ขอพิจารณาตัวอย่าง. พระเยซูเป็นบุรุษผู้มีน้ำใจเอื้ออารีและห่วงใยลึกซึ้ง. จงสังเกตจากมาระโก 10:1, 10, 13, 17, และ 35 ที่บอกว่าฝูงชนทุกเพศทุกวัยและพื้นเพต่างกันสามารถเข้าพบพระองค์ได้. มีอยู่หลายครั้ง พระองค์ทรงอุ้มเด็กเล็ก ๆ. (มาระโก 9:36; 10:16) ทำไมคนเหล่านั้น กระทั่งเด็กต่างก็รู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับพระเยซู? เพราะพระองค์ทรงมีความจริงใจและสนใจประชาชนจริง ๆ. (มาระโก 1:40, 41) ทั้งนี้เห็นได้ชัดจากข้อเท็จจริงที่ว่าบ่อยครั้งพระองค์ทรงริเริ่มออกไปพบปะกับผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือ. ดังนั้นเราจึงได้อ่านตอนที่ว่า พระองค์ “ทรงเห็น” หญิงม่ายจากเมืองนาอินซึ่งลูกชายของนางได้ตายไปและคนกำลังหามศพผ่านมา. ครั้นแล้ว “พระองค์เสด็จเข้าไปใกล้” และปลุกเด็กหนุ่มผู้นั้นให้ฟื้นคืนชีวิต ไม่มีบอกที่ไหนเลยว่ามีคนขอร้องให้พระองค์ทำเช่นนั้น. (ลูกา 7:13-15) อนึ่ง พระองค์เป็นฝ่ายริเริ่มให้การรักษาหญิงง่อยและชายที่ป่วยด้วยโรคท้องมาน โดยไม่มีผู้ใดขอร้องให้พระองค์ทำการนั้น.—ลูกา 13:11-13; 14:1-4.
5. เรื่องต่าง ๆ อันเกี่ยวข้องกับงานประกาศสั่งสอนของพระเยซูสอนอะไรแก่เราเกี่ยวด้วยคุณลักษณะและแนวทางของพระยะโฮวา?
5 เมื่อคุณอ่านเรื่องเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่นนั้น จงหยุดถามตัวเองว่า ‘เนื่องด้วยพระเยซูทรงเลียนแบบพระบิดาของพระองค์ได้ครบถ้วน เรื่องราวเหล่านั้นบอกอะไรฉันบ้างเกี่ยวด้วยคุณลักษณะและแนวทางของพระยะโฮวา?’ เหตุการณ์เหล่านั้นน่าจะเสริมความมั่นใจของเราว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าผู้ทรงอารีอารอบและทรงห่วงใยมนุษย์อย่างลึกซึ้ง. เพราะความใฝ่พระทัยอันล้ำลึกที่พระองค์มีต่อครอบครัวมนุษย์นี่เอง พระองค์จึงเป็นฝ่ายริเริ่มติดต่อกับพวกเขา. ไม่จำเป็นต้องมีผู้ใดวิงวอนพระองค์ให้สละพระบุตร “ลงมาเป็นค่าไถ่สำหรับคนเป็นอันมาก.” (มัดธาย 20:28; โยฮัน 3:16) พระองค์ทรงหาช่องทาง ‘จะแสดงความรัก’ ต่อคนที่ปฏิบัติพระองค์ด้วยความรัก. (พระบัญญัติ 10:15, ล.ม.) ดังมีกล่าวในพระคัมภีร์ดังนี้: “พระเนตรของพระองค์สอดส่องไปมาทั่วพิภพ เพื่อสำแดงพลานุภาพของพระองค์ โดยเห็นแก่คนเหล่านั้นที่มีหัวใจครบถ้วนต่อพระองค์.”—2 โครนิกา 16:9, ล.ม.
6. เมื่อเราตรึกตรองดูความรักใคร่และความห่วงใยของพระยะโฮวาจากตัวอย่างที่พระบุตรแสดงให้ปรากฏนั้น ก่อผลกระทบเช่นไร?
6 การไตร่ตรองวิธีนี้ถึงความเอื้ออารีและความห่วงใยอันลึกซึ้งของพระยะโฮวา ซึ่งแสดงให้เห็นโดยพระบุตรของพระองค์เช่นนั้นทำให้เราเกิดความประทับใจ พร้อมด้วยความหยั่งรู้ค่ามากขึ้นในคุณลักษณะที่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยนของพระองค์อันเป็นสิ่งดึงดูดใจพวกเรา. ข้อนี้เองจะชักนำคุณเข้ามาใกล้พระองค์. คุณจะต้องการเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยคำทูลอธิษฐานทุกเวลาและทุกสถานการณ์โดยไม่จำกัด. (บทเพลงสรรเสริญ 65:2) การไตร่ตรองเช่นนี้จะช่วยเสริมความรักที่คุณมีต่อพระองค์เป็นส่วนตัวให้มั่นคงยิ่งขึ้น.
7. หลังจากตรึกตรองดูความรักใคร่และความห่วงใยของพระยะโฮวา คุณควรถามตัวเองอย่างไร และทำไม?
7 แต่จำไว้ว่า ความเลื่อมใสในพระเจ้าไม่ใช่แค่ความรู้สึกอยากบูชาเท่านั้น. ดังที่อาร์. เลนสกิ ผู้เชี่ยวชาญด้านคัมภีร์ไบเบิลให้ความเห็นว่า ความเลื่อมใส “รวมเอาการเคารพบูชา ทัศนะอันเกี่ยวข้องกับการนมัสการ และการกระทำอันสืบเนื่องมาจากความศรัทธา ด้วย.” ฉะนั้น หลังจากได้ไตร่ตรองเรื่องความอารีอารอบและความห่วงใยของพระยะโฮวาซึ่งพระเยซูได้แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง ลองถามตัวเองว่า ‘ในเรื่องนี้ฉันจะประพฤติอย่างไรจึงจะมีคุณลักษณะเยี่ยงพระยะโฮวามากขึ้น. คนอื่นมองเห็นว่าฉันเป็นคนที่จะเข้าพบปะได้ง่ายไหม?’ ถ้าคุณมีบุตร คุณต้องเป็นผู้ที่บุตรเข้าหาได้ง่าย. และถ้าคุณเป็นผู้ดูแลในประชาคม แน่นอนคุณควรเป็นคนที่พี่น้องจะพบปะได้. และอะไรล่ะจะทำให้คุณเป็นบุคคลประเภทที่จะเข้าพบปะได้ง่ายขึ้น? ความอารีอารอบและความห่วงใยอย่างลึกซึ้งนั่นเอง. คุณต้องแสดงความจริงใจ ความสนใจอย่างจริงจังต่อผู้อื่น. เมื่อคุณแสดงน้ำใจกับคนอื่นและเต็มใจเสียสละเพื่อประโยชน์สุขของเขา เขาก็ย่อมซาบซึ้งในการกระทำของคุณ และมีความรู้สึกอยากจะเข้ามาใกล้ชิดกับคุณ.
8. (ก) คุณควรนึกถึงสิ่งใดขณะคุณอ่านเรื่องพระเยซูในคัมภีร์ไบเบิล? (ข) จากข้อความในหมายเหตุ เราเรียนอะไรเกี่ยวกับพระยะโฮวา?
8 ฉะนั้น เมื่อคุณอ่านประวัติพระเยซูในคัมภีร์ไบเบิล จำไว้เสมอว่าคุณจะเรียนรู้ได้มากเรื่องพระยะโฮวาฐานะเป็นบุคคลจากสิ่งที่พระเยซูได้ตรัสและกระทำ.a ครั้นการหยั่งรู้ค่าคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระเจ้าเป็นแรงกระตุ้นให้คุณพยายามจะเอาอย่างพระเจ้า ดังที่พระเยซูเองก็ได้สะท้อนคุณลักษณะนี้มาแล้ว ก็แสดงหลักฐานว่าคุณมีความเลื่อมใสในพระเจ้าอยู่ทีเดียว.
การสำแดงความเลื่อมใสในพระเจ้ากับสมาชิกครอบครัว
9, 10. (ก) พระเยซูสำแดงความรักและความห่วงใยอย่างไรต่อมาเรียมารดาของพระองค์ก่อนพระองค์สิ้นพระชนม์ไม่นาน? (ข) ทำไมพระเยซูจึงมอบหมายให้อัครสาวกโยฮันเอาใจใส่มาเรีย และไม่ได้มอบงานนี้แก่น้องชายแท้ ๆ ของพระองค์?
9 ชีวิตและการสั่งสอนของพระเยซูคริสต์เผยอย่างชัดเจนว่าควรจะสำแดงความเลื่อมใสในพระเจ้าโดยวิธีใด. ตัวอย่างที่น่าประทับใจมีบันทึกอยู่ในโยฮัน 19:25-27 (ล.ม.) ซึ่งเราอ่านว่า “อย่างไรก็ดี ก็มีมารดาของพระเยซูและน้องสาวของมารดาพระองค์ มาเรียภรรยาของโกลปาส์ และมาเรียมัฆดาลายืนอยู่ใกล้ ๆ หลักทรมาน. เมื่อทรงเห็นมารดาและสาวกที่พระองค์ทรงรักนั้น [โยฮัน] ยืนอยู่ใกล้ ๆ จึงตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า ‘หญิงเอ๋ย ดูบุตรของท่านซิ!’ แล้วพระองค์ได้ตรัสแก่สาวกผู้นั้นว่า ‘ดูซิ! มารดาของเจ้า!’ และตั้งแต่นั้นมาสาวกผู้นั้นจึงรับเธอมาอยู่ที่บ้านของตน.”
10 นึกวาดมโนภาพดูซิ! ชั่วเวลาสั้น ๆ ก่อนพระเยซูสละชีวิตพระองค์บนแผ่นดินโลก ด้วยความที่พระองค์ทรงรักและห่วงใย พระองค์จึงฝากมาเรียมารดาของพระองค์ (ดูเหมือนว่าตอนนั้นเป็นม่าย) ให้อยู่ในความเอาใจใส่ดูแลของโยฮัน อัครสาวกผู้เป็นที่รักของพระองค์. แต่ทำไมฝากฝังไว้กับโยฮัน และไม่ได้ฝากไว้กับน้องชายคนหนึ่งคนใดของพระเยซู? เพราะพระเยซูไม่เพียงแต่ห่วงใยนางมาเรียทางด้านความต้องการฝ่ายร่างกาย ความต้องการในด้านวัตถุปัจจัย แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์ทรงคำนึงถึงสวัสดิภาพฝ่ายวิญญาณของเธอ. และอัครสาวกโยฮัน (อาจเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระเยซู) ได้พิสูจน์ความเชื่อของตนแล้ว ขณะที่ในเวลานั้นยังไม่มีข้อบ่งชี้ใด ๆ ว่าน้องชายแท้ ๆ ของพระเยซูได้เข้ามาเชื่อถือ.—มัดธาย 12:46-50; โยฮัน 7:5.
11. (ก) ตามคำกล่าวของเปาโล คริสเตียนจะสำแดงความเลื่อมใสในพระเจ้ากับคนในครอบครัวของตนโดยวิธีใด? (ข) ทำไมคริสเตียนแท้จัดหาสิ่งจำเป็นเผื่อบิดามารดาที่ชรา?
11 ทั้งนี้เป็นการสำแดงความเลื่อมใสในพระเจ้าอย่างไร? อัครสาวกเปาโลชี้แจงดังนี้ “จงให้เกียรติแม่ม่ายซึ่งเป็นแม่ม่ายจริง ๆ. แต่ถ้าแม่ม่ายคนใดมีลูกหรือหลาน ก็ให้คนเหล่านี้เรียนรู้ที่จะแสดงความเลื่อมใสในพระเจ้าในครอบครัวของตัวเองก่อน และทดแทนบุญคุณบิดามารดาหรือปู่ย่าตายายเสมอ เพราะการทำอย่างนี้เป็นที่ชอบในสายพระเนตรของพระเจ้า.” (1 ติโมเธียว 5:3, 4, ล.ม.) การนับถือบิดามารดาโดยให้การสงเคราะห์ จัดหาปัจจัยให้ในยามจำเป็น ดังเปาโลได้แนะนำ ย่อมเป็นการสำแดงความเลื่อมใสในพระเจ้า. เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? พระยะโฮวา ผู้แรกที่ก่อตั้งระบบครอบครัว สั่งให้บุตรแสดงความนับถือต่อบิดามารดาของตน. (เอเฟโซ 3:14, 15; 6:1-3) ฉะนั้น คริสเตียนแท้ตระหนักดีว่า การเอาใจใส่ต่อหน้าที่รับผิดชอบในครอบครัวดังกล่าวหาใช่เป็นการแสดงความรักต่อบิดามารดาเท่านั้น แต่ยังแสดงความเคารพอย่างสูงต่อพระเจ้า และเป็นการเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ด้วย.—เทียบกับโกโลซาย 3:20.
12. คุณจะสำแดงความเลื่อมใสในพระเจ้าโดยวิธีใดต่อบิดามารดาที่ชรา และเจตนาที่ทำเช่นนั้นควรเป็นเช่นไร?
12 แล้วทีนี้ คุณจะสำแดงความเลื่อมใสในพระเจ้ากับสมาชิกในครอบครัวได้อย่างไร? แน่นอน เรื่องนี้ย่อมรวมเอาไปถึงการจัดเตรียมเพื่อให้ความเอาใจใส่บิดามารดาที่ชราภาพ ทั้งในด้านวิญญาณและความต้องการด้านวัตถุ อย่างที่พระเยซูทรงกระทำ. การละเลยไม่ปฏิบัติย่อมส่อถึงการขาดความเลื่อมใสในพระเจ้า. (เทียบกับ 2 ติโมเธียว 3:2, 3, 5.) คริสเตียนผู้ซึ่งอุทิศตัวแล้ว ได้เลี้ยงดูบิดามารดาที่ขัดสนเช่นนั้นไม่ใช่เพียงเพราะความใจกว้างหรือเป็นหน้าที่เท่านั้น แต่เนื่องจากเขารักครอบครัว และเขารู้อยู่ว่า พระยะโฮวาทรงถือว่า การเอาใจใส่ดูแลหน้าที่รับผิดชอบนั้นเป็นเรื่องสำคัญ. ด้วยเหตุนี้ การดูแลบิดามารดาที่สูงอายุจึงเป็นการแสดงออกซึ่งความเลื่อมใสในพระเจ้า.b
13. คริสเตียนผู้เป็นบิดาจะสำแดงความเลื่อมใสในพระเจ้าต่อครอบครัวของตนได้อย่างไร?
13 อาจแสดงความเลื่อมใสในพระเจ้าภายในครอบครัวได้ทางอื่นด้วย. ยกตัวอย่าง คริสเตียนที่เป็นบิดามีความรับผิดชอบที่จะจัดหาสำหรับครอบครัวทางด้านวัตถุปัจจัย ด้านอารมณ์และด้านวิญญาณ. ดังนั้น นอกจากให้การช่วยเหลือด้านวัตถุแล้ว ด้วยความรักใคร่เขาจัดให้มีการศึกษาพระคัมภีร์ในครอบครัวเป็นประจำ. เขาจัดเวลาออกประกาศตามบ้านอย่างสม่ำเสมอกับครอบครัว. เขาเป็นคนสมดุล และตระหนักถึงความจำเป็นของสมาชิกครอบครัวที่ต้องพักผ่อนและมีนันทนาการ. และเขาจัดลำดับความสำคัญอย่างสุขุมรอบคอบ ไม่ถือเอากิจกรรมของประชาคมมาเป็นเหตุให้เขาละเลยครอบครัว. (1 ติโมเธียว 3:5, 12) ทำไมเขาจึงทำเช่นนั้น? ไม่เพียงแต่เพราะถือเอาเป็นหน้าที่ แต่เพราะเขารักครอบครัว. เขาตระหนักว่าพระยะโฮวาทรงถือว่า การดูแลเอาใจใส่ครอบครัวของตนนั้นสำคัญ. โดยการปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบให้ครบถ้วนในฐานะสามีและบิดา เขาแสดงความเลื่อมใสในพระเจ้า.
14. ภรรยาคริสเตียนจะแสดงความเลื่อมใสในพระเจ้ากับคนในบ้านโดยวิธีใด?
14 อนึ่ง ภรรยาคริสเตียนมีหน้าที่รับผิดชอบที่จะแสดงความเลื่อมใสในพระเจ้ากับคนในครอบครัวเช่นกัน. โดยวิธีใด? คัมภีร์ไบเบิลระบุว่า ภรรยาควร “ยอมอยู่ใต้อำนาจ” และแสดง “ความนับถืออย่างสุดซึ้ง” ต่อสามีของตน. (เอเฟโซ 5:22, 23, ล.ม.) ถึงแม้สามีไม่เชื่อถือพระเจ้า เธอก็ยังต้อง “ยอมอยู่ใต้อำนาจ” ของเขา. (1 เปโตร 3:1, ล.ม.) สตรีคริสเตียนแสดงความยินยอมอ่อนน้อมเช่นนั้นโดยให้การสนับสนุนสามีเมื่อเขาตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ตราบใดที่เรื่องเหล่านั้นไม่ขัดกับกฎหมายของพระเจ้า. (กิจการ 5:29) และทำไมภรรยารับบทบาทนี้? ไม่ใช่เพียงแต่เพราะเธอรักสามี แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะเธอยอมรับว่าการนี้ “สมควรในองค์พระผู้เป็นเจ้า” คือเป็นการจัดเตรียมของพระเจ้าสำหรับครอบครัว. (โกโลซาย 3:18, ล.ม.) ความเต็มใจยอมอยู่ใต้อำนาจสามีในส่วนของภรรยาจึงเป็นการแสดงความเลื่อมใสในพระเจ้า.
“ที่เราได้มาก็เพราะเหตุนั้นเอง”
15. พระเยซูทรงแสดงความเลื่อมใสในพระเจ้าอย่างเด่นชัดในทางใด?
15 วิธีหนึ่งที่เด่นที่พระเยซูได้แสดงความเลื่อมใสในพระเจ้าก็โดย ‘การประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า.’ (ลูกา 4:43) ภายหลังพระองค์ได้รับบัพติสมาในแม่น้ำยาระเด็นปีสากลศักราช 29 แล้ว พระเยซูทรงใช้เวลาเต็มที่ตลอดสามปีครึ่ง หมกมุ่นทำงานสำคัญยิ่งนี้. พระเยซูทรงอธิบายว่า “ที่เราได้มาก็เพราะเหตุนั้นเอง.” (มาระโก 1:38; โยฮัน 18:37) แต่โดยวิธีใดการนี้จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเลื่อมใสของพระองค์ในพระเจ้า?
16, 17. (ก) อะไรเป็นแรงกระตุ้นพระเยซูซึ่งทำให้พระองค์หมกมุ่นเอาจริงเอาจังกับงานประกาศสั่งสอน? (ข) ทำไมงานเทศนาสั่งสอนของพระเยซูจึงเป็นการสำแดงความเลื่อมใสในพระเจ้า?
16 โปรดรำลึกว่า ความเลื่อมใสในพระเจ้าเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตอย่างเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า เนื่องจากคุณรักพระองค์และหยั่งรู้ค่าคุณลักษณะต่าง ๆ ซึ่งทำให้คุณรู้สึกว่าพระองค์เป็นที่รักของคุณ. อะไรล่ะที่กระตุ้นพระเยซูให้หมกมุ่นทำงานประกาศสั่งสอนอย่างเต็มที่ตลอดชีวิตบั้นปลายของพระองค์บนแผ่นดินโลก? เป็นเพียงความสำนึกในหน้าที่หรือเป็นพันธกรณีที่ต้องทำไหม? ไม่มีข้อสงสัยว่าพระองค์ทรงห่วงใยประชาชน. (มัดธาย 9:35, 36) และพระองค์ทรงทราบเป็นอย่างดีว่าการที่พระองค์ได้รับการเจิมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นนั้นเป็นการแต่งตั้งและมอบหมายให้พระองค์ดำเนินงานประกาศสั่งสอน. (ลูกา 4:16-21) แต่พระองค์มีเจตนารมณ์ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น.
17 พระเยซูตรัสกับอัครสาวกตรง ๆ ในคืนสุดท้ายที่พระองค์มีชีวิตบนแผ่นดินโลกว่า “เรารักพระบิดา.” (โยฮัน 14:31) ความรักนี้อาศัยความรู้อันลึกซึ้งเกี่ยวด้วยคุณลักษณะต่าง ๆ ของพระยะโฮวา. (ลูกา 10:22) เนื่องจากการหยั่งรู้ค่าอย่างลึกซึ้งเป็นแรงกระตุ้นหัวใจ พระเยซูจึงทรงกระทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าด้วยความเบิกบานยินดี. (บทเพลงสรรเสริญ 40:8) การทำเช่นนั้นเป็น “อาหาร” สำหรับพระองค์—เป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต และโอชารสด้วย. (โยฮัน 4:34) พระองค์ได้วางตัวอย่างสมบูรณ์แบบเกี่ยวด้วย “การแสวงหาราชอาณาจักรก่อน” แทนการคิดถึงตัวเองเป็นอันดับแรก. (มัดธาย 6:33) ฉะนั้นจึงไม่ใช่แค่งานที่พระองค์ได้ทำไปเท่านั้น หรือทำมากขนาดไหน แต่เหตุผลที่ทรงกระทำเช่นนั้น ซึ่งทำให้งานรับใช้ของพระองค์ในด้านการประกาศสั่งสอนเป็นการสำแดงความเลื่อมใสของพระองค์ในพระเจ้า.
18. ทำไมการมีส่วนร่วมบ้างนิดหน่อยในงานรับใช้จึงไม่ใช่การแสดงความเลื่อมใสในพระเจ้าเสมอไป?
18 เราจะติดตาม “แบบอย่าง” นี้คือตัวอย่างของพระเยซูได้อย่างไร? (1 เปโตร 2:21) ทุกคนซึ่งตอบรับคำเชิญของพระเยซูที่ให้ “มาเป็นสาวกของเรา” ต่างก็ได้รับพระบัชญาของพระเจ้าให้ประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรและทำให้คนเป็นสาวก. (ลูกา 18:22; มัดธาย 24:14; 28:19, 20) ทั้งนี้จะหมายความหรือเปล่าว่า การเข้าส่วนร่วมงานประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรบ้างนิด ๆ หน่อย เราก็กำลังติดตามความเลื่อมใสในพระเจ้าอยู่แล้ว? คงไม่ใช่ทุกกรณี. หากเราจะทำงานรับใช้พอเป็นพิธีหรือทำอย่างขอไปที หรือทำเพียงเพื่อเอาใจสมาชิกของครอบครัวหรือคนอื่น ๆ ก็คงจะไม่ใช่ ‘การกระทำด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า.’—2 เปโตร 3:11.
19. (ก) อะไรจะต้องเป็นเหตุผลเบื้องต้นในการที่เราทำงานรับใช้? (ข) เมื่อเราได้รับแรงกระตุ้นอันเนื่องมาจากความรักอันล้ำลึกที่มีต่อพระเจ้าเช่นนั้นจึงได้รับผลอะไร?
19 เช่นเดียวกับพระเยซู เจตนาของเราต้องลึกซึ้งกว่านั้น. พระเยซูตรัสว่า “เจ้าต้องรักพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดหัวใจของเจ้า [อารมณ์ ความปรารถนา และความรู้สึกจากภายใน] และด้วยสุดจิตวิญญาณของเจ้า [ชีวิตและสภาพที่เป็นอยู่ของคุณ] และสุดความคิดของเจ้า [สามารถในการคิดด้วยเชาวน์ฉลาด] และด้วยสุดกำลังของเจ้า.” อาลักษณ์ผู้หนึ่งที่มีวิจารณญาณได้กล่าวเสริมดังนี้ “การทั้งนี้ . . . ก็ประเสริฐกว่าของถวายและของบูชาทั้งสิ้น.” (มาระโก 12:30, 33, 34, ล.ม.) ฉะนั้นสิ่งสำคัญไม่สักแต่ว่าเราทำอะไร แต่ต้องคำนึงถึงเหตุผลที่เรากระทำด้วย. ความรักต่อพระเจ้าซึ่งฝังรากลึกนั้นรวมเอาเยื่อใยทุกอย่างที่เรามี จึงต้องเป็นเหตุผลสำคัญในการกระทำของเราเพื่องานรับใช้. เมื่อเป็นอย่างนั้น เราจะไม่พอใจเข้าส่วนในการรับใช้เพียงแต่พอไปที แต่เราอยากจะทำเพื่อแสดงความเลื่อมใสในพระเจ้าจากส่วนลึกของหัวใจด้วยการกระทำอย่างสุดกำลังความสามารถของเรา. (2 ติโมเธียว 2:15) ในเวลาเดียวกัน เมื่อความรักต่อพระเจ้าเป็นพลังกระตุ้น เราจะไม่เป็นคนช่างตำหนิ หรือเปรียบเทียบการทำงานของเรากับงานรับใช้ที่คนอื่นทำ.—ฆะลาเตีย 6:4.
20. เราจะได้รับประโยชน์เต็มที่อย่างไรจากตัวอย่างของพระเยซูเกี่ยวด้วยการติดตามความเลื่อมใสในพระเจ้า?
20 เรารู้สึกขอบคุณพระยะโฮวาเพียงไรที่พระองค์ทรงเผยให้เราทราบข้อลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับความเลื่อมใสในพระเจ้า! โดยการศึกษาอย่างรอบคอบเกี่ยวด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่พระเยซูได้ตรัสและกระทำ อีกทั้งความพยายามจะเลียนแบบพระองค์ เราจะได้รับการช่วยเหลือเต็มที่เพื่อจะปลูกฝังและสำแดงความเลื่อมใสในพระเจ้าให้มากขึ้นทุกที. พระยะโฮวาย่อมจะอวยพรพวกเราอย่างอุดมขณะที่เราเลียนแบบอย่างของพระเยซูด้วยการติดตามความเลื่อมใสในพระเจ้าฐานะที่เป็นคริสเตียนซึ่งอุทิศตัวและรับบัพติสมา.—1 ติโมเธียว 4:7, 8.
[เชิงอรรถ]
a เพื่อตัวอย่างเพิ่มเติม จงพิจารณาสิ่งที่เราเรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาจากมัดธาย 8:2, 3; มาระโก 14:3-9; ลูกา 21:1-4; และโยฮัน 11:33-36.
b เพื่อจะรู้อย่างละเอียดถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการสำแดงความเลื่อมใสในพระเจ้าต่อบิดามารดาที่ชรา โปรดอ่านหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 มิถุนายน 1987 หน้า 16-21.
คุณจำได้ไหม?
▫ เมื่อติดตามความเลื่อมใสในพระเจ้า ทำไมจึงต้องพิจารณาตัวอย่างของพระเยซู?
▫ เราเรียนรู้อะไรเกี่ยวด้วยพระยะโฮวาจากตัวอย่างของพระเยซูในการแสดงความอบอุ่นและความรู้สึกลึกซึ้ง?
▫ เราอาจแสดงความเลื่อมใสในพระเจ้าต่อสมาชิกครอบครัวโดยวิธีใด?
▫ เราต้องมีเจตนาแบบไหนเพื่องานเทศนาประกาศที่เราทำไปจะเป็นการแสดงความเลื่อมใสในพระเจ้า?
[รูปภาพหน้า 21]
บิดาคริสเตียนมีความรับผิดชอบในการจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัวทั้งทางด้านวัตถุ ด้านอารมณ์และฝ่ายวิญญาณ.