จงสำแดงความเชื่อเพื่อชีวิตนิรันดร์
“มีความเชื่อที่จะรักษาจิตวิญญาณให้มีชีวิตอยู่.”—เฮ็บราย 10:39, ล.ม.
1. สารานุกรมคาทอลิกยอมรับอะไรเกี่ยวด้วยการใช้คำ “จิตวิญญาณ” ในพระคัมภีร์?
ไม่มีตอนใดในคัมภีร์ไบเบิลบอกว่ามนุษย์มีจิตวิญญาณอมตะซึ่งออกจากร่างกายที่หมดลมหายใจแล้วมีชีวิตอยู่ต่อไปชั่วนิรันดร์ในแดนวิญญาณ. แม้แต่สารานุกรมนิวคาทอลิก เอ็นไซโคลพีเดีย ก็ยอมรับดังนี้ “ความคิดที่ว่าจิตวิญญาณยังมีอยู่หลังจากตายแล้วนั้นไม่ใช่สิ่งซึ่งจะเห็นได้ง่ายในพระคัมภีร์. . . . จิตวิญญาณในคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมไม่หมายถึงส่วนหนึ่งของคน แต่หมายถึงตัวคน—คนฐานะสัตว์โลกซึ่งมีชีวิตอยู่. ในทำนองเดียวกัน ในคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ คำจิตวิญญาณหมายถึงชีวิตมนุษย์: ชีวิตบุคคลหนึ่ง.” ดังนั้น มนุษย์ไม่มี จิตวิญญาณ มนุษย์เป็น จิตวิญญาณ.
2. (ก) การเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณอมตะเริ่มจากที่ไหน? (ข) อะไรคือความจริงเกี่ยวกับสภาพของมนุษย์หลังจากตายแล้ว?
2 ดังได้ชี้แจงแล้วในบทความก่อน ความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณอมตะเป็นแนวความคิดแบบนอกรีตซึ่งย้อนหลังไปถึงต้นสมัยประวัติศาสตร์ทีเดียว. ผู้ก่อความคิดเช่นนี้ขึ้นมา ได้แก่ผู้นั้นซึ่งโต้แย้งคำแถลงอันชัดเจนของพระเจ้าที่ว่ามนุษย์จะ “ตายเป็นแน่” หากไม่เชื่อฟัง. (เยเนซิศ 2:17) เป็นผู้ต่อต้าน ซาตานพญามารผู้นั้นแหละที่ได้บอกว่า “เจ้าจะไม่ตายจริงดอก.” (เยเนซิศ 3:4) และนั้นคือคำโกหก. (โยฮัน 8:44) ต่อมา ซาตานได้สนับสนุนคำสอนเรื่องความเป็นอมตะแห่งจิตวิญญาณของมนุษย์. แต่ความจริงเกี่ยวกับสภาพมนุษย์ภายหลังการตายก็เป็นดังที่กล่าวไว้ในพระธรรมท่านผู้ประกาศ 9:5 ซึ่งพระเจ้าทรงดลใจให้เขียนดังนี้ “คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย.”—โปรดอ่านที่พระธรรมโรม 5:12 ด้วย.
ความหวังเรื่องชีวิตนิรันดร์
3. ความหวังชนิดใดซึ่งมีกล่าวไว้มากในคัมภีร์ไบเบิล?
3 ขณะที่พระคัมภีร์แจ้งไว้ชัดเจนว่าไม่มีสิ่งที่เรียกว่าจิตวิญญาณอมตะ แต่พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องชีวิตนิรันดร์ไว้มาก. ความหวังที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์เป็นคำสอนพื้นฐานของพระเยซู. พระองค์ตรัสว่า “นี่แหละเป็นชีวิตนิรันดร์ คือว่า ให้เขารู้จักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักผู้ที่พระองค์ทรงใช้มาคือพระเยซูคริสต์.” (โยฮัน 17:3) เกี่ยวกับคนที่แสดงความเชื่อในพระเจ้าและพระคริสต์ พระเยซูตรัสดังนี้ “เราให้ชีวิตนิรันดร์ แก่แกะนั้น.” (โยฮัน 10:28) พระองค์ตรัสด้วยความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมด้วยว่า ‘ผู้ที่วางใจในเราก็มีชีวิตนิรันดร์. . . . ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์.” (โยฮัน 6:47, 51) อนึ่ง พระองค์ทรงแถลงว่า “พระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะมิได้พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์.”—โยฮัน 3:16.
4. พระเยซูตรัสอย่างไรเรื่องความหวังสำหรับอนาคต?
4 เนื่องจากไม่มีจิตวิญญาณอมตะที่จะอยู่ต่อไปหลังจากคนเราตาย คำสัญญาในพระคัมภีร์ที่ว่าจะมีชีวิตนิรันดร์จะเป็นจริงได้อย่างไร? พระเยซูทรงชี้แจงเรื่องนี้ให้กระจ่างยิ่งขึ้น เมื่อทรงเยี่ยมมาธาและมาเรียหลังจากลาซะโรน้องชายเสียชีวิตแล้ว. พระองค์ได้ตรัสแก่มาธาว่า “เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้น และให้มีชีวิต. ทุกคนที่วางใจในเรา แม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก.” พระองค์ทรงถามมาธาว่า “เจ้าเชื่อข้อนี้หรือ?” เธอตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระองค์เป็นพระคริสต์บุตรของพระเจ้าที่เสด็จมาในโลก.”—โยฮัน 11:25-27.
5, 6. การที่พระเยซูได้ปลุกลาซะโรให้กลับมีชีวิตอีกแสดงถึงสิ่งใด?
5 เพื่อแสดงให้เห็นประจักษ์ว่าพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า ได้รับมอบอำนาจให้ปลุกคนตายเป็นขึ้นมาสู่ชีวิต พระเยซูจึงได้เสด็จไปที่อุโมงค์ของลาซะโร. ลาซะโรตายแล้วสี่วัน และศพของเขาเริ่มเปื่อยเน่า. อย่างไรก็ดี “[พระเยซู] จึงเปล่งเสียงดังว่า ‘ลาซะโรเอ๋ย จงออกมาเถิด!’ ชายผู้นั้นซึ่งตายไปแล้วก็ออกมาทั้งผ้าพันมือและเท้าและมีผ้าปิดหน้าไว้ด้วย. พระเยซูตรัสแก่เขาทั้งหลายว่า ‘จงแก้ปล่อยให้เขาไปเถิด.’” (โยฮัน 11:43, 44) ลาซะโรผู้ตายได้รับการปลุกขึ้นมามีชีวิตอีก!
6 ลาซะโรหาได้กลับมาจากสวรรค์หรือที่ไหน ๆ ในแดนวิญญาณไม่. เขาไม่ได้เข้าไปในแดนวิญญาณตอนที่เขาตาย แต่เขาไม่รู้สึกตัวในหลุมฝังศพซึ่งเป็นที่คนตายอยู่. (บทเพลงสรรเสริญ 146:4; โยฮัน 3:13; กิจการ 2:34) คงไม่มีเหตุผลน่าเชื่อได้ที่จะคิดว่า จิตวิญญาณอมตะของลาซะโรนั้นชื่นชมกับพระพรทางสวรรค์ ครั้นแล้วจิตวิญญาณนั้นถูกต้อนจากสวรรค์กลับเข้ามาสู่ร่างกายอันไม่สมบูรณ์บนแผ่นดินโลก และอยู่ในโลกซึ่งมีแต่ความทุกข์ลำบากความเจ็บป่วยและความตายอีกครั้งหนึ่ง. แต่เนื่องจากเขาไม่ได้อยู่ในสวรรค์ เขาย่อมจะยินดีกับการคืนชีพ เพราะการคืนชีพหมายถึงการดำรงชีวิตต่อไปอีกหลายปีและได้อยู่ร่วมกับคนที่เขารัก. ต่อมาภายหลังเขาจะตายอีก.
7, 8. (ก) พระเยซูได้ทรงปลุกคนตายในโอกาสอื่นอะไรบ้าง? (ข) ทำไมพระเยซูจึงได้กระทำการอัศจรรย์ด้วยการปลุกคนตายให้เป็นขึ้นมาอีก?
7 คราวที่พระเยซูปลุกเด็กสาวที่ตายนั้น บิดามารดาของเธอ “ประหลาดอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง.” (มาระโก 5:42) ถึงกระนั้น ในที่สุดเด็กหญิงผู้นี้ก็ตายอีก. เมื่อพระเยซูทรงปลุกลูกชายหญิงม่ายที่เมืองนาอินให้เป็นขึ้นจากตาย “คนทั้งปวงมีความกลัว และสรรเสริญพระเจ้า.” (ลูกา 7:16) แต่แล้วชายผู้นั้นในที่สุดก็ตายเช่นกัน. เกี่ยวกับการอัศจรรย์เหล่านี้ เดอะ นิว อินเทอร์เนชันแนล ดิกชันนารี อ็อฟ นิว เทสทาเมนต์ ธีโอโลจิ ยืนยันว่า “คนเหล่านั้นที่พระคริสต์ปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายสมัยที่พระองค์ดำเนินงานประกาศในโลกนี้ต้องตายอีก เนื่องจากรายเหล่านี้ที่ถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นมาไม่ได้รับอมตชีพ.
8 ทำไมพระเยซูปลุกคนตายเหล่านี้ให้ฟื้นขึ้นมาอีก? มิใช่เพื่อเขามีชีวิตนิรันดร์ในตอนนั้น แต่เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระองค์เป็นมาซีฮาและพระเจ้าทรงให้อำนาจพระองค์ทำการอัศจรรย์. การนี้ได้สร้างความเชื่อในความหวังเกี่ยวกับการเป็นขึ้นจากตายและชีวิตนิรันดร์ภายใต้การปกครองแห่งราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ของพระเจ้าซึ่งพระคริสต์ทรงบริหารในวันข้างหน้า.—มัดธาย 6:9, 10; โยฮัน 11:41, 42.
9. มาธาและเปาโลเข้าใจคำสอนของพระเยซูเรื่องความหวังที่จะเป็นขึ้นจากตายนั้นอย่างถูกต้องอย่างไร?
9 มาธารู้เรื่องความหวังอย่างนั้นเนื่องจากเธอได้คบหากับพระเยซู เพราะก่อนหน้านี้เธอพูดกับพระองค์เรื่องลาซะโรดังนี้: “ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าเขาจะเป็นขึ้นอีกในวันที่สุด.” (โยฮัน 11:24) มาธารู้ว่าการเป็นขึ้นจากตายจะอุบัติขึ้น ไม่ใช่ในวันสุดท้ายของเขา [ลาซะโร] แต่ในอนาคตใน “วันที่สุด”—วันพิพากษา เมื่อคนตายจะถูกปลุกขึ้นมาอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าโดยทางราชอาณาจักร. อัครสาวกเปาโลทราบเรื่องนี้ด้วย เพราะท่านกล่าวว่า “เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม.” (กิจการ 17:31) เปาโลยังกล่าวอีกว่า “คนทั้งปวงทั้งคนชอบธรรมและไม่ชอบธรรมจะเป็นขึ้นมาจากความตาย.” (กิจการ 24:15) ท่านไม่ได้บอกว่าการเป็นขึ้นจากตายกำลังเกิดขึ้นแล้ว แต่ “จะเป็นขึ้นมา” ในวันข้างหน้า—คือภายใต้การปกครองแห่งราชอาณาจักร.
10. ศาสตราจารย์ชาวฝรั่งเศสให้ความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับความเชื่อของคริสต์ศาสนจักรว่าด้วยการเป็นขึ้นจากตายเมื่อเทียบกับคำสอนที่ชัดเจนของพระคัมภีร์?
10 ในหนังสือความเป็นอมตะของจิตวิญญาณ หรือการปลุกคนตายให้เป็นขึ้นมา? เขียนโดยออสการ์ คัลล์มันน์ ศาสตราจารย์ชาวฝรั่งเศสฝ่ายโปรเตสแตนต์ว่า “มีความแตกต่างอันเป็นมูลฐานระหว่างความคาดหมายของคริสเตียนในเรื่องการปลุกคนตายให้เป็นขึ้นมากับความเชื่อของพวกกรีกที่ว่าจิตวิญญาณเป็นอมตะ. . . . ถึงแม้ในเวลาต่อมาศาสนาคริสเตียนได้เชื่อมโยงความเชื่อถือของสองฝ่ายเข้าด้วยกัน และในปัจจุบันคริสเตียนระดับธรรมดาทำให้ความเชื่อดังกล่าวสับสนปนกันไปหมด ข้าพเจ้ารู้สึกว่าไม่มีเหตุผลที่จะอำพรางสิ่งที่ข้าพเจ้าและผู้เชี่ยวชาญพิจารณาเห็นเป็นความจริง. . . . ความเชื่อเรื่องการเป็นขึ้นจากตายครอบคลุมชีวิตและแนวความคิดทุกอย่างของคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่. . . . บุรุษผู้นั้นซึ่งได้ตายจริง ได้รับการปลุกให้ฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีกโดยการสร้างครั้งใหม่ของพระเจ้า.
การเป็นขึ้นจากตาย—ไปที่ไหน?
11, 12. (ก) พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับมนุษย์และพิภพโลกนี้คืออย่างไร? (ข) พระเยซูแสดงให้เห็นอย่างไรว่าพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับแผ่นดินโลกยังไม่เปลี่ยนแปลง?
11 เมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์ พระองค์ได้ทรงมอบแผ่นดินโลกให้เป็นที่อยู่อาศัยถาวรของเขา และทรงมุ่งหมายจะบรรจุดาวเคราะห์ดวงนี้ให้เต็มด้วยเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ชอบธรรม. (เยเนซิศ 1:26-28; บทเพลงสรรเสริญ 115:16) มีกล่าวในพระคัมภีร์ว่าพระยะโฮวาเป็น “ผู้ทรงสร้างและประดิษฐ์ฐานโลกนี้ไว้ ผู้ทรงแต่งตั้งและสร้างโลกไว้มิใช่ให้สับสนอลหม่าน แต่เพื่อให้เป็นที่อาศัย.”—ยะซายา 45:18.
12 ทั้งที่ความไม่สมบูรณ์พร้อมและความตายมีมานานหลายพันปีนับตั้งแต่มนุษย์คู่แรกเป็นกบฏ แต่ยังคงเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้แผ่นดินโลกนี้เป็นบ้านถาวรของมนุษย์: “คนสัตย์ธรรมจะได้แผ่นดินเป็นมรดก และจะอาศัยอยู่ที่นั่นต่อไปเป็นนิตย์.” (บทเพลงสรรเสริญ 37:29) “บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยนผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก.” (มัดธาย 5:5, ฉบับแปลใหม่) ฉะนั้น เมื่อพระเยซูปลุกคนตายเพื่อมีชีวิตอีก พระองค์ปลุกเขา ณ แผ่นดินโลกนี้เอง และคนอื่นที่รู้เห็นก็รู้จักทันทีว่าเป็นคนนั้นที่ตายไป. ข้อนี้ทำให้มีความมั่นใจว่าภายใต้การปกครองแห่งราชอาณาจักร จะมีการปลุกคนตายให้เป็นขึ้นมารับชีวิต เพื่อเขาจะดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ชั่วนิรันดร์. (วิวรณ์ 20:12, 13) ตรงนี้แหละที่พระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับมนุษย์และแผ่นดินโลกจะสัมฤทธิ์ผล.—ยะซายา 46:9-11; 55:11; ติโต 1:1, 2.
13. คริสต์จักรต่าง ๆ ในคริสต์ศาสนจักรเผชิญกับการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างไร และเขาพยายามแก้ไขโดยวิธีใด?
13 อย่างไรก็ดี เนื่องจากนิกายต่าง ๆ แห่งคริสต์ศาสนจักรเชื่อเรื่องจิตวิญญาณอมตะ ความเชื่อแบบนี้ทำให้เกิดความกระอักกระอ่วน เป็นต้นว่า พวกเขาจะทำให้การเป็นขึ้นจากตายของ “บุรุษผู้นั้น” ดังที่พระเยซูได้ทรงสำแดงให้ประจักษ์นั้นเข้าประสานอย่างไรกับหลักข้อเชื่อของเขาที่ว่า จิตวิญญาณอมตะนั้นมีชีวิตอยู่แล้วถ้าไม่อยู่ในสวรรค์ต้องอยู่ในนรก? เดอะ คาทอลิก เอ็นไซโคลพีเดีย ยืนยันว่า “การประชุมสภาครั้งที่สี่ ณ วังล๋าเตรานแถลงว่า มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าถูกเลือกหรือถูกพระเจ้าสาปแช่ง ‘จะเป็นขึ้นมาอีกในร่างเดิมของเขาซึ่งเขามีอยู่ขณะนี้.’” และแหล่งเดียวกันเสริมว่า “เนื่องจากร่างกายมีส่วนร่วมกับการทำความผิดของจิตวิญญาณ และมีส่วนร่วมกับความดี ความยุติธรรมของพระเจ้าดูเหมือนจะเรียกร้องให้ร่างกายนี้แหละเป็นฝ่ายร่วมรับกับจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นการลงโทษหรือรางวัล.” ว่ากันตามความเชื่ออย่างนี้ ร่างกายคงจะร่วมกันกับจิตวิญญาณในสวรรค์หรือในนรก. นานเท่าไร? เอ็นไซโคลพีเดียนี้อ้างว่า “ร่างที่เป็นขึ้นจากตายของทั้งนักบุญและคนบาปจะได้รับความเป็นอมตะ.”
14. บาทหลวงเจซูอิทนักเขียนพยายามอย่างไรที่จะอธิบายทัศนะของคริสต์ศาสนจักรเกี่ยวกับการกลับเป็นขึ้นจากตายของร่างกาย?
14 ในหนังสือชีวิตเบื้องหน้า (ภาษาอังกฤษ) เขียนโดยบาทหลวงเจซูอิท เจ. วี. ซาเซีย มีข้อความดังนี้ “ด้วยเหตุนั้น ชีวิตฝ่ายสวรรค์จะเป็นชีวิตที่สนุกเพลิดเพลิน เนื่องประสาททั้งห้า [ของร่างกายที่รวมเข้ากับจิตวิญญาณอีกได้รับสง่าราศี].” เกี่ยวกับร่างกายที่กลับรวมเข้ากับจิตวิญญาณในนรก หนังสือเล่มนี้บอกว่า “ในนรก ภายหลังการปลุก [ร่างกาย] ขึ้นจากตายแล้ว ความรู้สึกทุกอย่างแห่งร่างกายที่เป็นมนุษย์จะถูกลงโทษเป็นพิเศษ . . . ประสาทรับรู้การสัมผัสโดยเฉพาะจะถูกทรมานเพราะด้วยบาปแห่งเนื้อหนังแหละซึ่งพวกสาปแช่งทำให้พระเจ้าทรงพิโรธ. . . . การกลับมาอยู่รวมกับร่างกายเดิมอีกย่อมเพิ่มการทรมานและความทุกข์มากยิ่งขึ้น.”
15. เหตุใดจึงเป็นการดูหมิ่นที่จะสอนว่าพระเจ้าทรมานมนุษย์ชั่วกัปชั่วกัลป์ในนรก?
15 ฉะนั้น การรับเอาแนวความคิดนอกรีตเกี่ยวด้วยจิตวิญญาณอมตะจึงเป็นการปูทางให้คริสต์ศาสนจักรรับรองเอาแนวความคิดนอกรีตที่เชื่อเรื่องการทรมานจิตวิญญาณ—กระทั่งทรมานร่างกาย—อย่างแสนสาหัสไม่รู้จักจบสิ้นในนรก. แต่กระนั้นเรื่องกิจปฏิบัติสมัยก่อนที่เผาเด็กเป็นบูชายัญแก่พระเท็จทั้งหลายนั้นพระยะโฮวาตรัสว่า “เขาทั้งปวง . . . ได้เผาด้วยไฟซึ่งบุตรชายทั้งปวงของเขาให้เป็นเครื่องบูชาแก่พระบาละ ซึ่งเราไม่ได้สั่งหรือไม่ได้พูดหรือไม่ได้นึกในใจเราเลย.” (ยิระมะยา 19:5) ฉะนั้น จึงถือเป็นการดูหมิ่นที่จะสอนว่าพระเจ้าทรงทรมานมนุษย์ชั่วนิรันดร์ ในเมื่อพระวจนะของพระองค์เองแสดงให้เห็นอย่างแจ้งชัดว่าคนทำผิดที่ไม่สำนึกและกลับใจ จะถูกทำลายให้ดับสูญ. “ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดไม่เชื่อฟังศาสดาพยากรณ์ผู้นั้น [พระเยซู] เขาจะต้องถูกตัดขาดให้พินาศไปจากพลเมือง.”—กิจการ 3:23; โปรดอ่านมัดธาย 10:28; ลูกา 17:27; โยฮัน 3:16; 2 เปโตร 2:12; ยูดา 5 ด้วย.
อมฤตยู
16. พระคัมภีร์สอนอย่างไรเรื่องอมฤตยู?
16 แต่พระคัมภีร์สอนไว้มิใช่หรือว่ามนุษย์จะถูกรับไปอยู่ในสวรรค์ดำรงชีวิตอมตะที่นั่น? ใช่ พระคัมภีร์สอนอย่างนั้น. แต่ข้อนี้ไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับจิตวิญญาณอมตะ. อมฤตยูเป็นผลของการที่บุคคลถูกปลุกขึ้นจากตายฐานะเป็นกายวิญญาณ (อย่างพระเยซู) และไม่ใช่เนื่องจากบุคคลนั้นมีจิตวิญญาณอมตะซึ่งไม่ได้ตาย. ที่จะได้รับอมฤตยูเป็นบำเหน็จในวันข้างหน้านั้นมีไว้สำหรับผู้ซื่อสัตย์บางคน คือผู้ที่แสดงคุณลักษณะเยี่ยงพระคริสต์และจะได้บำเหน็จจริง ๆ ในคราวที่พระคริสต์ได้รับอำนาจปกครองในสวรรค์ ใช่ว่าได้รับบำเหน็จทันทีภายหลังพระคริสต์เสด็จสู่สวรรค์ในศตวรรษที่หนึ่งก็หาไม่.—บทเพลงสรรเสริญ 110:1; 1 โกรินโธ 15:53, 54.
17. ผู้ที่จะได้รับอมฤตยูนั้นมีจำนวนเท่าไร และชนเหล่านี้จะมีบทบาทอะไรเกี่ยวข้องกับพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับแผ่นดินโลก?
17 ยิ่งกว่านั้น ความหวังเช่นนั้นเสนอแก่มนุษย์จำนวนค่อนข้างน้อย. พระเยซูเรียกพวกเขาว่า “แกะฝูงน้อย.” (ลูกา 12:32) ชนกลุ่มนี้ มีจำนวน 144,000 จะได้รับการปลุกขึ้นมาเป็นกายวิญญาณรับอมตชีพทางภาคสวรรค์แล้วปกครองแผ่นดินโลกร่วมกับพระคริสต์ในราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์. (2 เปโตร 3:13; วิวรณ์ 7:4; 14:1, 4; 20:4) ครั้นแล้ว มนุษย์ที่ได้รับการฟื้นฟูกระทั่งสมบูรณ์พร้อมจะอยู่อาศัยบนแผ่นดินโลกภายใต้การปกครองของชนกลุ่มนี้ โดยไม่ต้องสงสัย คงจะเป็นจำนวนหลายพันล้านคนทีเดียว. ในบรรดามนุษย์เหล่านั้นก็จะมีจำนวนมากมายซึ่งกลับคืนสู่แผ่นดินโลกอีก เมื่อ “คนชอบธรรมและคนที่ไม่ชอบธรรมจะเป็นขึ้นมาจากความตาย.” (กิจการ 24:15) กระนั้น ยังมีคนอื่น ๆ อีกซึ่งจะได้รับชีวิตในโลกใหม่ นอกเหนือจากคนที่เป็นขึ้นมาจากความตาย. คนอื่น ๆ เหล่านี้ได้แก่ใคร?
“จะไม่ตายเลย”
18. นอกจากกล่าวถึงคนตายมีความหวังจะได้กลับเป็นขึ้นจากตายแล้ว พระเยซูทรงแจ้งล่วงหน้าถึงสิ่งใดที่น่าทึ่ง?
18 ขณะที่ความหวังอันแน่นอนสำหรับคนตายคือการเป็นขึ้นจากตาย แต่ก็ยังมีความหวังอย่างน่าทึ่งอีกชนิดหนึ่งในสมัยของเรา. เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พระเยซูได้ตรัสแก่มาธา. หลังจากกล่าวว่า “ทุก ๆ คนที่วางใจในเรา แม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก [โดยการเป็นขึ้นจากตาย]” พระเยซูตรัสต่อไปว่า “และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย.” (โยฮัน 11:25, 26) จากคำตรัสตอนท้าย พระเยซูทรงบอกไว้ล่วงหน้าถึงสิ่งอันน่าอัศจรรย์: จะมีสมัยหนึ่งเมื่อคนเป็นจะไม่ต้องตายเลย! แต่สมัยนั้นจะมาถึงเมื่อไร?
19. (ก) ความหวังที่จะไม่ประสบความตายนั้นจะเป็นจริงเมื่อไร? (ข) พระคัมภีร์พรรณนาอย่างไรถึงคนเหล่านั้นซึ่งมีความหวังว่าจะไม่ตายเลย?
19 บัดนี้—สมัยของเรา—คำสัญญานั้นจะเป็นจริง! หลักฐานทุกอย่างแสดงว่าพวกเราอยู่ใกล้เต็มที่กับจุดอวสานของโลกชั่วนี้. (มัดธาย 24:3-14; 2 ติโมเธียว 3:1-5, 13) ดังนั้น ผู้คนซึ่งแสดงความเชื่อในพระเจ้าและในพระบุตรของพระองค์เวลานี้จึงมีความหวังอย่างน่าตื่นเต้นว่าเขาจะรอดชีวิตผ่านอวสานแห่งระบบปัจจุบัน แล้วเข้าไปอยู่ในโลกใหม่ของพระเจ้าและจะไม่ตายเลย! มีการกล่าวถึงบุคคลเหล่านี้ที่วิวรณ์ 7:9, 14 ว่า “คนเป็นอันมากมาแต่ทุกประเทศทุกชาติทุกเมืองทุกภาษาหามีผู้ใดจะนับประมาณมิได้เลย . . . คือคนที่มาจากความลำบากใหญ่ยิ่งซึ่งพระเจ้าทรงพิทักษ์ชีวิตไว้เนื่องจากเขาได้แสดงความเชื่อ. พระเยซูได้ตรัสถึงการลบล้างระบบปัจจุบันอันชั่วช้านี้ว่าดุจ “ความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่งซึ่งไม่เคยมีตั้งแต่เดิมโลกมาจนบัดนี้ หรือในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีก.”—มัดธาย 24:21; โปรดดูสุภาษิต 2:21, 22; บทเพลงสรรเสริญ 37:10, 11, 34 ด้วย.
20, 21. คนนับล้าน ๆ ในปัจจุบันแสดงความเชื่อในพระเจ้าและพระคริสต์โดยวิธีใด และสำหรับหลายคนอะไรเป็นสิ่งไม่จำเป็น?
20 ชนหมู่ใหญ่จำนวนหลายล้านคนตลอดทั่วโลกซึ่งต้องการจะอยู่บนแผ่นดินโลกตลอดไปจึงต่างก็แสดงความเชื่อในคำสัญญาของพระเจ้าและในพระองค์ผู้นั้นคือพระเยซูคริสต์ซึ่งได้รับอำนาจ “ให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและให้มีชีวิต.” บุคคลเหล่านี้ได้อุทิศตัวแด่พระเจ้า แสดงนัยโดยการรับบัพติสมาจุ่มตัวในน้ำ. (มัดธาย 28:19, 20) พวกเขายอมรับแล้วว่าความรอดมาแต่ “พระเจ้าผู้ประทับบนพระที่นั่งและพระเมษโปดก” คือพระเยซูคริสต์.—วิวรณ์ 7:10.
21 คนเหล่านั้นแห่งชนกลุ่มใหญ่ซึ่งรอดผ่านอวสานของโลกนี้ ไม่จำเป็นต้องกลับเป็นขึ้นจากตาย เพราะ “เขาจะไม่ตายเลย”! คุณล่ะทำสิ่งที่จำเป็นเพื่ออยู่ในข่ายจะเป็นคนหนึ่งในกลุ่มนี้ไหม? ถ้าใช่ คุณมีโอกาสที่จะได้รับสิทธิพิเศษอันดีล้ำเลิศ—คือที่จะรอดชีวิตผ่านอวสานแห่งระบบชั่วของซาตาน แล้วได้รับการต้อนรับเข้าสู่ยุคใหม่ที่ถูกต้องเป็นธรรม ซึ่งคุณจะมีสุขภาพสมบูรณ์และชีวิตชั่วนิรันดร์ในโลกอันเป็นอุทยาน! (ลูกา 23:43; วิวรณ์ 21:4, 5) โดยการเรียนรู้จักพระประสงค์ของพระเจ้า และอุตส่าห์พากเพียรกระทำตามพระประสงค์นั้น คุณก็คงแสดงตัวว่าคุณ ‘ไม่ใช่คนชนิดที่ถอยกลับไปสู่ความพินาศ.’ คุณก็เช่นกันอาจจะ “มีความเชื่อที่จะรักษาจิตวิญญาณให้มีชีวิตอยู่.”—เฮ็บราย 10:39, ล.ม.; 1 โยฮัน 2:15-17; วิวรณ์ 7:15.
คำถามทบทวน
▫ อะไรคือความหวังที่แท้จริงสำหรับคนตาย?
▫ ทำไมความเชื่อของฝ่ายคริสต์ศาสนจักรเกี่ยวกับการเป็นขึ้นจากตายของร่างกายจึงเป็นการดูหมิ่นพระเจ้า?
▫ พระคัมภีร์สอนอย่างไรเรื่องอมฤตยู?
▫ ทุกวันนี้ผู้คนอาจมีความหวังอะไรอันน่าตื่นเต้น?