เราอบรมลูกแปดคนด้วยวินัยของพระยะโฮวา
เล่าโดยโอเวอร์แลค เมเนเซส
“พวกเขามาถึงโดยรถจักรยานที่มีสองที่นั่ง.” เจอร์นัล เดอ เรเซนเด ได้ขึ้นต้นรายงานเต็มหน้าไว้แบบนี้ เกี่ยวกับครอบครัวของเราเมื่อปี 1988 คราวที่เราออกเดินทางจากเรเซนเดไปยังลาเจสในภาคใต้ของบราซิล.
รายงานบอกต่อไปว่า “ไม่ต้องสงสัยว่า บุคคลผู้สูงอายุคงจะจำได้ถึงสามีภรรยาคู่ที่ทำให้ชาวเมืองเรเซนเดเกิดความสนใจ เนื่องจากพาหนะในการเดินทางที่แหวกแนวและมีลักษณะพิกลของเขา: รถจักรยานที่มีโครงใหญ่โตและมีสองที่นั่ง. บนที่นั่งตอนหน้าคือ ‘ผู้ขับขี่’ โอเวอร์แลค เมเนเซส ในที่นั่งตอนที่สองคือภรรยาของเขา มาเรีย โฮเซ. ในปี 1956.”
ผู้เขียนบทความนั้นเป็นชายมีนามว่า อะริซิโอ มาซิเอล และเขาเป็นผู้อำนวยการสถานีวิทยุในท้องถิ่นด้วย. เขาได้พบเราเป็นครั้งแรกย้อนหลังไปในปี 1956 เมื่อผมกับภรรยามีส่วนในรายการวิทยุประจำสัปดาห์ของสมาคมว็อชเทาเวอร์ ชื่อสิ่งซึ่งประชาชนคิดถึง. ในบทความนั้นเขาได้อ้างถึงผมขณะที่บอกว่า ระหว่างที่เราอาศัยอยู่ที่นั่น “มีการเยี่ยมบ้านทุกหลังในเรเซนเด ถนนแล้วถนนเล่า.”
คุณอยากทราบไหมว่าเรามีชื่อโด่งดังเพียงนั้นในเรเซนเดได้อย่างไร? และระหว่างเราอยู่ที่นั่น เราจัดการอย่างไรเพื่ออบรมลูกแปดคน ‘ด้วยวินัยของพระยะโฮวา’ ขณะช่วยในการเยี่ยม “บ้านทุกหลังในเรเซนเด” พร้อมกับข่าวดีเรื่องราชอาณาจักร.—เอเฟโซ 6:4, ล.ม.
การเรียนรู้แนวทางของพระยะโฮวา
ในเดือนมกราคม 1950 มาเรีย มินค์ พยานพระยะโฮวาคนหนึ่งเริ่มศึกษาพระคัมภีร์กับอะดีลเดพี่สาวของผมในเมืองเซาเพาโล. ตอนนั้นผมอายุ 16 ปี และได้รับบัพติสมาเป็นคาทอลิก แต่ผมเลิกไปโบสถ์ชั่วระยะหนึ่ง. ถึงกระนั้น ผมยังเชื่อในพระเจ้าอยู่ และต้องการจะรับใช้พระองค์. ดังนั้น คืนหนึ่ง ผมจึงไปที่บ้านของอะดีลเดเพื่อสืบค้นดูเกี่ยวกับศาสนาใหม่ที่เธอศึกษาอยู่. มาเรีย มินค์เชิญผมให้เข้าร่วมในการศึกษาและเป็นครั้งแรกในชีวิตผมที่ได้เห็นพระคัมภีร์. ระหว่างการศึกษาในภายหลัง ผมรู้สึกประหลาดใจที่ได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์ว่าพระนามของพระเจ้าคือยะโฮวา ในไม่ช้าแผ่นดินโลกจะเป็นอุทยาน ไฟนรก และสถานชำระบาปนั้นไม่มี และรู้ว่ามนุษย์ไม่มีจิตวิญญาณอมตะ. ญาติ ๆ บอกผมว่า “คุณอ่านพระคัมภีร์มากจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว!”
ผมทำความก้าวหน้าอย่างดีในการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล และเริ่มเข้าร่วมการประชุมต่าง ๆ ณ หอประชุมแห่งประชาคมเบเลมในเมืองเซาเพาโล. เพราะคาดว่าจะเห็นแต่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่เข้าร่วมประชุม ผมรู้สึกประหลาดใจแกมยินดีที่พบหนุ่มสาวหลายคนอยู่ในวัยเดียวกับผม. ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1950 ผมมีส่วนในงานประกาศเป็นครั้งแรก และวันที่ 4 พฤศจิกายนของปีเดียวกันนั้น ผมได้แสดงเครื่องหมายการอุทิศตัวของผมแด่พระยะโฮวาโดยการรับบัพติสมาในน้ำ.
หลังจากนั้นไม่นาน ผมได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บรรยายสาธารณะ. ในสมัยนั้น นี้หมายถึงผมให้คำบรรยายบนถนน และในสวนสาธารณะโดยใช้เครื่องขยายเสียงติดตั้งไว้บนกันชนของรถยนต์. กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งก็คืองานวารสาร. ในสมัยนั้นเราเคยยืนอยู่ตามมุมถนนพร้อมกับถุงใส่วารสาร ร้องตะโกนว่า “หอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด ประกาศราชอาณาจักรของพระยะโฮวา!” ผมไม่ได้จำหน่ายวารสารหลายเล่ม แต่ผมก็ได้ความกล้าหาญที่จะพูดในที่สาธารณะ.
การรับใช้เต็มเวลาเป็นเป้าหมาย
ไม่นานผมได้รับการชี้ชวนให้เอาใจใส่ต่อความสำคัญของการรับใช้ประเภทไพโอเนียร์ หรือกิจการงานประกาศแบบเต็มเวลา. หอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับวันที่ 1 เมษายน 1950 มีบทความชื่อ “มีไพโอเนียร์แห่งข่าวดีมากยิ่งขึ้น.” บทความนี้แถลงว่า “การแสวงหาราชอาณาจักรเป็นอันดับแรกหมายความว่า ผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักรจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในความคิดของเขาตลอดเวลา. บุคคลดังกล่าวจะคอยหาโอกาสที่จะรับใช้เพื่อผลประโยชน์ของราชอาณาจักร และไม่แสวงหาสิ่งจำเป็นทางวัตถุเป็นอันดับแรกอยู่เรื่อยไป และสะสมทรัพย์ฝ่ายโลกเพื่อปกป้องอนาคตของเขาไว้.” ถ้อยคำเหล่านี้ปลูกฝังน้ำใจไพโอเนียร์เข้าไว้ในหัวใจของผม.
ไม่นาน สุภาพสตรีสาวสวยชื่อมาเรีย โฮเซ พรีเซอรัทติ ได้เปลี่ยนชีวิตของผมในแบบที่มีความหมาย. เธอได้ก้าวหน้าเป็นอย่างดีในการศึกษาพระคัมภีร์กับคู่สามีภรรยาที่เป็นพยานฯคือ โฮเซ และดีเลีย พาสโคล. ในวันที่ 2 มกราคม 1954 เธอก็ได้มาเป็นภรรยาที่รัก คู่ทุกข์คู่ยาก เพื่อน และผู้ช่วยของผม. เธอมีเป้าหมายที่จะเป็นไพโอเนียร์ด้วย. ดังนั้น โดยได้รับการสนับสนุนจากตัวอย่างของมิชชันนารีอย่างเช่น แฮร์รี แบล็ค, เอ็ดมันโด มอรีรา, และริชาร์ด มูชา เราจึงสมัครเข้าสู่การรับใช้ประเภทไพโอเนียร์. ขอให้นึกถึงความยินดีของเรา—และความกระวนกระวายใจ—เมื่อเราได้รับคำตอบว่า “การเสนอแนะคุณเป็นผู้ดูแลหมวดได้รับการอนุมัติ”!
เมื่อผมได้รับการมอบหมายเดินหมวดครั้งแรกนั้น ผมตกตะลึงพรึงเพริด. หมวดใหม่ของผมรวมเอาสิบประชาคมใน ริโอเดจาเนโร เมืองหลวงของบราซิลในครั้งนั้น รวมทั้งบางประชาคมใกล้สำนักเบเธล. บ้านพักมิชชันนารีของผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แห่งกิเลียดอยู่ในประชาคมแรกที่ผมได้รับมอบหมายให้ไปเยี่ยม. ในวัย 22 ปี ผมรู้สึกว่าไม่มีความสามารถพอจริง ๆ และบอกกับบราเดอร์มูชาซึ่งทำหน้าที่ดูแลการงานในบราซิลตอนนั้นว่า “ผมจะสอนอะไรกับคนพวกนี้ได้?” เขาตอบว่า “บราเดอร์ เอาคำแนะนำจากพระคัมภีร์และองค์การมาใช้ก็แล้วกัน.” เป็นคำแนะนำที่ดีจริง ๆ!
หนึ่งปีต่อมา มาเรีย โฮเซตั้งครรภ์ และเราต้องออกจากงานเดินหมวด. แต่เป็นที่น่ายินดี เรายังคงอยู่ในงานรับใช้เต็มเวลาต่อไป. ในการตอบคำขอร้องจากครอบครัวชาวฟินแลนด์สองครอบครัว คือเอดวิคส์กับไลนิโอส์ สมาคมได้มอบหมายให้เราไปยังเรเซนเดฐานะไพโอเนียร์พิเศษ เขตทำงานที่แทบจะไม่ได้บุกเบิกซึ่งมีประชากร 35,000 คน. ครอบครัวไลนิโอส์นั่นเองที่ให้รถจักรยานสองที่นั่งแก่เราดังที่มีกล่าวไว้ในบทความในเจอร์นัล เดอ เรเซนเด. โดยใช้จักรยานนั้น เราสามารถหว่านเมล็ดแห่งสัจธรรมมากมายในเขตทำงานที่อุดมสมบูรณ์ และเราทำงานต่อไปที่นั่นเป็นเวลาหลายเดือนหลังจากอลิซลูกสาวของเราเกิดมาในปี 1956. เมื่อเราออกจากที่นั่น ซิสเตอร์สองคนคือ แอนิตา ริเบโร กับมาเรียน ไวเลอร์ ได้มารดน้ำเมล็ดนั้นแล้ว ‘พระเจ้าทรงบันดาลให้เกิดผล.’ ทุกวันนี้ เรเซนเดมีเก้าประชาคมและมีผู้ประกาศมากกว่า 700 คน.—1 โกรินโธ 3:7.
คนหนึ่งในบรรดาบุคคลรุ่นแรกที่ผมพบในเรเซนเดคือมาโนเอล คิวรอส. ขณะที่รอรถประจำทางอยู่นั้น ผมได้จำหน่ายหนังสือปกแข็งสองเล่มกับเขาในที่ที่เขาทำงาน. เขา และต่อมาก็พิดาเด ภรรยาของเขาได้ก้าวหน้าเป็นอย่างดี และเขาทั้งคู่ได้รับบัพติสมา. มาโนเอลได้มาเป็นผู้ปกครองในประชาคม และยังคงซื่อสัตย์ต่อไปจนกระทั่งเขาตาย. ผมได้ศึกษากับอัลวาโร โซอาเรสด้วย. ณ การประชุมครั้งแรกที่เขาเข้าร่วมนั้น เขารู้สึกแปลกใจที่เห็นเพียงหกคนเท่านั้นเข้าร่วม แต่ทุกวันนี้เขาเป็นผู้ดูแลประจำเมืองในเรเซนเด ซึ่งมีมากกว่าหนึ่งพันคนเข้าร่วมการประชุมในประชาคมต่าง ๆ. ในปี 1978 คาร์ลอสลูกชายของอัลวาโรได้สมรสกับอลิซลูกสาวของเรา. ทุกวันนี้ มีมากกว่า 60 คนจากครอบครัวโซอาเรสที่เป็นพยานฯ.
การออกจากเมืองเรเซนเดหมายความว่าการรับใช้เต็มเวลาของเราได้ถูกแลกกับพันธะหน้าที่แบบคริสเตียนอีกแบบหนึ่ง การ ‘เลี้ยงดูคนในบ้านเรือนของเรา.’ (1 ติโมเธียว 5:8) อย่างไรก็ดี เราได้พยายามจะรักษาไว้ซึ่งน้ำใจไพโอเนียร์ ตั้งงานเต็มเวลาเป็นเป้าหมายของเรา. ผมได้งานทำกับบริษัทหนึ่งในเมืองเซาเพาโล และเป็นเวลาหนึ่งปีที่ผมเดินทางทุกสุดสัปดาห์เป็นระยะทาง 300 กิโลเมตรไปยังเรเซนเดเพื่อช่วยกลุ่มผู้ประกาศ 15 คนที่นั่น. ครั้นแล้ว ในปี 1960 เราได้ย้ายกลับไปยังเรเซนเดอีก.
การอบรมลูก ๆ—สิทธิพิเศษที่เพิ่มเข้ามา
เรามิได้วางแผนจริง ๆ ที่จะมีลูกหลายคนเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็เกิดมา คนแล้วคนเล่า. หลังจากอลิซ ก็มีเลโอ, แล้วก็มาร์เซีย, เมอร์ซิโอ, พลินิโอ, อันเดร, และในที่สุด เมื่อปี 1976 ก็มีลูกฝาแฝด โซเนียกับโซเฟีย. ทุกคนได้การต้อนรับด้วยความยินดีฐานะเป็น “มรดกจากพระยะโฮวา.” (บทเพลงสรรเสริญ 127:3, ล.ม.) และแต่ละคนได้รับการอบรมด้วย “การปรับความคิดจิตใจของพระยะโฮวา” พร้อมกับความช่วยเหลือจากพระองค์.—เอเฟโซ 6:4, ล.ม.
อย่างไรก็ดี นี้มิใช่งานที่ง่าย. บางครั้งเราหลั่งน้ำตาเนื่องจากปัญหา. แต่ก็มีผลตอบแทน. เราดำเนินการอย่างไรในการอบรมพวกเขา? โดยการศึกษาประจำครอบครัว โดยพาพวกเขาไปกับเรายังการประชุมต่าง ๆ และในการรับใช้ตามบ้านตั้งแต่เป็นทารก โดยการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยกัน โดยการทำให้แน่ใจว่าเขามีการคบหาสมาคมที่ดี โดยการให้การตีสอนที่หนักแน่นแก่พวกเขา และโดยการที่เราเองวางตัวอย่างที่ดีไว้.
เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ในระเบียบวาระ ณ การประชุมใหญ่ในครูเซโร เมืองเซาเพาโล ผู้ดูแลหมวดได้สัมภาษณ์เรา. หลังจากพูดถึงการศึกษาประจำครอบครัวของเราแล้ว ผู้ดูแลหมวดถามผมว่า “ภรรยาของคุณมีบทบาทอะไรในเรื่องนี้?” ผมจำได้ว่า ผมน้ำตาคลอหน่วย และผมรู้สึกตื้นตันอยู่ในลำคอเหลือเกินจนตอบไม่ได้. ทำไมล่ะ? เพราะผมหยั่งรู้ค่าบทบาทอันเด็ดเดี่ยวที่มาเรีย โฮเซปฏิบัติในการธำรงไว้ซึ่งครอบครัวตามระบอบการของพระเจ้า. หากปราศจากการสนับสนุนอย่างซื่อสัตย์ของเธอแล้ว คงเป็นเรื่องยากมากจริง ๆ.
ตั้งแต่เราหมั้นกันทีเดียว มาเรีย โฮเซกับผมได้ศึกษาพระคัมภีร์ด้วยกัน. เมื่อเด็ก ๆ เกิดมา กลายเป็นเรื่องท้าทายจริง ๆ ที่จะจัดการศึกษาดำเนินต่อไปเป็นประจำ. เพื่อช่วยในเรื่องนี้ ทุกสัปดาห์ผมมักจะแจ้งไว้บนประตูตู้เย็นถึงเวลาของการศึกษาสำหรับสัปดาห์ต่อไป และเรื่องราวที่จะพิจารณา. ผมทำการมอบหมายพิเศษเมื่อจำเป็นด้วย. ตัวอย่างเช่น วันหนึ่งมาร์เซียกับพลินิโอทะเลาะกันที่โต๊ะอาหาร. ดังนั้น วันรุ่งขึ้นพวกเขาพบส่วนมอบหมายบนตู้เย็นคือ “วิธีเข้ากันได้กับพี่น้องของคุณ.” ในการศึกษาคราวต่อไป เขาทั้งสองได้ออกความเห็นและขจัดข้อผิดใจกันให้หมดไป.
ปัญหาอีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นตอนเช้าวันอาทิตย์เมื่อพวกเด็กผู้ชายมักจะบอกว่าเขารู้สึกป่วยเกินกว่าที่จะออกไปในการรับใช้ตามบ้านได้. เลโอกับพลินิโอเป็นผู้ช่ำชองในการปั้นเรื่องปวดท้องและความป่วยไข้อื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการไปกับเราในงานประกาศ. เมื่อไรก็ตามที่ผมสงสัยว่าเขาป่วยจริง ๆ หรือไม่ ผมจะพูดอะไรทำนองนี้: ‘หากเธอป่วยจนออกไปในการรับใช้ไม่ได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นเธอก็คงจะไม่แข็งแรงพอที่จะเล่นฟุตบอลได้ทีหลังแน่ ๆ.’ ตามปกติแล้ว พวกเขาหายป่วยเร็วอย่างน่าสังเกต.
บางครั้ง จำเป็นต้องจัดการกับสภาพการณ์ต่าง ๆ อย่างรอบคอบ. เมื่อเลโออายุ 11 ปี เขาไปปิกนิกกับเพื่อนพยานฯและโดยไม่มีการขออนุญาต เขาซื้อหมูแฮมหนึ่งกิโลกรัมเพื่อรับประทาน. ต่อมา เมื่อเราได้รับใบเสร็จเก็บเงิน มาเรีย โฮเซถามเลโอว่า “ลูกลืมไปหรือว่าซื้อหมูแฮม?” เขาตอบอย่างพาซื่อว่า “ไม่ครับ ผมไม่ได้ซื้อหมูแฮม.” เธอพูดว่า “เอาละ ให้เราไปคุยกับเจ้าของร้านกัน.” ขณะเดินทางไปที่นั่น อาการหลงลืมของเลโอก็หายไป. เขายอมรับว่า “ตอนนี้ผมจำได้แล้ว ผมมีเงินไม่พอ ดังนั้นผมจึงซื้อด้วยเงินเชื่อและลืมจ่ายค่าแฮม.” ผมจ่ายเงินจำนวนนั้นเอง แล้วขอเจ้าของร้านให้จ้างเลโอ ให้ทำงานจนกว่าจะใช้หนี้คืนให้ผมหมด. นั่นเป็นการลงโทษสำหรับเขา. ทุกเช้าตอนตีสี่เลโอเป็นคนแรกที่มาถึงที่ทำงาน และภายในหนึ่งเดือนเขาจ่ายเงินคืนผมหมด.
บ้านของเราเต็มด้วยไพโอเนียร์ ผู้ดูแลเดินทาง มิชชันนารี และผู้ทำงานในสำนักเบเธลเสมอ. ปกติเราไม่มีโทรทัศน์ในบ้าน และทั้งนี้ได้ช่วยเราสร้างนิสัยการศึกษาที่ดีและเจตคติแบบคริสเตียน. ในบรรยากาศเช่นนี้แหละที่เราอบรมลูก ๆ ของเรา. จดหมายบางฉบับที่พวกเขาส่งถึงเราหลังจากที่เขาเติบโตแล้วนั้นยืนยันว่าการอบรมนั้นเกิดผลดี.—ดูในกรอบข้างล่าง.
เป็นไพโอเนียร์อีก!
เมื่อลูก ๆ ของเราส่วนใหญ่โตกันแล้ว ผมหวนคิดถึงบทความเรื่องหนึ่งในหอสังเกตการณ์ ฉบับวันที่ 1 มีนาคม ปี 1955 ซึ่งมีชื่อเรื่องว่า “การรับใช้เต็มเวลาเหมาะสำหรับคุณไหม?” บทความนี้บอกไว้เป็นบางตอนว่า “บางคนอาจมีแนวโน้มที่จะถือว่าการรับใช้เต็มเวลาเป็นข้อยกเว้น. แต่เขาผิดพลาดในเรื่องนี้ เพราะโดยคำปฏิญาณในการอุทิศตัวของเขานั้น คริสเตียนทุกคนมีพันธะที่จะรับใช้เต็มเวลา นอกเสียจากว่าสภาพแวดล้อมซึ่งเขาไม่สามารถควบคุมทำให้การทำเช่นนั้นเป็นไปไม่ได้.”
คืนหนึ่งผมทูลอธิษฐานต่อพระยะโฮวาเพื่อเปิดช่องทางให้ผมเข้าสู่การรับใช้เต็มเวลาอีก. ครอบครัวของผมร่วมมือ และเพื่อน ๆ สนับสนุนผม. ยังความประหลาดใจแก่ผมเป็นอันมาก เมื่อผู้อำนวยการของบริษัทที่ผมทำงานอยู่เป็นเวลา 26 ปีแล้วยินยอมให้ผมทำงานครึ่งวันเพื่อผมจะรับใช้ฐานะไพโอเนียร์ประจำได้. ด้วยเหตุนี้ ผมเข้าทำงานที่ผมได้ลาออกเมื่อหลายปีก่อนนั้นด้วยความเบิกบานใจ. และลูก ๆ สามคนได้ติดตามตัวอย่างของผม.
เรารับใช้เป็นเวลาสองปีในอิตาเทียเอีย ที่ผมเคยเป็นผู้ปกครองอยู่เป็นเวลา 15 ปี และต่อจากนั้นเราตัดสินใจที่จะย้ายไปยังแหล่งที่มีความจำเป็นมากกว่า. นี้หมายถึงการยังชีพด้วยเงินบำนาญพอสัณฐานประมาณ เทียบเท่ากับราว ๆ หนึ่งในสี่ของเงินเดือนที่ดี ๆ. ถึงกระนั้น โดยไว้วางใจในคำสัญญาของพระเยซูในมัดธาย 6:33 เราเขียนถึงสมาคมเกี่ยวกับแผนการของเรา. หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เราแทบจะโลดเต้นด้วยความยินดีที่ได้รับคำตอบจากพวกเขา “ดูจะมีเหตุผลที่เราขอแนะให้คุณย้ายไปยังเมืองลาเจส. ทั้ง ๆ ที่มีพลเมืองมากกว่า 200,000 คน ก็มีผู้ประกาศเพียง 100 คนที่นั่นในสามประชาคมเล็ก ๆ. คุณคงจะช่วยเหลือได้มากมายในเขตนั้น.”
เราย้ายไปในเดือนกุมภาพันธ์ 1988. และเรายังคงอยู่ที่นี่ ห่างจากลูก ๆ และเพื่อนฝูงของเราถึง 1,000 กิโลเมตร. เราเพิ่งผ่านฤดูหนาวอันเลวร้ายที่สุดมาแล้ว 20 ปี. ผมเป็นผู้ปกครองคนเดียวในประชาคมของเรา ดังนั้น มีงานมากที่จะต้องทำ. กระนั้น เราได้รับพระพรอย่างแท้จริง. ที่ทำให้เบิกบานใจเป็นพิเศษก็คือเขตทำงาน. เมื่อเราเคาะที่ประตูบ้านของเขา ประชาชนบอกว่า “เชิญเข้ามาข้างใน!” เริ่มการศึกษาพระคัมภีร์ได้ง่าย ๆ. เรายอมรับเอาสิ่งของต่าง ๆ เมื่อเงินขาด และเรากลับบ้านพร้อมด้วยสบู่ ยาดับกลิ่น ใบมีดโกน ผ้าอ้อมเด็ก (สำหรับหลานของเรา) ข้าว ผักต่าง ๆ ผลไม้ นมเปรี้ยว เหล้าองุ่น และไอสกรีมด้วยซ้ำ. มีครั้งหนึ่งเราได้ม้านั่งไม้!
ผลที่นำมาซึ่งบำเหน็จอันอุดม
ทุกวันนี้ ในวัย 56 ปี ผู้รู้สึกตื่นเต้นเมื่อไรก็ตามที่นึกถึงครอบครัวของเรา. พวกลูก ๆ มิได้ “เกิดในความจริง.” พวกเขาเกิดมาในบ้านคริสเตียน และต้องพร่ำสอนความจริงเข้าไว้ในจิตใจและหัวใจที่อ่อนเยาว์ของเขา. ลูก ๆ ที่แต่งงานก็ได้กระทำเช่นนั้น “ในองค์พระผู้เป็นเจ้า.” (1 โกรินโธ 7:39; พระบัญญัติ 6:6, 7) จริงอยู่ เราทำผิดบ้าง และมีการตัดสินที่ผิดพลาด. บางครั้ง เราทำการอยุติธรรม. บางโอกาสผมพลาดไปไม่ได้วางตัวอย่างดีที่สุด หรือละเลยหน้าที่รับผิดชอบของผมในฐานะบิดาและสามี. เมื่อผมสำนึกถึงสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้ว ผมทูลขออภัยจากพระยะโฮวา ภรรยาหรือลูก ๆ แล้วพยายามที่จะแก้ไขความผิดนั้น.
ทั้ง ๆ ที่เรามีความไม่สมบูรณ์ก็ตาม ครอบครัวเรา—บัดนี้เพิ่มทวีขึ้นโดยลูกเขย และหลาน ๆ—มีหกคนอยู่ในการรับใช้เต็มเวลา ผู้ปกครองสี่คน และผู้รับใช้คนหนึ่ง. ทุกคนยกเว้นหลาน ๆ ได้รับบัพติสมาแล้ว. ลูกสามคนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะซึ่งยังอยู่กับเรานั้นวางแผนเอาการรับใช้เต็มเวลาเป็นงานประจำชีวิตของเขา. คนเราจะหวังบำเหน็จอะไรที่ใหญ่ยิ่งกว่านี้ได้? ผมรู้สึกขอบพระคุณพระยะโฮวาสำหรับการทรงนำเราในการอบรมลูก ๆ โดยวินัยของพระองค์. เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นพวกเขายังปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์อยู่. และผมอธิษฐานเพื่อว่าเรา และก็พวกเขาด้วยจะไม่หันเหไปจากแนวทางแห่งชีวิตเลย.
[กรอบหน้า 28]
หลังจากพวกเขาเติบโตแล้ว บางครั้งลูก ๆ ของเราได้เขียนจดหมายแสดงความหยั่งรู้ค่าวิธีที่เราได้อบรมพวกเขา. ต่อไปนี้เป็นความเห็นบางประการของพวกเขา:
“คุณพ่อคะ ขอให้มั่นใจเถอะว่า คุณพ่อกับคุณแม่ได้ทำอย่างดีที่สุดทีเดียวกับพวกเราแล้ว ถึงแม้คุณพ่ออาจผิดพลาดไปในบางครั้ง—อันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลายครั้งในขณะนี้กับคาร์ลอสและหนูในการจัดการกับฟาบริซิโอลูกชายของเรา.”
อลิซ ลูกสาววัย 33 ปี มารดาของลูกชายสองคน.
“พวกเราต้องยอมรับว่าคุณพ่อคุณแม่พยายามร่วมกันที่จะอบรมพวกเราด้วยการปรับความคิดจิตใจของพระยะโฮวา. และพวกเราได้รับประโยชน์มากสักเพียงไรจากสิ่งนั้นในขณะนี้!”
มาร์เซีย ลูกสาววัย 27 ปี พร้อมกับสามีซึ่งอยู่ในงานเดินหมวด.
“ผมตระหนักว่าสิทธิพิเศษที่ผมได้รับอยู่ในขณะนี้นั้นจะเป็นไปไม่ได้เลยหากปราศจากความช่วยเหลือที่ทั้งคุณพ่อคุณแม่ได้ให้แก่ผมเพื่อวางพื้นฐานอันมั่นคงทางฝ่ายวิญญาณ และความรักต่อพระยะโฮวาและการรับใช้พระองค์.”
เมอร์ซิโอ ลูกชายวัย 23 ปี ไพโอเนียร์พิเศษ.
“อันเดร ขอให้ฉวยเอาประโยชน์อย่างเต็มที่จากความเป็นเพื่อนและประสบการณ์ของคุณพ่อ. ขออย่าละเลยคำแนะนำของท่าน. เธอจะสามารถช่วยกันและกันได้. ตอนนี้ฉันมีความสุขยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา.”
พลินิโอ ลูกชายวัย 20 ปี ที่สำนักเบเธล.
[ที่มาของภาพ]
Foto: MOURA