การรับใช้พระยะโฮวาฐานะครอบครัวที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เล่าโดยอันโตนยู ซานโตเลรี
คุณพ่อของผมอายุ 17 ปีเมื่อท่านจากประเทศอิตาลีปี 1919. ท่านย้ายไปบราซิลเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า. ต่อมา ท่านก็ได้มีร้านตัดผมอยู่ที่เมืองเล็ก ๆ ภายในรัฐเซาเปาโล.
วันหนึ่งในปี 1938 ตอนนั้นผมอายุเจ็ดขวบ คุณพ่อได้รับคัมภีร์ไบเบิลฉบับแปล บราซีเลรา จากชายผู้หนึ่งซึ่งแวะเข้ามาที่ร้านตัดผมของพ่อ. สองปีต่อมา คุณแม่ป่วยหนักและสุขภาพไม่เคยดีขึ้นจนกระทั่งสิ้นชีวิต. คุณพ่อก็เริ่มไม่สบายเหมือนกัน ดังนั้นพวกเราคือ คุณพ่อ, คุณแม่, อานาน้องสาว, และตัวผมเองจึงไปอาศัยอยู่กับญาติในเมืองเซาเปาโล.
ช่วงที่ผมเรียนหนังสือในเมืองเซาเปาโล ผมเป็นนักอ่านที่กระหายจะอ่านอยู่เสมอ โดยเฉพาะหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ผมรู้สึกประทับใจที่เห็นว่าในหนังสือเหล่านั้นมีการกล่าวอ้างถึงคัมภีร์ไบเบิลเป็นครั้งคราว. หนังสือนวนิยายซึ่งผมยืมมาจากห้องสมุดประชาชนในเมืองเซาเปาโลก็ได้ยกคำเทศน์บนภูเขาขึ้นมากล่าวหลายครั้ง. นั่นคือตอนที่ผมตัดสินใจเสาะหาคัมภีร์ไบเบิลมาอ่านคำเทศน์นั้นด้วยตนเอง. ผมค้นหาพระคัมภีร์ที่คุณพ่อได้มาเมื่อหลายปีก่อน และในที่สุดก็พบที่ก้นกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ ซึ่งอยู่ตรงนั้นนานถึงเจ็ดปี.
ครอบครัวของเรานับถือศาสนาคาทอลิก ฉะนั้น ผมไม่เคยได้รับการสนับสนุนให้อ่านคัมภีร์ไบเบิล. มาบัดนี้ ผมตั้งใจจะจะค้นคว้าหาบทและข้อต่าง ๆ ในพระคัมภีร์เอาเอง. ผมอ่านด้วยความเพลิดเพลินอย่างยิ่ง ไม่เฉพาะคำเทศน์บนภูเขา แต่ได้อ่านพระธรรมมัดธายรวมทั้งพระธรรมเล่มอื่น ๆ จบด้วยเช่นกัน. สิ่งที่ผมรู้สึกประทับใจมากที่สุดคือวิธีที่การบันทึกคำสอนของพระเยซูและการอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงกระทำนั้นส่อความจริง.
ครั้นผมได้ตระหนักว่าศาสนาคาทอลิกแตกต่างจากที่ผมได้อ่านในคัมภีร์ไบเบิล ผมจึงเริ่มเข้าโบสถ์คณะเพรสไบทีเรียน และอานาก็ไปร่วมด้วย. กระนั้น ผมยังคงรู้สึกว่าไม่หนำใจ. เป็นเวลาถึง 17 ปีที่ผมแสวงหาพระเจ้าด้วยความมุ่งมั่นจริงจัง. (กิจการ 17:27) คืนหนึ่งท้องฟ้าระยิบระยับด้วยแสงดาว เมื่อผมอยู่ในอารมณ์คิดรำพึง ผมอยากรู้ว่า ‘ทำไมผมเกิดมาอยู่ในโลกมนุษย์นี้? อะไรคือจุดมุ่งหมายของชีวิต?’ ผมหามุมสงัดได้ในบริเวณลานหลังบ้าน คุกเข่าลงและอธิษฐานว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า! พระองค์คือผู้ใด? กระผมจะรู้จักพระองค์ได้อย่างไร?’ ผมได้คำตอบหลังจากนั้นไม่นาน.
การเรียนรู้ความจริงในคัมภีร์ไบเบิล
วันหนึ่งในปี 1949 สตรีสาวผู้หนึ่งเข้าไปทักทายคุณพ่อขณะลงจากรถราง. เธอเสนอวารสารหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด! แก่คุณพ่อ. ท่านบอกรับเป็นสมาชิกวารสารหอสังเกตการณ์ และขอให้เธอไปที่บ้านของเรา พร้อมกับบอกว่า ท่านมีลูกสองคนซึ่งได้ร่วมกับคริสตจักรเพรสไบทีเรียน. ระหว่างการเยี่ยม เธอให้หนังสือ บุตร (ภาษาอังกฤษ) แก่อานาและเธอก็เริ่มนำการศึกษาพระคัมภีร์กับน้องสาว. ผมเองก็ร่วมการศึกษาในเวลาต่อมา.
เดือนพฤศจิกายน 1950 พวกเราได้เข้าร่วมการประชุมใหญ่ของพยานพระยะโฮวาเป็นครั้งแรก. วาระนั้นมีการออกหนังสือ “จงให้พระเจ้าเป็นองค์สัตย์จริง” และเรายังคงศึกษาพระคัมภีร์อย่างต่อเนื่องโดยใช้หนังสือนี้เป็นคู่มือ. ไม่นานหลังจากนั้น เราได้มาหยั่งเห็นว่าเราพบความจริงแล้ว พอถึงเดือนเมษายน 1951 พวกเรารับบัพติสมาแสดงสัญลักษณ์การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวา. คุณพ่อเองก็ได้อุทิศตัวหลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปีและซื่อสัตย์ต่อพระเจ้ากระทั่งสิ้นชีวิตในปี 1982.
มีความสุขด้วยการรับใช้เต็มเวลา
เดือนมกราคม 1954 ขณะนั้นผมมีอายุเพียง 22 ปี ผมถูกรับเข้าทำงาน ณ สำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวา ซึ่งเรียกกันว่าเบเธล. พอไปถึงที่นั่น ผมรู้สึกประหลาดใจเมื่อรู้ว่าชายผู้หนึ่งซึ่งมีอายุแก่กว่าผมแค่สองปีชื่อริชาร์ด มูกา เป็นผู้ดูแลสาขา. ปี 1955 เมื่อมีความต้องการผู้รับใช้หมวด ดังที่เรียกผู้ดูแลเดินทางในเวลานั้น ผมเป็นหนึ่งในจำนวนห้าคนที่ได้รับเชิญให้มีส่วนร่วมรับใช้ด้านนี้.
เขตงานที่มอบหมายให้ผมดูแลนั้นอยู่ในรัฐริโอกรานเดโดซูล. มีประชาคมพยานพระยะโฮวาเพียง 8 ประชาคมเมื่อผมเริ่มงานหมวด แต่ภายในช่วง 18 เดือนมีการจัดตั้งประชาคมใหม่ 2 ประชาคม และกลุ่มโดดเดี่ยว 20 กลุ่ม. ปัจจุบันจำนวนพยานพระยะโฮวาในภูมิภาคแห่งนี้ เพิ่มพูนขึ้นมากจนต้องแบ่งออกเป็น 15 หมวด แต่ละหมวดมีประมาณ 20 ประชาคม! ปลายปี 1956 ผมได้รับแจ้งว่าหมวดที่ผมรับใช้ดูแลได้แบ่งออกเป็นสี่หมวดย่อย ซึ่งจะมีผู้ดูแลหมวดสี่คนปฏิบัติงาน. ตอนนั้นผมได้รับคำสั่งให้กลับเบเธลเพื่อรับหน้าที่มอบหมายใหม่.
ผมรู้สึกตื่นเต้นและดีใจ เมื่อผมได้รับมอบหน้าที่ให้ไปยังแถบเหนือของบราซิลฐานะผู้รับใช้ภาค ซึ่งก็คือผู้ดูแลเดินทางที่เยี่ยมหมวดต่าง ๆ นั่นเอง. ประเทศบราซิลสมัยนั้นมีพยานพระยะโฮวาทำงานประกาศเผยแพร่ 12,000 คน และทั้งประเทศมีสองภาค. ริการ์ต วุตต์เก ปฏิบัติงานรับใช้ทางใต้ ฝ่ายผมเองปฏิบัติงานทางภาคเหนือของประเทศ. ที่เบเธล เรารับการฝึกให้รู้วิธีใช้เครื่องฉายภาพยนตร์เพื่อจะฉายภาพยนตร์ที่พยานพระยะโฮวาได้สร้างเรื่องสมาคมโลกใหม่ในภาคปฏิบัติ และ ความสุขแห่งสมาคมโลกใหม่.
การเดินทางสมัยนั้นต่างกันมากกับสมัยปัจจุบัน. ในหมู่พยานฯไม่มีใครมีรถยนต์ ดังนั้น ผมจึงเดินทางโดยเรือบด, เรือพาย, เกวียน, ขี่ม้า, รถม้า, รถบรรทุก, และนั่งเครื่องบินครั้งหนึ่ง. น่าตื่นเต้นเสียจริงขณะบินอยู่เหนือป่าแอมะซอนและจะร่อนลงที่เมืองซานตาเรม ซึ่งอยู่ครึ่งทางระหว่างเมืองเบเลมตรงปากน้ำแอมะซอนกับเมืองมานาอุส เมืองหลวงของรัฐแอมะซอนัส. ผู้รับใช้ภาคสมัยนั้นต้องเอาใจใส่การประชุมหมวดเพียงไม่กี่แห่ง ดังนั้น ผมได้ใช้เวลาส่วนใหญ่จัดการฉายภาพยนตร์ของสมาคมฯ. ในเมืองใหญ่หลายเมืองมีหลายร้อยคนได้ชม.
สิ่งประทับใจผมมากที่สุดในบราซิลตอนเหนือก็คือแถบลุ่มแม่น้ำแอมะซอน. ขณะผมรับใช้ที่นั่นในเดือนเมษายน 1957 แม่น้ำแอมะซอนและแควต่าง ๆ มีน้ำเอ่อท่วมฝั่ง. ผมมีโอกาสฉายภาพยนตร์เรื่องหนึ่งกลางป่า เราจัดการขึงจอระหว่างต้นไม้สองต้น. ส่วนกระแสไฟสำหรับเครื่องฉายเราได้จากเรือยนต์ที่จอดอยู่กลางแม่น้ำใกล้ ๆ นั่นเอง. นับว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่คนส่วนใหญ่เคยได้ชม.
หลังจากนั้นไม่นาน ผมกลับมารับใช้ที่เบเธล และปีถัดมา ปี 1958 ผมได้รับสิทธิพิเศษให้เข้าร่วมการประชุมนานาชาติที่เป็นประวัติการณ์ซึ่งพยานพระยะโฮวาจัดขึ้น ณ นครนิวยอร์ก มีชื่อว่า “พระทัยประสงค์ของพระเจ้า.” มีตัวแทนจาก 123 ดินแดนอยู่ท่ามกลาง 253,922 คน ซึ่งทำให้สนามกีฬาแยงกีและโปโลกราวนด์ที่อยู่ใกล้กันแน่นขนัดด้วยผู้คนในวันสุดท้ายของการประชุมแปดวันครั้งนั้น.
ชื่นชมกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผม
หลังจากกลับมาที่เบเธลได้ไม่นาน ผมได้รู้จักคุ้นเคยกับคลารา เบินต์ และเราแต่งงานกันเมื่อเดือนมีนาคม 1959. เราถูกมอบหมายให้เยี่ยมหมวดในรัฐบาเฮีย เรารับใช้ที่นั่นประมาณหนึ่งปี. ผมกับคลารายังคงรำลึกอย่างชื่นชมถึงความอ่อนสุภาพ, การมีน้ำใจรับรองแขก, ความกระตือรือร้น, และความรักของพวกพี่น้องที่นั่น; พวกเขายากจนด้านวัตถุ แต่ร่ำรวยด้วยการบังเกิดผลแห่งราชอาณาจักร. ครั้นแล้ว เราถูกย้ายไปรับใช้ที่รัฐเซาเปาโล. ที่นั่น เมื่อปี 1960 ภรรยาของผมได้ตั้งครรภ์ และเราจำต้องเลิกจากงานรับใช้เต็มเวลา.
เราตัดสินใจย้ายไปอยู่รัฐซานตาคาทารินา ซึ่งภรรยาของผมเกิดที่นั่น. เกอร์สัน ลูกชายคนแรกในจำนวนลูกห้าคนของเรา. คนถัดมาคือกิลสัน เกิดปี 1962, ทาลิทาเกิดปี 1965, ทาร์ซีโอ เกิดปี 1969, และจานีซี เกิดปี 1974. ขอบพระคุณพระยะโฮวาและคำแนะนำอันดีที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ พวกเรา สามารถเผชิญข้อท้าทายด้านการอบรมเลี้ยงดูบุตร “ด้วยการตีสอนและการปรับความคิดจิตใจ ตามหลักการ ของพระยะโฮวา.”—เอเฟโซ 6:4, ล.ม.
เราถือว่าลูกแต่ละคนของเรามีค่าล้ำ. ท่านผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญกล่าวถึงความรู้สึกของเราได้ดีมาก: “นี่แน่ะ! บุตรทั้งหลายเป็นมรดกจากพระยะโฮวา.” (บทเพลงสรรเสริญ 127:3, ล.ม.) ทั้ง ๆ ที่มีปัญหา แต่เราได้เอาใจใส่ดูแลลูกอย่างที่เราพึงกระทำต่อ “มรดกจากพระยะโฮวา” โดยการใส่ใจต่อคำแนะนำต่าง ๆ ที่เราได้เรียนจากพระคำของพระองค์. บำเหน็จจึงมีมากมาย. เรารู้สึกชื่นชมยินดีเหลือจะกล่าวเมื่อลูกทั้งห้าคนตามลำดับแต่ละคน และด้วยความสมัครใจของเขาเอง ต่างคนก็ได้แสดงความปรารถนาจะรับบัพติสมาเป็นสัญลักษณ์การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวา.—ท่านผู้ประกาศ 12:1.
การเลือกของลูก ๆ ของเรา
เรามีความยินดีเหลือล้นเมื่อเกอร์สัน หลังจากเรียนคอมพิวเตอร์จบหลักสูตรไม่นาน เขาพูดว่าเขาอยากทำงานที่เบเธล ด้วยเหตุนี้จึงเลือกเอางานรับใช้เต็มเวลาเป็นงานประจำชีพ แทนการทำงานอาชีพ. ถึงกระนั้น ชีวิตตอนแรก ๆ ในเบเธลไม่ง่ายสำหรับเกอร์สัน. หลังจากได้เยี่ยมเขาเมื่อเข้าอยู่ในเบเธลแค่สี่เดือน ผมตื้นตันใจเมื่อเห็นสีหน้าของเขาหม่นหมองขณะที่เราลาจากไป. เมื่อดูผ่านกระจกมองหลังในรถ ผมเห็นลูกชายมองตามเรากระทั่งรถลับโค้งแรกของถนน. น้ำตาเต็มปรี่ในดวงตาของผมจนต้องจอดรถแอบข้างทางก่อนเดินทางต่อไปอีก 700 กิโลเมตรกว่าจะถึงบ้าน.
จริง ๆ แล้ว เกอร์สันกลับรู้สึกชอบเบเธล. หลังจากอยู่ที่นั่นนานเกือบหกปี เขาก็ได้แต่งงานกับไฮดี เบสเซอร์ และทั้งสองรับใช้ร่วมกันในเบเธลอีกสองปี. แล้วไฮดีตั้งครรภ์ และทั้งสองคนต้องออกจากเบเธล. ซินเทีย ลูกสาวของเขา ตอนนี้อายุหกขวบ ติดตามพ่อแม่ไปในการทำกิจกรรมต่าง ๆ แห่งราชอาณาจักร.
ไม่นานหลังจากที่เราเยี่ยมเกอร์สันครั้งแรกที่เบเธล กิลสัน ซึ่งเพิ่งเรียนจบปีแรกสาขาวิชาบริหารธุรกิจก็บอกว่า เขาเองต้องการรับใช้ที่เบเธลเหมือนกัน. เขามีโครงการจะกลับไปเรียนต่อด้านธุรกิจหลังจากรับใช้หนึ่งปีที่เบเธล. แต่โครงการของเขาเปลี่ยนไป และเขายังรับใช้ต่อที่เบเธล. ปี 1988 เขาแต่งงานกับวิเวียน โกงซัลวิส ซึ่งเป็นไพโอเนียร์ อย่างที่เรียกผู้ประกาศเต็มเวลา. ตั้งแต่นั้นมาทั้งสองได้รับใช้ร่วมกันที่เบเธล.
ความชื่นชมยินดีของเรามีไม่ขาดสาย เมื่อทาลิทา ลูกคนที่สามสมัครใจเข้าสู่งานไพโอเนียร์ในปี 1986 หลังจากได้เลือกเรียนวิชาเขียนแบบ. สามปีต่อมาเธอก็เช่นกันได้รับเชิญเข้าทำงานในเบเธล. ปี 1991 เธอแต่งงานกับชูเซ โคซี ซึ่งทำงานรับใช้ที่เบเธลมาสิบปีแล้ว. ทั้งคู่ยังคงอยู่ที่นั่นในฐานะคู่สมรส.
ผมกับภรรยารู้สึกดีใจอีกครั้งหนึ่งเมื่อทาร์ซิโอ น้องคนถัดไปกล่าวซ้ำวลีเดิมอย่างที่เราได้ฟังมาสามครั้ง แล้วที่ว่า “พ่อครับ ผมอยากไปอยู่ที่เบเธล.” ใบสมัครของเขาได้รับการตอบรับ และในปี 1991 ลูกคนนี้เช่นกันได้เริ่มงานรับใช้ในเบเธล และเขาอยู่ที่นั่นจนกระทั่งปี 1995. พวกเราชื่นใจที่เขาใช้กำลังวังชาในวัยหนุ่มแน่นโดยวิธีนี้เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ราชอาณาจักรของพระยะโฮวามากกว่าสามปี.
จานีซี ลูกสาวคนสุดท้องของเราตัดสินใจรับใช้พระยะโฮวา และได้รับบัพติสมาเมื่ออายุ 13 ปี. ในช่วงที่เรียนในโรงเรียน เธอรับใช้เป็นไพโอเนียร์สมทบหนึ่งปี. ครั้นแล้ว วันที่ 1 กันยายน 1993 เธอเริ่มงานฐานะไพโอเนียร์ประจำร่วมกับประชาคมของเราในเมืองกาสปาร์.
ทางสู่ความสำเร็จ
อะไรคือเคล็ดลับของการรักษาครอบครัวให้มีน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการนมัสการพระยะโฮวา? ผมไม่เชื่อว่าจะมีสูตรมหัศจรรย์. พระยะโฮวาทรงจัดเตรียมคำแนะนำไว้ในพระคำของพระองค์สำหรับคริสเตียนผู้เป็นบิดามารดาจะปฏิบัติตาม ดังนั้น คำยกย่องสรรเสริญทุกประการจึงสมควรให้แก่พระองค์ สำหรับผลดีต่าง ๆ ที่เราได้รับ. พวกเราทำได้ก็เพียงแต่บากบั่นทำตามการชี้นำของพระองค์. (สุภาษิต 22:6) ลูกของเราแต่ละคนสืบทอดอารมณ์อ่อนไหวแบบชาวลาตินอเมริกันจากผม และเขาได้น้ำใจเด็ดเดี่ยวแบบเยอรมันที่ใช้ได้ผลจากแม่ของเขา. แต่สิ่งสำคัญที่สุดซึ่งเขาได้สืบทอดจากเราคือมรดกฝ่ายวิญญาณ.
วิถีชีวิตภายในบ้านของเราล้วนเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ฝ่ายราชอาณาจักร. การรักษาผลประโยชน์เหล่านี้ให้ขึ้นหน้าสิ่งอื่น ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย. ยกตัวอย่าง เราประสบความยากลำบากเสมอเพื่อจะจัดการศึกษาพระคัมภีร์กับครอบครัวเป็นประจำ แต่เราก็ไม่ยอมท้อถอย. ตั้งแต่ลูกยังแบเบาะอยู่ เราได้พาลูกแต่ละคนมายังการประชุมคริสเตียนและพาไปร่วมการประชุมหมวด, ประชุมภาค, ประชุมนานาชาติ. เฉพาะแต่เมื่อเจ็บป่วยหรือมีเหตุฉุกเฉินเท่านั้นที่เรางดไม่ร่วมประชุม. นอกจากนั้น ช่วงที่ลูกยังเยาว์วัย ลูกจะไปกับเราด้วยในงานเผยแพร่ฝ่ายคริสเตียน.
เมื่อพวกเขามีอายุราว ๆ สิบขวบ เขาเริ่มให้คำบรรยายในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า. เราช่วยเขาเตรียมคำบรรยายครั้งแรก สนับสนุนเขาเขียนเป็นโครงเรื่องแทนที่จะเขียนคำบรรยายทุกคำ. ในเวลาต่อมา แต่ละคนเตรียมคำบรรยายด้วยตัวเอง. นอกจากนั้น ระหว่าง 10-12 ขวบ แต่ละคนเริ่มมีส่วนร่วมออกไปประกาศอย่างสม่ำเสมอ. นี่เป็นวิถีชีวิตแนวเดียวเท่านั้นที่เขารู้จัก.
คลารา ภรรยาของผมมีบทบาทสำคัญในการเลี้ยงดูลูกของเรา. ทุกคืน ตอนที่เด็ก ๆ อายุยังน้อย—เป็นช่วงที่เด็กเหมือนฟองน้ำดูดซับเอาทุกอย่างที่สอนเขา—คลาราอ่านเรื่องในพระคัมภีร์ให้ลูกฟังและร่วมอธิษฐานกับแต่ละคน. เธอได้ใช้ประโยชน์จากหนังสือ ตั้งแต่อุทยานที่ศูนย์เสียไป จนกระทั่งอุทยานที่ได้กลับคืนอีก, การรับฟังครูผู้ยิ่งใหญ่, และหนังสือของฉันเกี่ยวด้วยเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล.a เมื่อมีเทปบันทึกเสียงและเทปบันทึกภาพที่ช่วยในการสอนซึ่งจัดทำโดยพยานพระยะโฮวา เราก็ใช้สิ่งเหล่านั้นเช่นกัน.
ประสบการณ์ของเราฐานะคริสเตียนซึ่งเป็นบิดามารดายืนยันว่าเด็กต้องการความเอาใจใส่ทุก ๆ วัน. ความรักอันแรงกล้า, การใส่ใจต่อลักษณะเฉพาะตัว, และการให้เวลามากเพียงพอล้วนเป็นความต้องการพื้นฐานของเด็กรุ่นเยาว์. เราไม่เพียงแต่มองว่าเป็นหน้าที่รับผิดชอบของพ่อแม่ที่จะสนองความต้องการเหล่านั้นให้จุใจอย่างสุดความสามารถ แต่เราก็ได้รับความเพลิดเพลินมากมายจากการทำเช่นนั้นด้วย.
แท้จริง เป็นความรู้สึกที่น่าพอใจยิ่งสำหรับพ่อแม่ที่จะประสบความสำเร็จเป็นจริงตามถ้อยคำในบทเพลงสรรเสริญ 127:3-5 ที่ว่า “จงดูเถิด, การมีบุตรชายหญิงย่อมเป็นของประทานมาแต่พระยะโฮวา; และการตั้งครรภ์นั้นคือรางวัลของพระองค์. ลูกธนูในมือของคนกล้าหาญเป็นฉันใด, บุตรชายหญิงของคนหนุ่มก็เป็นฉันนั้น. คนใดที่มีลูกดกดุจลูกธนูเต็มแล่งก็เป็นผาสุก.” การรับใช้พระยะโฮวาในฐานะครอบครัวที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทำให้เราได้รับความชื่นชมยินดีอย่างแท้จริง!
[เชิงอรรถ]
a ทุกเล่มพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่ง นิวยอร์ก.
[รูปภาพหน้า 26]
อันโตนยู ซานโตเลรีกับครอบครัวของเขา