ความภักดี—มีค่าเท่าไร?
“พระองค์จะทรงปฏิบัติด้วยความภักดีต่อผู้ภักดี.”—บทเพลงสรรเสริญ 18:25, ล.ม.
1, 2. (ก) ความภักดีหมายถึงอะไร และแง่มุมต่าง ๆ แห่งความภักดีกระทบกระเทือนชีวิตของเราอย่างไร? (ข) เหตุใดจึงเป็นสิ่งที่ดีที่จะมองพระยะโฮวาเป็นตัวอย่างเด่นสำหรับเรา?
ความซื่อสัตย์, หน้าที่, ความรัก, พันธกรณี, ความจงรักภักดี, คำเหล่านี้คล้ายกันในทางใด? คำเหล่านี้คือแง่มุมต่าง ๆ ของความภักดี. ความภักดีเป็นคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมอันเกิดจากความศรัทธาอันแรงกล้าจากหัวใจ. อย่างไรก็ตาม ในทุกวันนี้หลายคนไม่ค่อยใส่ใจกับความภักดี. ความซื่อสัตย์ต่อคู่สมรส, พันธะต่อคนสูงอายุในวงครอบครัว, ความภักดีของลูกจ้างต่อนายจ้าง—ทั้งหมดนี้มักจะออมชอมกันประหนึ่งไม่ใช่เรื่องสำคัญ. และเกิดอะไรขึ้นเมื่อเกิดประเด็นขัดแย้งกันเกี่ยวกับความภักดี? ไม่นานมานี้เองที่อังกฤษ เมื่อคนทำบัญชีได้แถลงความจริงเรื่องการเงินของบริษัทแก่เจ้าหน้าที่สรรพากร เขาถูกปลดออกจากงาน.
2 แค่พูดถึงความภักดีก็เป็นเรื่องง่าย แต่ความภักดีอย่างแท้จริงต้องมีการกระทำที่หนุนหลังซึ่งไม่รวมเอาการอะลุ้มอล่วยเพราะความกลัว. เพราะเราเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ บ่อยครั้งเราพลั้งพลาดในเรื่องนี้. ฉะนั้น จึงเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเราจะพึงพิจารณาตัวอย่างของผู้หนึ่ง ซึ่งความภักดีของผู้นั้นไม่เป็นที่สงสัยเลยแม้แต่น้อย ผู้นั้นคือพระเจ้ายะโฮวา.
ตัวอย่างแสดงถึงความภักดี
3. โดยวิธีใดพระยะโฮวาทรงได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพระองค์ภักดีต่อวัตถุประสงค์ของพระองค์ตามที่กล่าวในเยเนซิศ 3:15?
3 เมื่ออาดามได้ทำบาป พระยะโฮวาทรงสำแดงอย่างแจ้งชัดซึ่งพระประสงค์ของพระองค์ที่จะไถ่ครอบครัวมนุษย์ซึ่งขณะนั้นยังไม่เกิด. พื้นฐานสำหรับการกระทำเช่นนี้ก็เนื่องด้วยพระองค์มีความรักต่อมนุษยชาติที่พระองค์ได้สร้างขึ้นมา. (โยฮัน 3:16) ครั้นถึงเวลาอันควร พระเยซูคริสต์พงศ์พันธุ์แห่งคำสัญญาตามที่ระบุไว้ในเยเนซิศ 3:15 ก็มาเป็นเครื่องบูชาไถ่ และก็คงเป็นไปไม่ได้สำหรับพระยะโฮวาที่จะไม่ทำตามจุดมุ่งหมายที่พระองค์ตรัสสัญญาไว้แล้ว. ด้วยการรับรองเครื่องบูชาของพระเยซู ความเชื่อของเราจะไม่ทำให้เราผิดหวังแน่ ๆ.—โรม 9:33.
4. พระยะโฮวาทรงพิสูจน์อย่างไรว่าพระองค์ภักดีต่อพระเยซู และมีผลเช่นไร?
4 ความภักดีที่พระยะโฮวาทรงมีต่อพระเยซูนั้นเป็นกำลังเสริมความเข้มแข็งอย่างมากมายแก่พระบุตรระหว่างที่ทรงอยู่บนแผ่นดินโลก. พระเยซูทรงทราบดีว่าพระองค์จะต้องเผชิญความตาย และพระองค์ทรงมุ่งพระทัยอย่างเด็ดเดี่ยวจะรักษาความภักดีต่อพระเจ้าของพระองค์จนถึงที่สุด. พระองค์ได้รับการเปิดเผยให้เข้าใจเต็มที่ยิ่งขึ้นเกี่ยวด้วยสภาพที่ทรงเป็นอยู่ก่อนเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อพระองค์ได้รับบัพติสมาและถูกเจิมด้วยพระวิญญาณ. ในคืนที่ยูดาทรยศ พระองค์ได้ทูลอธิษฐานขอเพื่อจะถูกรับกลับไปหาพระบิดาของพระองค์ทรงภาคสวรรค์ตามเดิม เพื่อจะมี ‘เกียรติยศซึ่งพระองค์เคยมีร่วมกับพระยะโฮวาก่อนมีโลกขึ้นมา.’ (โยฮัน 17:5) ทั้งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร? ทางเดียวเท่านั้น โดยพระยะโฮวาจะไม่ทอดทิ้งพระบุตรที่ภักดีองค์นี้ไว้ในหลุมศพเพื่อจะเน่าเปื่อยไป. พระยะโฮวาทรงปลุกพระองค์คืนชีพสู่ความเป็นอมตะ ดังนั้น จึงทรงทำอย่างภักดีเพื่อให้สำเร็จตามคำสัญญาเชิงพยากรณ์ที่บทเพลงสรรเสริญ 16:10 ที่ว่า “พระองค์จะไม่ทรงสละทิ้งจิตวิญญาณของข้าพเจ้าไว้ใน [เชโอล, ล.ม.].”—กิจการ 2:24-31; 13:35; วิวรณ์ 1:18.
5. การกระทำอื่น ๆ อย่างภักดีอะไรอีกเกี่ยวข้องกับคำสัญญาของพระยะโฮวาต่อพระเยซู?
5 หลังจากพระเยซูทรงคืนพระชนม์แล้ว พระองค์ทรงทราบด้วยว่าพระองค์สามารถวางใจได้ในคำตรัสของพระยะโฮวาที่จะ ‘ปราบศัตรูให้เป็นม้ารองพระบาทพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 110:1) วาระนั้นได้มาถึงในปี 1914 ตอนสิ้นสุด “เวลากำหนดของคนต่างประเทศ” พร้อมด้วยการสถาปนาราชอาณาจักรในสวรรค์. อำนาจปกครองเหนือบรรดาศัตรูของพระเยซูตามคำสัญญานั้นได้เริ่มขึ้นเมื่อมีการขับไล่ซาตานและผีปีศาจออกจากสวรรค์ และจะถึงที่สุดเมื่อมันถูกกักไว้ในเหวลึกเป็นเวลาหนึ่งพันปี และ “บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกกับทั้งพลรบของกษัตริย์เหล่านั้น” จะถูกทำลายไป.—ลูกา 21:24; วิวรณ์ 12:7-12; 19:19; 20:1-3.
6. พระเจ้าทรงประทานความหวังอะไรซึ่งเราแน่ใจได้ และเราแสดงอย่างไรว่าเราหยั่งรู้ค่าความหวังนี้?
6 ท่านผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญได้เร้าใจให้ “คอยท่าพระยะโฮวา และรักษาทางของพระองค์ไว้ แล้วพระองค์จะทรงให้ท่านเลื่อนขึ้นได้มรดกที่แผ่นดินนั้น.” (บทเพลงสรรเสริญ 37:34) เราสามารถวางใจได้ว่าพระยะโฮวาจะยังทรงรักษาคำตรัสของพระองค์อยู่ต่อไป และกระทั่งผ่านพ้นอวสานแห่งโลกชั่วช้านี้ พระองค์จะทรงคุ้มครองชีวิตมนุษย์ทั้งชายหญิงและเด็กซึ่ง “รักษาทางของพระองค์.” วลีนี้ในภาษาฮีบรูเดิมนั้นให้ความหมายบ่งชี้ถึงทั้งความขยันขันแข็งและความซื่อสัตย์ในการรับใช้พระยะโฮวา. เพราะฉะนั้น ขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่จะเลื่อยล้าหรือละเลยต่อสิทธิพิเศษซึ่งทรงมอบให้เรา. บัดนี้ถึงเวลาแล้วเราพึงทุ่มเทตัวเราเองในงานรับใช้พระเจ้าของเรา และราชอาณาจักรของพระองค์อย่างภักดี. (ยะซายา 35:3, 4) มีตัวอย่างที่ดี ๆ หนุนใจพวกเรา. จงให้เราพิจารณาบางตัวอย่าง.
บรรดาบุรุษต้นตระกูลได้สำแดงความภักดี
7, 8. (ก) พระยะโฮวาทรงมอบหมายให้โนฮากับครอบครัวทำงานอะไร? (ข) ครอบครัวของโนฮาได้พิสูจน์อย่างไรว่าเขาสมควรได้รับการพิทักษ์ชีวิตในคราวน้ำท่วมใหญ่ทั่วโลก?
7 เมื่อพระยะโฮวาทรงดำริจะทำลายสังคมมนุษย์ที่ชั่วร้ายโดยบันดาลให้เกิดน้ำท่วมโลก พระองค์ได้ทำคำสัญญาไมตรีไว้กับโนฮาผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อรักษาครอบครัวของท่านให้รอดและเพื่อชีวิตจะสืบต่อกันบนแผ่นดินโลก. (เยเนซิศ 6:18) โนฮารู้สึกขอบคุณสำหรับความหวังที่พระเจ้าจะทรงพิทักษ์ แต่ท่านและทุกคนในครอบครัวต้องพิสูจน์ตัวให้คู่ควรกับความหวังนั้น. โดยวิธีใด? โดยปฏิบัติตามที่พระยะโฮวาทรงบัญชา. แรกทีเดียว พวกเขาเผชิญกับงานสร้างนาวาใหญ่มหึมา. ครั้นสร้างนาวาเสร็จ โนฮาก็ต้องบรรจุนาวาให้เต็มด้วยสัตว์ที่เป็นตัวแทนทุกชนิด ทั้งอาหารให้พอสำหรับสัตว์จะกินเป็นระยะเวลานาน. แต่ยังไม่หมดแค่นั้น. ระหว่างเวลายาวนานสำหรับการตระเตรียม โนฮาก็ยังได้ประกาศซึ่งไม่เคยทำมาก่อนอย่างสุดความสามารถ เป็นการเตือนล่วงหน้าเกี่ยวด้วยการพิพากษาของพระเจ้าที่จะมีมา.—เยเนซิศบท 6 และ 7; 2 เปโตร 2:5.
8 พระคัมภีร์แจ้งว่า “พระเจ้ารับสั่งให้โนฮาทำอย่างไร โนฮาก็กระทำอย่างนั้นทุกสิ่งทุกประการ.” (เยเนซิศ 6:22; 7:5) โนฮากับครอบครัวได้พิสูจน์ตนภักดีในการทำงานที่ได้รับมอบหมายกระทั่งสำเร็จ. น้ำใจที่เสียสละของพวกเขายังผลที่เขาใช้เวลาของตนในทางที่เกิดประโยชน์ แต่งานนั้นหนักและการประกาศก็ยาก. โดยที่ลูกชายของโนฮาพร้อมด้วยภรรยาไม่ได้ให้กำเนิดบุตรก่อนน้ำท่วมโลก จึงเปิดโอกาสให้เขาเอาใจจดจ่ออยู่กับงานที่รับมอบหมายและที่จะประสานการงานของเขา. น้ำท่วมโลกคราวนั้นนำความหายนะอย่างใหญ่หลวงมาสู่โลกชั่วอย่างสาสมทีเดียว. มีแต่โนฮา ภรรยา พร้อมกับบุตรชายสามคนและสะใภ้สามคนเท่านั้นรอดชีวิต. เราย่อมรู้สึกยินดีที่คนเหล่านั้นภักดีต่อพระเจ้าและเชื่อฟังการชี้นำของพระองค์ เนื่องจากพวกเราทุกคนเป็นลูกหลานสืบเชื้อสายจากโนฮา ไม่ทางเซมก็ทางฮาม หรือยาเฟ็ธ.—เยเนซิศ 5:32; 1 เปโตร 3:20.
9. (ก) วิธีที่พระยะโฮวาทดลองอับราฮามเป็นการทดลองความภักดีของท่านอย่างไร? (ข) ยิศฮาคได้แสดงความภักดีอย่างไรในกรณีนี้?
9 เมื่ออับราฮามเตรียมจะถวายยิศฮาคเป็นเครื่องบูชา ท่านกระทำด้วยความซื่อสัตย์และเชื่อฟังคำสั่งของพระยะโฮวา. ช่างเป็นการทดลองความภักดีของท่านเสียจริง! แต่พระยะโฮวาได้ทรงรั้งมืออับราฮามแล้วตรัสว่า “เดี๋ยวนี้เรารู้ว่าเจ้าเกรงกลัวพระเจ้า ด้วยเจ้ามิได้หวงลูกคนเดียวของเจ้าไว้จากเรา.” ถึงกระนั้น คงจะดีที่เราพึงไตร่ตรองดูเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น. ในระหว่างการเดินทางสามวันไปยังภูเขาโมรียา แน่นอน อับราฮามมีเวลามากพอจะพิจารณาถึงสิ่งต่าง ๆ และจะคิดเปลี่ยนใจก็ได้. แล้วยิศฮาคล่ะซึ่งได้หอบฟืนขึ้นไปสำหรับเผาเครื่องบูชา อีกทั้งยอมให้บิดามัดมือมัดเท้าอีก? ยิศฮาคมิได้บิดพลิ้วความจงรักภักดีที่เคยมีต่อบิดาของท่านคืออับราฮาม และไม่สงสัยบทบาทที่ตัวเองต้องแสดง ถึงแม้นจะส่อเค้าให้เห็นว่าแนวทางแห่งความภักดีของตนจะทำให้ตัวเองสิ้นชีวิตก็ตาม.—เยเนซิศ 22:1-18; เฮ็บราย 11:17.
ความซื่อสัตย์ของคริสเตียน
10, 11. คริสเตียนสมัยแรกได้วางแบบอย่างอะไรเกี่ยวด้วยความภักดี?
10 พระยะโฮวาทรงปฏิบัติด้วยความภักดีอย่างแท้จริงเสมอมา. อัครสาวกเปาโลกระตุ้นว่า “จงประพฤติอย่างพระเจ้า.” (เอเฟโซ 5:1, 2) บุรุษต้นตระกูลได้ประพฤติซื่อสัตย์ฉันใด คริสเตียนย่อมประพฤติเช่นกันฉันนั้น. คริสเตียนสมัยแรกได้วางตัวอย่างอันดีในการนมัสการด้วยความภักดี ดังประสบการณ์ต่อไปนี้แสดงให้เห็น:
11 จักรพรรดิคอสแตนทิอุสที่หนึ่งแห่งโรม ซึ่งเป็นราชบิดาของจักรพรรดิคอนสแตนทิน ดูเหมือนว่ามีความนับถืออย่างลึกซึ้งต่อสาวกของพระเยซูคริสต์. เพื่อจะทดลองความภักดีของพวกคริสเตียนที่เกี่ยวพันกับราชสำนัก จักรพรรดิได้รับสั่งว่าเขาจะยังคงปฏิบัติราชการต่อไปได้ถ้าเขายินยอมจะถวายของบูชาแก่รูปเคารพ. หากปฏิเสธ เขาจะถูกขับไล่และถูกลงโทษ. โดยการใช้ยุทธวิธีง่าย ๆ เช่นนี้ คอนสแตนทิอุสต้องการจะรู้จักตัวคนเหล่านั้นซึ่งจะไม่ยอมอะลุ้มอล่วยความภักดีของตน. คนที่ได้พิสูจน์ความภักดีต่อพระเจ้าและหลักการของพระองค์ได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติราชการของจักรพรรดิต่อไป บางคนถึงกับได้เลื่อนขึ้นเป็นที่ปรึกษาที่ไว้วางใจของจักรพรรดิ. ส่วนคนเหล่านั้นที่ไม่ภักดีต่อคำสั่งของพระเจ้าจึงถูกไล่ออกไปอย่างน่าอัปยศอดสู.
12. คริสเตียนผู้ดูแลควรแสดงความภักดีโดยวิธีใด และทำไมสิ่งนี้จึงสำคัญต่อสวัสดิภาพของประชาคม?
12 ถึงแม้คริสเตียนทุกคนต้องสำแดงความภักดีในชีวิตของเขาก็ตาม แต่ก็มีกล่าวเจาะจงถึงความภักดีที่ติโต 1:8 ในบัญชีคุณสมบัติต่าง ๆ ซึ่งผู้ชายต้องมีเพื่อจะเป็นคริสเตียนผู้ดูแล. วิลเลียม บาร์คเลย์บอกว่า คำกรีก โฮʹซิโอส ซึ่งในข้อนี้ถูกนำมาแปลว่า “เป็นคนจิตบริสุทธิ์” พรรณนาถึง “คนที่เชื่อฟังกฎหมายชั่วนิรันดร์ ซึ่งมีมาก่อนกฎหมายที่มนุษย์บัญญัติขึ้น.” เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ปกครองจะยืนหยัดอย่างภักดีด้วยการเชื่อฟังกฎหมายของพระเจ้า. ตัวอย่างที่ถูกต้องเช่นนี้จะช่วยประชาคมเติบโตและแข็งแรงพอจะเผชิญความยากลำบากทุกชนิดและความกดดันซึ่งอาจคุกคามประชาคมทั้งคณะหรือสมาชิกประชาคมเป็นรายบุคคล. (1 เปโตร 5:3) ผู้ปกครองที่รับการแต่งตั้งมีความรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวงต่อฝูงแกะที่จะไม่ยอมอะลุ้มอล่วยความภักดีที่ตนมีต่อพระยะโฮวา เพราะเหตุที่ประชาคมได้รับคำตักเตือนว่า “จงเอาอย่างความเชื่อของเขา.”—เฮ็บราย 13:7.
ความภักดี—มีค่าเท่าไร?
13. ภาษิตที่ว่า “มนุษย์ทุกคนมีค่าตัว” นั้นมีความหมายเช่นไร และตัวอย่างอะไรดูเหมือนจะสนับสนุนเรื่องนี้?
13 “มนุษย์ทุกคนมีค่าตัว” เป็นภาษิตข้อหนึ่งซึ่งถือว่ามาจากเซอร์ โรเบิร์ต วอลโพล นายกรัฐมนตรีอังกฤษสมัยศตวรรษที่ 18. เป็นข้อสรุปอย่างดีในข้อเท็จจริงที่ว่า ตลอดประวัติศาสตร์ทุกสมัย ความภักดีมักจะถูกแลกด้วยผลกำไรอันเห็นแก่ตัว. จงพิจารณาดูวิลเลียม ทินเดลผู้แปลคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งหลงเชื่อรับเฮนรี ฟิลลิปส์ไว้เป็นเพื่อนที่ภักดี. ปี 1535 ฟิลลิปส์ได้ทรยศต่อทินเดลอย่างไร้ความภักดีและมอบทินเดลให้พวกศัตรู เป็นเหตุให้ทินเดลถูกจำคุกทันทีและเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร. นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า ฟิลลิปส์อาจเป็นตัวแทนของกษัตริย์อังกฤษหรือไม่ก็ของลัทธิคาทอลิกในประเทศอังกฤษ ได้ “ค่าจ้างมากพอดูจากงานทรยศหักหลังอย่างที่ยูดาเคยทำ.” แน่นอน นักประวัติศาสตร์ผู้นี้พาดพึงถึงยูดา อิศการิโอด ซึ่งได้ทรยศขายพระเยซูด้วยเงินเพียง 30 แผ่น. อย่างไรก็ดี เราไม่ควรรวบรัดจากตัวอย่างเหล่านี้ว่า “ค่าตัว” สำหรับความภักดีของคนเรานั้นเป็นเงินเสมอไป.
14. ความภักดีของโยเซฟต่อพระยะโฮวาได้ถูกทดลองอย่างไร และผลเป็นอย่างไร?
14 เมื่อภรรยาโพติฟารบเร้าโยเซฟว่า “จงมานอนกับเราเถิด” ตอนนั้นทีเดียว ความภักดีของโยเซฟต่อพระยะโฮวาถูกทดลอง. ท่านจะทำอย่างไร? ด้วยจิตใจที่เข้าใจชัดแจ้งอยู่แล้วเกี่ยวกับหลักการต่าง ๆ โยเซฟจึงวิ่งหนีออกจากเรือน ตั้งใจแน่วแน่ว่าตนไม่สามารถจะ ‘ทำผิดเช่นนั้นและที่จริงก็เป็นบาปต่อพระเจ้า.’ ความคาดหมายจะได้ความเพลิดเพลินทางเพศไม่อาจชนะความภักดีที่โยเซฟมีต่อพระยะโฮวาพระเจ้าของท่าน.—เยเนซิศ 39:7-9.
15. อับซาโลมแสดงความไม่ภักดีให้ปรากฏแจ้งโดยวิธีใด และผลเป็นอย่างไร?
15 แต่ก็ยังมีอันตรายอื่น ๆ อีก. ความทะเยอทะยานอาจบั่นทอนความภักดีได้. ความทะเยอทะยานนี้แหละเป็นแรงกระตุ้นให้อับซาโลมเป็นกบฏต่อบิดาของเขาคือกษัตริย์ดาวิด. โดยใช้กลอุบายและการคบคิด อับซาโลมพยายามประจบเอาใจราษฎร. ในที่สุด เขาก็รวบรวมพลยกไปต่อสู้กับผู้ที่สนับสนุนราชบิดาของเขาอย่างภักดี. การที่อับซาโลมสิ้นชีวิตด้วยน้ำมือของโยอาบจึงเป็นการยุติความไม่ภักดีของอับซาโลมต่อบิดาของเขาคือดาวิด แต่ช่างเป็นการจ่ายด้วยราคาแพงเพียงไรสำหรับความพยายามจะล้มล้างการจัดเตรียมตามระบอบการของพระเจ้า!—2 ซามูเอล 15:1-12; 18:6-17.
ความภักดีที่ซื้อไม่ได้
16. พระธรรม 2 โกรินโธ 11:3 เผยให้เห็นอะไรเกี่ยวกับเจตนาของซาตาน?
16 แม้ซาตานอ้างว่าทุกคนต่างก็มีค่าซื้อขายกันได้ และข้อนี้จริงกับกรณีของอับซาโลม แต่ไม่จริงในกรณีของโยเซฟ และก็ไม่เคยจริงกับผู้นมัสการที่ภักดีของพระยะโฮวา. กระนั้นก็ดี ซาตานจะเสนอค่าเท่าไรก็ได้เพื่อจะทำลายความภักดีของเราต่อพระเจ้าผู้สร้างตัวเรา. อัครสาวกเปาโลกล่าวแสดงความวิตกของท่านว่า “งูนั้นได้ล่อลวงฮาวาด้วยอุบายของมัน” ฉันใด ความคิดของเราก็อาจถูกล่อลวง ทำให้เราอะลุ้มอล่วยความภักดีของเราต่อพระยะโฮวาอีกทั้งการนมัสการพระองค์ด้วยฉันนั้น.—2 โกรินโธ 11:3.
17. บางคนยอมรับอะไรเพื่อแลกกับสิทธิพิเศษอันหาค่ามิได้แห่งการรับใช้?
17 นับว่าสมควรที่เราจะถามตัวเองว่า ‘มีสิ่งของมีค่าอะไรไหมซึ่งฉันจะรับเอาไว้แลกกับสิทธิพิเศษของตัวเองเกี่ยวกับการนมัสการอย่างภักดีต่อพระเจ้าผู้สร้างตัวฉัน?’ เป็นเรื่องน่าสลดใจที่บางคนซึ่งเป็นผู้รับใช้ที่อุทิศตัวแล้วไม่ได้ปฏิบัติอย่างโยเซฟโดยการเอาสิทธิพิเศษของตนแลกกับสิ่งอื่น ๆ ด้วยราคาเพียงเล็กน้อย. แม้แต่คริสเตียนผู้ปกครองบางคนได้ยอมสละสิทธิพิเศษของตนอันหาค่ามิได้ในด้านการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์เพียงเพื่อความเพลิดเพลินในกามารมณ์ที่ผิดศีลธรรมชั่วคราว. ไม่ว่าเป็นผู้ปกครองหรือไม่ก็ตาม หลายคนที่ปฏิบัติกิจเช่นนี้สูญเสียความเป็นหนึ่งเดียวในครอบครัว ความรัก และความนับถือจากประชาคมอย่างที่จะเอากลับคืนไม่ได้ ทั้งยังสูญเสียความโปรดปรานของพระยะโฮวา—ผู้นั้นแหละซึ่งสามารถประทานกำลังเพื่อให้คงไว้ซึ่งความภักดีและที่จะต่อต้านการล่อใจใด ๆ จากซาตาน.—ยะซายา 12:2; ฟิลิปปอย 4:13.
18. เหตุใดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะเชื่อฟังคำเตือนที่ 1 ติโมเธียว 6:9, 10?
18 บางคน ด้วยความแน่วแน่ทะเยอทะยานจะเอาอย่างชาวโลกจึงได้ “ทิ่มแทงตัวเองทั่วทั้งตัวด้วยความเจ็บปวดมากหลาย” ทั้งที่มีคำเตือนสติอย่างแจ้งชัดอยู่แล้วในพระคัมภีร์. (1 ติโมเธียว 6:9, 10, ล.ม.) เดมา คริสเตียนคนหนึ่งที่เปาโลอ้างถึงได้พ่ายแพ้ในเรื่องนี้ อาจเป็นชั่วระยะหนึ่งหรือตลอดไปก็ได้. (2 ติโมเธียว 4:10) การยอมอะลุ้มอล่วยความภักดีต่อพระยะโฮวาโดยไม่มีผลเสียร้ายแรงย่อมเป็นไปไม่ได้. “อย่าหลงเลย จะหลอกพระเจ้าเล่นไม่ได้ เพราะว่าคนใดหว่านพืชอย่างใดลง ก็จะเกี่ยวเก็บผลอย่างนั้น.”—ฆะลาเตีย 6:7.
19, 20. (ก) มีอันตรายอะไรบ้างที่แฝงอยู่กับการดูโทรทัศน์มากไป? (ข) พยานฯครอบครัวหนึ่งได้วางตัวอย่างอะไร?
19 บางครั้งการต่อรองราคาจะมาในลักษณะแยบยล. ยกตัวอย่าง รายงานจากประเทศสหรัฐแจ้งว่า หลายครอบครัวใช้เวลาที่ตื่นอยู่ไปมากกว่าครึ่งของเวลาที่อยู่ที่บ้านดูโทรทัศน์ โดยที่เด็กและวัยรุ่นโดยเฉพาะมักจะติดรายการโทรทัศน์. ถ้าคริสเตียนจะรับสิ่งหล่อเลี้ยงความคิดจิตใจของตัวเองจากโทรทัศน์เป็นประการสำคัญ ซึ่งมีทั้งกามารมณ์กับความรุนแรง ในไม่ช้าหลักการคริสเตียนของตนจะถูกบ่อนทำลาย. แล้วเข้าจะกลายเป็นคนไม่ภักดีไปง่าย ๆ เหินห่างจากพระยะโฮวา. การคบหาสมาคมที่ไม่ดีดังกล่าวย่อมทำนิสัยที่ดีเสียไป. (1 โกรินโธ 15:33) เราต้องไม่ลืมว่าพระคัมภีร์กล่าวเตือนพวกเราให้ปลีกเวลาศึกษาและไตร่ตรองพระวจนะของพระยะโฮวา. เวลาที่ใช้ไปเพื่อพักผ่อนอยู่หน้าจอโทรทัศน์นั้นจะคุ้มค่ากันไหมเมื่อแลกกับเวลาซึ่งอาจใช้ไปสำหรับการค้นคว้าความรู้ที่นำไปถึงชีวิตนิรันดร์ในฐานะผู้นมัสการที่ภักดีของพระยะโฮวา? หลายคนที่พบความรู้เกี่ยวกับสัจธรรมในทุกวันนี้ต้องทำการปรับเปลี่ยนขั้นสำคัญในแนวความคิดของตัวเองมาแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้.—1 ติโมเธียว 4:15, 16; 2 ติโมเธียว 2:15.
20 ทาคาชิ นักธุรกิจชาวญี่ปุ่นอยู่ที่อังกฤษ. เขาเคยใช้เวลาสามหรือสี่ชั่วโมงแทบทุกคืนชมรายการโทรทัศน์พร้อมกับครอบครัว. ภายหลังเขาและภรรยาได้รับบัพติสมาเมื่อสามปีมาแล้ว เขาตัดสินใจว่าการศึกษาส่วนตัวและการศึกษาประจำครอบครัวต้องมาก่อนสิ่งอื่น. เขาลดเวลาดูโทรทัศน์ให้เหลือโดยเฉลี่ยแล้วเพียงวันละ 15 ถึง 30 นาที เขาเป็นผู้นำที่ดีของครอบครัว. ถึงแม้ทาคาชิต้องศึกษาโดยใช้พระคัมภีร์สองภาษาคืออังกฤษกับญี่ปุ่น แต่เขาก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณอย่างรวดเร็ว เวลานี้เขาปฏิบัติหน้าที่ฐานะผู้รับใช้ที่ถูกแต่งตั้งในประชาคมซึ่งใช้ภาษาอังกฤษ. ภรรยาของเขาเป็นไพโอเนียร์สมทบ. ทาคาชิบอกว่า “เพื่อป้องกันสภาพฝ่ายวิญญาณของลูกชายสองคนของเรา แต่ละวันผมจะคอยตรวจดูรายการทีวีอย่างรอบคอบซึ่งผมและภรรยาอนุญาตให้เขาดู.” การฝึกฝนตัวเองด้วยวินัยดังกล่าวได้ผลคุ้มค่า.
21. เรารู้อะไรเกี่ยวด้วยยุทธวิธีของซาตาน และเราป้องกันตัวเองได้อย่างไร?
21 เราสามารถแน่ใจได้เกี่ยวกับสิ่งนี้: ซาตานรู้จุดอ่อนของเรา บางทีรู้ดีกว่าที่เรารู้จักตัวเอง. มันจะไม่หยุดยั้งขณะที่มันพยายามจะให้เราอะลุ้มอล่วยหรือบ่อนทำลายความจงรักภักดีของเราต่อพระยะโฮวา. (เปรียบเทียบมัดธาย 4:8, 9.) เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะป้องกันตัวได้อย่างไร? โดยการตรึกตรองถึงการอุทิศตัวของเราอยู่เสมอและยินดีพัฒนาตัวเองให้มีความชำนิชำนาญขณะที่เราปฏิบัติงานเพื่อสนองความต้องการของคนอื่น ๆ ฝ่ายวิญญาณ. ในฐานะที่เราเป็นผู้รับใช้ที่ภักดีของพระยะโฮวา เราต้องหมกมุ่นอยู่กับงานรับใช้และก็ยอมให้พระคำอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ชี้นำทางพวกเราตลอดเวลา. ทั้งนี้จะทำให้เรายิ่งมั่นคงในความตั้งใจของเราที่ว่า สิ่งใด ๆ ที่ซาตานเสนอเป็นรางวัลจะไม่ทำให้ความภักดีของเราต่อพระยะโฮวาหวั่นไหวไป.—บทเพลงสรรเสริญ 119:14-16.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ พระยะโฮวาและพระเยซูได้ทรงสำแดงความภักดีโดยวิธีใด?
▫ ตัวอย่างอื่น ๆ ที่แสดงถึงความภักดีในคัมภีร์ไบเบิลนั้นมีอะไรบ้าง?
▫ ซาตานอาจเสนออะไรแก่เราหรือมันอาจพยายามจะทำอะไร?
▫ เราจะเสริมกำลังตัวเองโดยวิธีใด เพื่อจะดำรงคงอยู่อย่างภักดีต่อไปในการนมัสการพระยะโฮวา?