ความชอบธรรมใช่ว่าได้มาโดยประเพณีที่เล่าสืบปาก
“ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกอาลักษณ์และพวกฟาริซาย ท่านจะเข้าในราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ไม่ได้เลย.”—มัดธาย 5:20, ล.ม.
1, 2. เกิดอะไรขึ้นไม่นานก่อนพระเยซูทรงเทศนาบนภูเขา?
คืนนั้นพระเยซูประทับที่ภูเขา. ท้องฟ้าเหนือศีรษะขึ้นไปเกลื่อนด้วยดวงดาว. มีเสียงสัตว์เล็ก ๆ ที่หากินกลางคืนเคลื่อนไหวอยู่ตามพุ่มไม้. ห่างออกไปทางทิศตะวันออก คลื่นในทะเลสาบฆาลิลายซัดฝั่งเป็นระลอก. แต่พระเยซูคงไม่ได้รับรู้สภาพที่สวยงามน่ารื่นรมย์รอบตัวเช่นนั้นเท่าใดนัก. พระองค์ทรงใช้เวลาคืนนั้นอธิษฐานต่อพระยะโฮวาพระบิดาในสวรรค์. พระเยซูประสงค์จะได้รับการทรงนำจากพระบิดา. วันสำคัญกำลังรออยู่เบื้องหน้า.
2 ทางทิศตะวันออกฟ้าสว่างราง ๆ. หมู่วิหคเริ่มโบยบินส่งเสียงร้องเบา ๆ. ดอกไม้ป่าโยกไปมาในสายลม. ขณะแสงตะวันทาบขอบฟ้า พระเยซูได้ตรัสเรียกพวกสาวกมาหาพระองค์และทรงคัดเลือกสิบสองคนจากคนเหล่านั้นให้เป็นอัครสาวกของพระองค์. ครั้นแล้วพระองค์ทรงดำเนินลงจากภูเขาพร้อมกับทุกคนในหมู่นั้น. จากที่นั่นมองเห็นฝูงชนพากันหลั่งไหลมาอยู่ที่นั่นแล้วจากมณฑลฆาลิลาย เมืองตุโรและซีโดน จากแคว้นยูดายและยะรูซาเลม. ผู้คนเหล่านั้นได้มาหาพระองค์เพื่อรักษาโรค. ฤทธิ์อำนาจของพระยะโฮวาได้แผ่ซ่านจากพระกายของพระเยซูขณะที่หลายคนได้เอามือแตะพระองค์แล้วหายป่วย. นอกจากนั้น พวกเขามาที่นั่นเพื่อจะฟังวาทะของพระองค์อันเปรียบเสมือนโอสถบำรุงจิตวิญญาณที่ทุกข์ร้อนให้ชุ่มชื่น.—มัดธาย 4:25; ลูกา 6:12-19.
3. เหตุใดสาวกและฝูงชนจึงต่างก็ตั้งหน้าคอยฟังเมื่อพระเยซูเริ่มตรัส?
3 ระหว่างการสั่งสอนอย่างเป็นทางการของพวกเขานั้น อาจารย์ชาวยิวมักจะนั่งลง และยามเช้าวันนี้ในฤดูใบไม้ผลิปีสากลศักราช 31 พระเยซูได้ทรงทำแบบเดียวกัน ดูเหมือนว่าตรงที่ราบในระดับสูงกว่าบนเชิงเขา. เมื่อบรรดาสาวกและฝูงชนเห็นอย่างนั้น เขาก็เข้าใจได้ว่ากำลังจะมีอะไรเป็นพิเศษ ดังนั้น พวกเขาจึงพากันเข้ามาห้อมล้อมพระองค์ด้วยใจจดจ่อ. ครั้นพระองค์เริ่มต้นบรรยาย ประชาชนตั้งใจฟังคำตรัสของพระองค์ เมื่อพระองค์จบการบรรยายในเวลาต่อมา พวกเขาต่างก็ประหลาดใจในสิ่งที่ตนได้ยินได้ฟัง. ขอให้เราพิจารณาสาเหตุ.—มัดธาย 7:28.
ความชอบธรรมสองประเภท
4. (ก) ความชอบธรรมสองประเภทอะไรบ้างเป็นประเด็น? (ข) อะไรคือจุดประสงค์ของประเพณีที่เล่าสืบปาก และบรรลุความสำเร็จตามจุดประสงค์นั้นไหม?
4 ในคำเทศน์บนภูเขา ดังที่มีบันทึกที่มัดธาย 5:1–7:29 และที่ลูกา 6:17-49 นั้น พระองค์ทรงระบุความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างคนสองจำพวก คือพวกอาลักษณ์และฟาริซายกับสามัญชนที่ถูกกดขี่. พระองค์ตรัสถึงความชอบธรรมสองประเภท คือความชอบธรรมแบบหน้าซื่อใจคดของพวกฟาริซายและความชอบธรรมจริง ๆ ของพระเจ้า. (มัดธาย 5:6, 20) การถือตัวเองเป็นคนชอบธรรมเยี่ยงฟาริซายนั้นได้รับการปลูกฝังด้วยประเพณีที่เล่าสืบปาก. ประเพณีเหล่านี้เริ่มเมื่อสองศตวรรษก่อนสากลศักราช ประหนึ่ง “รั้วกั้นพระบัญญัติ” เพื่อป้องกันการรุกล้ำของวัฒนธรรมกรีก. ในที่สุด ประเพณีที่เล่าสืบปากเหล่านั้นถือกันว่าเป็นส่วนหนึ่งแห่งพระบัญญัติ. อันที่จริง พวกอาลักษณ์ถึงกับยกย่องประเพณีที่เล่าสืบปากยิ่งเสียกว่าพระบัญญัติที่จารึกด้วยซ้ำ. มิชนาห์กล่าวว่า “ควรปฏิบัติตามถ้อยคำของพวกอาลักษณ์ [คำสอนสืบปากของเขา] เข้มงวดกวดขันหนักมือยิ่งกว่าการยึดปฏิบัติตามพระบัญญัติที่จารึกไว้.” ฉะนั้น แทนที่จะเป็น “รั้วกั้นพระบัญญัติ” เพื่อคุ้มครองพระบัญญัติ ประเพณีของเขากลับทำให้พระบัญญัติขาดพลังและเป็นโมฆะ ดังที่พระเยซูตรัสไว้ว่า “เหมาะจริงที่เจ้าได้ละทิ้งข้อบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะได้ถือตามลัทธิคำสอนของตน.”—มาระโก 7:5-9; มัดธาย 15:1-9.
5. (ก) สภาพแวดล้อมของสามัญชนซึ่งเดินทางมาฟังพระเยซูเทศน์นั้นเป็นอย่างไร และพวกเขาเป็นอย่างไรในสายตาของพวกอาลักษณ์และฟาริซาย? (ข) อะไรทำให้ประเพณีที่เล่าสืบปากกลายเป็นภาระหนักกับคนใช้แรงงานทั้งหลาย?
5 สามัญชนที่ได้มาฟังคำสั่งสอนของพระเยซูเป็นเหมือนฝูงแกะอดโซฝ่ายวิญญาณ “ถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง.” (มัดธาย 9:36; ฉบับแปลใหม่) ด้วยความหยิ่งยโส พวกอาลักษณ์และฟาริซายได้เยาะเย้ยคนเหล่านี้ เรียกเขาเป็นอัมฮาอาʹเรทซ์ (พลเมืองสามัญ) และดูถูกเขาเป็นคนโง่ เป็นคนบาปที่ถูกสาป ไม่สมควรกับการกลับเป็นขึ้นจากตายเพราะเหตุที่ไม่รักษาคำสอนสืบปาก. ครั้นมาถึงสมัยของพระเยซู คำสอนสืบปากดังกล่าวได้กลายเป็นหนังสือหลายเล่ม และเป็นหลุมพรางก่อความหนักใจเนื่องด้วยการจับผิดแบบเจ้าถ้อยหมอความ วางภาระด้วยพิธีรีตองต่าง ๆ ซึ่งเปลืองเวลามาก—เหตุนี้จึงไม่มีสามัญชนสามารถปฏิบัติตามธรรมเนียมเช่นนั้นได้. ไม่แปลกเลยที่พระเยซูทรงติเตียนคำสอนสืบปากว่า เป็น ‘ภาระที่ตกหนักอยู่กับมนุษย์.’—มัดธาย 23:4; โยฮัน 7:45-49.
6. อะไรเป็นสิ่งแปลกน่าทึ่งมากเกี่ยวกับคำพูดของพระเยซูในตอนเริ่มต้น และคำขึ้นต้นเหล่านั้นระบุการเปลี่ยนอย่างไรสำหรับสาวกของพระองค์ และสำหรับพวกอาลักษณ์และฟาริซาย?
6 ฉะนั้น เมื่อพระเยซูทรงประทับบนเนินเขาแล้ว พวกที่เข้าไปฟังใกล้ ๆ ได้แก่สาวกของพระองค์และฝูงชนที่หิวกระหายฝ่ายวิญญาณ. คนเหล่านี้ต้องได้ประสบว่าถ้อยแถลงของพระองค์ตอนขึ้นต้นนั้นน่าประหลาดใจเสียจริง ๆ ที่ว่า ‘ความสุขมีแก่คนจน คนหิวกระหาย คนที่ร้องไห้ คนซึ่งเป็นที่เกลียดชัง.’ แต่บุคคลเหล่านี้จะมีความสุขได้อย่างไรในเมื่อเขายากจน หิว ร้องไห้โศกเศร้า และเป็นที่เกลียดชัง? และพระองค์ประกาศว่าวิบัติจะมีแก่คนมั่งมี คนอิ่มหนำ คนที่หัวเราะ และได้รับการยกย่อง! (ลูกา 6:20-26) เพียงคำพูดไม่กี่ประโยค พระเยซูได้เปลี่ยนค่านิยมทุกอย่างซึ่งถือเป็นธรรมเนียมและมาตรฐานของมนุษย์อันเป็นที่ยอมรับกัน. นับว่าเป็นการเปลี่ยนฐานะชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ดังคำตรัสของพระเยซูในเวลาต่อมาที่ว่า “ทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ได้ถ่อมตัวลงจะต้องถูกยกขึ้น.”—ลูกา 18:9-14.
7. คำกล่าวของพระเยซูตอนเริ่มต้นคงต้องมีผลกระทบเช่นไรต่อฝูงชนที่ขัดสนฝ่ายวิญญาณซึ่งเข้ามาฟังพระเยซู?
7 เมื่อเทียบกับพวกอาลักษณ์และฟาริซายซึ่งพอใจตัวเอง คนที่ได้มาหาพระเยซูในเช้าวันนั้นเป็นพวกที่รู้ฐานะฝ่ายวิญญาณอันน่าหดหู่ใจของตน. คำพูดขึ้นต้นที่พระองค์ได้ตรัสนั้นคงทำให้พวกเขาเกิดความหวัง เช่น “ความสุขย่อมมีแก่ผู้ที่รู้สำนึกถึงความขาดแคลนฝ่ายวิญญาณของตน เนื่องจากอาณาจักรฝ่ายสวรรค์เป็นของเขาแล้ว.” และจิตใจของเขาคงต้องแช่มชื่นทันที เมื่อพระองค์ตรัสต่อไปว่า “บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรมก็เป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้อิ่มบริบูรณ์”! (มัดธาย 5:3, 6, ล.ม.; โยฮัน 6:35; วิวรณ์ 7:16, 17) จริง เขาบริบูรณ์ด้วยความชอบธรรม แต่ไม่ใช่ความชอบธรรมแบบฟาริซาย.
เป็น “คนชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์” ไม่พอ
8. ทำไมบางคนคงนึกสงสัยว่าความชอบธรรมของตนจะมากกว่าความชอบธรรมของพวกอาลักษณ์และฟาริซายได้อย่างไร แต่ทว่าทำไมต้องเป็นเช่นนั้น?
8 พระเยซูได้ตรัสดังนี้ “ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกอาลักษณ์และพวกฟาริซาย ท่านจะเข้าในเมืองสวรรค์ไม่ได้.” (มัดธาย 5:17-20; ดูที่มาระโก 2:23-28; 3:1-6; 7:1-13.) บางคนคงคิดทำนองนี้ ‘ชอบธรรมยิ่งกว่าพวกฟาริซายหรือ? พวกเขาถือศีลอดอาหาร อธิษฐานและถวายส่วนสิบชักหนึ่ง ให้ทาน และศึกษาข้อบัญญัติต่าง ๆ ตลอดชีวิต. ความชอบธรรมของเราจะยิ่งกว่าของคนเหล่านั้นได้อย่างไร?’ แต่ความชอบธรรมต้องมีมากกว่านั้น. พวกฟาริซายอาจได้รับคำยกย่องนับถืออย่างสูงจากมนุษย์ แต่ไม่ใช่จากพระเจ้า. ในอีกโอกาสหนึ่งพระเยซูตรัสแก่เหล่าฟาริซายว่า “เจ้าทั้งหลายกระทำทีดูเป็นคนสัตย์ซื่อต่อหน้ามนุษย์ แต่พระเจ้าทรงทราบใจของเจ้าทั้งหลาย ด้วยว่าซึ่งเป็นที่นับถือมากท่ามกลางมนุษย์ แต่ยังเป็นที่เกลียดชังจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า.”—ลูกา 16:15.
9-11. (ก) พวกอาลักษณ์และฟาริซายคิดว่าอะไรเป็นวิธีหนึ่งซึ่งจะทำให้เขาอยู่ในฐานะชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า? (ข) วิธีการที่สองได้แก่อะไรซึ่งเขาคาดหมายจะได้ความชอบธรรม? (ข) เขารับเอาวิธีการอะไรเป็นอันดับสาม และเปาโลบอกไว้อย่างไรซึ่งแสดงว่าวิธีนี้ไม่มีผลอย่างแน่นอน?
9 อาจารย์สอนศาสนายิวได้คิดกฎเกณฑ์ขึ้นมาเองเพื่อได้มาซึ่งความชอบธรรม. อย่างหนึ่งคือเพราะเป็นเชื้อสายของอับราฮาม อย่างที่ว่า “ศิษย์ของอับราฮามบรรพบุรุษของเราได้เปรียบในโลกนี้ทั้งยังจะได้โลกซึ่งในวันข้างหน้านั้นเป็นมรดก.” (มิชนาห์) เป็นไปได้ที่โยฮันผู้ให้บัพติสมาคงต้องการต้านทานธรรมเนียมนี้ ท่านจึงตักเตือนพวกฟาริซายที่ได้ออกมาพบท่านว่า “จงประพฤติให้สมกับใจซึ่งกลับเสียใหม่ อย่านึกในใจว่าตัวมีอับราฮามเป็นบิดา [เสมือนว่านั้นก็พอ].’”—มัดธาย 3:7-9; อ่านโยฮัน 8:33, 39 ด้วย.
10 วิธีการที่สองเพื่อได้มาซึ่งความชอบธรรม เขาบอกว่า โดยการทำทาน. หนังสือสองเล่มที่เขียนโดยคนยิวที่เคร่งศาสนาในช่วงสองศตวรรษก่อนสากลศักราชแต่ไม่ได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้า สะท้อนทัศนะตามประเพณีนิยม. ข้อความตอนหนึ่งปรากฏในหนังสือโทบิทดังนี้: “การให้ทานช่วยคนเราพ้นความตายและชำระบาปทุกอย่าง.” (12:9, เดอะ นิว อเมริกัน ไบเบิล) หนังสือซิรัคลงรอยกันที่ว่า “น้ำดับไฟที่ลุกไหม้ และการให้ทานก็ลบล้างบาป.”—3:29, นิว อเมริกัน ไบเบิล.
11 วิธีการที่สามที่เขาแสวงความชอบธรรมก็โดยการประพฤติตามพระบัญญัติ. ประเพณีของเขาที่เล่าสืบปากนั้นสอนว่าถ้าการกระทำของคนเราถูกต้องดีงามเป็นส่วนใหญ่ เขาจะได้รับความรอด. การตัดสิน “เป็นไปโดยอาศัยการประพฤติดีหรือชั่วว่าอย่างไหนมากกว่า.” (มิชนาห์) เพื่อที่จะถูกพิพากษารวมอยู่ในกลุ่มที่ได้รับความโปรดปราน ความห่วงใยของเขาคือ “จะบรรลุคุณงามความดีซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าบาป.” ถ้าการงานที่ดีของคนเรามีมากกว่าการชั่วหนึ่งราย เขาก็จะรอด—ประหนึ่งพระเจ้าทรงตัดสินโดยนับกิจกรรมต่าง ๆ เล็ก ๆ น้อยที่เขากระทำไว้! (มัดธาย 23:23, 24) โดยการเสนอแง่คิดอย่างถูกต้อง อัครสาวกเปาโลได้เขียนดังนี้: “ผู้หนึ่งผู้ใดจะเป็นคนชอบธรรมจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าโดยการประพฤติตามพระบัญญัติก็หามิได้.” (โรม 3:20) เป็นที่แน่นอนว่า ความชอบธรรมของคริสเตียนต้องมีมากยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกอาลักษณ์และฟาริซาย!
“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า”
12. (ก) ในคำเทศน์บนภูเขา พระเยซูทรงเปลี่ยนวิธีการอ้างอิงตามปกติจากคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูเป็นแบบไหน และเพราะเหตุใด? (ข) เราเรียนอะไรจากคำกล่าวครั้งที่หกที่ว่า “คำซึ่งกล่าวไว้ว่า”?
12 ตอนที่พระเยซูทรงยกข้อความจากคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูขึ้นมาก่อนหน้านั้น พระองค์ตรัสว่า “มีคำเขียนไว้ว่า.” (มัดธาย 4:4, 7, 10) แต่หกครั้งในคำเทศน์บนภูเขา พระองค์ทรงกล่าวแนะนำซึ่งฟังดูแล้วคล้ายกันกับข้อความจากคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูโดยถ้อยคำที่ว่า “คำซึ่งกล่าวไว้ว่า.” (มัดธาย 5:21, 27, 31, 33, 38, 43) ทำไม? เพราะพระองค์ทรงกล่าวอ้างอิงถึงข้อคัมภีร์ซึ่งตีความโดยอาศัยประเพณีของพวกฟาริซายซึ่งขัดแย้งกับพระบัญญัติของพระเจ้า. (พระบัญญัติ 4:2; มัดธาย 15:3) ข้อนี้เห็นได้ชัดเจนในการอ้างอิงครั้งที่หกและสุดท้ายในชุดนี้ที่ว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘จงรักคนสนิทและเกลียดชังศัตรู.’” แต่ไม่มีบัญญัติของโมเซข้อใดที่บอกว่า “จงเกลียดชังศัตรู.” พวกอาลักษณ์และฟาริซายต่างหากที่พูดเช่นนี้. นั้นเป็นวิธีที่เขาดีความพระบัญญัติที่ให้รักเพื่อนบ้าน—คือเพื่อนบ้านชาวยิวไม่ใช่ชนชาติอื่น.
13. พระเยซูทรงเตือนสติให้ระวังกระทั่งการประพฤติขั้นแรกที่อาจนำไปถึงการฆ่าคนจริง ๆ นั้นอย่างไร?
13 บัดนี้ จงพิจารณาถ้อยแถลงแรกสุดในหกครั้ง. พระเยซูทรงแถลงว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนในครั้งโบราณว่า ‘อย่าฆ่าคน ถ้าผู้ใดฆ่าคน ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษ.’ ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดโกรธพี่น้องของตน ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษ.” (มัดธาย 5:21, 22) ความโกรธที่เก็บไว้ในหัวใจอาจทำให้ผู้นั้นพูดหยาบคายแล้วหลังจากนั้นก็นำไปสู่การปรับโทษฐานพูดให้ร้าย แล้วในที่สุดอาจจะถึงกับฆ่าคนก็ได้. ความโกรธที่สุมอยู่ในหัวใจนาน ๆ อาจเป็นอันตรายร้ายกาจ ดังคำกล่าวที่ว่า “ผู้หนึ่งผู้ใดที่เกลียดชังพี่น้องของตนย่อมเป็นผู้ฆ่าคน.”—1 โยฮัน 3:15.
14. พระเยซูทรงแนะนำเราอย่างไรเพื่อจะไม่เริ่มเดินทางไปสู่การผิดประเวณี?
14 ครั้นแล้วพระเยซูทรงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมีย.’ ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดแลดูผู้หญิงด้วยใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว.” (มัดธาย 5:27, 28) คุณจะไม่ทำการล่วงประเวณีใช่ไหม? ฉะนั้น อย่าเริ่มต้นก้าวไปในทางนั้นโดยครุ่นคิดเกี่ยวกับการผิดประเวณี. จงเฝ้ารักษาหัวใจของคุณ เนื่องจากการต่าง ๆ เช่นนั้นมีแหล่งกำเนิดที่นั่น. (สุภาษิต 4:23; มัดธาย 15:18, 19) ยาโกโบ 1:14, 15 เตือนไว้ว่า “แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อลวงเมื่อตัณหาของตัวชักนำตนให้กระทำผิดแล้วตัวก็กระทำตาม. ครั้นตัณหาได้ปฏิสนธิแล้วจึงเกิดความผิด และความผิดนั้นเมื่อโตเต็มขนาดแล้วจึงเกิดความตาย.” บางครั้งคนเราพูดว่า ‘อย่าเริ่มต้นกับสิ่งที่คุณไม่สามารถทำให้เสร็จ’ แต่ในกรณีนี้เราน่าจะพูดว่า ‘อย่าเริ่มต้นกับสิ่งซึ่งคุณเลิกไม่ได้.’ บางคนเคยเป็นคนสัตย์ซื่อแม้กระทั่งถูกขู่ขวัญเอาชีวิตด้วยซ้ำต่อหน้าหมู่ทหารที่พร้อมจะยิง แต่ในเวลาต่อมาตกเป็นเหยื่อของการประพฤติผิดศีลธรรมทางเพศ.
15. จุดยืนของพระเยซูในเรื่องการหย่าต่างไปจากที่มีกล่าวกันตามประเพณีที่เล่าสืบปากของคนยิวโดยสิ้นเชิงนั้นอย่างไร?
15 ตอนนี้เรามาถึงคำกล่าวครั้งที่สามของพระเยซู. พระองค์ตรัสว่า “ยังมีคำกล่าวไว้ว่า ‘ถ้าผู้ใดจะหย่าภรรยาก็ให้ทำหนังสือหย่าภรรยานั้น.’ ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดจะหย่าภรรยาเพราะเหตุอื่น นอกจากการเล่นชู้ ผู้นั้นก็ทำให้หญิงนั้นผิดประเวณี และถ้าผู้ใดจะรับหญิงซึ่งหย่าแล้วมาเป็นภรรยา [กล่าวคือหย่าด้วยสาเหตุอื่น ไม่ใช่เพราะทำผิดศีลธรรมทางเพศ] ผู้นั้นก็ผิดประเวณีด้วย.” (มัดธาย 5:31, 32) ชายยิวบางคนหาเรื่องหย่าภรรยาของตนอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมโดยอ้างเหตุผลไม่เข้ารูปเข้ารอย. (มาลาคี 2:13-16; มัดธาย 19:3-9) ประเพณีสืบปากอนุญาตให้ผู้ชายหย่าภรรยาของตนได้ถ้า “เธอทำอาหารไม่ถูกปากสามี” หรือ “ถ้าสามีพบผู้หญิงอื่นที่น่ารักกว่าภรรยาของตน.”—มิชนาห์.
16. กิจปฏิบัติแบบไหนของคนยิวทำให้คำสาบานของเขาไร้ความหมาย และพระเยซูทรงมีจุดยืนอย่างไร?
16 พระเยซูตรัสต่อไปในแนวที่คล้ายกันว่า “อีกประการหนึ่ง ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนในครั้งโบราณว่า ‘อย่าทวนสบถ แต่จงประพฤติตามที่ท่านสาบานไว้ต่อพระเจ้า.’ . . . ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย.” ในตอนนั้นชาวยิวนิยมการสบถสาบานกันอย่างผิด ๆ และกล่าวคำสาบานตนเกี่ยวด้วยสิ่งที่ไม่เป็นสาระและไม่ปฏิบัติตามสาบาน. แต่พระเยซูตรัสว่า “อย่าสาบานเลย . . . แต่ให้ถ้อยคำของท่านเป็นคำตรงเถิด จริง ก็ว่าจริงไม่ ก็ว่าไม่.” พระองค์ทรงวางกฎง่าย ๆ คือเป็นคนซื่อตรงเสมอ ไม่จำเป็นต้องสาบานเพื่อรับรองคำพูดของคุณ. สงวนคำสาบานไว้ใช้กับเรื่องสำคัญ.—มัดธาย 5:33-37; เทียบกับบท 23:16-22.
17. พระเยซูทรงสอนว่าวิธีใดที่ดีกว่า “ตาแทนตา ฟันแทนฟัน”?
17 ต่อจากนั้น พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ตาแทนตา ฟันแทนฟัน.’ ส่วนเราบอกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว แต่ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่านให้หันแก้มซ้ายให้เขาด้วย.” (มัดธาย 5:38-42) ข้อนี้พระเยซูไม่ได้อ้างอิงถึงการตบตีด้วยเจตนาจะทำร้าย แต่เป็นการใช้หลังมือตบหน้าซึ่งแสดงการหมิ่นประมาทผู้นั้น. คุณก็อย่าลดค่าตัวเองโดยถือว่าถึงทีของเราจะดูถูกเขาบ้าง. จงอย่ายอมทำชั่วตอบแทนชั่ว. แต่จงทำดีต่อเขาและด้วยวิธีนั้นคุณก็ได้ระงับความชั่วด้วยความดี.”—โรม 12:17-21.
18. (ก) ชาวยิวได้เปลี่ยนพระบัญญัติว่าด้วยการรักเพื่อนบ้านนั้นอย่างไร และพระเยซูทรงหักล้างเรื่องนี้อย่างไร? (ข) พระเยซูได้ทรงตอบนักกฎหมายอย่างไรผู้ซึ่งต้องการจำกัดความหมายของคำ “เพื่อนบ้าน”?
18 สำหรับตัวอย่างที่หกและเป็นตัวอย่างสุดท้าย พระเยซูทรงชี้ให้เห็นชัดแจ้งวิธีที่พระบัญญัติของโมเซหย่อนพลังไปนั้นก็เพราะประเพณีของอาจารย์ชาวยิว โดยตรัสว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘จงรักเพื่อนบ้านและเกลียดชังศัตรู.’ ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูต่อ ๆ ไป และอธิษฐานเผื่อคนเหล่านั้นซึ่งกดขี่ข่มเหงท่านทั้งหลาย.” (มัดธาย 5:43, 44, ล.ม.) พระบัญญัติของโมเซไม่ได้จำกัดความรัก: “เจ้าต้องรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง.” (เลวีติโก 19:18) พวกฟาริซายนั้นแหละคัดค้านบัญญัติข้อนี้ และเพื่อหลบเลี่ยงบัญญัตินั้นเขาได้จำกัดความหมาย “เพื่อนบ้าน” เฉพาะกับผู้ที่ยึดถือขนบธรรมเนียม. ดังนั้น ในเวลาต่อมาเมื่อพระเยซูทรงเตือนนักกฎหมายคนหนึ่งให้คำนึงถึงคำสั่งที่ให้ ‘รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง’ ชายผู้นั้นย้อมถามว่า “ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า?” พระเยซูตอบเขาโดยการยกอุทาหรณ์เรื่องชาวซะมาเรียผู้มีน้ำใจ—จงแสดงตัวเป็นเพื่อนบ้านที่ดีแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ.—ลูกา 10:25-37.
19. วิธีดำเนินการอะไรของพระยะโฮวาต่อคนชั่วซึ่งพระเยซูทรงแนะนำเราให้ทำตาม?
19 ขณะที่พระเยซูดำเนินการเทศนาต่อไป พระองค์ทรงประกาศว่า ‘พระเจ้าได้สำแดงความรักต่อคนชั่ว. พระองค์ทรงบันดาลให้ดวงอาทิตย์ส่องสว่างและให้ฝนตกลงมาให้เขา ไม่มีอะไรแปลกเป็นพิเศษในการรักคนที่รักเรา. คนชั่วก็ทำอย่างนั้น. ไม่มีเหตุผลที่จะรับบำเหน็จในการทำเช่นนั้น. จงพิสูจน์ตัวเองเป็นบุตรของพระเจ้า. จงเลียนแบบพระองค์. แสดงตัวเป็นเพื่อนบ้านต่อคนทั้งปวงและรักเพื่อนบ้าน. ด้วยเหตุนี้ คุณก็ “เป็นคนดีพร้อมไม่มีที่ตำหนิ เหมือนพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ซึ่งดีพร้อมทุกประการ.” (มัดธาย 5:45-48, ล.ม.) ช่างเป็นมาตรฐานที่ท้าทายพวกเราเสียจริงเพื่อจะทำได้ขนาดนั้น! และแสดงให้เห็นว่า ความชอบธรรมของพวกอาลักษณ์และฟาริซายนั้นไม่ได้มาตรฐานเลย!
20. แทนที่จะเพิกถอนพระบัญญัติของโมเซ พระเยซูทรงทำอย่างไรเพื่อความสำคัญนั้นจะชัดเจนและลึกซึ้งยิ่งขึ้น และยังตั้งพระบัญญัตินั้นไว้ในระดับสูงกว่า?
20 ดังนั้น เมื่อพระเยซูทรงอ้างถึงพระบัญญัติบางข้อ แล้วตรัสเพิ่มว่า “ฝ่ายเราบอกท่านว่า “พระองค์หาได้แยกพระบัญญัติของโมเซไว้ต่างหากแล้วนำเอาสิ่งอื่นเข้ามาแทนไม่. เปล่าเลย แต่พระองค์ทรงเจาะลึกและขยายความสำคัญของข้อบัญญัติให้ชัดเจนโดยการชี้ถึงเจตนารมณ์ที่อยู่เบื้องหลัง. บัญญัติที่สูงส่งกว่าว่าด้วยความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องตำหนิการมีเจตนาร้ายอยู่เรื่อยไปว่าเป็นการฆ่าคน. บัญญัติที่สูงส่งกว่าว่าด้วยความบริสุทธิ์นั้นตำหนิความคิดที่หมกมุ่นในกามราคะว่าเป็นการล่วงประเวณี. บัญญัติที่สูงส่งกว่าว่าด้วยการสมรสต่อต้านการหย่าร้างด้วยเรื่องหยุมหยิมว่าเป็นแนวทางที่นำไปสู่การแต่งงานใหม่อย่างที่เป็นการผิดประเวณี. บัญญัติที่สูงส่งกว่าว่าด้วยความสัตย์จริงชี้ให้เห็นว่าไม่จำเป็นต้องสาบานซ้ำซาก. บัญญัติที่สูงส่งกว่าว่าด้วยความอ่อนสุภาพจะทำให้ไม่คิดพยาบาทแก้แค้น. บัญญัติที่สูงส่งกว่าว่าด้วยความรักเรียกร้องความรักแบบเลื่อมใสในพระเจ้าซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด.
21. คำตักเตือนของพระเยซูเผยให้เห็นสิ่งใดเกี่ยวด้วยการถือตัวเป็นคนชอบธรรมตามแบบอาจารย์สอนศาสนาของชาวยิว และประชาชนจะได้เรียนรู้อะไรอีก?
21 คำแนะนำซึ่งไม่เคยรู้กันมาก่อนเช่นนั้นคงต้องส่งผลกระทบอย่างล้ำลึกต่อผู้คนเหล่านั้นที่ได้ยินได้ฟังเป็นครั้งแรก! คำแนะนำทำให้ความชอบธรรมซึ่งอาศัยการยอมทำตามธรรมเนียมของหัวหน้าศาสนายิวที่หน้าซื่อใจคดไร้คุณค่าอย่างสิ้นเชิงเพียงไร! แต่ขณะที่พระเยซูยังทรงเทศนาบนภูเขาต่อไป ฝูงชนผู้หิวกระหายความชอบธรรมของพระเจ้าจะได้เรียนรู้เจาะจงไปว่า ทำอย่างไรจึงจะบรรลุความชอบธรรมนั้น. บทความถัดไปจะเปิดเผยให้ทราบ.
คำถามทบทวน
▫ ทำไมชาวยิวจึงได้ตั้งประเพณีที่เล่าสืบปากขึ้นมา?
▫ พระเยซูทรงเปลี่ยนแปลงอะไรขนาดใหญ่เกี่ยวกับพวกอาลักษณ์และฟาริซาย และสามัญชน?
▫ พวกอาลักษณ์และฟาริซายคาดหมายจะอยู่ในฐานะชอบธรรมกับพระเจ้าโดยวิธีใด?
▫ พระเยซูทรงแนะนำวิธีการอะไรเพื่อหลีกเลี่ยงการผิดศีลธรรมทางเพศ และการล่วงประเวณี?
▫ โดยแสดงถึงเจตนารมณ์ของพระบัญญัติของโมเซ พระเยซูทรงวางมาตรฐานอะไรที่สูงกว่า?