จงเป็นผู้ปฏิบัติตามพระคำไม่เป็นเพียงผู้ฟังเท่านั้น
“มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าในราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้.”—มัดธาย 7:21, ล.ม.
1. สาวกของพระเยซูยังคงจะกระทำอะไรต่อไป?
จงขอต่อ ๆ ไป. จงหาต่อ ๆ ไป. จงเคาะต่อ ๆ ไป. จงพากเพียรในการอธิษฐาน การศึกษาและการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเยซูดังบันทึกไว้ในคำเทศน์บนภูเขา. พระเยซูทรงตรัสแก่บรรดาสาวกของพระองค์ว่าเขาเป็นเกลือแห่งแผ่นดินโลก พร้อมด้วยข่าวสารที่ปรุงด้วยเกลือซึ่งช่วยป้องกันรักษาซึ่งเขาไม่ควรปล่อยไว้ให้จืดชืด ทำให้ขาดรสชาติหรือพลังที่จะรักษาให้คงอยู่. เขาเป็นความสว่างของโลก สะท้อนแสงสว่างจากพระเยซูคริสต์และพระยะโฮวาพระเจ้า ไม่เพียงแต่สิ่งที่เขาพูด ทว่าโดยสิ่งที่เขาทำด้วย. การงานอันดีของเขาส่องแสงมากพอ ๆ กันกับคำพูดที่ประเทืองปัญญา—และอาจพูดดังกว่าด้วยซ้ำในโลกซึ่งเคยชินกับความหน้าซื่อใจคดแบบฟาริซาย ไม่ว่าในหมู่ผู้นำฝ่ายศาสนาและการเมือง ซึ่งดีแต่พูดและไม่ค่อยทำ.—มัดธาย 5:13-16.
2. ยาโกโบให้คำแนะนำในเรื่องใด แต่บางคนได้รับเอาท่าทีอะไรอย่างผิด ๆ ซึ่งให้ความสะดวกสบายแก่ตัวเอง?
2 สาวกยาโกโบตักเตือนดังนี้ “จงเป็นผู้ปฏิบัติตามพระคำ และไม่ใช่เป็นเพียงแต่ผู้ฟังเท่านั้น โดยหลอกตัวเองด้วยการคิดหาเหตุผลผิด ๆ.” (ยาโกโบ 1:22, ล.ม.) หลายคนหลอกตัวเองด้วยคำสอนที่ว่า ‘รอดครั้งเดียวรอดตลอดไป’ เสมือนกับว่าตอนนี้เขาวางมือพักผ่อนแล้วรอบำเหน็จฝ่ายสวรรค์ที่ตนนึกหวังเอาไว้. นั้นคือคำสอนเท็จและความหวังที่เลื่อนลอย. พระเยซูตรัสว่า “ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอด.” (มัดธาย 24:13) ที่จะบรรลุชีวิตนิรันดร์คุณต้อง “พิสูจน์ตนซื่อสัตย์ตราบเท่าวันตาย.”—วิวรณ์ 2:10; เฮ็บราย 6:4-6; 10:26, 27.
3. เกี่ยวกับการพิพากษาคนอื่นนั้น พระเยซูทรงให้คำแนะนำต่อไปอีกเช่นไรในคำเทศน์บนภูเขา?
3 ขณะที่พระเยซูยังคงดำเนินคำเทศน์บนภูเขาต่อไป คำสั่งสอนก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นซึ่งคริสเตียนต้องพยายามติดตาม. ข้อหนึ่งซึ่งดูเหมือนง่าย แต่เป็นการตำหนิแนวโน้มอย่างหนึ่งซึ่งยากที่จะขจัดได้ ที่ว่า “อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อเขาจะไม่กล่าวโทษท่าน เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร เขาจะกล่าวโทษท่านอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด เขาจะตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น. เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนมีอยู่ที่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก? หรือเหตุไฉนท่านจะว่าแก่พี่น้องว่า ‘ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของท่าน’ แต่ที่จริง ไม้ทั้งท่อนมีอยู่ที่ในตาของท่านเอง? เจ้าคนหน้าซื่อใจคด! จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของเจ้าก่อน แล้วเจ้าจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของเจ้าได้.”—มัดธาย 7:1-5.
4. บันทึกของลูกาได้ให้คำแนะนำอะไรเพิ่มเติม และการปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ยังผลประการใด?
4 ตามบันทึกของลูกาว่าด้วยคำเทศน์บนภูเขานั้น พระเยซูกำชับผู้ฟังของพระองค์มิให้มองหาความผิดคนอื่น. แต่เขาพึง “ยกโทษคนอื่นเสมอ” หมายถึงให้อภัยความผิดพลาดของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน. ทั้งนี้จะทำให้คนอื่นตอบรับทำนองเดียวกันดังที่พระเยซูตรัสว่า “จงแจกปันให้เขา และเขาจะแจกปันให้ท่านด้วย. เขาจะตวงด้วยทะนานถ้วนยัดสั่นแน่นพูนล้นใส่ในตักของท่าน. เพราะว่าท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด เขาจะตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น.”—ลูกา 6:37, 38.
5. เหตุใดการมองเห็นความผิดของคนอื่นจึงง่ายกว่าเห็นความผิดของตัวเอง?
5 ในระหว่างศตวรรษแรกสากลศักราช เพราะเหตุที่มีประเพณีที่เล่าสืบปาก พวกฟาริซายทั่ว ๆ ไปมักจะตัดสินคนอื่น ๆ อย่างไม่ปรานี. คนที่ฟังพระเยซูไม่ว่าใครก็ตามถ้ามีนิสัยอย่างนั้นจะต้องเลิก. การมองเห็นผงในตาของคนอื่นนั้นง่ายกว่าเห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของตัวเอง—และทำให้เราภูมิใจในตัวเองมากกว่า! ดังที่ชายคนหนึ่งพูดว่า “ผมชอบวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเพราะมันทำให้ผมสบายใจ!” นิสัยตำหนิติเตียนคนอื่นอาจก่อความรู้สึกว่าเรามีคุณความดีซึ่งดูเหมือนทดแทนความผิดพลาดของตัวเองซึ่งอยากจะเก็บซ่อนไว้. แต่เมื่อจำเป็นต้องให้คำแนะนำ ก็ควรให้ด้วยน้ำใจอ่อนโยน. บุคคลซึ่งให้คำแนะนำแก้ไขจึงควรเป็นผู้ที่ตระหนักดีถึงความบกพร่องของตัวเอง.—ฆะลาเตีย 6:1.
ก่อนตัดสินผู้อื่น จงพยายามเข้าใจ
6. เมื่อจำเป็นที่เราจะวิพากษ์วิจารณ์ ควรยึดหลักอะไร และเราควรแสวงหาการช่วยเหลือจากที่ไหนเพื่อจะไม่เป็นการติเตียนมากเกินไป?
6 พระเยซูเข้ามาในโลกมิใช่เพื่อพิพากษาแต่เพื่อช่วยให้รอด. การวินิจฉัยตัดสินโดยที่พระองค์กระทำไปนั้นไม่ได้กระทำโดยลำพังพระองค์เอง แต่โดยอาศัยถ้อยคำที่พระเจ้าทรงโปรดแก่พระองค์. (โยฮัน 12:47-50) การตัดสินใด ๆ ที่เราทำลงไปก็เช่นกันควรให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระยะโฮวา. เราต้องกำจัดแนวโน้มของมนุษย์ที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์. ในการทำเช่นนี้ เราควรอธิษฐานอยู่เรื่อย ๆ เพื่อรับการช่วยเหลือจากพระยะโฮวา ดังที่ว่า“จงขอต่อ ๆ ไป แล้วท่านทั้งหลายจะได้รับ จงหาต่อ ๆ ไป แล้วท่านจะพบ จงเคาะต่อ ๆ ไป แล้วจะเปิดให้แก่ท่าน. ด้วยว่าทุกคนที่ขอจะได้ และทุกคนที่แสวงหาจะพบ และจะมีการเปิดให้แก่ทุกคนที่เคาะ.” (มัดธาย 7:7, 8, ล.ม.) พระเยซูเองยังตรัสว่า “เราจะกระทำสิ่งใดด้วยความริเริ่มของเราเองไม่ได้ เราได้ยินอย่างไร เราก็พิพากษาอย่างนั้น และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเรามิได้มุ่งจะทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่ตามความประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา.”—โยฮัน 5:30, ล.ม.
7. เราควรเพาะนิสัยแบบไหนซึ่งจะช่วยเราปฏิบัติตามกฎทอง?
7 เราควรเพาะนิสัย ไม่ใช่พิพากษาคนอื่น แต่เข้าใจเขา โดยคำนึงถึงอกเขาอกเรา—ไม่ใช่ว่าทำได้ง่าย ๆ แต่ทว่าเป็นสิ่งจำเป็นหากเราจะยึดอยู่กับกฎทอง ซึ่งพระเยซูทรงแถลงต่อไปว่า “เหตุฉะนั้น สิ่งสารพัดซึ่งท่านปรารถนาให้มนุษย์ทำแก่ท่าน จงกระทำอย่างนั้นแก่เขาเหมือนกัน เพราะว่าพระบัญญัติและคำของศาสดาพยากรณ์สอนดังนั้น.” (มัดธาย 7:12) ฉะนั้น สาวกของพระเยซูต้องไหวทันและหยั่งเห็นเข้าใจสภาพทางจิตใจ อารมณ์และฝ่ายวิญญาณของผู้อื่น. คริสเตียนต้องสำเหนียกและเข้าใจความต้องการของผู้อื่น และแสดงความสนใจที่จะช่วยเขาเป็นส่วนตัว. (ฟิลิปปอย 2:2-4) หลายปีต่อมา เปาโลเขียนอย่างนี้ “เพราะว่าพระบัญญัติทั้งสิ้นสำเร็จครบถ้วนในคำเดียว คือว่า ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง.”—ฆะลาเตีย 5:14.
8. พระเยซูกล่าวถึงทางสองเส้นอะไรบ้าง และทำไมทางเส้นหนึ่งจึงมีคนส่วนใหญ่เลือกเดินทางนั้น?
8 ต่อจากนั้น พระเยซูตรัสว่า “จงเข้าไปทางประตูคับแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก เพราะว่าประตูคับและทางแคบซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็มีผู้พบปะน้อย.” (มัดธาย 7:13, 14) หลายคนในสมัยนั้นพอใจเดินในทางที่นำไปสู่ความพินาศ และเวลานี้ผู้คนอีกมากมายยังพอใจทำเช่นนั้นอยู่. ทางกว้างเปิดทางให้ผู้คนคิดนึกตามความพอใจของตัวเอง และดำรงชีวิตตามที่ตนชอบ: ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีเงื่อนไข เป็นแบบชีวิตที่ไปเรื่อย ๆ ทุกสิ่งง่าย ๆ. ไม่ส่อเลยว่าเขา “เร่งรีบเข้าไปทางประตูคับแคบ”!—ลูกา 13:24.
9. ที่จะเดินไปทางแคบต้องทำประการใด และพระเยซูทรงให้คำเตือนอะไรแก่คนที่เดินในทางนี้?
9 แต่ประตูคับแคบต่างหากที่เปิดไปสู่ทางที่จะได้ชีวิตนิรันดร์. นี้เป็นแนวทางที่เรียกร้องเอาการควบคุมตัวเอง ทั้งอาจรวมเอาการตีสอนซึ่งจะคอยลองดูเจตนาของคุณและทดสอบคุณภาพแห่งการอุทิศตัวของคุณ. เมื่อประสบการกดขี่ข่มเหง ตอนนั้นเส้นทางไม่ราบรื่นและจะต้องมีความอดทน. พระเยซูทรงเตือนผู้ที่เดินทางในทางนี้ว่า “จงระวังผู้พยากรณ์เท็จที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ แต่ภายในเขาร้ายกาจดุจสุนัขป่า.” (มัดธาย 7:15) คำพรรณนาอย่างนี้ใช้กับพวกฟาริซายได้อย่างเหมาะเจาะ. (มัดธาย 23:27, 28) พวกเขา “นั่งบนที่นั่งของโมเซ” คืออ้างว่าพูดแทนพระเจ้าในขณะที่ติดตามประเพณีของมนุษย์.—มัดธาย 23:2.
วิธีที่พวกฟาริซาย “ปิดเมืองสวรรค์”
10. พวกอาลักษณ์และฟาริซายพยายาม ‘ปิดประตูแห่งราชอาณาจักรไว้จากมนุษย์’ โดยวิธีใด?
10 ยิ่งกว่านั้น นักศาสนาชาวยิวพยายามหาช่องทางขัดขวางคนเหล่านั้นที่กำลังพยายามจะเข้าไปทางประตูคับแคบ. “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกอาลักษณ์และพวกฟาริซาย คนหน้าซื่อใจคด! เพราะเจ้าปิดเมืองสวรรค์ไว้จากมนุษย์ ถึงแม้เจ้าเองเจ้าก็ไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไปพวกเจ้าก็ขัดขวางไว้.” (มัดธาย 23:13) วิธีการของฟาริซายเป็นดังที่พระเยซูได้เตือนไว้ล่วงหน้าว่า เขา “จะเหยียดชื่อของท่าน [สาวกของพระองค์] ว่าเป็นคนชั่วช้า เพราะท่านเห็นแก่บุตรมนุษย์.” (ลูกา 6:22) เพราะเหตุที่ชายผู้นั้นที่ตาบอดแต่กำเนิดและได้รับการรักษาโดยพระเยซู ได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นมาซีฮา จึงถูกพวกนั้นขับไล่ออกจากธรรมศาลา. บิดามารดาของชายนั้นไม่ปริปรากตอบข้อซักถามเลย เพราะเกรงว่าจะโดนไล่ออกจากธรรมศาลา. ด้วยเหตุผลอย่างเดียวกัน บางคนที่รับเชื่อพระเยซูเป็นพระมาซีฮาจึงลังเลใจจะยอมรับอย่างเปิดเผย.—โยฮัน 9:22, 34; 12:42; 16:2.
11. นักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักรผลิตผลอะไรบ้างซึ่งเป็นการระบุตัวเขาเอง?
11 พระเยซูตรัสว่า “ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา.” “ต้นไม้ดีทุกต้นก็ย่อมเกิดผลดี แต่ต้นไม้ชั่วก็ย่อมเกิดผลชั่ว.” (มัดธาย 7:16-20) กฎเดียวกันนี้ใช้ได้ในปัจจุบัน. นักศาสนาหลายคนแห่งคริสต์ศาสนจักรพูดอย่างหนึ่ง และทำอีกอย่างหนึ่ง. แม้จะอ้างว่าตนสอนพระคัมภีร์ แต่เขาเห็นด้วยกับคำสอนที่หมิ่นประมาทเช่นตรีเอกานุภาพและไฟนรก. บางคนปฏิเสธค่าไถ่ สอนเรื่องวิวัฒนาการแทนที่จะสอนเรื่องพระเจ้าสร้างโลก และเทศน์หลักจิตวิทยาอันเป็นที่นิยมเพื่อให้ชอบใจผู้ฟัง. เช่นเดียวกับพวกฟาริซาย นักศาสนาหลายคนสมัยนี้เป็นคนรักเงิน ตัดขนแกะหรือนัยหนึ่งรีดไถ่เงินของสมาชิกโบสถ์หลายล้านเหรียญ. (ลูกา 16:14) พวกเขาทุกคนร้องเสียงดังว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า” แต่พระเยซูตรัสตอบเขาดังนี้ “เราไม่รู้จักเจ้าเลย! เจ้าทั้งหลายผู้ประพฤติล่วงพระบัญญัติ จงถอยไปจากเรา.”—มัดธาย 7:21-23.
12. ทำไมบางคนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเดินในทางแคบนั้นแต่บัดนี้เลิกไป และผลเป็นอย่างไร?
12 ทุกวันนี้ บางคนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเดินอยู่ในทางแคบ ครั้นแล้วไม่เดินต่อไปในทางนี้. เขาบอกว่าเขารักพระยะโฮวา แต่ก็ไม่เชื่อพระบัญชาของพระองค์ที่ให้ประกาศ. เขาบอกว่าเขารักพระเยซู แต่เขาก็ไม่ได้เลี้ยงดูแกะของพระองค์. (มัดธาย 24:14; 28:19, 20; โยฮัน 21:15-17; 1 โยฮัน 5:3) เขาไม่ต้องการเข้าเทียมแอกกับผู้ที่เดินตามรอยพระบาทพระเยซู. เขาเห็นว่าทางแคบนั้นแคบเกินไป. เขาเบื่อหน่ายการทำการดี ดังนั้น เขา “ได้ออกไปจากพวกเรา แต่ว่าเขาไม่ได้เป็นฝ่ายพวกเรา เพราะว่าถ้าเขาได้เป็นฝ่ายพวกเรา เขาจะได้คงอยู่กับเราต่อไป.” (1 โยฮัน 2:19) เขากลับไปหาความมืดและ “ความมืดนั้นหนาทึบสักเพียงใด!” (มัดธาย 6:23) พวกเขาไม่แยแสต่อคำวิงวอนของโยฮันที่ว่า “ดูก่อนลูกเล็ก ๆ ทั้งหลาย อย่าให้เรารักเพียงแต่ถ้อยคำและลิ้นเท่านั้น แต่ให้เรารักด้วยการประพฤติและด้วยความจริง.”—1 โยฮัน 3:18.
13, 14. พระเยซูทรงใช้อุทาหรณ์เรื่องอะไรเกี่ยวด้วยการนำคำสั่งสอนของพระองค์มาใช้กับชีวิตของเรา และทำไมอุทาหรณ์นั้นเหมาะเจาะสำหรับผู้คนในประเทศปาเลสไตน์?
13 พระเยซูจบคำเทศน์บนภูเขาด้วยอุทาหรณ์ซึ่งชวนให้ตื่นเต้นเร้าใจดังนี้ “ทุกคนที่เคยฟังคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม เราจะเปรียบเขาเช่นกับคนมีปัญญาคนหนึ่งที่สร้างเรือนของตนไว้บนศิลา. ฝนก็ตก น้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลงเพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา.”—มัดธาย 7:24, 25.
14 ที่ประเทศปาเลสไตน์เวลาฝนตกหนัก กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวทะลักลงมาตามหุบเขาอันแห้งผากเกิดน้ำท่วมฉับพลันและเสียหายหนัก. เพื่อที่บ้านเรือนจะไม่พังทลาย จึงต้องสร้างให้รากตั้งอยู่บนศิลาที่มั่นคง. บันทึกในพระธรรมลูกาแจ้งว่า คนนั้นสร้าง “ขุดลึกลงไป แล้วตั้งรากบนศิลา.” (ลูกา 6:48) มันเป็นงานหนักก็จริง แต่ว่าได้ผลคุ้มค่าเมื่อเกิดพายุ. ดังนั้น การสร้างคุณลักษณะแบบคริสเตียนโดยอาศัยคำสอนของพระเยซูเป็นฐานจึงเป็นบำเหน็จที่คุ้มค่าเมื่อกระแสการจู่โจมอันร้ายกาจซัดกระหน่ำอย่างฉับพลัน.
15. อะไรจะเป็นผลติดตามมาสำหรับผู้ที่ยึดเอาธรรมเนียมของมนุษย์แทนที่จะเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระเยซู?
15 ฝ่ายบ้านอีกหลังหนึ่งนั้นสร้างขึ้นบนทรายก็เป็นดังนี้: “ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตาม เราจะเปรียบเขาเช่นคนโง่คนหนึ่งที่สร้างเรือนของตนไว้บนทราย. ฝนก็ตก น้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังลง ความพินาศของเรือนนั้นก็ใหญ่ยิ่ง.” จะเป็นเช่นนั้นกับคนที่พูดว่า “พระองค์เจ้า พระองค์เจ้าข้า” แต่ไม่ได้ประพฤติตามคำสอนของพระเยซู.—มัดธาย 7:26, 27.
“หาเหมือนพวกอาลักษณ์ของเขาไม่”
16. มีผลกระทบอะไรเกิดขึ้นต่อผู้ซึ่งได้ยินคำเทศน์บนภูเขา?
16 คำเทศน์บนภูเขามีผลกระทบอย่างไร? “ครั้นพระองค์ตรัสคำเหล่านี้เสร็จแล้วประชาชนก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสั่งสอนเขาดุจผู้มีอาชญา หาเหมือนพวกอาลักษณ์ของเขาไม่.” (มัดธาย 7:28, 29) พวกเขาได้รับการปลุกเร้าใจถึงขนาดโดยท่านองค์นั้นซึ่งพูดอย่างมีอำนาจ ดังที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน.
17. พวกอาลักษณ์ต้องทำประการใด เพื่อจะให้การสั่งสอนของเขาเชื่อถือได้ และเขากล่าวอ้างอะไรเกี่ยวกับผู้รู้ทั้งหลายที่ตายไปแล้ว?
17 ไม่มีอาลักษณ์คนใดเคยพูดอย่างผู้มีอำนาจ ดังบันทึกตอนหนึ่งทางประวัติศาสตร์แสดงไว้ที่ว่า “พวกอาลักษณ์ได้อ้างเอาประเพณีและผู้เริ่มประเพณีมาเป็นหลักสำหรับคำสอนของเขา: และคำเทศน์ของพวกอาลักษณ์คนใดไม่มีอำนาจหรือคุณค่าแต่อย่างใดเว้นแต่เขาจะอ้าง . . . พวกรับบีมีประเพณี หรือ . . . พวกปราชญ์กล่าว หรือแหล่งเกี่ยวด้วยขนบธรรมเนียมทำนองนั้น. ฮิลเลลผู้มีชื่อได้สั่งสอนจริง และดังที่มีบอกเล่ากันเกี่ยวข้องกับสิ่งหนึ่ง ‘แต่ถึงแม้นเขาได้พรรณนาในเรื่องนั้นตลอดวันก็ตาม . . . ผู้ฟังก็ไม่ได้รับคำสอนของเขา จนกว่าเขาพูดมาในที่สุด ฉะนั้นข้าได้ฟังมาจากเชมาเอียและอับทาเลีย [ผู้เป็นต้นตำรับก่อนหน้าฮิลเลล].’” (ข้อวิจารณ์ว่าด้วยคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่จากคัมภีร์ทัลมุดและเฮบรัยกา โดยจอห์น ไลท์ฟุต) พวกฟาริซายถึงกับอ้างเกี่ยวกับพวกปราชญ์ซึ่งตายไปนานแล้วว่า: “ริมฝีปากของคนชอบธรรมเมื่อบางคนอ้างคำสอนแห่งบัญญัติโดยออกชื่อของเขา—ริมฝีปากของคนเหล่านั้นจะพูดพึมพำกับเขาในหลุมศพ.”—โทราห์—จากม้วนหนังสือมาเป็นสัญลักษณ์ในลัทธิยูดา.
18. (ก) มีความแตกต่างกันอย่างไรระหว่างคำสอนของพวกอาลักษณ์กับคำสอนของพระเยซู? (ข) คำสอนของพระเยซูโดดเด่นในทางใด?
18 พวกอาลักษณ์ได้อ้างถึงคนตายเป็นต้นตำรับ พระเยซูพูดอย่างมีอำนาจจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่. (โยฮัน 12:49, 50; 14:10) อาจารย์ชาวยิวตักน้ำไม่สะอาดจากบ่อที่เลิกใช้แล้ว พระเยซูได้น้ำจืดสนิทซึ่งช่วยดับความกระหายภายในจิตใจ. พระองค์ทูลอธิษฐานตรึกตรองตลอดคืน และเมื่อพระองค์ตรัส พระองค์เข้าไปลึกถึงจิตใจผู้คนอย่างที่เขาไม่เคยรับรู้มาก่อน. พระองค์ทรงกล่าวด้วยอำนาจซึ่งพวกเขารู้สึกซาบซึ้ง ในที่สุดกระทั่งพวกอาลักษณ์และฟาริซายกับพวกซาดูกายไม่กล้าท้าทายอำนาจนั้น. (มัดธาย 22:46; มาระโก 12:34; ลูกา 20:40) ไม่เคยมีผู้ใดพูดเหมือนท่านผู้นี้! ครั้นจบการเทศนาแล้ว ฝูงชนต่างก็รู้สึกประหลาดใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์!
19. วิธีการสั่งสอนบางอย่างที่พยานพระยะโฮวาใช้ในสมัยปัจจุบันคล้ายคลึงกันอย่างไรกับวิธีสอนที่พระเยซูทรงใช้ในคำเทศน์บนภูเขา?
19 ทุกวันนี้เป็นอย่างไร? ในฐานะเป็นผู้ประกาศเผยแพร่ไปตามบ้านเรือน พยานพระยะโฮวาใช้วิธีคล้าย ๆ กัน. เจ้าของบ้านบอกว่า “ที่โบสถ์ของฉันสอนว่าไฟประลัยกัลป์จะมาล้างโลกนี้.” คุณตอบว่า “พระคัมภีร์ของคุณเองแจ้งไว้ที่พระธรรมท่านผู้ประกาศ 1:4 ว่า ‘แผ่นดินโลกตั้งมั่นคงอยู่เป็นนิตย์.’” เจ้าของบ้านแปลกใจและพูดว่า “ฉันไม่เคยทราบเลยว่าข้อนี้มีอยู่ในคัมภีร์ของผม!” อีกคนหนึ่งพูดว่า “ฉันได้ยินอยู่เสมอว่าคนชั่วจะถูกทรมานในไฟนรก.” “แต่พระคัมภีร์ที่คุณมีอยู่บอกไว้ที่พระธรรมโรม 6:23 ว่า ‘ค่าจ้างของความบาปคือความตาย.’” หรือเกี่ยวกับเรื่องตรีเอกานุภาพ: “อาจารย์ที่โบสถ์สอนว่าพระเยซูและพระบิดาของพระองค์ทรงมีตำแหน่งฐานะเท่าเทียมกัน.” “แต่ที่โยฮัน 14:28 คัมภีร์ของคุณก็ได้ยกคำตรัสของพระเยซูที่ว่า ‘พระบิดาของเราเป็นใหญ่กว่าเรา.’” บางคนพูดกับคุณดังนี้: “ฉันเคยได้ยินว่าแผ่นดินของพระเจ้าอยู่ภายในเรานี้เอง.” คุณก็จะตอบว่า “ที่ดานิเอล 2:44 พระคัมภีร์ของคุณบอกอย่างนี้: ‘ในสมัยของกษัตริย์เหล่านี้ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรขึ้นซึ่งไม่มีวันจะถูกทำลาย . . . อาณาจักรนี้จะทำลายอาณาจักรอื่น ๆ ให้ย่อยยับไป แล้วอาณาจักรนี้จะยั่งยืนตลอดไป.’ นั่นจะอยู่ภายในคุณได้อย่างไร?”
20. (ก) มีความแตกต่างอย่างไรระหว่างวิธีการสอนของพยานพระยะโฮวากับวิธีการสอนของนักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักร? (ข) บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่จะทำอะไร?
20 พระเยซูทรงสั่งสอนด้วยอำนาจที่มาจากพระเจ้า. พยานพระยะโฮวาพูดด้วยอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้า. นักเทศน์นักบวชแห่งคริสต์ศาสนจักรพูดเรื่องธรรมเนียมทางศาสนาซึ่งถูกทำให้เปรอะเปื้อนด้วยหลักคำสอนที่ตกทอดกันมาจากบาบูโลนและอียิปต์. เมื่อผู้มีหัวใจสุจริตได้ยินได้ฟังความเชื่อของเขาถูกหักล้างโดยพระคัมภีร์ พวกเขาทึ่งและอุทานขึ้นมาว่า ‘ฉันไม่เคยรู้เลยว่าข้อนี้มีอยู่ในคัมภีร์ของฉัน!’ แต่ทว่าเป็นอย่างนั้นจริง. บัดนี้ถึงเวลาแล้วสำหรับทุกคนซึ่งสำนึกถึงความต้องการฝ่ายวิญญาณจะพึงสนใจฟังคำตรัสของพระเยซูในคำเทศน์บนภูเขาแล้วจากนั้นก่อสร้างรากลงบนศิลาอันเป็นฐานมั่นคง.
คำถามทบทวน
▫ แทนที่จะวิพากษ์วิจารณ์เราควรพยายามทำอะไร และเพราะเหตุใด?
▫ เหตุใดผู้คนเป็นอันมากสมัยนี้เลือกทางกว้าง?
▫ ทำไมวิธีการสั่งสอนของพระเยซูจึงต่างกันมากจากวิธีของพวกอาลักษณ์?
▫ คำเทศน์บนภูเขาก่อผลกระทบเช่นไรต่อผู้ที่ได้ยินได้ฟัง?