จงอดกลั้นทนนานต่อคนทั้งปวง
“พี่น้องทั้งหลาย เรากระตุ้นท่านให้ตักเตือนคนเกะกะ ปลอบโยนผู้ที่หดหู่ใจ เกื้อหนุนคนที่อ่อนแอ อดกลั้นทนนานต่อคนทั้งปวง.”—1 เธซะโลนิเก 5:14, ล.ม.
1. พยานพระยะโฮวาได้สำแดงความอดกลั้นทนนานที่ไหน และภายใต้สภาพการณ์เช่นไร?
พยานพระยะโฮวาสมัยปัจจุบันประพฤติตนเป็นแบบอย่างแห่งความอดกลั้นทนนานได้จริง ๆ! พวกเขาทนรับความยากลำบากและการข่มเหงอย่างมากมายในประเทศที่เคยปกครองโดยระบอบนาซีและฟาสซิสต์ และในประเทศต่าง ๆ เช่นมาลาวีจนกระทั่งเวลานี้. นอกจากนั้น คนเหล่านั้นในครอบครัวซึ่งถือศาสนาต่างกันก็ได้อดกลั้นอดทนเหมือนกัน.
2. ไพร่พลของพระยะโฮวาชื่นชมกับอุทยานฝ่ายวิญญาณเพราะปัจจัยสองอย่างอะไรบ้าง?
2 ทั้งที่พวกเขาประสบการข่มเหงและความยากลำบากก็ตาม ไพร่พลที่อุทิศตัวแด่พระยะโฮวาแล้วได้รับพระพรอันเกี่ยวเนื่องกันอุทยานฝ่ายวิญญาณ. ที่จริง ข้อเท็จจริงบ่งชี้ว่าคริสเตียนผู้ถูกเจิมเริ่มรับพระพรดังกล่าวในปีสากลศักราช 1919. อะไรเป็นมูลเหตุแห่งอุทยานฝ่ายวิญญาณนี้? ประการแรก สภาพการณ์ต่าง ๆ อันส่อลักษณะเป็นอุทยานมีอยู่ท่ามกลางไพร่พลของพระยะโฮวาเพราะพระเจ้าได้ทรงนำบรรดาผู้รับใช้ที่ถูกเจิมกลับมายัง “แผ่นดิน” หรือสภาพแห่งการนมัสการบริสุทธิ์. (ยะซายา 66:7, 8) อนึ่ง อุทยานฝ่ายวิญญาณเจริญเฟื่องฟูเพราะทุกคนในอุทยานแสดงผลแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า. ความอดกลั้นทนนานเป็นผลอย่างหนึ่งของพระวิญญาณ. (ฆะลาเตีย 5:22, 23) ความสำคัญของคุณลักษณะอย่างนี้เกี่ยวข้องกับอุทยานฝ่ายวิญญาณเห็นได้จากคำกล่าวต่อไปนี้โดยวิลเลียม บาร์คเลย์ ผู้เชี่ยวชาญที่ว่า “มิตรภาพระหว่างคริสเตียนจะไม่มีถ้าปราศจากมาโครธูมีอา [ความอดกลั้นทนนาน]. . . . และเหตุผลที่เป็นอย่างนี้ก็คือ—มาโครธูมีอา เป็นบุคลิกภาพสำคัญของพระเจ้า (โรม 2:4; 9:22).” (อะ นิวเทสทาเมนท์ เวิร์ด บุค หน้า 84) ถูกแล้ว ความอดกลั้นทนนานเป็นสิ่งสำคัญถึงขนาดนั้น!
อดกลั้นทนนานกับพี่น้องของเรา
3. พระเยซูทรงสอนบทเรียนอะไรแก่เปโตรว่าด้วยการเป็นคนอดกลั้นทนนาน?
3 ดูเหมือนว่าอัครสาวกเปโตรค่อนข้างจะลำบากใจในการแสดงความอดกลั้นทนนาน เพราะครั้งหนึ่งท่านทูลถามพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า พี่น้องของข้าพเจ้าจะทำผิดต่อข้าพเจ้าได้กี่ครั้งซึ่งข้าพเจ้าควรจะยกความผิดของเขา? ถึงเจ็ดครั้งหรือ?” พระเยซูทรงแนะนำดังนี้: “เรามิได้ว่าแก่ท่านถึงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่ถึงเจ็ดสิบครั้งคูณด้วยเจ็ด.” (มัดธาย 18:21, 22) อีกนัยหนึ่ง ไม่จำกัดจำนวนครั้งที่เราถึงอดทนต่อกันและกันและยกโทษให้แก่ผู้ที่ทำผิดต่อเรา. แท้จริง เราไม่อาจจินตนาการได้ว่าจะมีใครคอยนับให้ครบ 77 ครั้ง! แต่การเป็นผู้ให้อภัยถึงขนาดนั้นก็คงต้องเป็นคนอดกลั้นทนนานทีเดียว.
4. ทำไมพวกผู้ปกครองจึงต้องอดกลั้นทนนานเป็นพิเศษ?
4 เมื่อพูดถึงการที่พี่น้องฝ่ายวิญญาณพึงแสดงความอดกลั้นทนนานแล้ว โดยไม่สงสัยผู้ปกครองในประชาคมต้องวางตัวอย่าง. ความเพียรอดทนของเขาอาจได้รับการทดสอบเพราะเพื่อนร่วมความเชื่อบางคนอาจเป็นคนไม่ระมัดระวังหรือเฉยเมย. คนอื่นอาจเฉื่อยชาเกี่ยวกับการแก้ไขปรับปรุงนิสัยไม่ได้. ผู้ปกครองต้องระมัดระวังไม่หงุดหงิดรำคาญง่ายหรือรู้สึกขัดเคืองใจเนื่องด้วยความอ่อนแอของพี่น้องคริสเตียนชายหญิงเหล่านั้น. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ผู้บำรุงเลี้ยงฝ่ายวิญญาณเหล่านั้นควรจดจำคำแนะนำข้อนี้ “มาตรว่าเราซึ่งเป็นคนเข้มแข็งก็ควรจะอดใจทนต่อความอ่อนแอต่าง ๆ ของคนเหล่านั้นที่ไม่เข้มแข็ง และไม่ควรกระทำตามชอบใจของตัวเอง.”—โรม 15:1, ล.ม.
5. ถ้าเราเป็นคนอดกลั้นทนนาน เราสามารถทนเอาได้กับสิ่งใด?
5 อีกอย่างหนึ่ง อาจเกิดความขัดแย้งกันในด้านบุคลิกภาพเนื่องจากความอ่อนแอและความบกพร่องต่าง ๆ ของมนุษย์. เพราะข้อบกพร่องหรือนิสัยแปลก ๆ เฉพาะตัว เราอาจทำให้พวกพี่น้องขัดเคืองใจก็ได้ และบางครั้งเขาอาจกระทำแบบเดียวกันต่อเรา. ดังนั้น คำแนะนำนี้ช่างเหมาะสมจริง ๆ ที่ว่า “จงทนต่อกันและกันอยู่เรื่อยไป และจงอภัยให้กันและกันอย่างใจกว้าง ถ้าแม้นผู้ใดมีสาเหตุจะบ่นว่าคนอื่น พระยะโฮวาทรงให้อภัยท่านอย่างใจกว้างฉันใด ท่านทั้งหลายจงกระทำฉันนั้น.” (โกโลซาย 3:13, ล.ม.) “จงทนต่อกันและกัน” หมายถึงการอดกลั้นทนนาน แม้เรามีเหตุผลที่ฟังขึ้นจะต่อว่าบางคนก็ตาม. เราต้องไม่แก้แค้นหรือลงโทษพี่น้องของเรา เราไม่ควรทำแม้แต่การถอนหายใจแสดงอาการรำคาญหรือไม่พอใจ.—ยาโกโบ 5:9.
6. ทำไมการอดกลั้นทนนานจึงเป็นแนวทางที่สุขม?
6 คำแนะนำซึ่งพบได้ในโรม 12:19 (ล.ม.) ก็เช่นกันที่ว่า “พี่น้องที่รัก อย่าทำการแก้แค้นเสียเอง แต่จงยินยอมต่อพระพิโรธ เพราะมีคำเขียนไว้ว่า พระยะโฮวาตรัสว่า ‘การแก้แค้นเป็นของเรา เราจะตอบแทน.’” ‘การยินยอมต่อความพิโรธ’ หมายความว่าไม่โกรธเร็วหรืออดกลั้นทนนาน. การแสดงออกซึ่งคุณลักษณะนี้เป็นแนวทางแห่งสติปัญญา เพราะเป็นคุณประโยชน์แก่ตัวเราและคนอื่นด้วย. ถ้ามีปัญหาขึ้นมา เราเองจะรู้สึกเบาใจ เนื่องจากการเป็นคนอดกลั้นทนนาน เราไม่ได้ทำให้ปัญหานั้นซ้ำนักเข้าไปอีก. และคนที่เราได้อดกลั้นทนนานกับเขาก็สบายใจขึ้นเช่นกัน. เพราะเราไม่ได้ลงโทษหรือแก้แค้นเขาทางใดทางหนึ่ง. ไม่น่าประหลาดใจเลยที่เปาโลได้ตักเตือนเพื่อนคริสเตียนให้ “ปลอบโยนผู้ที่หดหู่ใจ เกื้อหนุนคนที่อ่อนแอ อดกลั้นทนนานต่อคนทั้งปวง.”—1 เธซะโลนิเก 5:14, ล.ม.
ภายในครอบครัว
7. ทำไมคู่สมรสจำต้องอดกลั้นทนนาน?
7 เคยมีคำกล่าวอย่างคมคายว่า ชีวิตสมรสที่มีความสุขคือการอยู่รวมกันของสองบุคคลซึ่งต่างฝ่ายเป็นผู้เต็มใจให้อภัย. ข้อนี้หมายถึงอะไร? หมายความว่าคู่สมรสนั้นที่มีความสุขเป็นผู้ที่อดกลั้นทนนานเมื่อปฏิบัติต่อกันและกัน. มีบ่อยครั้งที่ผู้คนเป็นที่ดึงดูดใจ เพราะอารมณ์ความรู้สึกแตกต่างกัน. ความแตกต่างกันเหล่านี้อาจเป็นเสน่ห์น่าทึ่งอย่างหนึ่ง แต่ก็อาจเป็นเหตุก่อความบาดหมางซึ่งเพิ่มเข้ากับความเครียดความวิตกกังวลซึ่งคริสเตียนคู่สมรสมี “ความยุ่งยากลำบากใจ” อยู่แล้ว. (1 โกรินโธ 7:28) ยกตัวอย่าง สมมุติสามีเป็นคนไม่ค่อยแยแสในข้อปลีกย่อยหรืออาจเป็นคนมักง่ายหรือแต่งกายรุ่มร่าม. ทั้งนี้อาจทำให้ภรรยาหนักใจไม่น้อย. แต่หากการพูดขอร้องกันอย่างอ่อนโยนไม่เกิดผล ภรรยาก็คงต้องยอมรับข้ออ่อนแอของสามีโดยการเป็นคนอดกลั้นทนนาน.
8. ทำไมสามีอาจจะต้องอดกลั้นทนนาน?
8 ในทางตรงข้าม ภรรยาอาจเป็นคนจู้จี้ในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ และมักจะบ่นหาเรื่องกับสามี. ข้อนี้อาจจะทำให้นึกถึงข้อคัมภีร์ที่ว่า “อยู่ที่มุมบนหลังคาเรือนดีกว่าอยู่ในเรือนร่วมกับหญิงขี้ทะเลาะ.” (สุภาษิต 25:24, ฉบับแปลใหม่) ในกรณีอย่างนี้ จำต้องอดกลั้นทนนานเพื่อจะปฏิบัติตามคำแนะนำของเปาโลที่ว่า “ฝ่ายสามี ก็จงรักภรรยาของตน และอย่ามีใจขมขื่นต่อนาง.” (โกโลซาย 3:19, ฉบับแปลใหม่) อนึ่ง ฝ่ายสามีจำต้องแสดงความอดกลั้นทนนาน ที่จะเชื่อฟังคำแนะนำของอัครสาวกเปโตรที่ว่า “ท่านทั้งหลายที่เป็นสามี จงอยู่กับ [ภรรยาของตน] ต่อ ๆ ไปในลักษณะเดียวกันตามความรู้ ให้เกียรติแก่เขาทั้งหลายประหนึ่งภาชนะที่อ่อนแอกว่าคือเพศหญิง เนื่องจากท่านทั้งหลายเป็นผู้รับมรดกความโปรดปรานอันไม่พึงได้รับแห่งชีวิตร่วมกับเขา เพื่อคำอธิษฐานของท่านจะไม่ถูกขัดขวาง.” (1 เปโตร 3:7, ล.ม.) ข้อบกพร่องของภรรยาอาจเป็นการทดสอบสามีบางครั้ง แต่การอดกลั้นทนนานจะช่วยสามีให้อดทนกับภรรยาได้.
9. ทำไมบิดามารดาจึงต้องมีความอดกลั้นทนนาน?
9 บิดามารดาจำต้องอดกลั้นทนนานเพื่อจะประสบความสำเร็จในการเลี้ยงดูบุตร. เด็กอาจทำความผิดพลาดซ้ำแบบครั้งแล้วครั้งเล่า. อาจดูเหมือนว่าเด็กเป็นคนดื้อรั้นหรือเรียนช้าและอาจลองดีบิดามารดาอยู่เสมอ. ในสภาพการณ์เช่นนั้น บิดามารดาคริสเตียนพึงเป็นคนไม่โกรธง่าย ไม่บันดาลโทสะหรือวู่วาม แต่ทำใจให้สงบเยือกเย็นขณะเดียวกันก็ยึดมั่นกับหลักการที่ชอบธรรม. ผู้เป็นบิดาควรจำไว้ว่าครั้งหนึ่งตนก็เคยเป็นเด็กเหมือนกันและได้ทำผิดพลาดเช่นเดียวกัน บิดาทั้งหลายพึงต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของเปาโลที่ว่า “ฝ่ายบิดาก็อย่ายั่วบุตรของตนให้ขัดเคืองใจ เกรงว่าเขาจะท้อใจ.”—โกโลซาย 3:21.
กับคนภายนอก
10. เราควรปฏิบัติตนอย่างไร ณ ที่เราทำงาน ดังเห็นได้จากประสบการณ์อะไร?
10 เนื่องจากความไม่สมบูรณ์และความเห็นแก่ตัวของมนุษย์เรา สภาพการณ์อันก่อความไม่สบายใจให้กับคริสเตียนอาจมีขึ้นได้ ณ ที่ทำงาน. นับว่าเป็นแนวทางฉลาดที่จะผ่อนหนักผ่อนเบาและอดกลั้นกับผู้ทำผิดเพื่อเห็นแก่ความสงบสุข. ประสบการณ์ของคริสเตียนคนหนึ่งผู้ทนความลำบากใจมากเนื่องจากผู้ที่ทำงานด้วยกันเป็นคนอิจฉาแสดงให้เห็นว่าการทำเช่นนี้ฉลาดเพียงไร. เพราะพี่น้องชายคนนี้ไม่ถือเอาเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แต่ยอมอดกลั้นทนนาน ในเวลาต่อมาเขาสามารถเริ่มนำการศึกษาพระคัมภีร์กับคนงานผู้ซึ่งเคยก่อความยุ่งยาก.
11. เราพึงต้องอดกลั้นทนนานมากเป็นพิเศษเมื่อไร และเพราะเหตุใด?
11 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลไพร่ของพระยะโฮวาต้องอดกลั้นทนนานเมื่อให้คำพยานแก่ผู้คนภายนอกประชาคมคริสเตียน. หลายครั้งคริสเตียนพยานฯได้เจอการตอบรับอย่างหยาบกระด้างหรืออย่างไม่ปรานี. สมควรไหมหรือสุขุมไหมที่จะโต้ตอบแบบเดียวกัน? ไม่สมควร เพราะถ้าทำเช่นนั้นหาใช่การแสดงความอดกลั้นทนนานไม่. แนวทางแห่งสติปัญญาคือจดจำและปฏิบัติตามคำแนะนำอันสุขุมของภาษิตที่ว่า “คำตอบอ่อนหวานกระทำให้ความโกรธผ่านพ้นไป แต่คำขมเผ็ดร้อนกระทำให้โทโสพลุ่งขึ้น.”—สุภาษิต 15:1.
ความเชื่อกับความหวังส่งเสริมการแสดงความอดกลั้นทนนาน
12, 13. คุณลักษณะอะไรบ้างจะช่วยเราเป็นคนอดกลั้นทนนาน?
12 อะไรจะช่วยเราให้แสดงความอดกลั้นทนนานกับสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่น่าเศร้าสลด? สิ่งหนึ่งคือความเชื่อในคำสัญญาของพระเจ้า. เราต้องเชื่อทุกถ้อยคำที่พระเจ้าตรัส. พระคัมภีร์กล่าวดังนี้: “ไม่มีการล่อใจใด ๆ มาถึงท่านทั้งหลาย เว้นแต่การล่อใจซึ่งมนุษย์เคยประสบมา. แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ และพระองค์จะไม่ทรงให้ท่านถูกล่อใจเกินที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงยอมให้ท่านถูกล่อใจนั้น พระองค์จะจัดทางออกด้วยเพื่อว่าท่านจะสามารถทนได้.” (1 โกรินโธ 10:13, ล.ม.) พูดอีกนัยหนึ่ง ผู้อาวุโสท่านหนึ่งกล่าวว่า “ถ้าพระเจ้าย่อมให้มีสภาพการณ์เช่นนั้น ข้าพเจ้าจะทนได้” ใช่แล้ว เราจะทนได้โดยการเป็นคนอดกลั้นทนนาน.
13 สิ่งผูกพันใกล้ชิดกับความเชื่อคือความหวังในราชอาณาจักรของพระเจ้า. ครั้นราชอาณาจักรบริหารแผ่นดินโลกเต็มที่แล้ว สภาพชั่วร้ายทุกอย่างซึ่งก่อความทุกข์ยากแก่พวกเราจะถูกขจัดให้หมดไป. เกี่ยวกับข้อนี้ ดาวิดผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญกล่าวว่า “จงอดกลั้นความโกรธไว้ และระงับความโทโสเสีย อย่าให้ใจเดือดร้อน มีแต่จะเป็นเหตุให้ทำการชั่วเท่านั้น. ด้วยคนที่กระทำชั่วจะต้องถูกตัดขาด แต่ว่าเหล่าคนที่คอยท่าพระยะโฮวาอยู่ เขาจะได้แผ่นดินเป็นมรดก.” (บทเพลงสรรเสริญ 37:8, 9) ความหวังอันมั่นคงที่ว่าในไม่ช้าพระเจ้าจะทรงลบล้างสภาพการณ์อันยุ่งยากลำบากเหล่านี้ให้หมดสิ้นไปย่อมช่วยให้เราอดกลั้นทนนาน.
14. ประสบการณ์อะไรแสดงให้เห็นว่าเราควรอดกลั้นทนนานต่อคู่สมรสที่นับถือศาสนาต่างกัน?
14 เราควรแสดงปฏิกิริยาอย่างไรหากคู่สมรสที่ถือต่างศาสนาทำให้เรารันทดใจ? จงหมายพึ่งพระเจ้าสำหรับการสงเคราะห์ และหวังเสมอว่าผู้ต่อต้านจะหันเข้ามานมัสการพระยะโฮวา. ภรรยาของคริสเตียนผู้หนึ่งบางครั้งไม่ยอมเตรียมกับข้าวและซักเสื้อผ้าของสามี. เธอใช้คำพูดหยาบคาย ไม่ยอมพูดกับสามีเป็นวัน ๆ กระทั่งติดต่อพ่อมดหมอผีใช้เวทมนต์ครอบงำเขาด้วยซ้ำ. สามีบอกว่า “แต่ทุกครั้งผมได้อธิษฐานต่อพระยะโฮวา และผมวางใจว่าพระองค์จะช่วยให้ผมพัฒนาคุณลักษณะที่ดีในด้านความอดกลั้นทนนานเพื่อผมจะไม่สูญเสียความสมดุลของคริสเตียน. ผมยังหวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะเปลี่ยนทัศนะ.” หลังจากปฏิบัติเช่นนั้นต่อสามีนานถึงยี่สิบปี ภรรยาก็เริ่มเปลี่ยน สามีพูดอย่างนี้: “ผมรู้สึกขอบคุณพระยะโฮวามากเพียงใดที่พระองค์ทรงช่วยผมปลูกฝังผลแห่งพระวิญญาณอันได้แก่ความอดกลั้นทนนาน เพราะเวลานี้ผมเห็นผลที่ตามมาคือ ภรรยาของผมเริ่มเข้ามาอยู่ในเส้นทางสู่ชีวิตแล้ว!”
การอธิษฐาน การถ่อมใจ และมีความรักจะช่วยได้
15. ทำไมการอธิษฐานจะช่วยเราเป็นคนอดกลั้นทนนานได้?
15 การอธิษฐานเป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งซึ่งช่วยได้อีกในการแสดงความอดกลั้นทนนาน. เปาโลเตือนดังนี้: “อย่ากระวนกระวายด้วยสิ่งใด แต่ในทุกสิ่งจงทูลขอต่อพระเจ้าโดยการอธิษฐานและการวิงวอนพร้อมด้วยการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าที่เหนือกว่าความคิดทุกอย่างจะป้องกันรักษาหัวใจและความสามารถในการคิดของท่านไว้โดยพระเยซูคริสต์.” (ฟิลิปปอย 4:6, 7, ล.ม.) อนึ่ง จงจดจำและเชื่อฟังคำแนะนำข้อนี้: “จงมอบภาระของท่านไว้กับพระยะโฮวา และพระองค์เองจะทรงค้ำจุนท่าน. ไม่มีวันที่พระองค์จะทรงยอมให้คนชอบธรรมกะปลกกะเปลี้ยเลย.”—บทเพลงสรรเสริญ 55:22, ล.ม.
16. การจะมีความอดกลั้นทนนานนั้น ความถ่อมใจช่วยเราได้อย่างไร?
16 ความถ่อมใจเป็นอีกประการหนึ่งที่ช่วยได้มาก ในการปลูกฝังผลแห่งพระวิญญาณในด้านความอดกลั้นทนนาน. คนอวดดีเป็นคนใจเร็ว. เขาเป็นคนโมโหง่าย โกรธเร็วและจะไม่ยอมทนต่อการปฏิบัติใด ๆ ซึ่งไม่ถูกใจ. ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งตรงกันข้ามกับการอดกลั้นทนนาน. แต่คนถ่อมใจจะไม่ถือตัวจนเกินไป. เขาจะคอยพระยะโฮวา ดังดาวิดกระทำคราวที่กษัตริย์ซาอูลตามล่าและเมื่อถูกซิมอีจากตระกูลเบ็นยามินด่า. (1 ซามูเอล 24:4-6; 2 ซามูเอล 16:5-13) ดังนั้น พวกเราควรตั้งใจจะดำเนิน “ด้วยใจถ่อมลงทุกอย่าง และด้วยใจอ่อนสุภาพ ด้วยอดกลั้นใจ และผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกันด้วยความรัก.” (เอเฟโซ 4:2) ยิ่งกว่านั้น เราควร ‘ถ่อมใจลงจำเพาะพระเนตรพระยะโฮวา.’—ยาโกโบ 4:10.
17. ทำไมความรักจะช่วยให้เราเป็นคนอดกลั้นทนนาน?
17 โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักอย่างไม่เห็นแก่ตัวจะช่วยเราเป็นคนอดกลั้นทนนาน. ที่จริง “ความรักก็อดทนนาน” เพราะทำให้เรานึกถึงประโยชน์อันดียิ่งของผู้อื่นอยู่เสมอ. (1 โกรินโธ 13:4) ความรักทำให้เราเกิดความรู้สึกร่วม นึกถึงอกเขาอกเรา. ยิ่งกว่านั้น ความรักช่วยเราให้อดกลั้นทนนานเพราะ “ความรักทนรับเอาทุกสิ่ง เชื่อทุกสิ่ง หวังทุกสิ่ง อดทนทุกสิ่ง. ความรักไม่ล้มเหลวเลย.” (1 โกรินโธ 13:7, 8, ล.ม.) ใช่แล้ว ดังเนื้อร้องเพลงราชอาณาจักรบท 200 ในหนังสือจงร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวา ว่าไว้:
“ความรักย่อมมองหาสิ่งดี
เสริมน้องพี่มีสายสัมพันธ์
เมตตาผู้ทำผิดไปนั้น
มองเห็นด้านส่วนดีของเขา.”
อดกลั้นทนนานด้วยความยินดีหรือ?
18. เป็นไปได้อย่างไรที่จะอดกลั้นทนนานพร้อมกับมีความยินดีด้วย?
18 เปาโลได้อธิษฐานเผื่อเพื่อนผู้ร่วมความเชื่อในเมืองโกโลซายจะเปี่ยมด้วยความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับพระทัยประสงค์ของพระเจ้าเพื่อเขาจะดำเนินคู่ควรกับพระยะโฮวา ทำให้พระองค์พอพระทัยและบังเกิดผลในการงานอันดีทุกอย่าง. เหตุฉะนั้น พวกเขา “จึงมีกำลังมากขึ้นทุกอย่างโดยเดชแห่งสง่าราศีของพระองค์ให้มีความเพียรที่สุด และความอดทนไว้นานด้วยความยินดี.” (โกโลซาย 1:9-11) กระนั้น คนเราจะ “อดกลั้นทนนานด้วยความยินดี” ได้อย่างไร? เรื่องนี้ไม่ขัดแย้งกัน เพราะการมีความยินดีดังกล่าวในคัมภีร์ไบเบิลนั้นก็ใช่ว่าเพียงแต่มีความสบายใจและเบิกบานเท่านั้นไม่. ความยินดีอันเป็นผลแห่งพระวิญญาณหมายรวมถึงความรู้สึกอิ่มใจพอใจอย่างดื่มด่ำเนื่องจากได้ทำสิ่งที่ถูกต้องจำเพาะพระเจ้า. ความยินดียังเป็นการสำแดงความหวังจะได้รับรางวัลตามสัญญาเพราะได้แสดงความอดกลั้นทนนาน. นี่แหละเป็นเหตุผลที่พระเยซูตรัสว่า “เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหงและนินทาท่านทั้งหลายต่าง ๆ เป็นความเท็จเพราะเราท่านก็เป็นสุข. จงชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง เพราะบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน.”—มัดธาย 5:11, 12.
19. ตัวอย่างอะไรชี้ให้เห็นว่าเป็นไปได้ที่จะอดกลั้นทนนาน ในขณะเดียวกันก็ชื่นชมยินดี?
19 พระเยซูทรงมีความยินดีอย่างนั้น. อันที่จริงแล้ว “เพราะเห็นแก่ความยินดีซึ่งมีอยู่ตรงหน้า พระองค์ยอมทนหลักทรมาน ไม่คำนึงถึงความละอาย.” (เฮ็บราย 12:2, ล.ม.) ความยินดีอย่างนั้นแหละ เสริมพลังพระเยซูให้อดกลั้นทนนาน. ทำนองเดียวกัน จงพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อพวกอัครสาวกถูกเฆี่ยนและได้รับคำสั่งกำชับมิให้ “ออกนามพระเยซู.” พวกเขา “จึงไปจากที่ประชุมปรึกษาโดยความยินดีที่เห็นว่าตนสมควรจะได้รับการหลู่เกียรติเพราะพระนามนั้น. เขาจึงได้สั่งสอนประกาศกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในโบสถ์และตามบ้านเรือนทุก ๆ วันมิได้ขาด.” (กิจการ 5:40-42) นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีจริง ๆ ซึ่งยืนยันว่า สาวกของพระคริสต์สามารถอดกลั้นทนนานได้ด้วยความยินดี!
20. ถ้าเราแสดงความอดกลั้นทนนาน นั่นจะมีผลกระทบไปถึงความสัมพันธ์ของเรากับผู้อื่นอย่างไร?
20 ถูกแล้ว พระวจนะของพระเจ้าจัดคำแนะนำอย่างเฉียบแหลมไว้ เมื่อตักเตือนพวกเราไม่ให้แก้แค้น ไม่ให้โกรธเร็วขณะที่หวังจะเห็นผลในทางดี—นั้นคือให้เราเป็นคนอดกลั้นทนนาน! เราจะต้องอธิษฐานเป็นประจำ ขอผลแห่งพระวิญญาณของพระเจ้าเพื่อสามารถจะเข้ากันได้กับพี่น้องชายหญิงในประชาคม กับสมาชิกในครอบครัวของเรา กับผู้คนในที่เราทำงาน และกับใครก็ตามที่เราพบขณะออกไปปฏิบัติงานรับใช้ฝ่ายคริสเตียน. และอะไรล่ะจะช่วยเราให้สำแดงความอดกลั้นทนนาน? ความเชื่อ ความหวัง ความถ่อมใจ ความยินดี และความรัก. แท้จริง ด้วยคุณลักษณะต่าง ๆ ดังกล่าวเราย่อมเป็นคนอดกลั้นทนนานได้ต่อคนทั้งปวง.
คุณจำได้ไหม?
▫ ทำไมความอดกลั้นทนนานจำเป็นต่อการที่เราอยู่ในอุทยานฝ่ายวิญญาณ?
▫ ทำไมพวกผู้ปกครองจึงต้องอดกลั้นทนนานเป็นพิเศษ?
▫ ทำไมสามีและภรรยาควรฝึกฝนความอดกลั้นทนนาน?
▫ คุณลักษณะอื่น ๆ อะไรจะช่วยเราเป็นคนอดกลั้นทนนาน?
[รูปภาพหน้า 17]
คำแนะนำอะไรจากพระเยซูได้ช่วยเปโตรเป็นคนอดกลั้นทนนาน?