ผู้ที่มีใจอ่อนโยนเป็นสุขเพียงใด!
“ความสุขมีแก่คนอ่อนโยน เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก.”—มัดธาย 5:5, ล.ม.
1. อารมณ์อ่อนโยนที่พระเยซูตรัสถึงในคำเทศน์บนภูเขานั้นคืออะไร?
ในคำเทศน์บนภูเขาของพระองค์ พระเยซูคริสต์ตรัสดังนี้: “ความสุขมีแก่คนอ่อนโยน เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก.” (มัดธาย 5:5, ล.ม.) ใจอ่อนโยนหรือความอ่อนสุภาพนี้ไม่ใช่ความสุภาพที่อำพรางซึ่งแฝงความหน้าซื่อใจคด หรือไม่เป็นแต่เพียงนิสัยส่วนตัวโดยกำเนิด. ทว่าเป็นความอ่อนโยนแท้จริง และเป็นการรักสันติสุขจากภายในที่สำแดงออกเพื่อตอบสนองพระทัยประสงค์และการนำทางของพระเจ้ายะโฮวาเป็นประการสำคัญ. คนที่อ่อนโยนจริง ๆ สำนึกอย่างแรงกล้าในการหมายพึ่งพระเจ้าซึ่งสะท้อนออกมาด้วยการกระทำอย่างอ่อนโยนละมุนละไมต่อเพื่อนมนุษย์.—โรม 12:17-19; ติโต 3:1, 2.
2. เพราะเหตุใดพระเยซูทรงแถลงว่าผู้ที่มีใจอ่อนโยนเป็นสุข?
2 พระเยซูทรงแถลงว่า ผู้ที่มีใจอ่อนโยนเป็นสุขเพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก. ในฐานะเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่มีใจอ่อนโยนอย่างครบถ้วน พระเยซูจึงทรงเป็นจอมทายาทในบรรดาผู้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก. (บทเพลงสรรเสริญ 2:8; มัดธาย 11:29; เฮ็บราย 1:1, 2; 2:5-9) แต่ในฐานะเป็น “บุตรมนุษย์” ตำแหน่งพระมาซีฮา พระองค์จะมีผู้ร่วมปกครองกับพระองค์ในราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์. (ดานิเอล 7:13, 14, 22, 27) ในฐานะ “ทายาทด้วยกันกับพระคริสต์” บุคคลเหล่านี้ที่มีใจอ่อนโยนถูกเจิมไว้ก็จะมีส่วนร่วมรับมรดกของพระองค์ทางแผ่นดินโลก. (โรม 8:17) ส่วนผู้คนที่มีใจอ่อนโยนอีกพวกหนึ่งที่เปรียบเป็นแกะจะรับชีวิตนิรันดร์ในอุทยานทางแผ่นดินโลกภายใต้การปกครองแห่งราชอาณาจักร. (มัดธาย 25:33, 34, 46; ลูกา 23:43) ความหวังอย่างนี้ทำให้เขาเป็นสุขอย่างแท้จริง.
3. เกี่ยวกับความอ่อนโยน พระเจ้าและพระคริสต์ทรงวางตัวอย่างอะไรไว้?
3 จอมทายาทองค์นี้ ผู้มีพระทัยอ่อนโยนได้รับแผ่นดินจากพระยะโฮวาพระบิดาของพระองค์ผู้ทรงเป็นปฐมตัวอย่างการมีพระทัยอ่อนโยน. บ่อยครั้งเพียงไรที่มีกล่าวในคัมภีร์ไบเบิลว่าพระเจ้า “ทรงอดพระทัยได้นาน และบริบูรณ์ด้วยความดีและความจริง”! (เอ็กโซโด 34:6; นะเฮมยา 9:17; บทเพลงสรรเสริญ 86:15) พระองค์ทรงมีอำนาจใหญ่ยิ่งแต่สำแดงความอ่อนโยนถึงขนาดที่ผู้นมัสการพระองค์สามารถเข้าใกล้ชิดพระองค์ได้โดยไม่รู้สึกหวาดกลัว. (เฮ็บราย 4:16; 10:19-22) พระบุตรของพระเจ้าผู้ซึ่ง “มีจิตใจอ่อนโยนและหัวใจถ่อม” ทรงสั่งสอนสาวกของพระองค์ให้เป็นคนอ่อนโยน. (มัดธาย 11:29; ลูกา 6:27-29) ส่วนบรรดาทาสที่มีใจอ่อนโยนของพระเจ้าและของพระบุตรได้เลียนแบบและเขียนเกี่ยวกับ “ความอ่อนโยนและพระกรุณาของพระคริสต์.”—2 โกรินโธ 10:1, ล.ม.; โรม 1:1; ยาโกโบ 1:1, 2; 2 เปโตร 1:1.
4. (ก) ตามที่กล่าวในโกโลซาย 3:12 นั้นคนอ่อนโยนแท้ได้ทำอะไรบ้าง? (ข) เราสมควรพิจารณาไตร่ตรองคำถามอะไร?
4 เวลานี้ ทั้งคริสเตียนผู้ถูกเจิมและสหายทางแผ่นดินโลกจำต้องมีจิตใจอ่อนโยน. เมื่อได้สลัดทิ้งแล้วซึ่งความเลว, การหลอกลวง, ความหน้าซื่อใจคด, ความอิจฉา, และการนินทาลับหลัง คนเหล่านี้ได้รับการช่วยเหลือโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจนกลายเป็นคนใหม่โดย ‘พลังที่กระตุ้นจิตใจ.’ (เอเฟโซ 4:22-24; 1 เปโตร 2:1, 2) พวกเขาได้รับการกระตุ้นให้สวมใส่ “ความเอ็นดูอย่างลึกซึ้ง, ความกรุณา, ใจถ่อม, ความอ่อนสุภาพ, และความอดกลั้นไว้นาน.” (โกโลซาย 3:12, ล.ม.) แต่จริง ๆ แล้วความอ่อนโยนมีอะไรรวมอยู่ด้วย? ทำไมการเป็นคนใจอ่อนโยนจึงเป็นประโยชน์? และคุณสมบัติอย่างนี้ส่งเสริมความสุขแก่เราอย่างไร?
การพิจารณาความอ่อนโยนอย่างละเอียด
5. อาจนิยามความอ่อนโยนอย่างไร?
5 คนใจอ่อนโยนเป็นคนนุ่มนวลและมีการประพฤติที่อ่อนสุภาพ. ในคัมภีร์ไบเบิลบางฉบับปรากฏว่าคำที่ถูกนำมาแปลว่า “อ่อนสุภาพ,” “อ่อนโยน,” “ใจอ่อนโยน” และ “สุภาพ” นั้นคือคำคุณศัพท์ ปราอีสʹ. คำคุณศัพท์ ปราอีสʹ นี้ในภาษากรีกโบราณอาจหมายถึงลมพัดเอื่อย ๆ หรือเสียงแผ่วเบา. อนึ่ง คำนี้ยังอาจหมายถึงคนสุภาพอ่อนน้อม. ดับเบิลยู. อี. ไวน์ ผู้ชำนาญด้านภาษากล่าวว่า “การใช้คำ [ปราอีʹเทส รูปคำนาม] นั้นประการแรกและที่สำคัญคือใช้กับพระเจ้า. ด้วยน้ำใจเช่นนั้นแหละที่ทำให้เรายอมรับวิธีดำเนินการของพระองค์ที่ปฏิบัติต่อเรานั้นว่าดี ด้วยเหตุนั้น โดยปราศจากข้อโต้แย้งหรือการทัดทาน คำนี้จึงเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับคำทาเพอีโนโฟรซุเน [ความถ่อมตัว].”
6. เหตุใดจึงอาจกล่าวได้ว่าความอ่อนโยนไม่ใช่ความอ่อนแอ?
6 ความอ่อนโยนไม่ใช่ความอ่อนแอ. วิลเลียม บาร์คเลย์ ผู้ชำนาญด้านภาษาเขียนว่า “มีความอ่อนโยนแฝงอยู่ใน ปราอุส แต่เบื้องหลังความอ่อนโยนนั้นมีพลังแข็งแกร่งอย่างเหล็กกล้า.” จำต้องมีความเข้มแข็งที่จะเป็นคนอ่อนโยน. อย่างเช่น จำต้องมีความเข้มแข็งที่จะอ่อนโยนเมื่อถูกยั่วยุให้โมโห หรือเมื่อถูกข่มเหง. พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ผู้มีพระทัยอ่อนโยนได้ทรงเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้. “เมื่อพระองค์ถูกด่า พระองค์ก็ไม่ทรงด่าตอบ. เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมาน พระองค์มิได้ขู่เข็ญ แต่ทรงมอบตัวไว้กับพระองค์ [พระยะโฮวาเจ้า] ผู้ทรงพิพากษาด้วยความชอบธรรมนั้นต่อ ๆ ไป.” (1 เปโตร 2:23, ล.ม.) เช่นเดียวกันกับพระเยซูผู้ทรงมีพระทัยอ่อนโยน เราก็มั่นใจได้ว่าพระเจ้าจะทรงจัดการกับคนที่ด่าว่าและข่มเหงพวกเรา. (1 โกรินโธ 4:12, 13) เราสามารถคงไว้ซึ่งอารมณ์สงบเยือกเย็น เหมือนซะเตฟาโนที่รับการประทุษร้าย โดยสำนึกว่าถ้าเราซื่อสัตย์ พระยะโฮวาจะทรงค้ำจุนเราไว้และจะไม่ปล่อยให้สิ่งใด ๆ ยังความเสียหายถาวรแก่เรา.—บทเพลงสรรเสริญ 145:14; กิจการ 6:15; ฟิลิปปอย 4:6, 7, 13.
7. สุภาษิต 25:28 ระบุไว้อย่างไรเกี่ยวกับผู้คนซึ่งขาดความอ่อนโยน?
7 พระเยซูทรงมีพระทัยอ่อนโยน กระนั้น พระองค์ทรงสำแดงความเข้มแข็งด้วยการยืนหยัดมั่นคงเพื่อสิ่งถูกต้อง. (มัดธาย 21:5; 23:13-39) ใครก็ตามที่มี “น้ำใจของพระคริสต์” จะเป็นเหมือนพระองค์ในแง่นี้. (1 โกรินโธ 2:16) ถ้าคนเราไม่อ่อนโยน เขาก็ไม่เป็นเหมือนพระคริสต์. แต่เขาเป็นอย่างคำพรรณนาดังต่อไปนี้: “คนที่ไม่มีอำนาจบังคับระงับใจตนเองก็เป็นเหมือนเมืองที่หักพังและไม่มีกำแพงเมือง.” (สุภาษิต 25:28) ผู้ที่ขาดความอ่อนโยนดังกล่าวย่อมง่ายต่อการเพาะเลี้ยงความคิดผิด ๆ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เขากระทำอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสม. ในขณะที่คริสเตียนผู้มีน้ำใจอ่อนโยนมิใช่คนอ่อนปวกเปียก แต่เขารู้อยู่ว่า “คำตอบอ่อนหวานกระทำให้ความโกรธผ่านพ้นไป แต่คำขมเผ็ดร้อนกระทำให้โทโสพลุ่งขึ้น.”—สุภาษิต 15:1.
8. ทำไมจึงไม่ง่ายทีเดียวที่จะเป็นคนอ่อนโยน?
8 ที่จะเป็นคนอ่อนโยนนั้นไม่ง่ายเสียทีเดียว เพราะความไม่สมบูรณ์และบาปได้ตกทอดมาถึงเรา. (โรม 5:12) ถ้าเราเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวา เราก็เช่นกันจะต้องต่อสู้กับกองกำลังฝ่ายวิญญาณชั่วซึ่งอาจใช้การกดขี่ข่มเหงทดสอบความอ่อนโยนของเรา. (เอเฟโซ 6:12) และพวกเราส่วนใหญ่ทำงานอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นซึ่งมีน้ำใจเกรี้ยวกราดแบบโลกที่จมอยู่ใต้การควบคุมของพญามาร. (1 โยฮัน 5:19) ฉะนั้น เราจะพัฒนาความอ่อนโยนได้อย่างไร?
วิธีพัฒนาความอ่อนโยน
9. ทัศนะเช่นไรจะช่วยเราพัฒนาความอ่อนโยน?
9 ความมั่นใจที่อาศัยหลักคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า เราจำต้องแสดงความอ่อนโยนนั้นจะสนับสนุนเราให้พัฒนาคุณสมบัตินี้. วันต่อวันเราต้องพยายามฝึกฝนปรับปรุงตัวให้เป็นคนอ่อนโยน. มิฉะนั้นแล้ว เราจะเป็นอย่างผู้คนซึ่งถือว่าความอ่อนโยนเป็นเสมือนความอ่อนแอ และคิดว่าความสำเร็จต้องได้มาโดยการเป็นคนแข็งกร้าว ทรหด ดุร้ายด้วยซ้ำ. อย่างไรก็ดี พระวจนะของพระเจ้าตำหนิการถือดี และคำพูดอันคมคายก็ว่า “ชายผู้เมตตาย่อมทำดีให้เกิดแก่ [จิต] วิญญาณของเขาเอง แต่คนที่ดุร้ายย่อมทำความเดือดร้อนแก่เนื้อหนังของตนเอง.” (สุภาษิต 11:17; 16:18) ผู้คนคงไม่อยากอยู่ใกล้คนดุดัน ไร้ความปรานี พวกเขาทำเช่นนั้น ส่วนใหญ่ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกทำให้เจ็บใจเนื่องด้วยความโหดเหี้ยมและการขาดซึ่งความอ่อนโยนของคนนั้น.
10. หากเราจะเป็นคนอ่อนโยน เราต้องยอมตัวต่อสิ่งใด?
10 ที่จะเป็นคนอ่อนโยน เราต้องยอมตัวต่ออำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือพลังปฏิบัติการของพระเจ้า. พระยะโฮวาทรงบันดาลให้แผ่นดินผลิตพืชผลฉันใด พระองค์ก็สามารถทำให้ผู้รับใช้ของพระองค์เกิดผลแห่งพระวิญญาณได้ฉันนั้น ทั้งนี้รวมไปถึงความอ่อนโยนด้วย. เปาโลเขียนอย่างนี้: “ผลของพระวิญญาณนั้นคือ ความรัก, ความยินดี, สันติสุข, ความอดกลั้นไว้นาน, ความปรานี, ความดี, ความสัตย์ซื่อ, [ความเชื่อ, ล.ม.], ความอ่อนสุภาพ, และการรู้จักบังคับตน. การเช่นนั้นไม่มีพระบัญญัติห้ามเลย.” (ฆะลาเตีย 5:22, 23) จริงทีเดียว ความสุภาพอ่อนโยนเป็นผลประการหนึ่งแห่งพระวิญญาณของพระเจ้าซึ่งแสดงให้ประจักษ์โดยผู้คนเหล่านั้นซึ่งเป็นที่ชอบพระทัยพระองค์. (บทเพลงสรรเสริญ 51:9, 10) และความอ่อนโยนช่างก่อผลเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงไร! ยกตัวอย่าง: มีชายอันธพาลคนหนึ่งชื่อโทนี เขาเคยต่อสู้ ปล้น ลักลอบขนยาเสพย์ติด เป็นหัวโจกแก๊งมอเตอร์ไซค์ และเคยติดคุกด้วย. กระนั้น เมื่อเขาได้มาเรียนรู้คัมภีร์ไบเบิลพร้อมกับความช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระเจ้า เขาเปลี่ยนนิสัยกลายมาเป็นผู้รับใช้ที่สุภาพอ่อนโยนของพระยะโฮวา. ประวัติของโทนีเป็นตัวอย่าง. ถ้าเช่นนั้นคนเราจะทำอะไรได้ล่ะถ้าการขาดความอ่อนโยนเป็นลักษณะเด่นแห่งบุคลิกภาพของเขา?
11. การอธิษฐานมีบทบาทเช่นไรในการพัฒนาความอ่อนโยน?
11 การอธิษฐานจากใจจริงเพื่อจะได้รับพระวิญญาณของพระเจ้า และเพื่อผลแห่งพระวิญญาณคือความอ่อนโยนจะช่วยเราฝึกฝนตัวเองให้มีคุณลักษณะนี้. เราอาจจะต้อง “ขอต่อ ๆ ไป” ดังที่พระเยซูตรัสไว้ และพระเจ้ายะโฮวาจะทรงตอบคำทูลขอของเรา. หลังจากได้ทรงชี้แจงว่าบิดาที่เป็นปุถุชนให้สิ่งดีแก่บุตร พระเยซูตรัสว่า “เหตุฉะนั้น ถ้าท่านเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่คนทั้งปวงที่ขอจากพระองค์!” (ลูกา 11:9-13) การอธิษฐานสามารถช่วยเราปลูกฝังความอ่อนโยนให้เป็นลักษณะถาวรประจำใจของเรา—คุณลักษณะซึ่งจะส่งเสริมความสุขให้กับตัวเองและสำหรับผู้ที่เราติดต่อคบหาด้วย.
12. ทำไมการระลึกอยู่เสมอว่ามนุษย์เราไม่สมบูรณ์อาจช่วยเราเป็นคนอ่อนโยนได้?
12 การจดจำอยู่เสมอว่ามนุษย์เราไม่สมบูรณ์จะช่วยเราเป็นคนอ่อนโยนได้. (บทเพลงสรรเสริญ 51:5) เราไม่อาจคิดหรือปฏิบัติได้สมบูรณ์ครบถ้วนทุกประการ คนอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน ฉะนั้น จึงเป็นที่แน่นอนว่าเราน่าจะมีความร่วมรู้สึกและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างที่เราอยากให้เขาปฏิบัติต่อเรา. (มัดธาย 7:12) โดยตระหนักว่า พวกเราทุกคนต่างก็พลาดพลั้งเราจึงควรให้อภัยและมีใจอ่อนโยนเมื่อเกี่ยวข้องกับผู้อื่น. (มัดธาย 6;12-15; 18:21, 22) เราสำนึกบุญคุณทีเดียวมิใช่หรือที่พระเจ้าทรงสำแดงความรักและความอ่อนโยนต่อพวกเรา?—บทเพลงสรรเสริญ 103:10-14.
13. เราอาจรับการช่วยเหลือวิธีใดที่จะปลูกฝังความอ่อนโยน ถ้าเรารับรู้ว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีเจตจำนงเสรีทางศีลธรรม?
13 การรับรู้ว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีเจตจำนงเสรีด้านศีลธรรมก็จะช่วยเราฝึกฝนตนเป็นคนอ่อนโยนได้เช่นกัน. ทั้งนี้ไม่เปิดโอกาสให้ใครต่อใครละเลยกฎหมายของพระยะโฮวา แล้วจะไม่ถูกลงโทษ แต่เจตจำนงเสรียอมให้มีความแตกต่างในรสนิยม ความชอบและไม่ชอบมีอยู่ท่ามกลางไพร่พลของพระองค์. ดังนั้น ให้เรารับรู้ว่าไม่มีใครจำต้องทำตัวให้เข้ากับแบบอย่างที่เราอาจเห็นว่าดีที่สุด. น้ำใจแบบนี้จะช่วยเราเป็นคนอ่อนโยน.
14. เกี่ยวเนื่องกับความอ่อนโยน เราน่าจะมุ่งมั่นตั้งใจทำอะไร?
14 ความแน่วแน่ตั้งใจไม่เลิกเป็นคนใจอ่อนโยนจะช่วยเราปรับปรุงคุณลักษณะนี้ต่อ ๆ ไป. การยอมอยู่ใต้อำนาจชักจูงแห่งพระวิญญาณของพระยะโฮวาก่อให้เกิดการเปลี่ยนแนวความคิดของเรา. (โรม 12:2) ขณะนี้ใจอ่อนโยนเยี่ยงพระคริสต์ช่วยยับยั้งเราอยู่แล้วจากการเข้าร่วมใน “ความประพฤติอันหละหลวม, ราคะตัณหา, ดื่มเหล้าองุ่นมากเกินไป, สำมะเลเทเมา, แข่งขันประชันกันดื่ม, และการไหว้รูปเคารพซึ่งเป็นการผิดกฎหมาย.” เราต้องไม่สละความอ่อนโยนเพื่อเห็นแก่เงิน สังคม หรือด้วยเหตุผลอื่นหรือเพราะผู้คนด่าทอเนื่องจากเรามีคุณธรรม. (1 เปโตร 4:3-5, ล.ม.) เราต้องไม่ปล่อยให้สิ่งใด ๆ ทำให้เราปฏิบัติ “การของเนื้อหนัง” จนเราสูญเสียความอ่อนโยนและพลาดโอกาสจะอยู่ภายใต้การปกครองราชอาณาจักรหรือไม่อาจชื่นชมกับพระพรนานาประการแห่งราชอาณาจักร. (ฆะลาเตีย 5:19-21) จงให้เราทะนุถนอมสิทธิพิเศษของการเป็นคนอ่อนโยนของพระเจ้าตลอดไป ไม่ว่าเป็นผู้ถูกเจิมเพื่อรับชีวิตฝ่ายสวรรค์หรือมีความหวังอยู่บนแผ่นดินโลก. เพื่อจะบรรลุได้ ขอให้เราพิจารณาคุณประโยชน์บางประการเกี่ยวกับความอ่อนโยน.
คุณประโยชน์ของความอ่อนโยน
15. ตามที่กล่าวในสุภาษิต 14:30 ทำไมจึงนับว่าสุขุมที่จะเป็นคนอ่อนโยน?
15 คนอ่อนโยนมีจิตใจสงบ, สุขุม, ไม่ฉุนเฉียว. ทั้งนี้เพราะเขาไม่เข้าร่วมกับการทะเลาะวิวาท หรือรู้สึกขุ่นเคืองต่อการกระทำของคนอื่น หรือทรมานตัวเองด้วยความวิตกกังวลไม่ละลด. ความอ่อนโยนช่วยเขาระงับอารมณ์ได้ และสิ่งนี้เป็นประโยชน์ทางด้านจิตใจและร่างกาย. ภาษิตข้อหนึ่งว่าดังนี้: “ใจที่สงบเป็นความจำเริญชีวิตฝ่ายกาย.” (สุภาษิต 14:30) การขาดความอ่อนโยนอาจทำให้เกิดโทโสอันเป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูงขึ้นหรือเป็นโรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารก็ได้ หรือเป็นหืด โรคทางตาและปัญหาอื่น ๆ. คริสเตียนที่อ่อนโยนได้รับผลประโยชน์หลายอย่างต่าง ๆ กัน รวมทั้ง “สันติสุขแห่งพระเจ้า” ซึ่งคุ้มครองหัวใจและอำนาจในการคิดของเขา. (ฟิลิปปอย 4:6, 7) นับว่าสุขุมเพียงไรที่จะเป็นคนอ่อนโยน!
16-18. ความอ่อนโยนส่งผลกระทบเช่นไรต่อความสัมพันธ์ระหว่างตัวเรากับผู้อื่น?
16 คุณลักษณะแห่งความอ่อนโยนปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้อื่นให้ดีขึ้น. บางทีเราอาจเคยมีนิสัยบีบบังคับจะเอาให้ได้ตามที่ต้องการ. คนอื่นอาจโมโหเราก็ได้เพราะเราขาดความถ่อมใจและความอ่อนโยน. ในกรณีเช่นนั้น เราไม่น่าแปลกใจหากเราเองเข้าไปพัวพันในการโต้แย้งครั้งแล้วครั้งเล่า. อย่างไรก็ตาม มีภาษิตข้อหนึ่งว่า “ที่ไหนไม่มีฟืนไฟก็ดับ และที่ไหนที่ไม่มีคนปากบอน การทะเลาะวิวาทก็หมดไป. ถ่านเป็นเชื้อเพลิงและฟืนเป็นเชื้อไฟฉันใด คนที่มักทะเลาะวิวาทก็เป็นเชื้อให้เกิดการวิวาทกันฉันนั้น.” (สุภาษิต 26:20, 21) ถ้าเรามีใจอ่อนโยน แทนที่จะ ‘เติมฟืนใส่ไฟ’ และยั่วยุคนอื่น เรากลับจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา.
17 คนอ่อนโยนมักจะได้เพื่อนดี. ผู้คนชอบคบหากับคนอ่อนโยนเพราะเขามีทัศนะในเชิงก่อ และถ้อยคำของเขาก็ยังความสดชื่นและหวานปานน้ำผึ้ง. (สุภาษิต 16:24) พระเยซูเป็นเช่นนี้จริง พระองค์สามารถตรัสดังนี้: “จงรับแอกของเราไว้บนเจ้าทั้งหลาย และมาเป็นสาวกของเรา เพราะว่าเรามีจิตใจอ่อนโยนและหัวใจถ่อม และเจ้าจะได้ความสดชื่นสำหรับจิตวิญญาณของเจ้า. เพราะแอกของเราก็พอเหมาะและภาระของเราก็เบา.” (มัดธาย 11:29, 30, ล.ม.) พระเยซูไม่ทรงเกรี้ยวกราด และแอกของพระองค์ไม่หนักจนเหลือบ่ากว่าแรง. ผู้ที่เข้ามาหาพระองค์ได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดี และได้รับความสดชื่นฝ่ายวิญญาณ. สภาพการณ์เป็นในทำนองเดียวกันเมื่อเราติดต่อคบหากับเพื่อนคริสเตียนที่มีจิตใจอ่อนโยน.
18 ความอ่อนโยนทำให้เราเป็นที่รักใคร่ของเพื่อนร่วมความเชื่อ. โดยไม่สงสัย คริสเตียนส่วนใหญ่ในเมืองโกรินโธนิยมชมชอบเปาโลเพราะท่านได้ปฏิบัติต่อพวกเขา “โดยความอ่อนโยนและกรุณาของพระคริสต์.” (2 โกรินโธ 10:1, ล.ม.) เป็นที่แน่นอนว่า ชาวเธซะโลนิเกคงได้แสดงความเชื่อฟังอัครสาวก เนื่องจากท่านเป็นครูที่อ่อนโยนและสุภาพ. (1 เธซะโลนิเก 2:5-8) ไม่มีข้อสงสัยที่ผู้ปกครองในประชาคมเอเฟโซได้เรียนจากเปาโลมากมายและแสดงความรักต่อท่านอย่างสนิทสนม. (กิจการ 20:20, 21, 37, 38) คุณแสดงความอ่อนโยนหรือเปล่าจนคุณกลายเป็นที่รักใคร่ของคนอื่น ๆ?
19. ความอ่อนโยนช่วยไพร่พลของพระยะโฮวาอย่างไรเพื่อคงไว้ซึ่งฐานะของตนภายในองค์การของพระองค์?
19 จิตใจที่อ่อนโยนส่งเสริมไพร่พลของพระยะโฮวาให้เป็นคนนอบน้อมเชื่อฟังและคงไว้ซึ่งฐานะของตนในองค์การของพระเจ้า. (ฟิลิปปอย 2:5-8, 12–14; เฮ็บราย 13:17) ความอ่อนโยนจะเหนี่ยวรั้งเราไว้จากการแสวงหาบารมี ซึ่งอาศัยความทะนงตนอวดดีและเป็นการกระทำที่พระเจ้าทรงรังเกียจ. (สุภาษิต 16:5) ความอ่อนโยนจะไม่ถือตัวเหนือกว่าเพื่อนร่วมความเชื่อ ทั้งไม่พยายามเอารัดเอาเปรียบพี่น้องเพื่อตัวเองจะเด่นดัง. (มัดธาย 23:11, 12) แทนที่จะทำเช่นนั้น เขารับรู้สภาพของตัวเองที่เป็นคนบาปและจำเป็นต้องรับเอาการจัดเตรียมของพระเจ้าเรื่องค่าไถ่.
ความอ่อนโยนส่งเสริมให้เกิดความสุข
20. ความอ่อนโยนมีผลกระทบอย่างไรต่อชีวิตครอบครัว?
20 บรรดาผู้รับใช้ของพระเจ้าควรระลึกว่า ความอ่อนโยนเป็นผลแห่งพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งส่งเสริมให้เกิดความสุข. ยกตัวอย่าง เพราะเหตุที่ไพร่พลของพระยะโฮวาแสดงคุณลักษณะต่าง ๆ ให้ปรากฏเช่นความรัก และความอ่อนโยน สภาพครอบครัวของเขามีความสุข. เมื่อสามีภรรยาปฏิบัติต่อกันและกันอย่างอ่อนละมุน บุตรของเขาย่อมรับการอบรมเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่สงบ ไม่ใช่ในครอบครัวที่ใช้วาจาและปฏิบัติอย่างหยาบคายต่อกัน. เมื่อบิดาให้คำแนะนำแก่บุตรอย่างนุ่มนวล การทำเช่นนี้มีผลกระทบที่ดีต่อจิตใจของผู้เยาว์ และน้ำใจที่อ่อนโยนก็คงจะกลายเป็นส่วนแห่งบุคลิกภาพของเขา. (เอเฟโซ 6:1-4) ความอ่อนโยนส่งเสริมสามีให้รักภรรยาของตนตลอดไป. ความอ่อนโยนกระตุ้นภรรยาให้นอบน้อมยอมฟังสามีและกระตุ้นบุตรให้เชื่อฟังบิดามารดา. อนึ่ง ความอ่อนโยนทำให้สมาชิกครอบครัวมีน้ำใจให้อภัยซึ่งกันและกันอันเป็นปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้เกิดความสุข.—โกโลซาย 3:13, 18–21.
21. โดยแก่นแท้แล้ว อัครสาวกเปาโลให้คำแนะนำอะไรไว้ตามที่กล่าวในเอเฟโซ 4:1-3?
21 ครอบครัวก็ดีหรือแต่ละบุคคลก็ดีที่มีน้ำใจอ่อนโยนส่งเสริมความสุขในประชาคมที่ตนร่วมอยู่. เหตุฉะนั้น ไพร่พลของพระยะโฮวาจึงต้องพยายามอย่างจริงจังที่จะเป็นคนอ่อนโยน. คุณทำอย่างนั้นไหม? อัครสาวกเปาโลขอร้องเพื่อนคริสเตียนผู้ถูกเจิมให้ดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสมคู่ควรกับการทรงเรียกสำหรับภาคสวรรค์ กระทำด้วย “ใจถ่อมลงทุกอย่าง ด้วยใจอ่อนสุภาพ ด้วยอดกลั้นใจและผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกันด้วยความรัก. จงเพียรพยายามเอาสันติสุขผูกมัดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันซึ่งพระวิญญาณทรงประทานให้นั้น.” (เอเฟโซ 4:1-3) คริสเตียนที่มีความหวังจะได้ชีวิตบนแผ่นดินโลกก็ต้องแสดงความอ่อนโยนและคุณลักษณะต่าง ๆ เยี่ยงพระเจ้าเช่นเดียวกัน. นี่แหละคือแนวทางที่จะให้เกิดความสุขแท้. แน่นอน ความสุขมีแก่คนอ่อนโยน!
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ เพราะเหตุใด คนอ่อนโยนจึงมีความสุข?
▫ การเป็นคนอ่อนโยนหมายความถึงอะไร?
▫ จะพัฒนาความอ่อนโยนได้โดยวิธีใด?
▫ คุณประโยชน์ของความอ่อนโยนมีอะไรบ้าง?