“ผู้ดูแลต้อง . . . รู้จักบังคับตน”
“ผู้ดูแลต้อง . . . รู้จักบังคับตน.”—ติโต 1:7, 8, ล.ม.
1, 2. วิลเลียมแห่งโอเรนจ์ได้ให้ตัวอย่างอะไรเกี่ยวกับการหักห้ามใจตน และมีผลอะไรอันเป็นคุณประโยชน์?
ประวัติศาสตร์ให้ตัวอย่างที่น่าทึ่งที่สุดไว้ตัวอย่างหนึ่งเกี่ยวข้องกับการหักห้ามใจ. กลางศตวรรษที่ 16 เจ้าชายวิลเลียมแห่งโอเร็นจ์ชาวดัทช์ทรงออกป่าล่าสัตว์กับกษัตริย์เฮนรีที่สองแห่งฝรั่งเศส. กษัตริย์เฮนรีได้เผยกับเจ้าชายวิลเลียมว่า ตนพร้อมด้วยกษัตริย์แห่งสเปนวางแผนกำจัดคนนับถือนิกายโปรเตสแตนต์ทุกคนในประเทศฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์—ที่จริง ทั่วทั้งคริสต์ศาสนจักร. กษัตริย์เฮนรีนึกว่าวิลเลียมเจ้าชายหนุ่มองค์นี้ทรงเลื่อมใสศาสนาคาทอลิกเช่นเดียวกับตนเอง ดังนั้น จึงได้เผยแผนการนั้นในรายละเอียดทุกอย่าง. เรื่องที่วิลเลียมได้ยินยังความตระหนกอย่างยิ่งเพราะเพื่อนสนิทของเขาหลายคนเป็นโปรเตสแตนต์ แต่เขามิได้แสดงความรู้สึกใด ๆ ออกนอกหน้า แต่กลับแสดงความสนใจมากในรายละเอียดทุกอย่างที่กษัตริย์เปิดเผย.
2 อย่างไรก็ดี ทันทีที่เจ้าชายวิลเลียมสามารถดำเนินการได้ เขาเริ่มคิดวางแผนซ้อนเพื่อขัดขวางอุบายนั้น และในที่สุด การทำเช่นนั้นได้ช่วยชาวเนเธอร์แลนด์พ้นจากการควบคุมของชาวคาทอลิกในสเปน. เนื่องจากวิลเลียมสามารถสำแดงการรู้จักบังคับตนเมื่อได้ยินได้ฟังแผนร้ายนี้ในตอนแรก ต่อมาเขาได้ฉายาว่า “วิลเลียมผู้เงียบขรึม.” วิลเลียมแห่งโอเร็นจ์ประสบความสำเร็จถึงขนาดมีการกล่าวว่า “เขาเป็นผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐดัทช์อิสระและยิ่งยง.”
3. ใครได้ประโยชน์เมื่อคริสเตียนผู้ปกครองแสดงการรู้จักบังคับตน?
3 โดยเหตุที่เขาหักห้ามใจเช่นนั้น วิลเลียมผู้เงียบขรึมจึงยังประโยชน์ใหญ่หลวงแก่ตนเองและเพื่อนร่วมชาติ. เมื่อเปรียบเทียบกัน ในเวลานี้คริสเตียนฐานะผู้ปกครองหรือผู้ดูแลก็น่าจะสำแดงการรู้จักบังคับตนอันเป็นผลแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์. (ฆะลาเตีย 5:22, 23) โดยการสำแดงคุณลักษณะนี้ พวกผู้ดูแลก่อประโยชน์แก่ตัวเองและแก่ประชาคม. ในทางตรงกันข้าม การที่ผู้ปกครองไม่แสดงการรู้จักบังคับตนอาจก่อความเสียหายเหลือคณา.
การรู้จักบังคับตน—สิ่งจำเป็นสำหรับผู้ปกครอง
4. เปาโลให้คำแนะนำอะไรซึ่งเน้นเรื่องความจำเป็นสำหรับผู้ปกครองพึงแสดงการรู้จักบังคับตน?
4 เปาโลเองซึ่งเป็นผู้ปกครอง หยั่งรู้ค่าความสำคัญของการรู้จักบังคับตน. เมื่อให้คำแนะนำพวกผู้ปกครองจากเมืองเอเฟโซที่มาหาท่าน ท่านได้กำชับว่า “จงเอาใจใส่ตัวท่าน และฝูงแกะทั้งสิ้น.” ในบรรดาการเหล่านั้น การเอาใจใส่ตัวเองรวมเอาความจำเป็นที่พึงรู้จักบังคับตน ระวังการประพฤติของตัวเอง. เมื่อเขียนถึงติโมเธียว เปาโลได้ชี้ถึงจุดเดียวกันโดยกล่าวดังนี้: “จงเอาใจใส่ตัวท่าน และคำสอนของท่านอยู่เสมอ.” คำแนะนำดังกล่าวแสดงว่าเปาโลรับรู้ถึงเรื่องความโน้มเอียงของมนุษย์ซึ่งบางคนอาจนึกถึงงานประกาศสั่งสอนมากกว่าการปฏิบัติในสิ่งที่เขาสอน. ดังนั้น ก่อนอื่นท่านจึงเน้นให้เขาเอาใจใส่ตัวเอง.—กิจการ 20:28; 1 ติโมเธียว 4:16, ล.ม
5. คริสเตียนผู้ปกครองได้รับการแต่งตั้งโดยวิธีใด และคุณวุฒิของพวกเขาได้รับการบันทึกไว้ในพระธรรมเล่มใด?
5 ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บทบาทของผู้ดูแลตามหลักการของคัมภีร์ไบเบิลก็แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นเป็นลำดับ. ทุกวันนี้ เราเข้าใจแล้วว่าการเป็นผู้ดูแลนั้นเป็นฐานะซึ่งคนเราได้รับด้วยการแต่งตั้ง. ผู้ดูแลได้รับการแต่งตั้งโดยคณะกรรมการปกครองแห่งพยานพระยะโฮวาหรือจากตัวแทนกรรมการปกครองโดยตรง. ส่วนคณะกรรมการปกครองเป็นตัวแทน “บ่าวสัตย์ซื่อและสุขุมรอบคอบ” อีกทีหนึ่ง. (มัดธาย 24:45-47) คุณวุฒิสำหรับคริสเตียนผู้ซึ่งถูกแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลหรือผู้ปกครองนั้น ส่วนใหญ่แล้ว อัครสาวกเปาโลให้ไว้ที่ 1 ติโมเธียว 3:1-7 และติโต 1:5-9.
6, 7. คุณวุฒิเฉพาะอย่างของผู้ปกครองมีอะไรบ้างที่เรียกร้องการรู้จักบังคับตน?
6 เปาโลกล่าวไว้ที่ 1 ติโมเธียว 3:2, 3 ว่า ผู้ดูแลต้องเป็นคนรู้จักประมาณตนในนิสัยต่าง ๆ. ข้อนี้และความจำเป็นสำหรับผู้ปกครองที่พึงเป็นคนมีระเบียบย่อมเรียกร้องเอาการรู้จักบังคับตน. ผู้ชายที่มีคุณวุฒิจะเป็นผู้ดูแลจึงไม่ใช่นักเลงหัวไม้และชอบทะเลาะ. ข้อกำหนดเหล่านี้ก็เรียกร้องเช่นกันว่า ผู้ปกครองพึงเป็นคนรู้จักบังคับตน. ยิ่งกว่านั้น เพื่อผู้ปกครองจะไม่เป็นนักเลงสุราและดื่มเหล้าองุ่นมาก เขาต้องสำแดงการรู้จักบังคับตน.—ดูเชิงอรรถที่ 1 ติโมเธียว 3:2, 3.
7 ที่ติโต 1:7, 8 เปาโลกล่าวเจาะจงว่าผู้ดูแลต้องเป็นผู้ที่รู้จักบังคับตน. แต่โปรดสังเกตดูว่าข้อเรียกร้องอื่น ๆ หลายข้อซึ่งลงไว้ในข้อเหล่านี้รวมเอาการบังคับตนด้วย. ตัวอย่างเช่น ผู้ดูแลต้องพ้นจากข้อกล่าวหา คือเป็นคนที่ไม่มีใครติได้. เป็นสิ่งแน่นอนว่าผู้ปกครองจะไม่บรรลุข้อเรียกร้องเหล่านั้น เว้นแต่ว่าเขาสำแดงการรู้จักบังคับตน.
เมื่อเกี่ยวข้องกับคนอื่น
8. ผู้ปกครองจำต้องประกอบด้วยคุณวุฒิอะไรบ้างเมื่อให้คำแนะนำซึ่งเน้นหนักถึงความจำเป็นของการรู้จักบังคับตน?
8 อีกอย่างหนึ่ง ผู้ดูแลจำต้องเป็นคนอดกลั้นทนนานขณะที่ติดต่อเกี่ยวข้องกับเพื่อนร่วมความเชื่อ และการเช่นนี้เรียกร้องเอาการรู้จักบังคับตน. ยกตัวอย่าง ที่ฆะลาเตีย 6:1 (ล.ม.) เราอ่านว่า “พี่น้องทั้งหลาย ถ้าแม้นผู้ใดก้าวพลาดประการใดก่อนที่เขารู้ตัว ท่านทั้งหลายผู้มีคุณวุฒิทางฝ่ายวิญญาณ [ผู้ปกครองเป็นอันดับแรก] จงพยายามปรับคนเช่นนั้นให้เข้าที่ด้วยน้ำใจอ่อนสุภาพ ขณะที่ท่านแต่ละคนเฝ้าระวังตัวเอง เกรงว่าท่านอาจถูกล่อใจด้วย.” ที่จะสำแดงน้ำใจอ่อนสุภาพย่อมต้องมีการรู้จักบังคับตน. การเฝ้าระวังตัวเองเรียกร้องเอาการรู้จักบังคับตนด้วยเช่นกัน. ทำนองเดียวกัน เมื่อผู้มีความทุกข์เดือดร้อนมาขอร้องความช่วยเหลือจากผู้ปกครอง การรู้จักบังคับตนนับว่าสำคัญมาก. ไม่ว่าผู้ปกครองจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับคน ๆ นั้น แต่เขาก็ต้องแสดงความกรุณา ความอดทนและความเห็นอกเห็นใจ. แทนที่จะให้คำแนะนำทันที ผู้ปกครองต้องเต็มใจรับฟังเพื่อจะรู้ความในใจของผู้นั้นว่าจริง ๆ แล้วอะไรคือสาเหตุแห่งความทุกข์เดือดร้อนของเขา.
9. ผู้ปกครองควรระลึกถึงคำแนะนำข้อใดเมื่อดำเนินการกับพี่น้องที่คลุ้มคลั่ง?
9 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจัดการกับคนคลุ้มคลั่ง การใช้คำแนะนำจากยาโกโบ 1:19 นับว่าเหมาะที่ว่า “จงรู้ข้อนี้ พี่น้องของข้าพเจ้า. ทุกคนจำต้องไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ.” โดยเฉพาะขณะเผชิญกับทีท่าอาการโมโหหรืออารมณ์เสีย ผู้ปกครองต้องระมัดระวัง ไม่แสดงอาการตอบโต้ด้วยอารมณ์ร้อนหรือโมโห. จำต้องมีการรู้จักบังคับตนเพื่อจะไม่ปะทะคารมอย่างเผ็ดร้อน ไม่ “ทำชั่วตอบแทนการชั่ว.” (โรม 12:17) ที่จะใช้วิธีเดียวกันตอบโต้ยิ่งทำให้เรื่องร้ายซ้ำหนักเข้าไปอีก. ฉะนั้น อีกครั้งหนึ่งพระวจนะของพระเจ้าให้คำแนะนำที่ดีแก่ผู้ปกครอง เป็นข้อเตือนใจดังนี้: “คำตอบอ่อนหวานกระทำให้ความโกรธผ่านพ้นไป.”—สุภาษิต 15:1.
การรู้จักบังคับตนในการประชุมผู้ปกครองและในการพิจารณาตัดสิน
10, 11. เคยมีเหตุการณ์ทำนองใด ณ การประชุมของพวกผู้ปกครองซึ่งแสดงถึงความจำเป็นที่ต้องสำแดงการรู้จักบังคับตนในวาระเช่นนั้น?
10 อีกขอบเขตหนึ่งซึ่งคริสเตียนผู้ดูแลจำต้องระวังระไวรู้จักบังคับตนคือในระหว่างการประชุมของคณะผู้ปกครอง. บางครั้งการพูดอย่างสงบใจเพื่อสนับสนุนความจริงและความเป็นธรรมนั้นจำต้องรู้จักบังคับตนมิใช่น้อย. นอกจากนั้น เมื่อปรึกษาหารือกันก็ยังต้องรู้จักบังคับตนเพื่อหลีกเลี่ยงความพยายามจะพูดเสียคนเดียว. ยามใดผู้ปกครองมีนิสัยเอนเอียงในทางนี้ ก็คงจะเป็นความกรุณาถ้าผู้ปกครองอีกคนหนึ่งพึงให้คำแนะนำแก่เขา.—เทียบ 3 โยฮัน 9.
11 และอีกอย่างหนึ่ง ณ การประชุมของคณะผู้ปกครอง ผู้ปกครองคนหนึ่งที่กระตือรือร้นมากไปอาจปล่อยให้อารมณ์ควบคุมเขา บางทีพูดเสียงดังในลักษณะตื่นเต้น. อากัปกิริยาเช่นนั้นแสดงให้เห็นว่าช่างไม่รู้จักบังคับตนเสียเลยทีเดียว! อาการดังกล่าวโดยแท้แล้วบ่งบอกถึงความพ่ายแพ้ของตัวเองเป็นทวีคูณ. อย่างหนึ่งก็คือ เมื่อคนเราขาดการรู้จักบังคับตน ข้อเสนอของเขาก็ไม่สู้จะมีน้ำหนัก โดยการปล่อยอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล. อีกอย่างหนึ่ง เมื่อคนเราเกิดพื้นเสียขึ้นมา เขามักจะทำให้เพื่อนผู้ปกครองไม่สบายใจหรือเป็นปฏิปักษ์กับเพื่อนผู้ปกครองเสียเอง. นอกจากนั้น หากคณะผู้ปกครองไม่ระมัดระวัง ความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างรุนแรงอาจเป็นเหตุให้เกิดการแตกแยกกันในคณะ. ทั้งนี้ย่อมเกิดความเสียหายแก่พวกผู้ปกครองและต่อประชาคมด้วย.—เทียบกับกิจการ 15:36-40.
12. ผู้ปกครองต้องระมัดระวังที่จะสำแดงการรู้จักบังคับตนเมื่อจัดการกับสภาพเช่นไร?
12 อนึ่ง การรู้จักบังคับตนเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับผู้ปกครองที่จะหลีกเลี่ยงการเป็นคนเลือกที่รักมักที่ชัง หรือการใช้อำนาจของตนในทางที่ผิด. ที่จะยอมแพ้ต่อการทดลอง ที่จะยอมให้การพิจารณาตัดสินของมนุษย์ผู้ไม่สมบูรณ์มีอิทธิพลต่อสิ่งที่คนเราพูดหรือทำนั้นง่ายเสียจริง ๆ! ครั้งแล้วครั้งเล่าทีเดียวผู้ปกครองไม่ได้จัดการให้เด็ดขาดเมื่อบุตรของตนหรือญาติบางคนกระทำผิดหรือประพฤติมิชอบ. ในสภาพการณ์ดังกล่าวจำต้องแสดงการรู้จักบังคับตนที่จะไม่ยอมให้สายเลือดขัดขวางการกระทำอันชอบธรรม.—พระบัญญัติ 10:17.
13. ทำไมการรู้จักบังคับตนเป็นสิ่งจำเป็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ปกครองขณะพิจารณาตัดสิน?
13 อีกสภาพการณ์หนึ่งซึ่งถือว่าการรู้จักบังคับตนเป็นสิ่งสำคัญมากคือขณะที่มีการพิจารณาตัดสิน. พวกผู้ปกครองต้องสำแดงการรู้จักบังคับตนให้มากเพื่อว่าเขาจะไม่ถูกอารมณ์ครอบงำเกินควร. ผู้ปกครองไม่ควรใจอ่อน ยอมโน้มน้าวไปอย่างง่ายดายกับการหลั่งน้ำตา. ขณะเดียวกันผู้ปกครองต้องระวังที่จะไม่สูญเสียความสุขุมเยือกเย็นเมื่อมีการกล่าวหาหรือมีการพูดให้ร้ายแก่ตน ซึ่งอาจเป็นได้เมื่อดำเนินการกับพวกออกหาก. ถ้อยคำของเปาโลเหมาะมากในเรื่องนี้ที่ว่า “แต่ทาสขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่จำเป็นต้องต่อสู้ แต่ต้องสุภาพต่อคนทั้งปวง.” การรู้จักบังคับตนจำเป็นจริง ๆ เพื่อจะแสดงความสุภาพภายใต้ความกดดัน. เปาโลกล่าวต่อไปเพื่อชี้ให้เห็นว่า “ทาสขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ต้อง “เหนี่ยวรั้งตัวไว้ภายใต้สภาพการณ์ที่ชั่วร้าย สั่งสอนคนที่มีแนวโน้มไม่ยินดีรับนั้นด้วยใจอ่อนสุภาพ.” ที่จะสำแดงความอ่อนสุภาพและเหนี่ยวรั้งตนขณะดำเนินการกับฝ่ายต่อต้านนั้นการรู้จักบังคับตนเป็นสิ่งจำเป็นมาก.—2 ติโมเธียว 2:24, 25, ล.ม.
การรู้จักบังคับตนกับเพศตรงข้าม
14. ผู้ปกครองควรเอาใจใส่ต่อคำแนะนำที่ดีในเรื่องใดเมื่อติดต่อเกี่ยวข้องกับเพศตรงข้าม?
14 ผู้ปกครองต้องตื่นตัวอย่างจริงจังที่จะรู้จักบังคับตนเมื่อเขาเกี่ยวข้องกับเพศตรงข้าม. ผู้ปกครองไม่น่าจะเยี่ยมเยียนให้การบำรุงเลี้ยงพี่น้องหญิงโดยลำพัง. ควรจะมีผู้ปกครองหรือผู้รับใช้ที่รับการแต่งตั้งอีกคนหนึ่งร่วมไปด้วย. ดูเหมือนว่าเปาโลหยั่งรู้ถึงปัญหาด้านนี้ ท่านจึงได้แนะนำติโมเธียวซึ่งเป็นผู้ปกครองว่า “จงเตือนพวกผู้หญิงอาวุโสเหมือนเป็นมารดา และผู้หญิงสาว ๆ เหมือนเป็นพี่สาวน้องสาวโดยความบริสุทธิ์ทั้งหมด.” (1 ติโมเธียว 5:1, 2) เคยมีผู้ปกครองบางคนจับมือถือแขนพี่น้องหญิงดุจพ่อทำต่อลูกสาว. แต่เขาอาจลวงตัวเอง เพราะแรงกระตุ้นท่าทีเช่นนั้นอาจเป็นความรักใคร่เชิงชู้สาว แทนที่จะเป็นความรักอันบริสุทธิ์ฉันพี่น้องคริสเตียน.—เทียบกับ 1 โกรินโธ 7:1.
15. เหตุการณ์หนึ่งชี้ถึงผลซึ่งทำให้พระนามของพระยะโฮวาเป็นที่ตำหนินั้นอย่างไรเมื่อผู้ปกครองไม่ได้แสดงการรู้จักบังคับตน?
15 เกิดความเสียหายต่อความจริงมากมายเพียงไรเพราะเหตุผู้ปกครองบางคนขาดการรู้จักบังคับตน เมื่อติดต่อเกี่ยวข้องกับพี่น้องหญิงในประชาคม! สองสามปีมาแล้ว ผู้ปกครองคนหนึ่งถูกตัดสัมพันธ์เพราะเขาประพฤติผิดประเวณีกับพี่น้องหญิงซึ่งสามีของเธอไม่เป็นพยานฯ. ในคืนวันนั้นที่มีการประกาศตัดสัมพันธ์คนที่เคยเป็นผู้ปกครอง สามีที่คับแค้นใจได้โผล่เข้ามาในหอประชุมพร้อมกับปืนแล้วยิงเข้าใส่คนที่กระทำผิดทั้งสองนั้น. ไม่มีใครเสียชีวิต และชายผู้นั้นถูกปลดอาวุธทันควัน กระนั้น วันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์ชั้นแนวหน้าฉบับหนึ่งได้ประโคมข่าวหน้าแรกว่า ‘มีการยิงกันในโบสถ์.’ ที่ผู้ปกครองคนนั้นขาดการบังคับเช่นนั้นทำให้ชื่อเสียงของประชาคมและพระนามของพระยะโฮวาเสื่อมเสียสักเพียงไร!
การรู้จักบังคับตนในขอบเขตอื่น ๆ
16. ทำไมผู้ปกครองต้องสำแดงการรู้จักบังคับตนเมื่อให้คำบรรยายสาธารณะ?
16 การรู้จักบังคับตนเป็นสิ่งจำเป็นมากเช่นกันเมื่อผู้ปกครองกล่าวคำบรรยายสาธารณะ. ผู้บรรยายสาธารณะควรเป็นแบบอย่างในการแสดงความมั่นใจและความสงบใจ. บางคนพยายามสร้างความขบขันแก่ผู้ฟังด้วยคำพูดที่แหลมคมหลายแบบ เพียงเพื่อมุ่งหมายจะให้ผู้ฟังหัวเราะ. การเช่นนี้อาจแสดงว่าเขายอมแพ้การล่อใจเพื่อให้ชอบใจผู้ฟัง. แน่ละ การยอมแพ้สิ่งล่อใจทุกรูปแบบเป็นการขาดการรู้จักบังคับตน. อาจกล่าวได้ว่าการบรรยายเกินเวลานั้นแสดงถึงการขาดการรู้จักบังคับตนเช่นเดียวกันกับการเตรียมตัวไม่พอนั่นเอง.
17, 18. การรู้จักบังคับตนมีบทบาทอย่างไรเมื่อผู้ปกครองจัดหน้าที่รับผิดชอบต่าง ๆ ให้สมดุล?
17 ผู้ปกครองทุกคนที่ขยันขันแข็งต้องเผชิญสิ่งท้าทายในการจัดธุระจำเป็นต่าง ๆ ที่ต้องใช้เวลาและพลังให้อยู่ในสภาพสมดุล. ที่จะไม่ทำสิ่งใด ๆ จนเลยเถิดนั้นจำเป็นต้องมีการรู้จักบังคับตน. ผู้ปกครองบางคนห่วงใยในเรื่องธุระต่าง ๆ ของประชาคมจนถึงกับละเลยครอบครัวของตน. ดังนั้น เมื่อพี่น้องหญิงคนหนึ่งคุยกับภรรยาผู้ปกครองว่า ผู้ปกครองได้เยี่ยมเยียนให้การบำรุงเลี้ยงเธอเป็นอย่างดี ภรรยาผู้ปกครองจึงออกอุทานว่า “แหม ฉันหวังว่าเขาจะเยี่ยมให้การบำรุงเลี้ยงฉันบ้างก็จะดี!”—1 ติโมเธียว 3:2, 4, 5.
18 อนึ่ง ผู้ปกครองจำต้องรู้จักบังคับตนเพื่อจะจัดเวลาให้สมดุลระหว่างการศึกษาส่วนตัวกับการใช้เวลาออกไปประกาศหรือใช้เวลาในการบำรุงเลี้ยง. เมื่อคำนึงถึงหัวใจมนุษย์ที่หลอกลวง จึงง่ายมากสำหรับผู้ปกครองจะใช้เวลามากเกินควรกับสิ่งที่เขาพบว่าน่าเพลิดเพลินที่สุด. ถ้าเขาเป็นคนชอบอ่าน เขาอาจใช้เวลากับการศึกษาส่วนตัวมากเกินสมควร. ถ้าเขาเห็นว่างานประกาศตามบ้านเรือนออกจะยากลำบากอยู่บ้าง เขาอาจหาข้ออ้างเพื่อละเลยหน้าที่นี้และให้ความสนใจต่อการบำรุงเลี้ยงแทน.
19. ผู้ปกครองมีพันธะหน้าที่อะไรซึ่งเน้นความจำเป็นของการรู้จักบังคับตน?
19 พันธะหน้าที่ในการดำรงตนเป็นคนที่ไว้ใจได้ก็เช่นกันเรียกร้องให้ผู้ปกครองเฝ้าระวังและสำแดงการรู้จักบังคับตน. คำแนะนำที่ตรงกับเรื่องนี้คือ “อย่านำเอาเรื่องภายในของเขาไปประจาน.” (สุภาษิต 25:9, ฉบับแปลใหม่) ประสบการณ์ชี้ให้เห็นว่าเรื่องนี้อาจเป็นข้อเรียกร้องประการหนึ่งสำหรับผู้ปกครองซึ่งมีการละเมิดกันมากที่สุด. ถ้าผู้ปกครองมีภรรยาที่ฉลาดและเปี่ยมด้วยความรักซึ่งตนพูดคุยปรองดองกันดี สามีอาจมีแนวโน้มอยากหารือหรือเพียงแต่เอ่ยปากบอกเรื่องที่ควรเก็บไว้เป็นความลับ. แต่ทั้งนี้ไม่เหมาะสมและไม่สุขุมอย่างยิ่ง. แรกทีเดียว เป็นการทรยศต่อความไว้วางใจ. พี่น้องชายหญิงฝ่ายวิญญาณไปพบผู้ปกครองและบอกความในใจกับผู้ปกครองเนื่องจากเขาวางใจว่าเรื่องราวเหล่านั้นจะถูกปิดเป็นความลับ ไม่มีการแพร่งพราย. การบอกเรื่องที่ถือเป็นความลับแก่ภรรยาของตนนั้นไม่ถูกต้อง ไม่สุขุมและไม่ใช่การกระทำด้วยความรัก เพราะทำให้เธอต้องแบกภาระโดยไม่จำเป็น.—สุภาษิต 10:19; 11:13.
20. ทำไมเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้ปกครองที่จะสำแดงการรู้จักบังคับตน?
20 ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ การรู้จักบังคับตนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ปกครอง! เนื่องด้วยเขาได้รับความไว้วางใจให้มีสิทธิพิเศษนำหน้าไพร่พลของพระยะโฮวา ผู้ปกครองจึงเป็นฝ่ายที่ต้องให้การต่อพระเจ้ามากขึ้น. เนื่องจากพวกเขาได้รับมาก จึงต้องเรียกร้องจากเขามาก. (ลูกา 12:48; 16:10; เทียบกับยาโกโบ 3:1.) นับว่าเป็นสิทธิพิเศษและหน้าที่ของผู้ปกครองที่จะวางตัวอย่างที่ดีสำหรับผู้อื่น. ยิ่งกว่านั้น ผู้ปกครองที่รับการแต่งตั้งอยู่ในฐานะประกอบการดีได้มากกว่าหรือจะทำความเสียหายมากกว่าคนอื่น บ่อยครั้งขึ้นอยู่กับการที่เขาสำแดงการรู้จักบังคับตนหรือไม่. ไม่แปลกที่เปาโลบอกว่า “ผู้ดูแลต้อง . . . รู้จักบังคับตน.”
คุณจำได้ไหม?
▫ ข้อเรียกร้องอะไรตามหลักพระคัมภีร์สำหรับผู้ปกครองแสดงว่าเขาต้องรู้จักบังคับตน?
▫ ทำไมการรู้จักบังคับตนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ปกครองเมื่อดำเนินการกับเพื่อนร่วมความเชื่อ?
▫ การรู้จักบังคับตนควรแสดงให้ปรากฏอย่างไร ณ การประชุมของพวกผู้ปกครอง?
▫ ความจำเป็นที่ผู้ปกครองต้องรักษาความลับเป็นการท้าทายอย่างไร?
[รูปภาพหน้า 20]
การสำแดงการรู้จักบังคับตน ณ การประชุมของผู้ปกครองเป็นสิ่งสำคัญมาก
[รูปภาพหน้า 23]
คริสเตียนผู้ปกครองต้องรู้จักบังคับตนและรักษาความลับไม่ให้แพร่งพราย