มหาอุทกภัย ในตำนานต่าง ๆ ของโลก
มหาอุทกภัยในสมัยโนฮาเป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ซึ่งล้างผลาญทำลายถึงขนาดที่มนุษยชาติจะลืมเหตุการณ์นั้นไม่ได้เลย. มากกว่า 2,400 ปีภายหลัง พระเยซูคริสต์ได้ตรัสถึงเหตุการณ์นั้นฐานะเป็นข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์. (มัดธาย 24:37-39) เหตุการณ์อันน่าประหวั่นพรั่นพรึงนี้ได้ทิ้งรอยประทับที่ลบไม่ออกไว้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์จนกระทั่งเรื่องนั้นกลายเป็นตำนานเล่ากันไปตลอดทั่วโลก.
ในหนังสือเทพนิยายเกี่ยวกับการทรงสร้าง (ภาษาอังกฤษ) ฟิลิป ฟรอนต์ กะประมาณว่ามีตำนานเรื่องมหาอุทกภัยมากกว่า 500 เรื่องที่เล่าโดยเผ่าและชนชาติต่าง ๆ มากกว่า 250 กลุ่ม. ดังที่อาจคาดหมายได้ พร้อมกับเวลาที่ผ่านไปหลายศตวรรษ ตำนานเหล่านี้ได้ถูกเสริมแต่งอย่างมากมายด้วยเหตุการณ์และบุคคลที่มโนภาพขึ้น. อย่างไรก็ดี ในตำนานทั้งหมดสามารถพบความคล้ายคลึงกันในขั้นพื้นฐานบางประการ.
ความคล้ายคลึงอันโดดเด่น
ขณะที่ประชาชนอพยพจากเมโสโปเตเมียภายหลังมหาอุทกภัย พวกเขาได้นำเอาเรื่องราวเกี่ยวกับความหายนะอันใหญ่หลวงนั้นไปยังทุกส่วนของแผ่นดินโลก. ด้วยเหตุนี้ ประชากรของเอเชีย, หมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้, อเมริกาเหนือ, อเมริกากลาง, และอเมริกาใต้จึงมีนิทานว่าด้วยเหตุการณ์อันน่าประทับใจนี้. ตำนานว่าด้วยน้ำท่วมโลกหลายเรื่องมีอยู่เป็นเวลานานก่อนที่ชนเหล่านี้ได้สัมผัสกับคัมภีร์ไบเบิล. กระนั้น ตำนานต่าง ๆ ก็มีจุดสำคัญขั้นพื้นฐานบางประการเหมือนกันกับเรื่องราวในพระคัมภีร์เกี่ยวกับน้ำท่วมโลก.
ตำนานบางเรื่องกล่าวถึงยักษ์ที่บ้าระห่ำซึ่งมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกก่อนมหาอุทกภัย. โดยเทียบเคียง พระคัมภีร์ชี้แจงว่าก่อนน้ำท่วมโลกพวกทูตสวรรค์ที่ไม่เชื่อฟังได้สวมใส่ร่างกายเนื้อหนัง อยู่กินกับพวกผู้หญิงและให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ของยักษ์ที่มีชื่อว่าเนฟิลิม.—เยเนซิศ 6:1-4; 2 เปโตร 2:4, 5.
ตามปกติ ตำนานเรื่องมหาอุทกภัยแสดงว่าบุรุษคนหนึ่งได้รับการเตือนเรื่องน้ำท่วมที่จะมาถึงโดยการบันดาลจากพระเจ้า. ตามที่มีจารึกในคัมภีร์ไบเบิล พระยะโฮวาพระเจ้าได้ทรงเตือนโนฮาว่าพระองค์จะทำลายคนชั่วและคนรุนแรง. พระเจ้าทรงแจ้งแก่โนฮาว่า “บรรดาเนื้อหนังจะศูนย์เสียไปจากหน้าของเรา ด้วยโลกเต็มไปด้วยความชั่วร้ายเพราะเขา นี่แหละ เราจะทำลายล้างผลาญเขาทั้งหลายให้พินาศทั้งแผ่นดินโลก.”—เยเนซิศ 6:13.
โดยทั่วไป ตำนานเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกบ่งชี้ว่าน้ำท่วมนั้นได้นำมาซึ่งความพินาศทั่วโลก. ในทำนองเดียวกัน พระคัมภีร์แจ้งว่า “น้ำเหล่านั้นยิ่งทวีขึ้นมากบนแผ่นดิน ภูเขาอันสูงที่อยู่ใต้ฟ้าทุกแห่งก็ท่วมหมด. บรรดาสัตว์ที่มีชีวิตโดยหายใจเข้าออกทางจมูก คือสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบกก็ตายทั้งสิ้น.”—เยเนซิศ 7:19, 22.
ตำนานเรื่องน้ำท่วมส่วนใหญ่บอกว่าชายคนหนึ่งรอดผ่านน้ำท่วมพร้อมกับอีกคนหนึ่งหรืออีกหลายคน. ตำนานหลายเรื่องเล่าถึงเขาว่าลี้ภัยอยู่ในเรือที่เขาได้สร้างขึ้น และเรือนั้นมาติดอยู่บนภูเขาลูกหนึ่ง. โดยเทียบเคียงกัน พระคัมภีร์แจ้งว่าโนฮาได้สร้างนาวาลำหนึ่ง. พระคัมภีร์แจ้งด้วยว่า “เหลืออยู่แต่โนฮาและบรรดาสัตว์ที่อยู่กับเขาในนาวานั้น.” (เยเนซิศ 6:5-8; 7:23) ตามพระคัมภีร์แล้ว ภายหลังน้ำท่วมโลก “นาวาก็ค้างอยู่ที่ยอดภูเขาอะราราด” ที่ซึ่งโนฮากับครอบครัวของท่านออกจากนาวา. (เยเนซิศ 8:4, 15-18) ตำนานต่าง ๆ บ่งชี้ด้วยว่าผู้รอดชีวิตจากน้ำท่วมได้เริ่มต้นบรรจุพลเมืองบนแผ่นดินโลกอีก ดังที่พระคัมภีร์แสดงว่าครอบครัวของโนฮาได้กระทำ.—เยเนซิศ 9:1; 10:1.
ตำนานเก่าแก่เรื่องน้ำท่วมโลก
โดยคำนึงถึงจุดสำคัญต่าง ๆ ข้างต้น ขอให้เราพิจารณาตำนานเรื่องน้ำท่วมโลกบางเรื่อง. สมมุติว่าเราตั้งต้นกับพวกซูเมอเรียน ชนโบราณผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในเมโสโปเตเมีย. คำบอกเล่าของพวกเขาเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกปรากฏบนแผ่นดินเหนียวซึ่งขุดค้นพบในซากปรักหักพังของเมืองนิพเพอร์. แผ่นดินเหนียวนี้แจ้งว่าเทพเจ้าอนูและเอ็นลิลของซูเมอเรียนได้ตัดสินจะทำลายมนุษยชาติด้วยน้ำท่วมใหญ่โตมโหฬาร. เนื่องจากได้รับการเตือนจากเทพเจ้าเอ็นคี ซีอุซูดรากับครอบครัวของเขาสามารถรอดชีวิตในเรือมหึมาลำหนึ่ง.
บทกวีเรื่องกิลกาเม็ชของบาบูโลนมีรายละเอียดหลายประการ. ตามเรื่องราวนั้น กิลกาเม็ชไปเยี่ยมอุตนาฟิชทิม บรรพบุรุษของเขาซึ่งได้รับชีวิตถาวรภายหลังรอดผ่านน้ำท่วมโลก. ในการสนทนาที่ติดตามมา อุตนาพิชทิมได้อธิบายว่า มีการสั่งให้เขาสร้างเรือ แล้วเอาฝูงสัตว์ สัตว์ป่าและครอบครัวของเขาเข้าไปในเรือนั้น. เขาสร้างเรือเป็นก้อนสี่เหลี่ยมมหึมา แต่ละด้านมีขนาด 60 เมตร โดยมีหกชั้น. เขาบอกกิลกาเม็ชว่ามีพายุนานหกวันและหกคืน และจากนั้นเขาบอกว่า “เมื่อถึงวันที่เจ็ด ลมพายุใหญ่ น้ำท่วมใหญ่ ความตกตะลึงในการต่อสู้หยุดชะงักเหมือนถูกตีพ่ายไปโดยกองทัพ. ทะเลกลับสงบ พายุอ่อนกำลังลง น้ำท่วมยุติลง. ข้าฯได้มองดูทะเล และเสียงต่าง ๆ เงียบไป. และมวลมนุษยชาติกลับกลายเป็นดินเหนียว.”
หลังจากเรือไปเกยบนภูเขานิซีร์แล้ว อุตนาพิชทิมได้ปล่อยนกพิราบตัวหนึ่งออกไปซึ่งได้กลับมายังเรือเมื่อมันหาที่อาศัยไม่ได้. ต่อจากนั้นก็ส่งนกนางแอ่นออกไปซึ่งก็กลับมาเช่นกัน. แล้วจึงปล่อยนกกาเหว่าไป และมันไม่ได้กลับมา เขาจึงทราบว่าน้ำได้ลดลงแล้ว. จากนั้นอุตนาพิชทิมได้ปล่อยพวกสัตว์ต่าง ๆ และถวายเครื่องบูชายัญ.
ตำนานที่เก่าแก่มากเรื่องนี้ค่อนข้างจะคล้ายคลึงกับเรื่องราวในพระคัมภีร์เกี่ยวกับมหาอุทกภัย. อย่างไรก็ดี ตำนานนั้นขาดรายละเอียดที่ชัดราวกับตาเห็นและความเรียบง่ายของเรื่องราวในพระคัมภีร์ และไม่แจ้งขนาดของนาวาอย่างมีเหตุผล ทั้งมิได้แจ้งช่วงเวลาที่บ่งไว้ในพระคัมภีร์. อาทิเช่น บทกวีของกิลกาเม็ชบอกว่ามีพายุนานหกวันหกคืน ส่วนพระคัมภีร์บอกว่า “ฝนห่าใหญ่ก็ตกบนแผ่นดินทั้งกลางวันกลางคืนสิ้นสี่สิบวัน”—ฝนตกหนักติดต่อกันจนกระทั่งในที่สุดทั้งลูกโลกปกคลุมไปด้วยน้ำ.—เยเนซิศ 7:12.
แม้พระคัมภีร์กล่าวถึงผู้รอดชีวิตผ่านน้ำท่วมแปดคนก็ตาม ในตำนานกรีกบอกว่าเฉพาะแต่ดิวคาลิออนกับไพร์ราภรรยาของเขารอดชีวิต. (2 เปโตร 2:5) ตามตำนานเรื่องนี้ ก่อนมหาอุทกภัยนั้นบุคคลที่บ้าระห่ำซึ่งมีฉายาว่าบุรุษทองสัมฤทธิ์อาศัยอยู่บนแผ่นดินโลก. เทพเจ้าเซอุสได้ตัดสินพระทัยจะทำลายพวกเขาด้วยน้ำท่วมใหญ่ แล้วรับสั่งดิวคาลิออนให้สร้างหีบใหญ่โตและเข้าไปอยู่ในหีบนั้น. เมื่อน้ำลด หีบมาติดอยู่บนภูเขาพาร์นาสซุส. ดิวคาลิออนและไพร์ราลงจากภูเขาแล้วตั้งต้นมีมนุษยชาติอีก.
ตำนานของตะวันออกไกล
ในอินเดีย มีตำนานเรื่องน้ำท่วมซึ่งมนูคือผู้รอดชีวิตที่เป็นมนุษย์. เขาเป็นเพื่อนกับปลาเล็กซึ่งได้เติบโตจนมีขนาดใหญ่แล้วเตือนเขาถึงน้ำท่วมที่ล้างผลาญทำลาย. มนูสร้างเรือลำหนึ่ง ซึ่งปลานั้นลากไปจนกระทั่งมันเกยอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัย. เมื่อน้ำลด มนูได้ลงจากภูเขา และพร้อมกับอิดา เครื่องบูชาของเขาซึ่งกลายมาเป็นบุคคลทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เกิดขึ้นมาใหม่.
ตามตำนานน้ำท่วมของจีนนั้น เทพเจ้าแห่งฟ้าร้องประทานฟันซี่หนึ่งให้เด็กสองคนคือนูวากับฟูซี. เขาสั่งเด็กทั้งสองให้ปลูกฟันนั้นแล้วมาหลบภัยอยู่ในน้ำเต้าซึ่งจะงอกขึ้นจากฟันนั้น. ต้นไม้งอกขึ้นทันทีจากฟันนั้นแล้วเกิดผลน้ำเต้ายักษ์. เมื่อเทพเจ้าแห่งฟ้าร้องบันดาลให้เกิดฝนตกปานฟ้ารั่ว พวกเด็กปีนเข้าไปในน้ำเต้า. แม้น้ำท่วมอันเป็นผลตามมานั้นท่วมมิดประชากรของแผ่นดินโลกนอกนั้นทั้งหมด นูวากับฟูซีรอดชีวิตและทำให้มีผู้คนอาศัยอยู่ในโลกอีก.
ในอเมริกา
ชาวอินเดียนในอเมริกาเหนือมีตำนานต่าง ๆ ซึ่งมีสาระสำคัญเหมือนกันในเรื่องน้ำท่วมที่ทำลายล้างทุกสิ่งยกเว้นไม่กี่คน. ตัวอย่างเช่น ชาวอะรีคารา ชนเผ่าคัดโด บอกว่า ครั้งหนึ่งแผ่นดินโลกมีเผ่าพันธุ์ผู้คนอาศัยอยู่ที่แข็งกร้าวถึงขนาดเขาได้เยาะเย้ยเทพเจ้าต่าง ๆ. เทพเจ้าเนซารูได้ทำลายยักษ์เหล่านี้โดยให้น้ำท่วม แต่ได้คุ้มครองประชาชนของท่าน สัตว์ต่าง ๆ และข้าวโพดไว้ในอุโมงค์. ชนเผ่าฮาวาซูไพบอกว่าเทพเจ้าโฮโคมาทาได้บันดาลให้เกิดน้ำท่วมซึ่งทำลายมนุษยชาติ. อย่างไรก็ดี บุรุษชื่อโทโชพาได้คุ้มครองลูกสาวของเขาชื่อพูเคเฮโดยผนึกเธอไว้ในโพรงท่อนไม้.
ชาวอินเดียนในอเมริกากลางและอเมริกาใต้มีตำนานเรื่องน้ำท่วมซึ่งมีความคล้ายคลึงกันขั้นพื้นฐาน. พวกมายาในอเมริกากลางเชื่อว่างูฝนขนาดใหญ่ตัวหนึ่งได้ทำลายล้างโลกด้วยน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก. ในเม็กซิโก เรื่องราวของชีมาลโพโพคาเล่าว่าน้ำได้ท่วมภูเขา. เทพเจ้าเทซคาทลีโพคาได้เตือนชายชื่อนาทา ผู้ซึ่งขุดท่อนไม้ให้เป็นโพรง ที่เขากับเนนาภรรยาได้ที่ลี้ภัยจนกระทั่งน้ำลด.
ในเปรู พวกชินชามีตำนานเรื่องน้ำท่วมห้าวันซึ่งทำลายมนุษย์ทั้งสิ้นเว้นแต่คนหนึ่งซึ่งตัวลามาที่พูดได้พาไปสู่ที่ปลอดภัยบนภูเขา. พวกอายมาราแห่งเปรูและโบลิเวียบอกว่าเทพเจ้าวีราโคชาออกมาจากทะเลสาปทิทิคาคา แล้วสร้างโลก และมนุษย์ที่แข็งแรงใหญ่โตอย่างผิดปกติ. เนื่องจากเผ่าพันธุ์แรกนี้ทำให้เขาพิโรธ วีราโคชาจึงทำลายพวกเขาด้วยน้ำท่วม.
ชาวอินเดียนทูพินามบาในบราซิลพูดถึงสมัยที่น้ำท่วมใหญ่ได้ท่วมมิดบรรพบุรุษของพวกเขาทั้งหมดยกเว้นคนเหล่านั้นที่รอดชีวิตในเรือบตหรือบนยอดต้นไม้สูง ๆ. พวกคาชีนาอูอาในบราซิล พวกมาคูชีแห่งกิอานาพวกคาริบส์แห่งอเมริกากลาง และพวกโอนาและยากันแห่งติแอร์ราเดลฟูเอโกในอเมริกาใต้อยู่ในบรรดาหลายเผ่าที่มีตำนานเรื่องน้ำท่วม.
มหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้และเอเชีย
ตลอดทั่วมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ ตำนานเรื่องน้ำท่วมโดยมีไม่กี่คนรอดชีวิตเป็นเรื่องธรรมดา. ตัวอย่างเช่น ในซามัว มีตำนานเรื่องน้ำท่วมในยุคแรก ๆ ซึ่งทำลายทุกคนยกเว้นพีลีกับภรรยาของเขา. พวกเขาประสบความปลอดภัยบนโขดหิน และภายหลังน้ำท่วม เขาทั้งสองบรรจุพลเมืองบนแผ่นดินโลกอีก. ในหมู่เกาะฮาวาย เทพเจ้าคาเนเกิดความโกรธเคืองต่อมนุษย์ และส่งน้ำท่วมมาทำลายพวกเขา. มีแต่นูʹอุที่รอดชีวิตในเรือใหญ่ซึ่งมาเกยอยู่บนภูเขาในที่สุด.
บนเกาะมินดาเนาในฟิลิปปินส์ ชาวอาทาบอกว่าครั้งหนึ่งแผ่นดินโลกปกคลุมด้วยน้ำซึ่งทำลายทุกคนยกเว้นชายสองกับหญิงหนึ่ง. พวกอีบานแห่งซาราวัก, บอร์เนียวบอกว่ามีเพียงไม่กี่คนรอดจากน้ำท่วมโดยการหนีไปยังเนินเขาสูงที่สุด. ในตำนานของเผ่าอิโกรอตของฟิลิปปินส์ เพียงแต่พี่ชายกับน้องสาวรอดชีวิตโดยการลี้ภัยบนภูเขาโพคีส.
พวกโซโยตแห่งไซบีเรีย, รัสเซีย บอกว่ากบยักษ์ซึ่งหนุนแผ่นดินโลกอยู่ขยับเขยื้อน และเป็นเหตุให้น้ำท่วมโลก. ชายชราคนหนึ่งกับครอบครัวของเรารอดชีวิตบนแพที่เขาทำขึ้น. เมื่อน้ำลด แพก็เกยอยู่บนภูเขาสูง. พวกอุกเรียนแห่งไซบีเรียตะวันตกและฮังการีบอกด้วยว่าผู้รอดชีวิตใช้แพแต่ทว่าล่องลอยไปยังส่วนต่าง ๆ ของแผ่นดินโลก.
มีที่มาจากแหล่งเดียวกัน
เราอาจลงความเป็นประการใดได้จากตำนานน้ำท่วมหลายเรื่องเหล่านี้? ถึงแม้เรื่องเหล่านั้นต่างกันในรายละเอียดเป็นส่วนใหญ่ ตำนานเหล่านั้นก็มีลักษณะเด่นที่เหมือนกันบางประการ. ลักษณะเด่นเหล่านี้บ่งชี้ถึงต้นกำเนิดในความหายนะอันใหญ่โตมโหฬารที่ลืมไม่ได้. ทั้ง ๆ ที่มีการต่อเดิมในเรื่องราวตลอดหลายศตวรรษก็ตาม สาระสำคัญที่ซ่อนแฝงอยู่เป็นเสมือนเส้นด้ายที่ผูกเรื่องเหล่านั้นเป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างเดียว—เรื่องน้ำท่วมทั่วโลกในพระคัมภีร์ที่เรียบง่าย ไม่ได้เสริมแต่ง.
เนื่องจากตำนานน้ำท่วมโลกโดยทั่วไปแล้วปรากฏอยู่ท่ามกลางชนที่มิได้สัมผัสกับพระคัมภีร์จนกระทั่งไม่กี่ศตวรรษมานี้ คงเป็นการผิดที่จะแย้งว่าเรื่องราวในพระคัมภีร์มีผลกระทบต่อคนเหล่านั้น. นอกจากนี้ สารานุกรมมาตรฐานนานาชาติเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล (ภาษาอังกฤษ) แจ้งว่า “ลักษณะที่แพร่หลายทั่วโลกของเรื่องราวน้ำท่วม ตามปกติแล้วถือเป็นหลักฐานในเรื่องความพินาศของมนุษยชาติทั่วทั้งหมดโดยน้ำท่วม . . . นอกจากนี้ เรื่องราวโบราณบางเรื่องเขียนขึ้นโดยชนที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามทีเดียวกับประเพณีแบบฮีบรูคริสเตียน.” (เล่ม 2, หน้า 319) ดังนั้น เราสามารถลงความเห็นด้วยความมั่นใจได้ว่า ตำนานเรื่องน้ำท่วมโลกยืนยันความเป็นจริงของเรื่องราวในพระคัมภีร์.
เนื่องจากเราดำรงชีวิตอยู่ในโลกที่เพียบด้วยความรุนแรงและการผิดศีลธรรม เราสมควรจะอ่านเรื่องราวในพระคัมภีร์เกี่ยวกับน้ำท่วมโลก ดังที่บันทึกในพระธรรมเยเนซิศบท 6 ตลอดถึงบท 8. หากเราคิดรำพึงถึงเหตุผลในการที่มีน้ำท่วมโลกคือ การปฏิบัติสิ่งที่ชั่วช้าในสายพระเนตรของพระเจ้าเป็นนิจสินแล้ว เราก็จะเห็นคำเตือนอันสำคัญในเรื่องนั้น.
ในไม่ช้าระบบปัจจุบันอันชั่วจะประสบการพิพากษาอันเป็นผลร้ายจากพระเจ้า. แต่เป็นที่น่ายินดี จะมีผู้รอดชีวิต. คุณอาจอยู่ในท่ามกลางพวกเขาหากคุณเอาใจใส่ฟังถ้อยคำของอัครสาวกเปโตรที่ว่า “โลกในสมัยนั้น [สมัยโนฮา] ประสบพินาศกรรมคราวถูกน้ำท่วม. แต่ว่าโดยคำตรัสอย่างเดียวกันนั้น ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกที่อยู่เดี๋ยวนี้ถูกเก็บไว้สำหรับไฟเผา และสงวนไว้จนถึงวันแห่งการพิพากษาและวันพินาศแห่งบรรดาคนที่ดูหมิ่นพระเจ้า. . . . โดยเหตุที่สิ่งทั้งปวงเหล่านี้จะต้องถูกละลายไปทั้งสิ้น ท่านทั้งหลายควรเป็นคนชนิดใดในการประพฤติอันบริสุทธิ์ และการกระทำด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า คอยท่าและคำนึงถึงวันของพระยะโฮวาเสมอ.”—2 เปโตร 3:6-12, ล.ม.
คุณจะคำนึงถึงวันของพระยะโฮวาเสมอไหม? หากคุณทำเช่นนั้น และปฏิบัติประสานกับน้ำพระทัยของพระเจ้า คุณจะได้รับพระพรมากมาย. คนเหล่านั้นที่ทำให้พระยะโฮวาพระเจ้าพอพระทัยโดยวิธีนี้สามารถมีความเชื่อในโลกใหม่ได้ ซึ่งเปโตรกล่าวพาดพิงถึงเมื่อท่านเสริมว่า “มีฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ซึ่งเรากำลังรอท่าอยู่ตามคำสัญญาของพระองค์ และซึ่งความชอบธรรมจะดำรงอยู่ที่นั่น.”—2 เปโตร 3:13, ล.ม.
[รูปภาพหน้า 7]
ตำนานเรื่องน้ำท่วมของบาบูโลนถูกถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง
[รูปภาพหน้า 8]
คุณเอาใจใส่ฟังคำเตือนของเปโตรโดยคำนึงถึงวันของพระยะโฮวาเสมอไหม?