วันสำคัญอันควรแก่การรำลึก
“เราได้บอกสิ่งเหล่านี้แก่เจ้าทั้งหลายเพื่อเจ้าจะมีสันติสุขโดยเรา. ในโลกนี้เจ้ามีความทุกข์ลำบาก แต่จงกล้าหาญเถิด! เราชนะโลกแล้ว.”—โยฮัน 16:33, ล.ม.
1, 2. วันเดียววันไหนในประวัติศาสตร์ซึ่งต่างไปจากวันอื่นทั้งหมด และเพราะเหตุใด?
โลกสมัยนี้พูดกันมากเรื่องสันติภาพ. เมื่อสิ้นสงครามโลกครั้งที่สอง มีการผนวกสันติภาพเข้ากับวันแห่งชัยชนะของพันธมิตรในยุโรป (V-E day) และวันแห่งชัยชนะของพันธมิตรเหนือญี่ปุ่น (V-J day). ในแต่ละปี วันคริสต์มาสทำให้ผู้คนนึกถึง ‘สันติภาพบนแผ่นดินโลก.’ (ลูกา 2:14) แต่มีวันเดียวเท่านั้นตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ซึ่งเด่นขึ้นหน้าวันอื่นทั้งหมด. วันนั้นก็คือวันที่พระเยซูคริสต์ตรัสถ้อยแถลงซึ่งยกขึ้นมาไว้ข้างต้น. ในจำนวนวันทั้งหลายกว่าสองล้านวันซึ่งมนุษยชาติมีชีวิตอยู่สืบมาบนแผ่นดินโลก ก็วันเดียวนี่แหละ ที่เปลี่ยนแนวทางของมนุษย์อย่างสิ้นเชิงเพื่อสิ่งดีตลอดไป.
2 วันสำคัญยิ่งนี้คือวันที่ 14 เดือนไนซานตามปฏิทินยิว. ในปีสากลศักราช 33 วันที่ 14 เดือนไนซานเริ่มต้นหลังดวงอาทิตย์ตกวันที่ 1 เมษายน. ให้เราพิจารณาเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวันนั้นซึ่งถือเป็นวันสำคัญยิ่ง.
วันที่ 14 เดือนไนซาน!
3. พระเยซูทรงใช้ช่วงท้ายที่พระองค์อยู่ในโลกให้เป็นประโยชน์อย่างไร?
3 พลบค่ำ ดวงจันทร์เต็มดวงทอแสงนวลอร่ามประหนึ่งจะเตือนใจให้รำลึกว่าพระยะโฮวาทรงกำหนดเวลาและฤดูกาล. (กิจการ 1:7) และมีอะไรเกิดขึ้น ณ ห้องชั้นบน ซึ่งพระเยซูและอัครสาวก 12 คนได้ประชุมกันเพื่อฉลองปัศคาประจำปีของชาวยิว? ขณะที่พระเยซูเตรียมตัว ‘จะไปจากโลกนี้เพื่อไปหาพระบิดา พระองค์แสดงความรักต่อคนที่อยู่ฝ่ายพระองค์จนถึงที่สุด.’ (โยฮัน 13:1) พระองค์กระทำเช่นนั้นโดยวิธีใด? โดยการกล่าวสั่งสอนและวางตัวอย่าง พระเยซูทรงปลูกฝังคุณสมบัติต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องไว้กับสาวกของพระองค์ซึ่งจะช่วยเขาชนะโลก.
สวมความถ่อมใจและความรัก
4. (ก) พระเยซูทรงแสดงให้สาวกของพระองค์เห็นคุณสมบัติพื้นฐานอย่างหนึ่งโดยวิธีใด? (ข) เราทราบอย่างไรว่าเปโตรได้เรียนรู้ความสำคัญของความถ่อมใจ?
4 พวกอัครสาวกยังจะต้องขจัดน้ำใจอิจฉาใคร่เป็นใหญ่และทิฐิซึ่งเขายังมีอยู่บ้างให้หมดไป. ฉะนั้น พระเยซูจึงทรงหยิบผ้าเช็ดตัวมาคาดเอวของพระองค์แล้วเริ่มล้างเท้าของเขา. การทำเช่นนี้ไม่เหมือนการทำทีถ่อมใจดังที่องค์สันตะปาปาแห่งคริสต์ศาสนจักรปฏิบัติที่กรุงโรมแต่ละปี. ไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน! ความถ่อมใจแท้เป็นการยอมสละตนอันเนื่องมาจาก ‘ใจอ่อนสุภาพ ถือว่าผู้อื่นดีกว่าตน.’ (ฟิลิปปอย 2:2–5) ทีแรก เปโตรไม่เข้าใจจุดสำคัญ จึงไม่ยอมให้พระเยซูล้างเท้า. ครั้นได้รับคำชี้แจง ท่านถึงกับขอพระเยซูชำระล้างให้ทั้งตัว. (โยฮัน 13:1–10) อย่างไรก็ดี เปโตรคงได้เข้าใจประเด็น. เราเห็นว่า หลายปีหลังจากนั้น ท่านได้แนะนำคนอื่นอย่างถูกต้อง. (1 เปโตร 3:8, 9; 5:5) ทุกวันนี้ เป็นเรื่องสำคัญเพียงใดที่พวกเราทุกคนพึงเป็นทาสรับใช้พระคริสต์ด้วยความถ่อมใจ!—โปรดอ่านสุภาษิต 22:4; มัดธาย 23:8–12 ด้วย.
5. พระเยซูได้ตั้งบัญญัติใหม่อะไรซึ่งชี้ให้เห็นความสำคัญของคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่ง?
5 หนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสองคนไม่ได้ประโยชน์อันใดจากคำแนะนำของพระเยซู. ผู้นี้คือยูดาอิศการิโอด. ขณะรับประทานปัศคาอยู่นั้น พระเยซูทรงเป็นทุกข์ในพระทัย ทรงระบุตัวยูดาว่าเป็นทรยศต่อพระองค์ และทรงสั่งเขาออกจากห้องไป. ทันทีหลังจากนั้น พระเยซูตรัสกับสาวก 11 คนที่ซื่อสัตย์ดังนี้: “เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วฉันใด เจ้าจงรักซึ่งกันและกันฉันนั้น. คนทั้งปวงจะรู้ได้ว่าเจ้าเป็นเหล่าสาวกของเราก็เพราะเจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน.” (โยฮัน 13:34, 35) จริง ๆ แล้ว นี้แหละคือบัญญัติใหม่ ซึ่งพระเยซูทรงแสดงให้เห็นโดยตัวอย่างยอดเยี่ยมของพระองค์! ขณะที่การสิ้นพระชนม์ของพระองค์เพื่อเป็นเครื่องบูชานั้นคืบใกล้เข้ามา พระเยซูทรงแสดงความรักอย่างโดดเด่น. พระองค์ใช้ทุกนาทีที่มีค่าในการสอนและหนุนใจเหล่าสาวกของพระองค์. ในเวลาต่อมา พระองค์ทรงย้ำความสำคัญของความรักโดยตรัสว่า “นี้แหละเป็นบัญญัติของเรา คือให้เจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน เหมือนที่เราได้รักเจ้า. ไม่มีผู้ใดมีความรักใหญ่ยิ่งกว่านี้ คือที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละจิตวิญญาณเพื่อมิตรของตน.”—โยฮัน 15:12, 13.
“เป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต”
6. พระเยซูวางเป้าหมายอะไรต่อหน้าสาวกคนสนิทของพระองค์?
6 พระเยซูตรัสแก่ผู้ซื่อสัตย์ 11 คนดังนี้: “อย่าให้หัวใจของเจ้าทั้งหลายกังวลเลย. จงสำแดงความเชื่อในพระเจ้า จงสำแดงความเชื่อในเราด้วย. ในราชสำนักแห่งพระบิดาของเรามีที่อยู่หลายแห่ง มิฉะนั้น เราคงได้บอกเจ้าทั้งหลายแล้ว เพราะเราจะไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับเจ้า.” (โยฮัน 14:1, 2, ล.ม.) ที่ ในที่นี้หมายถึง ‘ราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์.’ (มัดธาย 7:21) พระเยซูทรงแจ้งแก่สาวกผู้ซื่อสัตย์กลุ่มนี้ซึ่งพระองค์ทรงสนิทสนมถึงวิธีที่เขาจะบรรลุเป้าหมาย. พระองค์ตรัสดังนี้: “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง เป็นชีวิต. ไม่มีผู้ใดไปถึงพระบิดาเว้นแต่จะมาทางเรา.” (โยฮัน 14:6, ล.ม.) ข้อนี้ใช้ได้กับมนุษย์ผู้ซึ่งจะมีชีวิตนิรันดรบนแผ่นดินโลกเช่นกัน.—วิวรณ์ 7:9, 10; 21:1–4.
7-9. เหตุใดพระเยซูชี้แจงว่าพระองค์เป็น “ทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต”?
7 พระเยซูทรงเป็น “ทางนั้น.” ทางเดียวเท่านั้นที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้าโดยคำอธิษฐานคือผ่านทางพระเยซูคริสต์. พระเยซูเองทรงรับรองกับเหล่าสาวกว่า พระบิดาจะโปรดประทานสิ่งใดก็ตามแก่พวกเขา ต่อเมื่อเขาทูลขอในพระนามพระเยซู. (โยฮัน 15:16) คำอธิษฐานซึ่งมุ่งที่รูปบูชา หรือ “นักบุญ” คำสวดมนต์ถวายแม่พระ หรือการสวดพร่ำเพรื่อ—พระบิดาไม่ทรงสดับหรือพอพระทัยคำอธิษฐานแบบที่กล่าวมานี้เลย. (มัดธาย 6:5–8) ยิ่งกว่านั้น เราอ่านที่กิจการ 4:12 เกี่ยวกับพระเยซูว่า “ด้วยว่านามอื่นซึ่งเป็นที่รอดแก่เราทั้งหลายไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า.”
8 พระเยซูเป็น “ความจริง.” อัครสาวกโยฮันกล่าวถึงพระองค์ดังนี้: “พระวาทะจึงได้กลายเป็นเนื้อหนัง และทรงอยู่ท่ามกลางพวกเรา และเราได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ คือสง่าราศีซึ่งเป็นของพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวจากพระบิดา และพระองค์บริบูรณ์ด้วยพระกรุณาอันไม่พึงได้รับและความจริง.” (โยฮัน 1:14) พระเยซูได้กลายเป็นความจริง ตามคำพยากรณ์หลายร้อยข้อในคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู โดยที่พระองค์ทำให้สำเร็จสมจริง. (2 โกรินโธ 1:20; วิวรณ์ 19:10) พระองค์ทรงกระทำความจริงให้เป็นที่รู้จักด้วยการสนทนากับเหล่าสาวกและกับฝูงชนที่ฟังพระองค์ เมื่อพระองค์โต้ตอบนักศาสนาหน้าซื่อใจคด และโดยตัวอย่างของพระองค์.
9 พระเยซูเป็น “ชีวิต.” ในฐานะเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “ผู้ที่แสดงความเชื่อในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ ผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระบุตรจะไม่เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้าคงอยู่กับผู้นั้นต่อไป.” (โยฮัน 3:36, ล.ม.) ความเชื่อที่มีต่อเครื่องบูชาของพระคริสต์นำไปสู่ชีวิตนิรันดร์—คือชีวิตอมตะในสวรรค์สำหรับ “แกะฝูงน้อย” จำพวกคริสเตียนผู้ถูกเจิมและชีวิตนิรันดร์ในโลกอุทยานสำหรับชนฝูงใหญ่จำพวก “แกะอื่น.”—ลูกา 12:32; 23:43; โยฮัน 10:16.
อดทนการข่มเหง
10. ทำไมเราต้อง ‘ชนะโลก’ และพระเยซูทรงให้การหนุนใจอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?
10 บรรดาผู้มีความหวังจะอยู่ในระบบใหม่ของพระยะโฮวาจำต้องต่อสู้กับโลกซึ่ง “ทอดตัวจมอยู่ในมารร้าย” ซาตานพญามาร. (1 โยฮัน 5:19) เมื่อเป็นเช่นนั้น คำตรัสของพระเยซูที่โยฮัน 15:17–19, (ล.ม.) ช่างเป็นการหนุนใจเสียจริง ๆ! พระองค์ทรงแถลงดังนี้: “สิ่งเหล่านี้เราสั่งเจ้าทั้งหลายไว้เพื่อเจ้าจะรักซึ่งกันและกัน. ถ้าโลกเกลียดชังเจ้าทั้งหลาย เจ้าก็รู้ว่าโลกได้เกลียดชังเราก่อน. ถ้าเจ้าทั้งหลายเป็นส่วนของโลก โลกก็จะรักซึ่งเป็นของของโลกเอง. บัดนี้เพราะเจ้าไม่เป็นส่วนของโลก แต่เราได้เลือกเจ้าออกจากโลก ด้วยเหตุนี้โลกจึงเกลียดชังเจ้า.” คริสเตียนแท้เป็นที่เกลียดชังของโลกเรื่อยมาจนถึงปี 1992 นี้ทีเดียว และพวกเราชื่นชมเพียงใดกับตัวอย่างของผู้ที่ได้ยืนหยัดมั่นคงอย่างไม่ละลด ด้วยความถ่อมใจเขาได้รับเรี่ยวแรงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า! (1 เปโตร 5:6–10) พวกเราเช่นกัน เราสามารถทนทานความทุกข์ยากได้โดยการแสดงความเชื่อในพระเยซู ผู้ทรงสรุปเรื่องสนทนาด้วยถ้อยคำที่ยังความอบอุ่นใจดังนี้: “ในโลกนี้เจ้ามีความทุกข์ลำบาก แต่จงกล้าหาญเถิด! เราชนะโลกแล้ว.”—โยฮัน 16:33, ล.ม.
การตั้งคำสัญญาไมตรีใหม่
11. ยิระมะยาพยากรณ์อย่างไรเกี่ยวกับคำสัญญาไมตรีใหม่?
11 ในช่วงเย็นวันนั้น หลังจากเสร็จการเลี้ยงฉลองปัศคาแล้ว พระเยซูทรงกล่าวถึงคำสัญญาไมตรีใหม่. ผู้พยากรณ์ยิระมะยาทำนายถึงเรื่องนี้ก่อนหน้านานหลายศตวรรษทีเดียว โดยบอกว่า “‘นี่แน่ะ! วันคืนทั้งหลายจะมาเมื่อเราจะกระทำความสัญญาใหม่กับตระกูลยิศราเอล และตระกูลยะฮูดา’ พระยะโฮวาได้ตรัส . . . ‘เราจะใส่บทบัญญัติของเราไว้ ณ ภายในตัวเขาทั้งปวง แลจะเขียนบทบัญญัตินั้นในใจเขา. แลเราจะเป็นพระเจ้าแก่เขาทั้งหลาย แลเขาจะเป็นไพร่พลของเรา . . . เพราะเราจะยกความบาปของเขา แลจะไม่ระลึกถึงความผิดของเขาอีกเลย.’” (ยิระมะยา 31:31–34) วันที่ 14 เดือนไนซาน ปีสากลศักราช 33 จะมีการถวายเครื่องบูชาซึ่งทำให้คำสัญญาไมตรีใหม่มีผลใช้บังคับ.
12. พระเยซูทรงตั้งคำสัญญาไมตรีใหม่โดยวิธีใด และสิ่งนี้ทำให้อะไรลุล่วงไป?
12 พระเยซูทรงแถลงต่อผู้ซื่อสัตย์ 11 คนว่าพระองค์ปรารถนาอย่างยิ่งจะรับประทานปัศคาครั้งนี้กับพวกเขา. แล้วพระองค์ทรงหยิบขนมปังขอบพระคุณแล้วหักส่งให้แก่เขาทั้งหลาย ตรัสว่า “นี่แหละเป็นกายของเรา ซึ่งได้ประทานให้สำหรับท่านทั้งหลาย จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา.” และด้วยอาการอย่างเดียวกัน พระองค์ทรงหยิบจอกเหล้าองุ่นแดงขึ้นมา แล้วส่งต่อให้แก่สาวก ตรัสว่า “จอกนี้เป็นคำสัญญาใหม่โดยโลหิตของเราซึ่งจะเทไหลออกเพื่อท่านทั้งหลาย.” (ลูกา 22:15, 19, 20) คำสัญญาไมตรีใหม่นี้ดำเนินการได้ก็โดย “โลหิตอันมีค่า” ของพระเยซู ซึ่งมีค่ามหาศาลยิ่งกว่าเลือดสัตว์ที่ใช้ประพรมเพื่อคำสัญญาไมตรีเดิมของชาวยิศราเอลจะมีผลใช้บังคับได้! (1 เปโตร 1:19; เฮ็บราย 9:13, 14) ผู้ที่ถูกนำเข้ามาอยู่ภายใต้คำสัญญาไมตรีใหม่ได้รับการอภัยบาปโดยสมบูรณ์. ดังนั้น เขามีคุณสมบัติจะเป็นคนหนึ่งในจำพวก 144,000 คนซึ่งจะรับมรดกถาวรฐานะที่เป็นยิศราเอลฝ่ายวิญญาณ.—ฆะลาเตีย 6:16; เฮ็บราย 9:15–18; 13:20; วิวรณ์ 14:1.
“เป็นที่ระลึกถึงเรา”
13. (ก) เราควรตริตรองเรื่องอะไรในวาระการประชุมอนุสรณ์? (ข) เฉพาะใครเท่านั้นสมควรรับประทานขนมปังและเหล้าองุ่นอันเป็นเครื่องหมายและเพราะเหตุใด?
13 การประชุมอนุสรณ์ระลึกถึงการวายพระชนม์ของพระเยซูเวียนมาบรรจบครบรอบปีที่ 1960 ณ วันที่ 17 เมษายน 1992. ขณะที่วันนั้นใกล้เข้ามา เป็นการดีที่เราพึงไตร่ตรองเรื่องราวทุกอย่างซึ่งเครื่องบูชาอันครบถ้วนสมบูรณ์ของพระเยซูทำให้สัมฤทธิ์ผล. วิธีการอย่างนี้เทิดทูนพระสติปัญญาของพระยะโฮวา อีกทั้งความรักอันลึกซึ้งที่พระองค์มีต่อมนุษยชาติ. ความซื่อสัตย์มั่นคงของพระเยซูปราศจากข้อตำหนิ แม้กระทั่งสิ้นพระชนม์ด้วยความเจ็บปวดเช่นนั้นเป็นการชันสูตรเชิดชูพระยะโฮวาต่อข้อกล่าวหาของซาตานที่ว่า พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาอย่างบกพร่อง และจะทนทานการทดลองไม่ได้. (โยบ 1:8-11; สุภาษิต 27:11) โดยพระโลหิตที่ทรงสละเป็นเครื่องบูชา พระเยซูจึงเป็นสื่อกลางแห่งคำสัญญาไมตรีใหม่ อันเป็นเครื่องมือของพระยะโฮวาสำหรับการสรรหา “เชื้อสายที่ทรงเลือกไว้ เป็นคณะปุโรหิตหลวง เป็นชาติบริสุทธิ์ พลไพร่คัดไว้เป็นสมบัติพิเศษ.” ขณะที่ยังอยู่ในโลก คนเหล่านี้ “ประกาศเผยแพร่พระบารมีคุณ” ของพระยะโฮวาพระเจ้าของเขา ผู้ได้ทรง “เรียกเขาให้ออกจากความมืดเข้าสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์.” (1 เปโตร 2:9, ล.ม., เทียบกับเอ็กโซโด 19:5, 6.) พวกเขากลุ่มเดียวเท่านั้นที่เหมาะสมจะรับประทานขนมปังและเหล้าองุ่นแสดงการรำลึกทุก ๆ ปี.
14. หลายล้านคนที่ร่วมสังเกตการณ์ได้รับประโยชน์บริบูรณ์อย่างไร?
14 การประชุมอนุสรณ์ปีที่แล้ว ทั่วโลกมีผู้เข้าร่วม 10,650,158 คน แต่ในจำนวนนี้มีเพียง 8,850 คน—ไม่ถึงหนึ่งในสิบของ 1 เปอร์เซ็นต์—รับประทานขนมปังและเหล้าองุ่นอันเป็นเครื่องหมาย แล้วการฉลองอย่างนี้จะยังประโยชน์อะไรแก่ผู้ร่วมสังเกตการณ์นับล้าน ๆ คน? ประโยชน์นั้นมากมาย! แม้ไม่รับประทาน พวกเขาก็ได้รับอุดมบริบูรณ์ฝ่ายวิญญาณโดยมีการสมาคมอย่างเป็นภราดรภาพทั่วโลก เนื่องจากพวกเขาได้ยินได้ฟังเรื่องต่าง ๆ ที่ดีเยี่ยมที่พระยะโฮวาทรงกระทำให้สำเร็จเสร็จสิ้น โดยการยอมเสียสละของพระบุตรของพระองค์.
15. ชนผู้อื่นนอกจากผู้ถูกเจิมได้รับประโยชน์อะไรจากเครื่องบูชาของพระเยซู?
15 ยิ่งกว่านั้น อัครสาวกกล่าวไว้ที่ 1 โยฮัน 2:1, 2 ว่า “เรามีพระองค์ผู้ช่วยเหลือสถิตอยู่กับพระบิดา คือพระเยซูคริสต์ผู้เที่ยงธรรมนั้น และพระองค์เป็นผู้ทรงระงับพระพิโรธเพราะความบาปของเรา และไม่ใช่ของพวกเราพวกเดียว แต่ว่าของมนุษย์โลกทั้งสิ้นด้วย.” ถูกแล้ว เครื่องบูชาของพระเยซู ขณะยังประโยชน์ประการแรกแก่ผู้ที่อยู่ในชนจำพวกโยฮันซึ่งถูกนำเข้ามาอยู่ภายใต้คำสัญญาไมตรีใหม่ ก็ยังเปิดทางต่อการยกบาปของ “โลกทั้งสิ้น” ด้วย. เครื่องบูชานี้คือ “เครื่องบูชาระงับพระพิโรธ” เพื่อบาปของคนอื่นทั้งสิ้นในโลกมนุษย์นี้ ซึ่งแสดงความเชื่อในพระโลหิตที่พระเยซูทรงหลั่งออก เปิดทางให้เขามีความหวังอันน่าชื่นใจเกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ในโลกที่เป็นอุทยาน.—มัดธาย 20:28.
“ในแผ่นดินแห่งพระบิดาของเรา”
16. (ก) บัดนี้ ดูเหมือนพระเยซูกับทายาทร่วมกับพระองค์มีส่วนอะไรด้วยกัน? (ข) ทุกวันนี้มีข้อเรียกร้องอะไรสำหรับทั้งชนที่เหลือผู้ถูกเจิมและชนฝูงใหญ่?
16 เพื่อให้การหนุนใจอัครสาวกของพระองค์สืบต่อไป พระเยซูตรัสเป็นนัยถึงวันซึ่งพระองค์จะดื่มเหล้าองุ่นกับสาวกของพระองค์ใหม่ในราชอาณาจักรแห่งพระบิดา. (มัดธาย 26:29) พระองค์ตรัสแก่พวกเขาดังนี้: “ท่านทั้งหลายเป็นคนที่ได้อยู่กับเราในเวลาที่เราถูกทดลอง และพระบิดาได้ทรงจัดเตรียมแผ่นดินมอบให้แก่เราอย่างไร เราก็จัดเตรียมมอบให้แก่ท่านทั้งหลายเหมือนกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะกินและดื่มที่โต๊ะของเราในแผ่นดินของเรา และท่านทั้งหลายจะนั่งบนพระที่นั่งพิพากษาพวกยิศราเอลสิบสองตระกูล.” (ลูกา 22:28–30) เพราะเหตุที่พระเยซูได้รับอำนาจในราชอาณาจักรทางภาคสวรรค์ในปี 1914 เราอาจสรุปว่า ส่วนใหญ่แห่งจำนวนทายาทร่วมกับพระเยซู ซึ่งถูกรวบรวมมาตลอดศตวรรษต่าง ๆ นั้น ได้รับการปลุกขึ้นจากตายแล้ว และ “นั่งบนพระที่นั่ง” กับพระองค์. (1 เธซะโลนิเก 4:15, 16) วันนั้นคืบใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อทูตสวรรค์จะปล่อย “ลมทั้งสี่ทิศ” แห่ง “ความทุกข์ใหญ่”! ถึงตอนนั้น การประทับตรายิศราเอลฝ่ายวิญญาณจำนวน 144,000 และการรวบรวมชนฝูงใหญ่นับล้าน ๆ คนก็เป็นอันเสร็จสิ้น. คนเหล่านี้ทุกคนต้องคงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์ภักดีเช่นเดียวกันกับพระเยซู เพื่อจะได้บำเหน็จคือชีวิตนิรันดร.—วิวรณ์ 2:10; 7:1–4, 9.
17 และในกรอบ. (ก) ถ้าจะมีการถอดถอนผู้ถูกเจิมเนื่องจากการไม่ซื่อสัตย์ ตามเหตุผลแล้ว ใครน่าจะเข้ามาแทน? (ข) บทความที่ลงในวารสารวอชเทาเวอร์ ปี 1938 ให้ความเข้าใจอย่างน่าสนใจอย่างไรเกี่ยวกับการก่อร่างสร้างและความก้าวหน้าขยายตัวแห่งองค์การตามระบอบการของพระเจ้าทางแผ่นดินโลก?
17 สมมุติว่า ผู้ถูกเจิมบางคนไม่รักษาความซื่อสัตย์ภักดีล่ะ? ตอนนี้กาลเวลาเลยเข้าสู่ช่วงปลายแล้ว จำนวนคนไม่ซื่อสัตย์คงมีน้อย. ตามเหตุผลแล้ว ก็ย่อมมีการนำคนเข้ามาแทน ไม่ใช่จากคนใหม่เพิ่งรับบัพติสมา แต่จากบรรดาผู้ที่ติดสนิทกับพระเยซูในการทดลองต่าง ๆ ตลอดเวลาหลายปีในงานรับใช้อย่างซื่อสัตย์. แสงสว่างฝ่ายวิญญาณซึ่งได้เผยความเข้าใจที่ชัดแจ้งออกมาทาง เดอะ วอชเทาเวอร์ ในช่วงทศวรรษปี 1920 และปี 1930 นั้นชี้ให้เห็นว่า การรวบรวมชนที่เหลือแห่งผู้ถูกเจิมจวนจะเสร็จในช่วงนั้น. จากนั้นเป็นต้นมา ผู้ที่ ‘ซักเสื้อยาวของตนให้ขาวในพระโลหิตแห่งพระเมษโปดก’ มีความหวังอันน่าชื่นชมที่ต่างออกไป. พระวิญญาณของพระยะโฮวาผ่านทางพระคริสต์นำทางเขาไปถึง “น้ำพุแห่งชีวิต” ในอุทยานบนแผ่นดินโลก.—วิวรณ์ 7:10, 14, 17.
การอธิษฐานอย่างเร่งเร้าที่สุด
18. เราได้บทเรียนอะไรที่มีคุณค่าจากคำอธิษฐานของพระเยซูที่โยฮันบท 17?
18 พระเยซูทรงปิดการประชุมอนุสรณ์กับสาวกของพระองค์ด้วยการอธิษฐานอย่างเร่าร้อน ดังบันทึกในโยฮัน 17:1-26. ประการแรกพระเยซูทูลขอพระบิดาจะโปรดให้พระองค์มีเกียรติยศขณะที่พระองค์รักษาความซื่อสัตย์จนถึงที่สุด. การนี้พระยะโฮวาจะรับเกียรติยศเช่นกัน พระนามของพระองค์จะเป็นที่นับถืออันศักดิ์สิทธิ์—พ้นข้อกล่าวหาทุกประการ. เพราะโดยแท้แล้ว พระเยซูมนุษย์สมบูรณ์พิสูจน์ ให้เห็นว่า มนุษย์ซึ่งพระเจ้าได้สร้างขึ้นมานั้นสามารถรักษาตัวไม่พลาดผิดก็ได้ แม้ตกอยู่ภายใต้การทดลองอย่างแสนสาหัส. (พระบัญญัติ 32:4, 5; เฮ็บราย 4:15) ยิ่งกว่านั้น การที่พระเยซูสละพระชนม์เป็นเครื่องบูชานั้นเปิดโอกาสอันวิเศษสำหรับบุตรหลานของอาดาม. พระเยซูตรัสดังนี้: “นี่แหละหมายถึงชีวิตนิรันดร์ คือการที่เขารับเอาความรู้ต่อ ๆ ไปเกี่ยวกับพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และเกี่ยวกับผู้ที่พระองค์ทรงใช้มาคือพระเยซูคริสต์” นับว่าสำคัญเพียงใดที่จะรับเอาความรู้ถ่องแท้เกี่ยวด้วยพระเจ้ายะโฮวา และพระบุตรของพระองค์ผู้ทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้า ซึ่งสละชีวิตเพื่อชันสูตรเชิดชูพระยะโฮวา และเพื่อความรอดของมนุษยชาติ! (โยฮัน 1:29; 1 เปโตร 2:22-25) คุณหยั่งรู้ค่าเต็มขนาดไหมในการเสียสละด้วยความรักอันยิ่งใหญ่นั้น โดยที่คุณอุทิศตัวและทุกอย่างที่เป็นของคุณแด่พระยะโฮวาและงานรับใช้อันมีค่ายิ่งของพระองค์?
19. ชนที่เหลือกับชนฝูงใหญ่ต่างก็ชื่นชมในเอกภาพอันประเสริฐยิ่งโดยวิธีใด?
19 ต่อจากนั้น พระเยซูทูลอธิษฐานต่อพระบิดาองค์บริสุทธิ์โปรดเฝ้าดูแลสาวกทั้งหลายขณะที่เขาพิสูจน์ตัวไม่เป็นส่วนของโลก ยึดมั่นในพระวจนะของพระองค์ว่าเป็นความจริง และธำรงความเป็นหนึ่งเดียวอันมีค่ากับพระบิดาและพระบุตร. คำอธิษฐานเช่นนี้ได้รับคำตอบอย่างน่าประหลาดใจมาโดยตลอดมิใช่หรือ ขณะชนที่เหลือผู้ถูกเจิมกับชนฝูงใหญ่รับใช้ร่วมกันอย่างพร้อมเพรียงด้วยความรัก ในเวลาเดียวกันก็รักษาความเป็นกลางท่ามกลางโลกที่รุนแรงและชั่วร้าย? ถ้อยคำลงท้ายของพระเยซูที่ทูลพระเจ้ายะโฮวานั้นช่างประเสริฐเสียนี่กระไร! พระเยซูตรัสว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำให้พวกเขารู้จักพระนามของพระองค์ และจะกระทำให้เขารู้อีก เพื่อความรักที่พระองค์ได้ทรงรักข้าพเจ้านั้นจะมีอยู่ในเขา และข้าพเจ้าจะร่วมสามัคคีกับเขา.”—โยฮัน 17:14, 16, 26, ล.ม.
20. เหตุใดวันที่ 14 เดือนไนซาน ปีสากลศักราช 33 จึงเป็นวันสำคัญ ควรแก่การรำลึกอย่างแท้จริง?
20 เมื่อเสด็จออกไปที่สวนเฆ็ธเซมาเน พระเยซูมีโอกาสอยู่กับพวกสาวกของพระองค์อีกชั่วเวลาสั้น ๆ และเสริมสร้างเขาต่อไป. แต่แล้วศัตรูก็เข้าจับกุมพระองค์! ความเจ็บปวดด้านร่างกายที่เกิดขึ้นกับพระเยซู ความเศร้าเสียใจสุดประมาณเมื่อพระยะโฮวาได้รับการสบประมาทและความซื่อสัตย์ของพระองค์ซึ่งถือเป็นตัวอย่างนั้นเกินกว่าจะหาถ้อยคำพรรณนาได้. พระเยซูทรงอดทนจนถึงที่สุด ทรงอดทนตลอดคืนและอีกหลายชั่วโมงค่อนวันของวันนั้น. พระองค์แสดงอย่างชัดแจ้งว่า ราชอาณาจักรของพระองค์ไม่เป็นส่วนของโลก. พระองค์เปล่งเสียงดังขณะหายใจเฮือกสุดท้ายว่า “สำเร็จแล้ว!” (โยฮัน 18:36, 37; 19:30) พระองค์ชนะโลกแล้วโดยสมบูรณ์. วันที่ 14 เดือนไนซานสากลศักราช 33 เป็นวันสำคัญ ควรแก่การรำลึกอย่างแท้จริง!
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ พระเยซูทรงสอนอะไรเกี่ยวกับความรักและความถ่อมใจ?
▫ พระเยซูได้กลายมาเป็น “ทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต” โดยวิธีใด?
▫ วัตถุประสงค์ของคำสัญญาไมตรีใหม่คืออะไร?
▫ ชนที่เหลือผู้ถูกเจิมและชนฝูงใหญ่มีส่วนร่วมกันในเอกภาพและความรักแบบไหน?
[กรอบหน้า 20]
สติปัญญาของผู้ยิ่งใหญ่กว่าซะโลโม
บทความที่มีชื่อว่า “องค์การ” ใน เดอะ วอชเทาเวอร์ ฉบับวันที่ 1 และ 15 มิถุนายน 1938 ได้กำหนดการจัดเตรียมขั้นพื้นฐานตามระบอบการของพระเจ้าซึ่งพยานพระยะโฮวาได้ปฏิบัติตามจนกระทั่งทุกวันนี้. บทความนั้นเป็นจุดสุดยอดแห่งระยะเวลาอันโดดเด่นของการปรับปรุงใหม่ในด้านหลักคำสอนและด้านองค์การซึ่งเริ่มในปี 1919. (ยะซายา 60:17) ในการเปรียบเทียบระยะเวลา 20 ปีนั้นกับ 20 ปีระหว่างที่ซะโลโมสร้างพระวิหารและราชสำนักของกษัตริย์ในกรุงยะรูซาเลมนั้น เดอะ วอชเทาเวอร์ กล่าวว่า “พระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่า ภายหลังยี่สิบปีแห่งโครงการก่อสร้างของซะโลโม . . . ท่านได้เข้าส่วนในโครงการก่อสร้างทั่วประเทศ. (1 กษัตริย์ 9:10, 17–23; 2 โครนิกา 8:1–10) ครั้นแล้ว ราชินีแห่งชีบาเสด็จมา ‘จากที่สุดปลายแผ่นดินโลกเพื่อจะได้ฟังสติปัญญาของซะโลโม.’ (มัดธาย 12:42; 1 กษัตริย์ 10:1–10; 2 โครนิกา 9:1–9, 12) นี้ชวนให้คิดถึงคำถามที่ว่า มีอะไรในอนาคตอันใกล้สำหรับพลไพร่ของพระยะโฮวาบนแผ่นดินโลก? ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม เราจะคอย และเราก็จะเห็น.” ความมั่นใจเช่นนั้นไม่ผิดพลาด. ภายใต้องค์การตามระบอบการของพระเจ้า โครงการก่อสร้างทางฝ่ายวิญญาณทั่วโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลได้รวบรวมชนฝูงใหญ่กว่าสี่ล้านคน. เช่นเดียวกับราชินีแห่งชีบา คนเหล่านี้ได้มาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลกเพื่อฟังสติปัญญาของผู้ที่ใหญ่ยิ่งกว่าซะโลโม พระเยซูคริสต์—โดยทาง “บ่าวสัตย์ซื่อและฉลาด.”—มัดธาย 24:45–47.