ติดตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่อายุหกขวบ
เล่าโดย แซนดรา โคแวน
บิดามารดามากมายเลือกวิชาชีพสำหรับลูก ๆ ของเขาเช่น วิชาดนตรี หรือการเต้นบัลเลต์ และเริ่มฝึกพวกเขาตั้งแต่อายุน้อย ๆ. คุณแม่ทำเช่นนี้กับดิฉันจริง ๆ. นับตั้งแต่ดิฉันอายุได้สองสัปดาห์ ดิฉันถูกพาไปยังการประชุมคริสเตียนทุกรายการและออกไปในงานประกาศตามบ้าน.
เมื่อดิฉันอายุได้สี่ขวบ คุณแม่คิดว่าดิฉันพร้อมที่จะประกาศด้วยตัวของดิฉันเองได้แล้ว. ดิฉันจำได้อย่างแจ่มชัดถึงความพยายามครั้งแรก. เราขับรถไปยังบ้านพักในฟาร์มแห่งหนึ่ง และขณะที่คุณแม่และคนอื่น ๆ รออยู่ในรถ ดิฉันลงจากรถและเดินไปที่ประตูบ้านนั้น. สุภาพสตรีใจดีคนหนึ่งตั้งใจฟังขณะที่ดิฉันเสนอหนังสือเล่มเล็กสิบฉบับให้เธอ. เธอให้สบู่ก้อนใหญ่แก่ดิฉันเป็นค่าหนังสือจำนวนนั้น. ดิฉันต้องใช้ทั้งสองมือเพื่อจะถือสบู่ก้อนนั้นไว้. ดิฉันตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง!
ในปีเดียวกันนั้นเองคือปี 1943 สมาคมวอชเทาเวอร์เปิดโรงเรียนกิเลียดเพื่อฝึกอบรมผู้รับใช้เต็มเวลาสำหรับงานมิชชันนารี. คุณแม่สนับสนุนดิฉันให้ยึดเอางานรับใช้มิชชันนารีเป็นเป้าหมายในชีวิต. เวลานั้นสงครามโลกที่ 2 ดำเนินอยู่ในยุโรป และคุณแม่มักจะบอกดิฉันเกี่ยวกับเด็กหนุ่มสาวพยานฯในยุโรปซึ่งถูกพรากไปจากคุณพ่อคุณแม่ของเขา. คุณแม่ต้องการให้ดิฉันเข้มแข็งพอเพื่อจะต้านทานการทดลองใด ๆ ได้.
ในฤดูร้อนปี 1946 ดิฉันรับบัพติสมา ณ การประชุมนานาชาติที่คลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ. แม้ว่าดิฉันอายุเพียงหกขวบเท่านั้น แต่ดิฉันมุ่งมั่นจะทำตามการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวา. ฤดูร้อนนั้นดิฉันรับใช้ฐานะไพโอเนียร์เป็นครั้งแรก. ดิฉันจำได้ว่าเช้าวันหนึ่งดิฉันจำหน่ายวารสาร 40 ฉบับแก่ผู้คนซึ่งนั่งอยู่ที่เดอะ พลาซาในซานดิเอโก แคลิฟอร์เนีย. ดิฉันแน่ใจว่าการที่ดิฉันเป็นคนตัวเล็กและช่างพูดคงช่วยได้มากทีเดียว.
บ่อยครั้ง เราประกาศใกล้ ๆ กับเบท-ซาริมซึ่งเป็นสถานที่ที่บราเดอร์รัทเทอฟอร์ด นายกสมาคมวอชเทาเวอร์ใช้เวลาช่วงฤดูหนาวก่อนจะจบชีวิตลงในปี 1942. เราไปเยี่ยมกันเป็นประจำและรับประทานอาหารเย็นกับผู้รับใช้เต็มเวลาที่อยู่ที่นั่น. การเยี่ยมอย่างมีความสุขเช่นนั้นทำให้ดิฉันตัดสินใจว่านี่เป็นวิถีชีวิตจริง ๆ ที่ดิฉันต้องการ. ดิฉันจึงให้โรงเรียนกิเลียดและงานมิชชันนารีเป็นเป้าหมายในชีวิตของดิฉัน.
ปีต่อมา คุณพ่อกับคุณแม่ของดิฉันหย่าร้างกัน แต่สภาพการณ์ของครอบครัวที่เปลี่ยนไปไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อสภาพฝ่ายวิญญาณของเรา. คุณแม่เป็นไพโอเนียร์และท่านห่วงมากเกี่ยวกับการฝึกฝนที่ดิฉันกับน้องชายจะได้รับ. รถยนต์พ่วงเล็ก ๆ ของเรามีชีวิตชีวา ด้วยบรรดาพี่น้องชายหญิงที่มาแวะเยี่ยม. คุณแม่ใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้ดิฉันพบกับผู้สำเร็จการศึกษาที่กิเลียด. ผู้สำเร็จโรงเรียนกิเลียดสองคนนั้นคือลอยด์และเมลบา แบรี ซึ่งกำลังเยี่ยมในงานเดินหมวดขณะที่คอยการมอบหมายต่างแดนไปยังประเทศญี่ปุ่น. เขาทั้งสองใช้เวลาเพื่อพูดหนุนใจดิฉัน—ซึ่งเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ผู้ใฝ่ฝันจะเป็นมิชชันนารี—และสิ่งนี้ประทับใจดิฉันจริง ๆ.
พอดิฉันอายุได้สิบขวบ คุณแม่แต่งงานกับพยานฯที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งซึ่งรับใช้เป็นไพโอเนียร์เช่นกัน. เขารับดิฉันกับน้องชายเป็นลูกไม่ใช่เป็นเพียงเอกสารในหนังสือ แต่เขารับเราเป็นลูกจริง ๆ ในหัวใจของเขา. ความรักของเขาที่มีต่อพระยะโฮวาและความแข็งขันในงานรับใช้ช่างเป็นแรงจูงใจอย่างยิ่ง.
คุณพ่อกับคุณแม่ทำงานกันเป็นทีมเพื่อชี้แนะพวกเราซึ่งเป็นเด็ก ๆ ตลอดจนผ่านปีอันยุ่งยากของวัยรุ่น. บ้านของเราเป็นที่หลบภัยด้านวิญญาณซึ่งดิฉันมองย้อนดูด้วยความชื่นชม. สำหรับคุณพ่อกับคุณแม่แล้วการเป็นไพโอเนียร์ด้วยรายได้เล็กน้อยขณะที่ต้องเลี้ยงดูลูก ๆ สองคนไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นเป็นงานที่เรียกร้องการเสียสละตัวเอง. แต่คุณพ่อและคุณแม่ก็หมายพึ่งพระยะโฮวาและให้ผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักรมาเป็นอันดับแรก.
ดิฉันจดจำการประชุมนานาชาติที่นิวยอร์กในปี 1950 ได้ดีทีเดียว! คุณพ่อกู้เงินจากธนาคารและเราให้ผู้โดยสารสามคนไปด้วยเพื่อช่วยค่าใช้จ่าย. คุณพ่อกับคุณแม่ ดิฉันและน้องชายนั่งด้วยกันในที่นั่งด้านหน้าตลอดทางตั้งแต่ซานดิเอโกจนถึงนิวยอร์กขณะที่คนอื่น ๆ นั่งอยู่ด้านหลัง. เนื่องจากนายจ้างของคุณพ่อปฏิเสธไม่ให้ท่านลางานเป็นเวลาสองอาทิตย์ ฉะนั้น การร่วมการประชุมทำให้คุณพ่อเสียงานนั้นไป. แต่ดังที่คุณพ่อรับรองแก่เราว่า พระยะโฮวาจะทรงจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับเรา และพระองค์ก็ทรงทำเช่นนั้นจริง ๆ. คุณพ่อขายรถยนต์เพื่อคืนเงินที่กู้มาแก่ธนาคาร และต่อมาก็ได้งานที่ดีกว่าเดิม. เรื่องนี้และประสบการณ์ทำนองเดียวกันนี้ปรากฏว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่าแก่ดิฉันในหลายปีต่อมา เมื่อดิฉันและสามีเผชิญกับสภาพการณ์ที่ยากลำบาก.
ตอนขากลับจากนิวยอร์ก เราไปเยี่ยมฟาร์มราชอาณาจักรอันเป็นสถานที่ที่ดิฉันเห็นโรงเรียนกิเลียดเป็นครั้งแรก. ดิฉันจำได้ว่ายืนอยู่ในห้องเรียนหนึ่งและพูดกับตัวเองว่า ‘ดิฉันอายุยังไม่ถึง 11 ขวบเลย. ดิฉันคงไม่ได้มาที่นี่อีก. อาร์มาเก็ดดอนคงจะมาก่อน.’ แต่การไปเยี่ยมครั้งนั้นทำให้ความมุ่งมั่นที่จะเอากิเลียดเป็นเป้าหมายนั้นเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม.
การติดตามเป้าหมายของดิฉัน
ทุกวันหยุดพักฤดูร้อนตลอดเวลาที่เรียน ตั้งแต่เกรดหนึ่งเป็นต้นมา ดิฉันเป็นไพโอเนียร์. ต่อมาสองสัปดาห์หลังจากสำเร็จการศึกษามัธยมปลายในเดือนมิถุนายนปี 1957 ดิฉันเริ่มเป็นไพโอเนียร์ประจำ.
ณ การประชุมภาคที่ลอสแอนเจลีสในปี 1957 มีการประชุมสำหรับผู้สนใจโรงเรียนกิเลียดเป็นการประชุมครั้งพิเศษสำหรับดิฉัน. ขณะที่ดิฉันกำลังเดินไปที่เต็นท์ซึ่งจัดการประชุมนี้ ดิฉันพบบิลพี่น้องหนุ่มซึ่งรู้จักกันตั้งแต่ดิฉันอายุได้หกขวบ. ช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านไป เขาจากไปรับใช้ที่ลุยเซียนาซึ่งเป็นเขตที่มีความต้องการมากกว่า. เราต่างก็ประหลาดใจที่ได้รู้ว่าเราทั้งสองสนใจงานมิชชันนารีสักเพียงไร. หกเดือนต่อมาเราตัดสินใจให้งานนี้เป็นโครงการที่จะทำร่วมกัน. เราเขียนจดหมายถึงสมาคมถามเรื่องเขตมอบหมายและหนึ่งเดือนต่อมาก่อนเราสมรส เราได้รับเขตทำงานที่รัมนี เวอร์จิเนียร์ตะวันตก.
เราย้ายไปที่นั่นขณะเดียวกับที่เดินทางไปประชุมที่นิวยอร์กในปี 1958. ช่วงที่อยู่ ณ การประชุมภาคนั้น เราเข้าร่วมการประชุมสำหรับผู้สนใจโรงเรียนกิเลียด. มีหลายร้อยคนมาประชุม. เมื่อมองดูฝูงชนเหล่านั้นเรารู้สึกว่าโอกาสที่เราจะถูกเรียกเข้าโรงเรียนกิเลียดมีน้อยจริง ๆ. อย่างไรก็ตาม เราส่งใบสมัครแม้ว่าเราเพิ่งจะแต่งงานกันเพียง 11 สัปดาห์เท่านั้น. ปีต่อมา ณ การประชุมภาคที่ฟิลาเดลเฟีย เราส่งใบสมัครเป็นครั้งที่สอง.
ที่รัมนีบิลกับดิฉันเรียนที่จะพึ่งพาพระยะโฮวาเพื่อช่วยเราผ่านสภาพการณ์อันยากลำบาก. รัมนีเป็นเมืองซึ่งมีพลเมืองประมาณ 2,000 คน. ไม่มีทางที่จะหางานทำ. เราอาศัยอยู่ในรถยนต์พ่วงที่ทำขึ้นขนาด 5 เมตรซึ่งได้รับการออกแบบสำหรับอากาศแบบแคลิฟอเนียร์. เราไม่มีน้ำประปา, เครื่องทำความร้อน, และตู้เย็น. ภายในรถหนาวเสียจนกระทั่งเราต้องทุบน้ำในถังที่แข็งตัวเพื่อจะได้น้ำ. พี่น้องช่วยเหลือเรามากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ โดยปันอาหารที่เขาล่ามาได้. เรากินเนื้อกวาง, แร็กคูน, และกระรอก. มากกว่าหนึ่งครั้งที่เราคิดว่าจะไม่มีอะไรกินในวันนั้น และพอเรากลับจากงานรับใช้มาถึงบ้าน เรามักจะเห็นแอปเปิลหรือเนยแข็งวางไว้หน้าประตูบ้านของเรา.
เราต่อสู้เป็นเวลาเก้าเดือนในสภาพที่บางครั้งขาดกระทั่งสิ่งที่จำเป็น. ในที่สุด เราตัดสินใจว่าคงเป็นการฉลาดสุขุมกว่าที่จะย้ายไปบัลติมอร์ แมรีแลนด์ ที่ซึ่งบิลจะหางานทำได้. พอเราบอกพี่น้องเรื่องการตัดสินใจของเรา พวกเขาร้องไห้และเราก็ร้องเช่นกัน. ดังนั้น เราตกลงใจยืนหยัดต่ออีกหน่อยหนึ่ง.
ทันทีหลังจากนั้นพยานฯคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้จัดการซุปเปอร์มาร์เกตในเวสเทินพอร์ต แมรีแลนด์อยู่ห่างออกไป 60 กิโลเมตรเสนอให้บิลทำงานส่วนหนึ่งของเวลา. ในเดือนเดียวกันนั้นนักศึกษาพระคัมภีร์คนหนึ่งของเรายกบ้านพร้อมเฟอร์นิเจอร์หลังเล็ก ๆ ที่มีเตาผิงขนาดใหญ่ให้เรา. และแล้วพระธรรมมาลาคี 3:10 ก็กลายเป็นข้อคัมภีร์ที่เราชอบเป็นพิเศษ. พระยะโฮวาทรงประทานพระพรแก่เราเกินความคาดหมาย.
ไปกิเลียดในที่สุด!
วันที่น่าตื่นเต้นที่สุดสำหรับเราคือวันที่เราได้รับคำเชิญให้เข้าโรงเรียนกิเลียดในเดือนพฤศจิกายนปี 1959. เราได้รับเชิญให้เข้าชั้นเรียนที่ 35 เป็นชั้นเรียนสุดท้ายซึ่งจัดขึ้นที่ฟาร์มราชอาณาจักร. เมื่อดิฉันยืนอยู่ในห้องเรียนเดียวกันซึ่งดิฉันเคยมาเยี่ยมตอนเป็นเด็ก ดิฉันรู้สึกอบอุ่น มีความสุขจนไม่อาจสรรหาคำมาพรรณนาได้.
กิเลียดเป็นแหล่งอุดมบริบูรณ์ทางด้านวิญญาณ. เป็นเหมือนกับได้อยู่ในโลกใหม่เป็นเวลาห้าเดือน. น้อยครั้งในชีวิตที่เราตั้งตาคอยสำหรับบางสิ่งเป็นปี ๆ แต่แล้วกลับพบว่าสิ่งนั้นดีกว่าที่คาดไว้ล่วงหน้ามาก. แต่กิเลียดเป็นอย่างนั้นทีเดียว.
เราได้รับมอบหมายให้ไปอินเดีย แต่เราไม่ได้รับวีซาในที่สุด. ดังนั้น หลังจากคอยอยู่ที่นิวยอร์กปีหนึ่ง สมาคมวอชเทาเวอร์ให้การมอบหมายใหม่ให้เราไปที่โมร็อกโก แอฟริกาเหนือ.
เป็นมิชันนารีในโมร็อกโก
ทันทีที่มาถึงโมร็อกโกเราก็หลงรักผู้คนที่นั่น และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในประเทศนั้นเป็นเวลา 24 ปี. เราเรียนทั้งภาษาฝรั่งเศสและสเปนซึ่งเป็นภาษาที่ช่วยเราในการติดต่อกับชนชาติต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ที่นั่น. ส่วนมากแล้วคนเหล่านั้นที่มาจากประเทศอื่น ๆ เป็นผู้ตอบรับข่าวสารราชอาณาจักร.
สตรีคนหนึ่งซึ่งดิฉันศึกษาพระคัมภีร์ด้วยเป็นนักเต้นรำฟลามิงโกชาวสเปน ซึ่งได้รับการว่าจ้างให้ทำงานที่ห้องอาหารแห่งหนึ่ง ในคาซาบลังกา. หลังจากเรียนหลักการในพระคัมภีร์แล้ว เธอผละจากเจ้าของร้านอาหารซึ่งเธออาศัยอยู่ด้วยและกลับไปสเปน. เมื่ออยู่ที่นั่นเธอให้คำพยานกับทุกคนในครอบครัว และญาติบางคนยอมรับความจริงของคัมภีร์ไบเบิลซึ่งเธอแบ่งปัน. ภายหลังเธอกลับไปที่คาซาบลังกา ที่ซึ่งเธอรักษาความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าจนสิ้นชีวิตในปี 1990.
สองสามปีแรกของเราในโมร็อกโกเราเห็นจำนวนผู้ประกาศเพิ่มมากขึ้น. อย่างไรก็ดี พอถึงเวลาที่ยากสำหรับชาวต่างประเทศจะได้งานทำและได้รับอนุญาตให้พักอาศัย พวกพยานฯจึงอพยพไปทางยุโรป. บางคนในจำนวนเหล่านั้นซึ่งเราเคยศึกษาตอนนี้อยู่ที่นิวซีแลนด์, แคนาดา, สหรัฐ, บัลแกเรีย, รุสเซีย, และฝรั่งเศส และพวกเขาหลายคนเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา.
โดยกะทันหัน ในเดือนเมษายนปี 1973 งานประกาศของเราในโมร็อกโกก็ถูกห้าม. เป็นเรื่องที่สะเทือนใจยิ่ง! ตอนเย็นวันพฤหัสฯเราเป็นฝูงชนที่มีความสุขรวมกันอยู่ที่หอประชุมราชอาณาจักร พูดคุยกันจนกระทั่งแสงไฟดับลงเพื่อบอกให้เรารู้ว่าถึงเวลากลับบ้านแล้ว. เราไม่ทราบเลยว่าพวกเราจะไม่ได้เห็นแสงไฟนั้นสาดส่องเหนือกลุ่มคริสเตียนที่ชุมนุมกันอย่างเปิดเผยอีก. ภายใต้สภาพที่ถูกห้าม การประชุมต่าง ๆ และการประชุมหมวดของเราถูกจำกัดให้เหลือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ในบ้านส่วนตัว. เพื่อเข้าร่วมการประชุมภาค พยานฯต้องเดินทางไปที่ฝรั่งเศสหรือไม่ก็สเปน.
ขณะที่จำนวนของพวกเราลดลง พยานฯที่เหลืออยู่เล็กน้อยในโมร็อกโกหันมาใกล้ชิดกันและกันอย่างแท้จริง. ดังนั้น เมื่อสมาคมวอชเทาเวอร์ตัดสินใจปิดสำนักงานสาขาในที่สุดและมอบหมายเราไปที่อื่น เราทุกคนพากันหลั่งน้ำตา.
ไปยังแอฟริกากลาง
เขตมอบหมายใหม่ของเราอยู่ที่สาธารณรัฐแอฟริกากลาง. ช่างต่างจากแอฟริกาเหนือมากมายอะไรเช่นนั้น! ขณะที่โมร็อกโกมีภูมิอากาศคล้ายกันมากกับที่แคลิฟอร์เนียตอนใต้ ตอนนี้เราได้มาอยู่ที่ซึ่งมีภูมิอากาศร้อนและชื้น.
เราต้องเผชิญกับปัญหาใหม่ ๆ อีก. อย่างเช่น ตอนนั้นดิฉันต้องข่มใจตัวเองไม่ให้กลัวพวกสัตว์เลื้อยคลาน. จิ้งจกตกลงบนศีรษะดิฉันถึงสามครั้งขณะที่ดิฉันเดินผ่านประตูเข้าบ้าน. บางครั้ง ตอนที่นำการศึกษาพระคัมภีร์อยู่ หนูตัวหนึ่งเข้ามาร่วมวงกับเราด้วย! แม้ว่าดิฉันอยากจะกระโดดและวิ่งหนี ดิฉันฝึกที่จะควบคุมตัวเอง และมองเจ้าหนูตัวนั้นอย่างไม่วางตา อีกทั้งยกเท้าและกระเป๋าขึ้นเหนือพื้นห้องจนกระทั่งเจ้าหนูตัวนั้นออกไป. ดิฉันได้พบว่าคนเราสามารถเคยชินกับทุกสิ่งหากเราไม่ยอมแพ้.
เมื่อเราอยู่ที่นั่นได้หกเดือน มีคำประกาศทางวิทยุบอกว่างานของพวกเราถูกห้าม. ดังนั้นหอประชุมของเราถูกปิด และมีการร้องขอให้มิชชันนารีออกไป. มีเพียงเรากับสามีภรรยาอีกคู่หนึ่งหาทางที่จะอยู่ต่อที่สำนักงานสาขาอีกสามปี. ต่อมาเช้าวันหนึ่งซึ่งเป็นวันอาทิตย์ระหว่างการศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์ ตำรวจพกอาวุธเข้ามาและพาเราไปกองบัญชาการกรมตำรวจ. พวกเขาปล่อยตัวผู้หญิงและเด็ก ๆ แต่เขากักตัวพี่น้องชาย 23 คนไว้รวมทั้งบิลสามีของดิฉันด้วย. หกวันต่อมาเขาปล่อยตัวบิลกลับบ้านเพื่อเก็บข้าวของ โดยคำสั่งของรัฐบาล ในเวลาสามวันต่อมาเราออกจากประเทศนั้นในเดือนพฤษภาคมปี 1989. นับเป็นการจากไปด้วยน้ำตานองหน้าที่สนามบินอีกครั้งหนึ่ง เมื่อพี่น้องที่รักของเราหลายคนมาที่นั่นเพื่อกล่าวคำอำลา.
ในที่สุดก็ไปที่เซียราลีโอน
เขตมอบหมายปัจจุบันของเราอยู่ที่เซียราลีโอน แอฟริกาตะวันตก เป็นประเทศที่งดงามและมีชายหาดสวย ๆ บนพื้นทรายขาว. ประชาชนดูเป็นมิตรอย่างยิ่ง และงานเทศนาประกาศก็น่าเพลิดเพลิน. เราได้รับเชิญให้นั่งในบ้านทุกหลัง บ่อยครั้งที่นั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นมะม่วงหรือต้นมะพร้าว. ผู้คนชอบพูดเรื่องพระเจ้าและจะหยิบพระคัมภีร์ฉบับส่วนตัวของเขาเปิดตาม.
ทั้งบิลและดิฉันทำงานที่สำนักเบเธลในฟรีทาวน์. ดิฉันทำงานอยู่แผนกต้อนรับและทำงานเกี่ยวกับการบอกรับวารสารและบัญชีของประชาคมด้วย. หลังจาก 16 ปีของงานรับใช้ในประเทศต่าง ๆ ซึ่งงานประกาศของเราถูกห้าม นับเป็นสิ่งวิเศษยิ่งที่ได้มาอยู่ในดินแดนที่การทำงานเป็นอิสระและเจริญรุดหน้า.
ดิฉันทำงานรับใช้เป็นมิชชันนารีครบ 30 ปีในเดือนมิถุนายน 1991. จริงทีเดียว คุณแม่ได้ตั้งเป้าหมายที่คุ้มค่าไว้ให้ดิฉัน! หากคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ดิฉันอยากจะบอกคุณแม่อีกครั้งหนึ่งว่า “ขอบคุณค่ะคุณแม่!” น่ายินดี ดิฉันยังสามารถพูดว่า “ขอบคุณค่ะคุณพ่อ!”
[รูปภาพของ แซนดรา โคแวน หน้า 26]
[รูปภาพของ แซนดรา โคแวน ยังเป็นเด็ก หน้า 27]
[รูปภาพหน้า 28]
การประชุมภาคที่นิวยอร์กปี 1958
[รูปภาพหน้า 29]
[รูปภาพหน้า 30]
บิลและแซนดรา โคแวนเมื่อปี 1991