พระยะโฮวาทรงดูแลรักษาเราเมื่อถูกสั่งห้าม—ตอน 3
วันที่ 14 เดือนมีนาคม 1990 เป็นวันที่ไม่อาจลืมได้. ผมเป็นคนหนึ่งท่ามกลางหลาย ๆ คนที่ได้อยู่ที่กระทรวงการศาสนาในเบอร์ลินตะวันออก ขณะที่เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของรัฐบาลคนหนึ่งได้ยื่นเอกสารยอมรับฐานะอันชอบด้วยกฎหมายของพยานทั้งหลายของพระยะโฮวาในที่ซึ่งในเวลานั้นเรียกกันว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน หรือเยอรมนีตะวันออก. ขณะที่เหตุการณ์ต่าง ๆ ดำเนินไปในวันนั้น ผมนึกย้อนหลังไปถึงตอนที่ผมได้มาเป็นพยานฯและสมัยแห่งความยากลำบากที่พวกเราได้ประสบ.
ราว ๆ กลางปี 1950 ตอนที่เพื่อนร่วมงานของผมที่ชื่อ มาร์กาเรเทซึ่งเป็นพยานฯคนหนึ่งได้เริ่มพูดกับผมเกี่ยวด้วยหลักความเชื่อของเธอจากคัมภีร์ไบเบิลนั้น ได้มีการกดขี่ข่มเหงพยานทั้งหลายของพระยะโฮวาอย่างหนักในเยอรมนีตะวันออก. ไม่นานหลังจากนั้น เธอได้ออกไปทำงานที่อื่น และผมก็ได้เริ่มศึกษาพระคัมภีร์กับพยานฯอีกคนหนึ่ง. ผมได้รับบัพติสมาในปี 1956 และผมได้สมรสกับมาร์กาเรเทในปีเดียวกันนี้. เราร่วมสมทบกับประชาคม ลิกเท็นเบอร์กในเบอร์ลิน. ประชาคมนี้มีผู้ประกาศราชอาณาจักรประมาณ 60 คนที่มีส่วนในงานประกาศ.
สองปีหลังจากที่ผมได้รับบัพติสมา เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาลได้มาเยือนที่บ้านของพี่น้องผู้ซึ่งนำหน้าในประชาคมของเรา. พวกเขาตั้งใจมาเพื่อที่จะจับกุมเขา แต่เขาได้ไปทำงานที่เบอร์ลินตะวันตก. ครอบครัวของเขาสามารถแจ้งให้เขาอยู่ต่อที่นั่น และสองสามเดือนต่อมาครอบครัวของเขาจึงย้ายตามเขาไปอยู่ทางตะวันตก. แม้ว่าผมจะมีอายุเพียง 24 ปีในตอนนั้น ผมได้รับมอบความรับผิดชอบอย่างหนักในประชาคม. ผมรู้สึกขอบคุณที่พระยะโฮวาทรงประทานสติปัญญา และพลกำลังที่จำเป็นเพื่อที่จะเอาใจใส่ต่อหน้าที่เหล่านั้น.—2 โกรินโธ 4:7.
การจัดเตรียมอาหารฝ่ายวิญญาณ
เมื่อมีการก่อกำแพงเมืองเบอร์ลินขึ้นในเดือนสิงหาคม 1961 พยานพระยะโฮวาในตะวันออกถูกตัดขาดอย่างกะทันหันจากพวกพี่น้องของเขาในตะวันตก. ดังนั้นจึงเริ่มช่วงเวลาเพื่อพวกเราพิมพ์ฉบับสำเนาสรรพหนังสือต่าง ๆ ของพวกเรา ตั้งต้นโดยใช้เครื่องพิมพ์ดีด และต่อมาใช้เครื่องอัดสำเนาหลายเครื่อง. โดยเริ่มในปี 1963 ผมใช้เวลาสองปีที่จะสร้างที่หลบซ่อนในบ้านของเราเพื่อที่จะดำเนินการพิมพ์นี้. หลังจากที่ทำงานมาทั้งวันเป็นช่างทำเครื่องมือ ผมจะใช้เวลาในตอนกลางคืนที่จะพิมพ์วารสาร หอสังเกตการณ์ ด้วยความช่วยเหลือจากพี่น้องฝ่ายชายสองคน. พวกเจ้าหน้าที่ตั้งใจค้นหางานการพิมพ์ของเรา กระนั้น พระยะโฮวาทรงช่วยเหลือเรา เพื่อว่าเราจะได้รับสิ่งที่เราเรียกว่าอาหารตามเวลา.
เพื่อที่จะพิมพ์วารสารจำนวนพอกับความต้องการได้นั้น จำเป็นต้องใช้กระดาษในปริมาณมากมาย และการที่จะได้มาซึ่งกระดาษจำนวนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย. หากเราซื้อกระดาษจำนวนมากเป็นประจำ คงดึงความสนใจจากพวกเจ้าหน้าที่. พวกเราจึงขอให้พยานฯแต่ละคนซื้อกระดาษเป็นจำนวนน้อย ๆ และให้นำมายังกลุ่มการศึกษาพระคัมภีร์ของตน. จากนั้นเราก็นำไปยังที่ ๆ เราทำการพิมพ์วารสาร. ต่อจากนั้น พยานฯคนอื่น ๆ ได้ทำการแจกจ่ายวารสารที่พิมพ์เสร็จแล้ว.
เนื่องจากพวกเจ้าหน้าที่สงสัยว่า ผมมีส่วนร่วมในการพิมพ์สรรพหนังสือ เขาจึงเฝ้ามองผมอย่างใกล้ชิด. ช่วงปลายปี 1965 ผมสังเกตว่าพวกเขาติดตามผมมากกว่าปกติ และผมจึงรู้สึกว่าพวกเขากำลังวางแผนที่จะทำอะไรบางอย่าง. ทันใด เช้าวันหนึ่งพวกเขาก็เข้าจู่โจม.
รอดหวุดหวิด
ผมกำลังจะไปทำงานตอนเช้านั้นซึ่งเป็นฤดูหนาว. เป็นเวลาก่อนรุ่งอรุณ และผมพยายามทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าสู้กับความหนาวเหน็บ. ขณะที่ผมเดินไป ผมเห็นมีหัวสี่หัวโผล่อยู่เหนือรั้วต้นไม้. ชายเหล่านั้นเดินเลี้ยวเข้ามาทางผม. ผมตะลึงงันเมื่อจำได้ว่าพวกเขาคือเจ้าหน้าที่รัฐบาล. ผมจะทำอะไรดี?
หิมะที่ตกหนักได้รับการขุดกองไว้เพื่อจะมีช่องทางเดินที่แคบ ๆ. ผมเดินไปเรื่อย ๆ. ผมก้มศีรษะลง สายตาจ้องอยู่กับพื้นดินและรีบเร่งเดิน. ผมรีบอธิษฐานด้วยเสียงแผ่วเบา. ชายเหล่านั้นเดินเข้ามาใกล้ทุกขณะ. พวกเขาจำผมได้ไหมหนอ? ขณะที่เราเดินสวนทางกันทีละคนบนทางแคบ ๆ นั้น ผมนึกไม่ถึงเลยว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น. ผมเดินเร็วขึ้น. “เฮ้ย” หนึ่งในพวกเขาตะโกนขึ้น “เขาล่ะ. หยุดนะ!”
ผมรีบวิ่งสุดชีวิต. เลี้ยวตัดมุมถนน กระโดดข้ามรั้วของเพื่อนบ้าน เข้าไปในสวนหลังบ้านผม. ผมพุ่งตัวเข้าไปในบ้าน ลั่นกุญแจประตู และใส่กลอน. “ทุกคนลุกจากที่นอน!” ผมตะโกนลั่น. “พวกเขามาจับผมแล้ว.”
มาร์กาเรเทรีบลงมาชั้นล่างโดยเร็ว และยืนเฝ้าประตู. ผมไปที่ห้องใต้ดินอย่างรวดเร็วเพื่อจะเขี่ยไฟในเตาให้แรง. ผมคว้าบันทึกของประชาคมทั้งหมดที่อยู่กับผม และโยนลงในเตาไฟ.
“เปิดประตู!” ชายเหล่านั้นร้องลั่น. “เปิดเดี๋ยวนี้นะ! นี่เจ้าหน้าที่อัยการนะ.”
มาร์กาเรเทไม่ยอมเปิดในขณะที่ผมเผาหลักฐานทุกอย่างจนไม่เหลือซาก. แล้วผมก็มาตรงที่มาร์กาเรเทอยู่ และพยักหน้าให้เธอเปิดประตู. ชายเหล่านั้นกระโจนเข้ามาในบ้าน.
“ทำไมคุณต้องวิ่งหนีด้วย?” พวกเขาถาม.
ในไม่ช้า มีพวกเจ้าหน้าที่จำนวนมากขึ้นได้มาถึง และพวกเขาได้ทำการค้นบ้านทั้งหลัง. สิ่งที่ผมเป็นห่วงมากที่สุดก็คือ ที่เก็บซ่อนซึ่งเราได้ใช้ซ่อนเครื่องพิมพ์ และกระดาษ 40,000 แผ่น. แต่พวกเขาก็ไม่เห็นทางเข้าที่ได้ปิดซ่อนไว้. แม้ว่าจะมีการสืบสวนเป็นเวลาหลายชั่วโมงก็ตาม พระยะโฮวาทรงช่วยผมให้สงบสติอารมณ์. ประสบการณ์ในครั้งนั้น พาเราใกล้ชิดพระบิดาองค์เปี่ยมด้วยความรักยิ่งขึ้น และทั้งยังชูกำลังพวกเราให้มีความอดทน.
อยู่ในคุก แต่เป็นอิสระ
ช่วงปลายปี 1960 ผมได้รับคำสั่งให้รายงานตัวเพื่อรับหน้าที่ทางการทหาร. เนื่องจากมันขัดกับสติรู้สึกผิดชอบผมไม่สามารถรับหน้าที่นี้ ผมจึงถูกคุมขังเป็นเวลาเจ็ดเดือน และทำงานในค่ายที่ใช้แรงงาน. มีพยานฯทั้งหมด 15 คนในค่ายที่ คอตต์บุส ในเบอร์ลินตะวันออกเฉียงใต้. เราทุกคนอยู่ที่นั่นเนื่องจากการรักษาความเป็นกลางฝ่ายคริสเตียนของพวกเรา. (ยะซายา 2:2-4; โยฮัน 17:16) วันทำงานของเราเป็นวันที่ยาวนานและงานของเราก็หนัก. เราตื่นนอนตอน 4:15 นาฬิกาและถูกพาไปนอกค่ายเพื่อจะทำงานซ่อมรางรถไฟ. อย่างไรก็ตาม ขณะที่ถูกจำขัง เราได้มีโอกาสที่จะบอกเล่าให้คนอื่น ๆ ทราบเกี่ยวกับราชอาณาจักรของพระยะโฮวา.
ยกตัวอย่างเช่น มีหมอดูสองคนถูกขังร่วมกับพวกเราที่คอตต์บุส. วันหนึ่งผมได้ยินว่าคนที่อายุอ่อนกว่า มีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะคุยกับผม. เขาต้องการอะไรกัน? เขาเปิดอกเล่าให้ผมฟังทุกสิ่ง. ยายของเขาเคยเป็นหมอดู และหลังจากที่เขาได้อ่านหนังสือตำราของยาย เขาเองก็เริ่มมีอำนาจทำนองเดียวกัน. ถึงแม้ว่าชายคนนี้มีความปรารถนาอย่างมากในอันที่จะเป็นอิสระพ้นจากอำนาจที่ครอบงำเขาอยู่ เขาก็รู้สึกหวั่นกลัวว่าจะถูกทำทารุณกรรมเป็นการแก้เผ็ด. เขาร้องไห้แล้วร้องไห้อีก. แต่ทั้งหมดนี้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับผม?
ระหว่างการสนทนาของเรา เขาได้อธิบายว่า ความสามารถของเขาในการทำนายจะหย่อนสมรรถนะทันที หากเขาอยู่ท่ามกลางพวกพยานพระยะโฮวา. ผมจึงอธิบายว่ามีทั้งกายวิญญาณที่ชั่ว หรือพวกผีปีศาจ และกายวิญญาณที่ดีหรือบรรดาทูตสวรรค์ที่ชอบธรรม. โดยการยกตัวอย่างของคนเหล่านั้นในเมืองเอเฟโซโบราณ ผู้ซึ่งได้มาเป็นคริสเตียน ผมเน้นให้เขาเห็นความจำเป็นที่จะทิ้งทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการทำนาย หรือกิจปฏิบัติอื่น ๆ ทางด้านลัทธิวิญญาณ. (กิจการ 19:17-20) “หลังจากที่คุณทำเช่นนี้แล้ว ให้คุณติดต่อกับพวกพยานฯ” ผมบอกเขา. “มีพวกพยานฯอาศัยอยู่ทั่วทุกแห่ง.”
ไม่กี่วันต่อมา ชายหนุ่มคนนี้ได้จากค่ายของเราไป และผมก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรจากเขาอีก. แต่ประสบการณ์ที่ผมได้มีกับชายคนนี้ที่มีแต่ความหวาดกลัว และขาดการปลอบประโลมใจ ผู้ซึ่งปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะได้รับอิสรภาพ ทำให้ความรักของผมที่มีต่อพระยะโฮวาลึกซึ้งยิ่งขึ้น. พวกเราที่เป็นพยานฯ 15 คนอยู่ในค่ายเนื่องจากความเชื่อของเรา แต่พวกเราก็มีอิสรภาพในแง่ฝ่ายวิญญาณ. ส่วนชายหนุ่มคนนั้นได้รับการปลดปล่อยจากที่จำขัง กระนั้น เขาก็ยังคงเป็นทาสของ “พระเจ้า” องค์หนึ่งซึ่งเป็นที่หวาดกลัวสำหรับเขา. (2 โกรินโธ 4:4) พวกเราที่เป็นพยานฯน่าจะทะนุถนอมอิสรภาพฝ่ายวิญญาณของเราสักเพียงไร!
ลูก ๆ ของเราเผชิญการพิสูจน์ทดลอง
ไม่เฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้นที่ต้องยืนหยัดมั่นคงเพื่อความเชื่อมั่นของพวกเขาในหลักการของพระคัมภีร์ แม้แต่เด็ก ๆ ก็ประสบเช่นเดียวกัน. พวกเขาถูกกดดันให้อะลุ้มอล่วยทั้งที่โรงเรียนและที่ทำงาน. ลูก ๆ ทั้งสี่คนของเราได้เผชิญการทดลองดังกล่าว.
มีการจัดพิธีเคารพธงชาติทุก ๆ วันจันทร์ที่โรงเรียน. เด็ก ๆ จะเรียงรายเข้ามาในสนาม ร้องเพลงหนึ่งบท จากนั้นทำความเคารพที่เรียกกันว่า การคารวะแท็ลแมนน์ ในขณะที่ธงชาติชาติขึ้นสู่ยอดเสา. เอิร์นส์ แท็ลแมนน์คืออดีตคอมมิวนิสต์ผู้ซึ่งถูกสังหารโดย พวกเอสเอสของนาซี ในปี 1944. หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง แท็ลแมนน์จึงกลายเป็นวีรบุรุษในเยอรมนีตะวันออก. เนื่องจากความเชื่อมั่นของเราตามหลักพระคัมภีร์ที่ว่า การรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์คู่ควรกับพระยะโฮวาพระเจ้าเท่านั้น ผมกับภรรยาจึงอบรมลูก ๆ ของเราให้ยืนเฉย ๆ ด้วยความนับถือระหว่างพิธีดังกล่าว โดยไม่มีส่วนร่วม.
ยังมีการสอนเด็กนักเรียนให้ร้องเพลงของลัทธิคอมมิวนิสต์อีกด้วย. ผมกับมาร์กาเรเทจึงไปที่โรงเรียนของลูก ๆ เพื่ออธิบายถึงเหตุผลที่ว่า ทำไมพวกเขาจึงไม่ยอมร้องเพลงอันเกี่ยวข้องกับการเมืองดังกล่าว. ถึงอย่างไรก็ตาม เราบอกพวกเขาว่า ลูก ๆ ของเรายินดีที่จะเรียนร้องเพลงประเภทอื่น. ด้วยเหตุนี้ ลูก ๆ ของเราจึงเรียนรู้ที่จะยืนหยัดมั่นคงตั้งแต่ยังเยาว์วัย และแตกต่างจากพวกในวัยเดียวกัน.
ปลายปี 1970 ลูกสาวคนโตของเรา ต้องการที่จะฝึกงานในบริษัทแห่งหนึ่ง. อย่างไรก็ตาม มีข้อแม้ว่า คนที่จะฝึกงานดังกล่าวต้องผ่านการอบรมทางทหารเป็นเวลา 14 วันเสียก่อน. เนื่องจากสติรู้สึกผิดชอบของเรนาเทไม่อนุญาตให้เธอเข้าส่วนในกิจกรรมดังกล่าว เธอจึงยืนหยัดมั่นคง และในที่สุดจึงได้รับการยกเว้นจากการอบรมนั้น.
ระหว่างช่วงที่เธอฝึกงาน เรนาเทได้เรียนไปด้วย ซึ่งกำหนดให้เธอเข้าฝึกอบรมการยิงปืน. “เรนาเท เธอจะต้องไปร่วมการอบรมฝึกยิงปืนด้วย” คุณครูกล่าว. ครูก็ไม่ไยดีข้อคัดค้านของเธอ. “เธอไม่ต้องยิงปืน” เขาให้สัญญา. “เธอรับผิดชอบแผนกเครื่องดื่มก็แล้วกัน.”
เย็นวันนั้น เราพูดคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ ในฐานะครอบครัว. เรารู้สึกว่าการที่เรนาเทจะปรากฏตัว ณ ที่สนามฝึกยิงปืนนั้นผิด ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เข้าร่วมโดยตรง. เนื่องจากเธอได้รับการชูใจจากการสนทนากับเรา และโดยทางการอธิษฐาน เธอจึงไม่ยอมให้ตัวเองถูกขู่เข็ญ. นับว่าเป็นการหนุนกำลังใจอย่างยิ่งที่เห็นลูกสาววัยเยาว์ของเรายืนหยัดมั่นคงเพื่อหลักการที่ชอบธรรม!
การเพิ่มพูนการประกาศในที่สาธารณะ
ขณะที่การต่อต้านกิจการงานของเราค่อยเบาบางลงในช่วงปลายปี 1970 ได้เริ่มมีการนำสรรพหนังสือฝ่ายคริสเตียนของเราเป็นจำนวนมากเข้ามาจากตะวันตก. แม้ว่าจะเป็นงานที่อันตราย พี่น้องที่มีความกล้าหาญหลายคนได้อาสาสมัครทำงานนี้. พวกเราหยั่งรู้ค่าอย่างยิ่งสำหรับสรรพหนังสือจำนวนมากขึ้นนี้ รวมทั้งความพยายามของคนเหล่านั้นที่ทำให้สิ่งนี้เป็นไปได้. ในช่วงปีแรก ๆ ของการประกาศห้าม เมื่อมีการกดขี่ข่มเหงอย่างหนัก การงานประกาศตามบ้านเป็นเรื่องที่ท้าทายจริง ๆ. แท้ที่จริง เนื่องจากกลัวการลงโทษจากพวกเจ้าหน้าที่ มีบางคนที่ไม่เข้าส่วนในงานนี้. แต่เมื่อได้เวลาการงานประกาศในที่สาธารณะของเราได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว. ในช่วงปี 1960 มีผู้ประกาศราชอาณาจักรประมาณ 25 เปอร์เซ็นเท่านั้นที่เข้าส่วนร่วมอย่างสม่ำเสมอในการรับใช้ตามบ้าน. อย่างไรก็ตาม จำนวนนั้นได้เพิ่มทวีขึ้นถึง 66 เปอร์เซ็นในช่วงปลายทศวรรษปี 1980! พอถึงช่วงนี้ พวกเจ้าหน้าที่ไม่ค่อยให้ความเอาใจใส่ต่อการงานประกาศในที่สาธารณะของเรา.
ณ โอกาสหนึ่ง พี่น้องชายผู้ซึ่งออกประกาศกับผม ได้พาลูกสาวตัวเล็ก ๆ ของเขาไปด้วย. หญิงวัยสูงอายุคนหนึ่งที่เราสนทนาด้วย รู้สึกอบอุ่นใจที่ได้เห็นเด็กหญิงนั้น จึงเชิญเราเข้าไปในบ้านของเธอ. เธอหยั่งรู้ค่าการเสนอสิ่งฝ่ายวิญญาณของเรา และตกลงที่จะให้เรากลับไปเยี่ยมเธอ. ต่อมาผมให้รายเยี่ยมนี้แก่ภรรยาของผม ซึ่งได้เริ่มการศึกษาพระคัมภีร์กับหญิงนี้ทันที. ถึงแม้ว่าเธอจะอายุมากแล้ว และสุขภาพทรุดลง หญิงคนนี้ได้มาเป็นพี่น้องของเรา และยังคงขันแข็งในการรับใช้พระยะโฮวา.
การปรับตัวขณะที่เสรีภาพใกล้เข้ามา
พระยะโฮวาทรงเตรียมพวกเราเพื่อเวลาเมื่อเราจะสามารถชื่นชมกับเสรีภาพมากขึ้น. ยกตัวอย่าง: ไม่นานก่อนที่จะมีการยกเลิกการประกาศห้าม เราได้รับคำแนะนำให้เปลี่ยนวิธีการเรียกซึ่งกันและกัน ณ การประชุมต่าง ๆ. เพื่อความปลอดภัย เราเคยเรียกกันโดยใช้เฉพาะชื่อ. หลายคนซึ่งเคยรู้จักกันมานาน จึงไม่รู้จักนามสกุลของเพื่อนผู้เชื่อถือของตน. อย่างไรก็ตาม เพื่อเตรียมเราพร้อมที่จะต้อนรับคนใหม่ ๆ อีกหลายคนผู้ซึ่งจะหลั่งไหลมายังการประชุมต่าง ๆ ของพวกเรา เราได้รับคำแนะนำให้เราใช้นามสกุลในการเรียกซึ่งกันและกัน. สำหรับบางคนมีความรู้สึกว่า วิธีนี้เป็นแบบทางการเกินไป แต่สำหรับคนเหล่านั้นที่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ เขาสามารถปรับตัวได้ดีขึ้นเมื่อพวกเราได้รับเสรีภาพในภายหลัง.
พวกเรายังได้รับการสนับสนุนให้เริ่มการประชุมด้วยการร้องเพลง. โดยวิธีนี้ เราจึงเริ่มคุ้นเคยกับวิธีซึ่งมีการปฏิบัติกัน ณ ประชาคมต่าง ๆ ในที่อื่น ๆ. เรายังได้ทำการปรับปรุงในเรื่องของจำนวนผู้เข้าร่วม ณ กลุ่มการศึกษาหนังสือประจำประชาคมของเรา. มีการเพิ่มจากสี่คนมาเป็นแปดคนในช่วงทศวรรษปี 1950. ต่อมาเพิ่มเป็น 10 คน และในที่สุดเป็น 12 คน. ยิ่งกว่านั้น ได้มีการวิเคราะห์เพื่อทำให้เป็นที่แน่ใจว่า สถานที่ประชุมในแต่ละประชาคมนั้นตั้งอยู่จุดใจกลางที่สะดวกสำหรับพยานฯส่วนใหญ่.
มีหลายครั้งที่เราเห็นสติปัญญาที่อยู่เบื้องหลังคำแนะนำให้ทำการปรับปรุง หลังจากที่ได้ทำตามคำแนะนำนั้นแล้ว. บ่อยครั้งเพียงไรที่พระยะโฮวาทรงสำแดงพระองค์เองในฐานะเป็นพระบิดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระสติปัญญา และความเห็นอกเห็นใจ! ทีละน้อย พระองค์ทรงช่วยพวกเรา ให้ประสานลงรอยกับส่วนอื่น ๆ แห่งองค์การทางภาคพื้นโลกนี้ของพระองค์ และพวกเราจึงรู้สึกยิ่งขึ้นว่าเราเป็นส่วนหนึ่งแห่งสังคมพี่น้อง ซึ่งประกอบด้วยพลไพร่ของพระองค์ตลอดทั่วโลก. แท้จริง พระยะโฮวาพระเจ้าได้ปกปักรักษาพลไพร่ของพระองค์ด้วยความรักตลอดเวลา 40 ปีที่พวกเขาต้องทำงานภายใต้การสั่งห้ามในเยอรมนีตะวันออก. บัดนี้ เราชื่นชมสักเพียงไรที่ได้รับการยอมรับเป็นทางการ.
ทุกวันนี้ มีพยานพระยะโฮวา 22,000 คนหรือมากกว่านั้นในที่ซึ่งแต่ก่อนคือเยอรมนีตะวันออก. พวกเขาคือพยานหลักฐานที่พิสูจน์ถึงการทรงนำอันฉลาดสุขุม และการเอาพระทัยใส่ด้วยความรักที่มาจากพระยะโฮวาพระเจ้า. การหนุนหลังที่มาจากพระองค์ระหว่างปีเหล่านั้นภายใต้การประกาศห้ามแสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงสามารถควบคุมทุก ๆ สถานการณ์ได้. ไม่ว่าเขาจะทำอาวุธชนิดใดขึ้นก็ตามเพื่อต่อต้านพลไพร่ของพระองค์ มันจะไม่สำเร็จ. พระยะโฮวาทรงเอาพระทัยใส่คนเหล่านั้นที่วางใจในพระองค์เป็นอย่างดีเสมอ. (ยะซายา 54:17; ยิระมะยา 17: 7, 8)—เล่าโดย ฮอร์สท ชเลอยส์เนอร์.
[รูปภาพหน้า 31]
ฮอร์สต และ มาร์กาเรเท ชเลอยส์เนอร์ ณ ที่ทำการของสมาคมในเบอร์ลินตะวันออก