พระยะโฮวาทรงดูแลรักษาเราเมื่อถูกสั่งห้าม—ตอน 1
เป็นเวลาหลายทศวรรษที่พยานทั้งหลายของพระยะโฮวาสงสัยว่า สภาพการณ์ของพี่น้องของเขาเป็นอย่างไรในประเทศต่าง ๆ ที่การงานฝ่ายคริสเตียนถูกจำกัด. เรามีความยินดีที่จะเสนอบทความแรกในสามบทความที่เปิดเผยบางสิ่งที่ได้เกิดขึ้น. ทั้งหมดเป็นเรื่องราวจากชีวิตจริงของบรรดาคริสเตียนผู้ซื่อสัตย์ในดินแดนที่เคยเป็นที่รู้จักกันว่าเยอรมนีตะวันออก.
ในปี 1944 ผมเป็นเชลยสงครามชาวเยอรมัน ทำงานเป็นเสนารักษ์ที่ค่ายคัมน็อก ใกล้ ๆ เออร์ประเทศสก็อตแลนด์. ผมได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกค่ายได้ แม้ว่าการผูกมิตรสนิทสนมกับผู้คนในท้องถิ่นถูกจำกัดก็ตาม. วันหนึ่งซึ่งเป็นวันอาทิตย์ ขณะเดินเล่น ผมได้พบกับชายคนหนึ่งผู้ซึ่งได้พยายามด้วยน้ำใสใจจริงที่จะอธิบายสิ่งต่าง ๆ จากคัมภีร์ไบเบิลให้ผมฟัง. ต่อมา เรามักจะเดินเล่นด้วยกันบ่อย ๆ.
ในเวลาต่อมา เขาได้เชิญผมให้เข้าร่วมในการประชุมเป็นกลุ่มซึ่งจัดขึ้นที่บ้านแห่งหนึ่ง. นี่นับว่าเป็นการเสี่ยงสำหรับตัวเขา เนื่องจากผมเป็นสมาชิกคนหนึ่งของประเทศคู่อริ. ตอนนั้น ผมไม่ทราบว่าเขาเป็นพยานพระยะโฮวาคนหนึ่ง—ปรากฏว่า การประชุมนั้นเป็นหนึ่งในบรรดากลุ่มการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลของพวกเขา. แม้จะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ผมก็จำรูปภาพรูปหนึ่งได้อย่างแม่นยำ เป็นรูปของเด็กคนหนึ่งสวมชุดยาวสีขาว อยู่กับสิงห์โตและลูกแกะ. ภาพพรรณนาอันมีชีวิตชีวาเกี่ยวด้วยโลกใหม่ภาพนี้ ดังมีบันทึกไว้ในไบเบิลที่พระธรรมยะซายา เป็นที่ประทับใจผมยิ่งนัก.
ในเดือนธันวาคม ปี 1947 ผมได้รับการปลดปล่อยจากค่ายคุมขัง. หลังจากที่ได้กลับไปยังบ้านเกิดในประเทศเยอรมนี ผมได้แต่งงานกับมาร์กิต ผู้ซึ่งผมได้รู้จักก่อนสงคราม. เราเลือกเอาเมืองซิตทาวใกล้ ๆ กับพรมแดนของประเทศโปแลนด์และเชโกสโลวะเกีย เป็นที่อยู่ของเรา. ไม่กี่วันต่อมา พยานพระยะโฮวาคนหนึ่งได้มาเคาะที่ประตูบ้านของเรา. ผมบอกกับภรรยาว่า “หากเขาเป็นพวกเดียวกันกับที่ผมได้พบในประเทศสก็อตแลนด์แล้วละก็ เราจะต้องสมทบกับพวกเขา”. สัปดาห์นั้นเอง เราได้เข้าร่วมการประชุมนัดแรกกับพวกพยานฯ.
ในไม่ช้า เราได้เรียนรู้จากคัมภีร์ไบเบิลว่า มีความจำเป็นที่จะเข้าร่วมการประชุมต่าง ๆ ฝ่ายคริสเตียนอย่างสม่ำเสมอและมีส่วนในการประกาศ. อันที่จริง ในไม่ช้า สิ่งที่พวกพยานฯสอนจากคัมภีร์ไบเบิลได้กลายมาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา. ในเวลาต่อมา ผมได้นำกลุ่มการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. และแล้ว ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1950 ผู้ดูแลเดินทางคริสเตียนสองคนได้ถามว่า “คุณไม่คิดจะรับบัพติสมาหรือ?” บ่ายของวันนั้นเอง มาร์กิต กับผมได้แสดงออกซึ่งการอุทิศตัวของเราต่อพระเจ้าโดยการรับบัพติสมา.
ความยุ่งยากลำบากเริ่มต้น
เมืองซิตทาวอยู่ในเขตภูมิภาคของโซเวียตในเยอรมนี และได้เริ่มมีความพยายามที่จะก่อความยุ่งยากลำบากสำหรับพยานทั้งหลายของพระยะโฮวาในปี 1949. หลังจากด้วยความยากลำบากมากมาย เราจึงได้รับอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อที่จะจัดการประชุมหมวดขนาดเล็กที่เมือง เบาต์เซ็น. และแล้ว ระหว่างฤดูร้อน ขบวนรถไฟที่ได้จองไว้เป็นพิเศษเพื่อพาผู้ที่จะเข้าร่วมการประชุมภาคที่ใหญ่กว่า ในเมืองเบอร์ลิน ก็ถูกยกเลิกโดยกะทันหัน. อย่างไรก็ตาม ยังมีคนนับพันที่ได้เข้าร่วม.
การประชุมต่าง ๆ ประจำประชาคมก็ได้รับการรบกวนด้วย. คนที่ชอบขัดคอจะเข้าร่วมด้วยจุดประสงค์ที่จะตะโกนและเป่าปากเท่านั้น. ในโอกาสหนึ่ง เราเกือบจะต้องยุติคำบรรยายของผู้ดูแลเดินทาง. หนังสือพิมพ์ได้เรียกพวกเราว่า พวกผู้พยากรณ์แห่งความพินาศ. บทความต่าง ๆ ในหนังสือพิมพ์ ถึงกับอ้างว่าพวกเราได้มารวมกันที่ยอดเขา เพื่อที่จะรอการรับขึ้นไปในก้อนเมฆ. หนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ยังได้ยกคำพูดของเด็กสาวบางคนที่ได้อ้างว่า พยานฯบางคนได้พยายามประพฤติผิดศีลธรรมกับพวกตน. คำอธิบายที่ว่า ‘คนเหล่านั้นที่ได้ทำการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาจะได้รับชีวิตนิรันดร์’ ได้รับการบิดเบือนว่า คนเหล่านั้นที่ได้ร่วมเพศสัมพันธ์กับพวกพยานฯจะได้รับชีวิตนิรันดร์.
ต่อมา เราถูกป้ายร้ายว่าเป็นพวกที่แพร่การสงคราม. สิ่งที่พวกเราได้กล่าวเกี่ยวกับการสงครามของพระเจ้า ณ อาร์มาเก็ดดอน ได้รับการตีความหมายอย่างผิด ๆ ว่า พวกเราส่งเสริมการแข่งขันกันด้านการสะสมอาวุธและการสงคราม. เหลวไหลอะไรเช่นนี้! กระนั้นก็ตาม ในเดือนสิงหาคม ปี 1950 เมื่อผมไปถึงที่ทำงาน เพื่อเริ่มงานกะกลางคืน ณ โรงพิมพ์ของหนังสือพิมพ์ประจำท้องถิ่นฉบับหนึ่งในตำแหน่งคนควบคุมเครื่องพิมพ์ ผมถูกห้ามที่ประตูทางเข้า. “คุณถูกไล่ออกแล้ว” ยามซึ่งอยู่พร้อมหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกผม. “พวกคุณเห็นดีเห็นชอบกับการสงคราม.”
เมื่อกลับมาบ้าน มาร์กิตรู้สึกโล่งอก. เธอพูดว่า “ไม่ต้องทำงานดึก ๆ อีกต่อไปแล้ว.” เราไม่รู้สึกกระวนกระวายเลย. ในไม่ช้าผมก็ได้งานใหม่. เราได้ไว้วางใจในพระเจ้าที่จะจัดเตรียมให้ และพระองค์ก็ได้จัดเตรียมให้จริง.
กิจการของเราถูกห้าม
ในวันที่ 31 เดือนสิงหาคม ปี 1950 กิจการของพยานทั้งหลายของพระยะโฮวาในสาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนีได้ถูกห้าม. มีการจับกุมเป็นจำนวนมาก. พยานฯหลายคนถูกฟ้องร้องในศาล และบางคนถูกพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต. พี่น้องฝ่ายชายสองคนจากเมืองซิตทาว ผู้ซึ่งได้ทนทุกข์ในค่ายกักกันของนาซี ถูกจำคุกโดยพวกคอมมิวนิสต์.
ผู้ดูแลประชาคมของเราพร้อมด้วยภรรยาถูกจับ. ผู้ที่ทำการจับกุมเขาได้ทิ้งให้ลูกเล็ก ๆ สองคนของเขาอยู่ในบ้านตามลำพังให้ดูแลตัวเอง. ตาและยายของเด็กได้ไปรับพวกเด็ก และทุกวันนี้ หญิงสาวทั้งคู่เป็นผู้ที่ร้อนรนในการพูดกับคนอื่น ๆ เรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า.
ผู้ส่งหนังสือ ได้เดินทางจากประชาคมต่าง ๆ ในเยอรมนีตะวันออกไปยังเบอร์ลิน เพื่อจะรับสรรพหนังสือตามจุดต่าง ๆ ตลอดเขตอันอิสระของแถบตะวันตก. หลายคนในบรรดาผู้ส่งเอกสารผู้กล้าหาญเหล่านี้ได้ถูกจับ ถูกส่งฟ้องศาล และถูกตัดสินจำคุก.
เจ้าหน้าที่ได้มายังบ้านของเราในเช้าตรู่ของวันหนึ่งเพื่อจะทำการค้นบ้าน. เราได้คาดการณ์ไว้แล้วว่า พวกเขาจะต้องมา ผมจึงได้เก็บบันทึกทั้งหมดของประชาคม ซึ่งอยู่ในความดูแลของผมไว้ที่ยุ้งฉางของเรา ใกล้ ๆ กับรังของตัวต่อ. ตัวต่อเหล่านั้นไม่เคยรังควานผม แต่ว่าเมื่อเจ้าหน้าที่เริ่มทำการค้นบริเวณนั้น ทันใดพวกเขาก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยฝูงตัวต่อ. สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ก็คือหนีเอาตัวรอด!
พระยะโฮวาทรงเตรียมพวกเราพร้อมสำหรับการประกาศห้าม โดยทางการประชุมใหญ่ที่ได้จัดขึ้นในปี 1949. ระเบียบวาระของการประชุมได้เร่งเร้าให้พวกเราทำการศึกษาส่วนตัวมากขึ้น เข้าร่วมการประชุมมากขึ้น และมีส่วนในกิจการประกาศมากขึ้น รวมทั้งการหมายพึ่งซึ่งกันและกันเพื่อการเสริมสร้างและการหนุนกำลังใจ. นั่นช่วยเราจริง ๆ ให้รักษาความซื่อสัตย์มั่นคง. ด้วยเหตุนี้ แม้ผู้คนจะตำหนิ และแช่งด่าพวกเราบ่อย ๆ เราก็ไม่ได้ยอมให้สิ่งเหล่านี้มีผลในทางลบต่อตัวเรา.
การจัดการประชุมต่าง ๆ ภายใต้การประกาศห้าม
หลังจากแถลงการณ์เรื่องการประกาศห้าม ผมได้พบกับเพื่อนพยานฯสองคน เพื่อที่จะปรึกษาหารือถึงวิธีที่จะดำเนินการประชุมประจำประชาคมต่อ ๆ ไป. การเข้าร่วมการประชุมนับว่าอันตราย เนื่องจากหากถูกจับได้ขณะเข้าร่วม อาจหมายถึงการถูกจำคุก. เราได้ไปเยี่ยมพวกพยานฯที่อยู่ในเขตของเรา. บางคนรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ แต่เป็นที่หนุนกำลังใจที่ได้พบว่า แต่ละคนรู้สำนึกถึงความจำเป็นที่จะเข้าร่วมการประชุมต่าง ๆ.
ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้สนใจ ได้เสนอให้ใช้โรงนาของตนเพื่อใช้เป็นที่ประชุม. แม้จะอยู่กลางทุ่ง ซึ่งเห็นได้ถนัดตา โรงนานี้ก็มีประตูออกทางด้านหลัง ซึ่งเปิดออกไปสู่ทางเดินที่มีพุ่มไม้ปิดบังมิดชิด. ดังนั้น การไปมาของพวกเราจึงไม่เป็นที่สังเกต. ตลอดฤดูหนาว โรงนาเก่า ๆ นี้ได้เป็นสถานที่สำหรับจัดการประชุมซึ่งใช้แสงเทียนโดยมีผู้เข้าร่วมประมาณ 20 คน. เราพบปะกันทุกสัปดาห์เพื่อศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์ และการประชุมวิธีปฏิบัติงาน. ระเบียบวาระการประชุม ได้รับการดัดแปลงให้เหมาะกับสภาพการณ์ของเรา โดยมีการเน้นว่า เราต้องรักษาความร้อนรนฝ่ายวิญญาณ. ไม่นานหลังจากนั้น เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ต้อนรับชายผู้สนใจคนนั้นในฐานะที่เป็นพี่น้องใหม่ของเราในความจริง.
ช่วงกลางทศวรรษปี 1950 การตัดสินความต่าง ๆ ของศาลค่อยโอนอ่อนลง และพี่น้องฝ่ายชายบางคนก็ได้รับการปลดปล่อยออกจากคุก. หลายคนถูกเนรเทศไปยังประเทศเยอรมนีตะวันตก. สำหรับตัวผมนั้นมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น หลังจากที่มีพี่น้องชายคนหนึ่งจากเยอรมนีตะวันตกมาเยี่ยมผม.
งานมอบหมายที่สำคัญชิ้นแรกของผม
พี่น้องชายคนนี้เรียกตัวเองว่า ฮานส์. หลังจากการสนทนาของเรา ผมได้รับการบอกให้ไปยังที่อยู่แห่งหนึ่งในเบอร์ลิน. หลังจากที่ผมพบรหัสชื่อที่กริ่งหน้าประตูบ้าน ผมได้รับเชิญให้เข้าไป. ชายสองคนได้ร่วมสนทนากับผมเกี่ยวกับเรื่องราวที่น่าฟังมาก แต่เป็นการสนทนาเรื่องทั่ว ๆ ไป. และแล้วก็มาถึงสิ่งที่เขาต้องการจะพูด: “หากคุณได้รับมอบหมายการงานพิเศษชิ้นหนึ่ง คุณจะตอบรับไหม?”
“แน่นอน” คือคำตอบของผม.
“ดีแล้ว” พวกเขากล่าว “นั่นคือสิ่งเดียวที่พวกเราต้องการจะทราบ ขอให้คุณเดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ.”
สามสัปดาห์ต่อมา ผมถูกเรียกให้กลับไปยังเบอร์ลิน และมาอยู่ในห้องนั้นอีกครั้งหนึ่ง. หลังจากยื่นแผนที่อาณาเขตของเมืองซิตทาวให้ผม พี่น้องเหล่านั้นก็เริ่มพูดถึงจุดประสงค์ของการนัดหมาย. “เราขาดการติดต่อกับพวกพยานฯในเขตนี้. คุณจะช่วยติดต่อกับพวกเขาแทนเราจะได้ไหม?”
“ได้แน่นอน” ผมตอบทันที. เขตนี้เป็นเขตใหญ่ มีระยะทางยาวกว่า 100 กิโลเมตร จากรีซาถึงซิตทาว และกว้างถึง 50 กิโลเมตร. และสิ่งเดียวที่ผมมีก็คือจักรยาน. เมื่อทำการติดต่อกับพยานฯเป็นรายบุคคลได้สำเร็จ แต่ละคนก็ได้มาเป็นส่วนแห่งประชาคมของตน ซึ่งแต่ละประชาคมจะจัดส่งตัวแทนไปยังเบอร์ลินเพื่อที่จะไปรับเอาสรรพหนังสือ และคำชี้แนะ. การดำเนินการในแนวนี้ ได้ป้องกันประชาคมอื่น ๆ ไว้จากอันตรายอันอาจเกิดขึ้นได้ หากว่ามีประชาคมใดประชาคมหนึ่งได้รับการข่มเหงจากพวกเจ้าหน้าที่.
วางใจในพระยะโฮวา
แม้จะมีการกดขี่ข่มเหง เราไม่เคยเลิกในการไปตามบ้านเรือน ด้วยข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า ซึ่งเป็นการเชื่อฟังคำสั่งที่ให้ไว้ในคัมภีร์ไบเบิล. (มัดธาย 24:14; 28:19, 20; กิจการ 20:20) เราจะไปเยี่ยมตามที่อยู่ ที่เราได้รับจากคนเหล่านั้นที่พวกเรารู้จัก และเรามีโอกาสได้ชื่นชมกับประสบการณ์ที่ดีวิเศษในหลายโอกาส. ในบางครั้ง แม้กระทั่งความผิดพลาดของเราก็ได้กลายมาเป็นพระพร ดังที่ตัวอย่างต่อไปนี้แสดงให้เห็น.
ผมกับภรรยาได้รับมอบหมายให้ไปเยี่ยมตามที่อยู่แห่งหนึ่ง แต่เราไปผิดบ้าน. เมื่อประตูเปิดออก เราสังเกตว่ามีเครื่องแบบของตำรวจแขวนอยู่บนไม้แขวนเสื้อ. ใบหน้าของมาร์กิตซีดลง; หัวใจของผมเต้นแรง. นี่อาจหมายถึงการถูกจำคุก. มีเวลาเหลืออยู่เพื่อการอธิษฐานเพียงสั้น ๆ เท่านั้น.
“คุณเป็นใคร?” ชายคนนั้นถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ. เราสงบสติอารมณ์.
“ดิฉันแน่ใจว่า ดิฉันเคยรู้จักคุณมาก่อน” มาร์กิตพูดขึ้น “แต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน. ใช่ คุณเป็นตำรวจ ดิฉันคงเคยเห็นคุณขณะปฏิบัติหน้าที่.”
ประโยคนี้ยังผลให้ความตึงเครียดคลายลง และเขาก็ได้ถามอย่างฉันมิตรว่า “คุณเป็นพวกยะโฮวา ใช่ไหม?”
“ถูกแล้ว” ผมเข้าร่วมในการสนทนา “พวกเราเป็น และคุณต้องยอมรับว่า พวกเราต้องมีความกล้าพอที่จะเคาะประตูบ้านของคุณ. เรามีความสนใจในตัวคุณเป็นส่วนตัว.”
เขาเชิญเราเข้าไปในบ้านของเขา. เราได้ทำการเยี่ยมเขาหลายครั้ง และได้เริ่มการศึกษาพระคัมภีร์กับเขา. ในเวลาต่อมา ชายคนนี้ได้กลายมาเป็นพี่น้องคริสเตียนของเรา. ประสบการณ์นี้ ได้เสริมการวางใจของเราในพระยะโฮวาสักเพียงไร!
บ่อยครั้ง พี่น้องฝ่ายหญิงได้ทำหน้าที่ส่งเอกสาร ซึ่งเรียกร้องเอาการที่พวกเขาจำต้องมอบความไว้วางใจในพระยะโฮวาอย่างเต็มที่. เช่นครั้งหนึ่ง ในกรณีของมาร์กิต เมื่อเธอได้เดินทางไปยังเมืองเบอร์ลิน เพื่อไปรับเอาสรรพหนังสือ. หนังสือมีมากกว่าที่ได้คาดหมายเอาไว้. จึงใช้เชือกราวตากผ้า มัดกระเป๋าเดินทางซึ่งหนักและบรรจุเกินอัตรา. ทุกอย่างเรียบร้อยกระทั่งถึงตอนที่มาร์กิตอยู่บนขบวนรถไฟ. และแล้วเจ้าหน้าที่ฝ่ายพรมแดนได้มาถึง.
“นี่เป็นของใคร และมีอะไรอยู่ในนั้น?” เขาสอบถาม พร้อมกับชี้ไปยังกระเป๋าเดินทาง.
“เป็นเสื้อผ้าซักของฉันเอง” มาร์กิตตอบ.
ด้วยความสงสัย เขาสั่งให้เปิดมันออก. มาร์กิตได้เริ่มแก้ปมเชือกมัดกระเป๋าเดินทางทีละปม จงใจทำอย่างช้า ๆ. เนื่องจากเจ้าหน้าที่พรมแดนมีหน้าที่จะเดินทางไปกับรถไฟเพียงระยะสั้น ๆ แล้วต้องลงจากรถไฟ เพื่อที่จะขึ้นอีกขบวนหนึ่งเพื่อจะเดินทางกลับ เขาจึงเริ่มรู้สึกร้อนใจอย่างยิ่ง. ในที่สุด เมื่อเหลือแค่สามปุ่มสุดท้าย เขายอมแพ้. “ออกไปจากที่นี่ และเอาผ้าซักของคุณไปด้วย!” เขาตะโกนบอก.
การดูแลเอาใจใส่เป็นส่วนตัวที่มาจากพระยะโฮวา
บ่อยครั้ง ผมมีเวลานอนหลับคืนหนึ่ง ๆ ไม่เกินสี่ชั่วโมง เนื่องจากผมมักจะใช้เวลาในยามราตรีเป็นที่กำบังเพื่อที่จะเอาใจใส่เรื่องราวต่าง ๆ ของประชาคม. หลังจากคืนหนึ่งดังที่ว่านี้ ได้มีเจ้าหน้าที่หลายคนมาทุบประตูบ้านของเราในตอนเช้า. พวกเขามาเพื่อที่จะทำการค้นตรวจ. สายเกินไปที่จะซ่อนสิ่งใด ๆ.
พวกเจ้าหน้าที่ได้ทำการค้นตลอดทั้งเช้านั้นอย่างละเอียด แม้กระทั่งห้องน้ำก็ได้รับการค้นเผื่อว่าจะมีอะไรซุกซ่อนอยู่. ไม่มีใครคิดที่จะค้นเสื้อแจ๊กเก็ตของผมซึ่งแขวนอยู่บนไม้แขวน. ผมได้รีบทำการเก็บซ่อนเอกสารต่าง ๆ ลงในกระเป๋าเสื้อ ซึ่งมีหลายกระเป๋าในเสื้อตัวนั้น. กระเป๋าเหล่านั้นตุงไปด้วยสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเจ้าหน้าที่กำลังทำการค้นหาอยู่ แต่พวกเขาก็จากไปมือเปล่า.
ในอีกโอกาสหนึ่ง ในเดือนสิงหาคม 1961 ตอนนั้นผมอยู่ที่เบอร์ลิน. มันเป็นการเดินทางเที่ยวสุดท้ายของผมที่จะไปรับเอาสรรพหนังสือ ก่อนที่จะมีการก่อกำแพงเบอร์ลิน. สถานีรถไฟของเมืองเบอร์ลินแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ซึ่งกำลังจะเดินทางกลับสู่ซิตทาว. ขณะที่รถไฟเข้าเทียบ ผู้คนต่างก็รีบเพื่อที่จะขึ้นรถ. ผมก็อยู่ท่ามกลางฝูงชนนั้นด้วย แต่ทันใด ผมก็รู้สึกตัวว่าผมนั่งอยู่ในส่วนที่ว่างเปล่าของขบวนรถไฟ. หลังจากที่ผมขึ้นรถได้ไม่นาน เจ้าหน้าที่ประจำขบวนรถได้มาลั่นกุญแจประตูจากข้างนอก. ผมยืนอยู่คนเดียวในส่วนหนึ่งของขบวนรถไฟ ขณะที่ผู้โดยสารคนอื่น ๆ ถูกต้อนให้ไปอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ที่เหลืออยู่.
เราเริ่มออกเดินทางสู่เมืองซิตทาว. ผมอยู่ในตู้รถไฟเพียงคนเดียวได้สักระยะหนึ่ง. และแล้ว รถไฟก็หยุด และประตูของส่วนที่ผมอยู่ก็เปิดออก. ทหารโซเวียตนับสิบ ๆ คนได้เข้ามา. ถึงตอนนี้ผมถึงได้สำนึกว่าผมนั่งอยู่ในส่วนที่ได้มีการสำรองไว้สำหรับทหารโซเวียต. ผมคิดอยากจะหายตัวได้เหลือเกิน. ถึงกระนั้น ดูเหมือนว่าพวกทหารก็ไม่เห็นอะไรที่ผิดสังเกต.
เราเริ่มออกเดินทางสู่เมืองซิตทาวอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อถึงแล้วประตูของตู้รถไฟที่เรานั่งเปิดออกและพวกทหารก็กระโดดลง. ได้มีการค้นผู้โดยสารทุกคนที่สถานีรถไฟ. ผมเป็นคนเดียวที่ไม่ถูกค้น. ทหารหลายนายถึงกับทำความเคารพผม เนื่องจากคิดว่า ผมเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่ง.
ภายหลัง เราจึงสำนึกว่าสรรพหนังสือเหล่านั้นมีค่ามากขนาดไหน เนื่องจากเกิดการขัดจังหวะชั่วระยะหนึ่งในการลำเลียงสรรพหนังสือ เมื่อกำแพงเมืองเบอร์ลินก่อตั้งขึ้น. กระนั้นก็ดี สรรพหนังสือเหล่านั้นก็เพียงพอต่อความจำเป็นของเราเป็นเวลาหลายเดือน. ระหว่างเวลานั้น ก็ได้มีการจัดเตรียม เพื่อว่าพี่น้องจะสามารถทำการติดต่อกับพวกเรา.
เกิดมีการเปลี่ยนแปลงหลายประการ สำหรับพวกเราในเยอรมนีตะวันออก เนื่องจากการก่อตั้งกำแพงเบอร์ลินในปี 1961. กระนั้นก็ดี พระยะโฮวาทรงทราบวิธีรับมือกับสถานการณ์เสมอ. พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่พวกเราต่อ ๆ ไปภายใต้การประกาศห้าม.—เล่าโดย เฮอร์มัน เลาเบ.
[รูปภาพของ เฮอร์มันและมาร์กิต เลาเบ หน้า 26]
[รูปภาพหน้า 27]
เรามีการประชุมหมวดขนาดเล็กในเมืองเบาต์เซ็น