จงเสริมสร้างซึ่งกันและกันอยู่เสมอ
“อย่าให้คำหยาบช้าออกมาจากปากท่านเลย แต่คำกล่าวใด ๆ ที่ดีเพื่อเสริมสร้างตามความจำเป็น เพื่อจะเกิดคุณประโยชน์แก่คนที่ได้ยินได้ฟัง.”—เอเฟโซ 4:29, ล.ม.
1, 2. (ก) เหตุใดจึงกล่าวได้อย่างถูกต้องว่าคำพูดเป็นสิ่งวิเศษ? (ข) คำเตือนอะไรนับว่าเหมาะสมเกี่ยวกับวิธีที่เราใช้ลิ้น?
“คำพูดเป็นสายใยอันวิเศษที่ผูกพันมิตร, ครอบครัวและสังคมเข้าด้วยกัน . . . จากจิตใจมนุษย์ควบกับการหดของมัดกล้ามเนื้อ [ที่ลิ้น] อย่างพร้อมเพรียง เราจึงเปล่งเสียงซึ่งบันดาลใจให้รัก, อิจฉา, นับถือ—ที่จริงแสดงอารมณ์ใด ๆ ของมนุษย์ก็ได้.”—หนังสือการฟัง, การชิมและการดม (ภาษาอังกฤษ).
2 ลิ้นของเราไม่เป็นแค่อวัยวะสำหรับกลืนหรือชิมเท่านั้น ลิ้นเป็นส่วนหนึ่งแห่งสมรรถนะของเราที่จะถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกของเรา. ยาโกโบเขียนไว้ว่า “ลิ้น . . . เป็นอวัยวะเล็ก ๆ . . . ด้วยลิ้นนั้น เราสรรเสริญพระยะโฮวาพระบิดา และกระนั้นด้วยลิ้นนั้นเราก็แช่งด่ามนุษย์ผู้ที่เกิดขึ้นมา ‘ตามฉายาของพระเจ้า.’” (ยาโกโบ 3:5, 9, ล.ม.) ใช่แล้ว เราสามารถใช้ลิ้นของเราในทางที่ดี เช่นกล่าวคำสรรเสริญพระยะโฮวา. แต่เพราะเราไม่สมบูรณ์ เราอาจใช้ลิ้นของเราพูดอย่างเจ็บแสบหรือพูดสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ได้เสริมสร้าง. ยาโกโบเขียนอย่างนี้: “พี่น้องของข้าพเจ้า ไม่สมควรเลยที่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเช่นนี้ต่อไป.”—ยาโกโบ 3:10, ล.ม.
3. เราพึงเอาใจใส่สองแง่มุมอะไรในการพูดของเรา?
3 ขณะที่ไม่มีมนุษย์คนใดจะสามารถควบคุมลิ้นของตนได้อย่างสมบูรณ์พร้อม เป็นที่แน่นอนว่าเราควรจะพยายามปรับปรุงแก้ไข. อัครสาวกเปาโลแนะนำพวกเราดังนี้: “อย่าให้คำหยาบช้าออกมาจากปากท่านทั้งหลายเลย แต่คำกล่าวใด ๆ ที่ดีเพื่อเสริมสร้างความจำเป็น เพื่อจะเกิดคุณประโยชน์แก่คนที่ได้ยินได้ฟัง.” (เอเฟโซ 4:29, ล.ม.) โปรดสังเกตว่าคำสั่งนี้มีสองแง่คือ บอกถึงสิ่งซึ่งเราพึงหลีกเว้นและสิ่งซึ่งเราควรพยายามทำ. ให้เราพิจารณาทั้งสองแง่มุมเหล่านี้.
หลีกเว้นคำพูดหยาบช้า
4, 5. (ก) เกี่ยวด้วยภาษาพูดที่หยาบช้านั้น คริสเตียนมีการต่อสู้แบบไหน? (ข) ภาพพจน์เช่นไรน่าจะเหมาะกับวลี “คำพูดอันหยาบช้า”?
4 เอเฟโซ 4:29 เตือนเราเป็นประการแรกว่า “อย่าให้คำพูดหยาบช้าออกมาจากปากท่านทั้งหลายเลย.” อาจไม่ง่ายที่จะทำ. เหตุผลข้อหนึ่งคือคำหยาบช้าเป็นสิ่งปกติในโลกรอบตัวเรา. เยาวชนคริสเตียนหลายคนได้ยินคำหยาบทุกวัน เพราะเพื่อนที่โรงเรียนอาจคิดว่าการพูดหยาบเพิ่มน้ำหนักคำพูด หรือทำให้เขาดูแกร่งขึ้น. เราไม่อาจหลีกเลี่ยงการได้ยินคำหยาบโดยสิ้นเชิง แต่เราสามารถทำได้และควรพยายามด้วยจริงใจที่จะไม่ซึมซับสิ่งเหล่านี้. ในความคิดและในปากของเราจะไม่มีที่สำหรับคำหยาบช้า.
5 ในคำเตือนของเปาโลท่านใช้คำกรีกซึ่งพาดพิงถึงปลาเน่าหรือผลไม้ที่เน่าเสีย. ขอให้นึกภาพนี้: คุณสังเกตชายคนหนึ่งที่งุ่นง่าน แล้วบันดาลโทสะ. สุดท้าย เขาระเบิดความโกรธของเขาออกมา และคุณแลเห็นปลาเน่าพลั่งออกจากปากของเขา. แล้วตามด้วยผลไม้เน่าที่กลิ่นเหม็นกระเด็นเลอะเปื้อนคนข้างเคียง. เขาเป็นใคร? จะแย่เพียงไรหากเขาเป็นคนหนึ่งในพวกเรา! กระนั้น ภาพพจน์ดังกล่าวคงจะเหมาะกับพวกเรา หากเรา ‘ปล่อยให้คำหยาบช้าออกจากปากของเรา.’
6. พระธรรมเอเฟโซ 4:29 ใช้ได้อย่างไรกับการพูดตำหนิวิพากษ์วิจารณ์และการพูดในทางลบ?
6 การใช้ประโยชน์อีกประการหนึ่งจากเอเฟโซ 4:29 คือ เพื่อเราจะไม่เป็นคนช่างตำหนิวิจารณ์คนอื่นอยู่เรื่อยไป. จริงอยู่ เราทุกคนมีความคิดเห็นและรสนิยมในเรื่องต่าง ๆ ที่เราไม่ชอบหรือยอมรับ แต่คุณเคยอยู่ใกล้บางคนไหมซึ่งดูเหมือนกล่าวความคิดเห็นในเชิงลบทั้งนั้น (หรือมีความเห็นมากมาย) เกี่ยวกับทุกคน, ทุกที่, หรือทุกสิ่ง? (เทียบกับโรม 12:9; เฮ็บราย 1:9.) คำพูดของเขาทำลายชื่อเสียงคนอื่น ก่อความชอกช้ำใจหรือยังความเสียหาย. (บทเพลงสรรเสริญ 10:7; 64:2-4; สุภาษิต 16:27; ยาโกโบ 4:11,12) เขาอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองคล้ายกับคนช่างวิพากษ์วิจารณ์ที่มาลาคีพรรณนาไว้. (มาลาคี 3:13-15) เขาจะตกใจเพียงใดถ้าคนยืนอยู่ใกล้บอกเขาว่าปลาหรือผลไม้เน่ากำลังพลั่งออกจากปากของเขา!
7. พวกเราแต่ละคนน่าจะสำรวจตัวเองในเรื่องใด?
7 ขณะที่เป็นสิ่งง่ายในการสังเกตเมื่อผู้อื่นให้ความเห็นเชิงลบหรือวิพากษ์วิจารณ์เสมอ ๆ แต่ถามตัวเองซิว่า ‘ฉันค่อนข้างเป็นแบบนั้นไหม? เป็นแบบนั้นจริง ๆ ไหม?’ คงจะดีหากใคร่ครวญแนวโน้มแห่งถ้อยคำของเราเป็นครั้งคราว. ส่วนใหญ่แล้วเราพูดในทางไม่ดี พูดติเตียนไหม? เรามีท่าทีเหมือนสหายสามคนที่ทำทีมาปลอบใจโยบไหม? (โยบ 2:11; 13:4, 5; 16:2; 19:2) ทำไมไม่คิดเสาะหาเรื่องในแง่บวกมาพูดกัน? ถ้าการสนทนาหนักไปทางวิพากษ์วิจารณ์ ทำไมไม่เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นอันเป็นการเสริมสร้าง?
8. มาลาคี 3:16 ให้บทเรียนอะไรเกี่ยวกับการพูด และเราจะแสดงให้เห็นอย่างไรว่าเราใช้บทเรียนนี้ให้เป็นประโยชน์?
8 มาลาคีได้นำเสนอข้อเปรียบเทียบนี้: “คนทั้งหลายที่ได้กลัวเกรงพระยะโฮวาก็ได้พลอยพูดเช่นนั้นด้วย และพระยะโฮวาได้ทรงสดับ. แล้วจึงมีหนังสือบันทึกความจำ มีนามคนทั้งหลายที่ได้ยำเกรงพระยะโฮวา และที่ได้ระลึกถึงพระนามของพระองค์นั้นบันทึกลงต่อพักตร์พระองค์.” (มาลาคี 3:16) คุณได้สังเกตวิธีพระเจ้าทรงขานตอบคำพูดที่เสริมสร้างไหม? จะมีผลกระทบเช่นไรต่อคนในวงสนทนาดังกล่าว? โดยส่วนตัวแล้ว เราสามารถได้รับบทเรียนเกี่ยวกับการพูดของเราแต่ละวัน. ยิ่งจะดีมากขึ้นสักเพียงใดสำหรับตัวเราและคนอื่น ถ้าการสนทนาปกติของเราสะท้อนถึง ‘เครื่องบูชาอันเป็นคำสรรเสริญแด่พระเจ้า.’—เฮ็บราย 13:15.
มุ่งเสริมสร้างผู้อื่น
9. ทำไมการประชุมคริสเตียนวาระต่าง ๆ เป็นโอกาสอันดีที่จะเสริมสร้างคนอื่น?
9 ณ การประชุมวาระต่าง ๆ ของประชาคมเป็นโอกาสดีเยี่ยมจะพูด ‘กล่าวคำใด ๆ ที่ดีเพื่อเสริมสร้างตามความจำเป็น เพื่อจะเกิดคุณประโยชน์แก่ผู้ฟัง.’ (เอเฟโซ 4:29, ล.ม.) เราจะทำเช่นนั้นได้เมื่อขึ้นเวทีบรรยายให้ความรู้ด้านคัมภีร์ไบเบิล มีส่วนในการสาธิต หรือออกความคิดเห็นในส่วนที่มีการถาม-ตอบ. ด้วยวิธีนี้ เราทำตรงกับสุภาษิต 20:15: “ริมฝีปากประกอบด้วยความรู้ก็เป็นเหมือนพลอยอันประเสริฐยิ่ง.” และใครจะรู้ว่าเราเข้าถึงหัวใจและเสริมสร้างผู้คนสักกี่มากน้อย?
10. หลังจากไตร่ตรองดูว่าปกติแล้วเราได้พูดคุยกับใครบ้าง การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรที่อาจต้องทำ? (2 โกรินโธ 6:12, 13)
10 ก่อนและหลังการประชุมเป็นเวลาอันเหมาะที่จะเสริมสร้างคนอื่นด้วยการสนทนาซึ่งเป็นคุณประโยชน์กับผู้ได้ยิน. คงจะง่ายที่จะใช้เวลาช่วงนี้อย่างเพลิดเพลินด้วยการคุยกับญาติและเพื่อนที่สนิทสนมชอบพอกันไม่กี่คน. (โยฮัน 13:23; 19:26) อย่างไรก็ดี เพื่อให้เป็นไปตามเอเฟโซ 4:29 ทำไมไม่มองหาคนอื่นที่จะพูดด้วย? (เทียบกับลูกา 14:12-14.) เราอาจคิดไว้ล่วงหน้าว่าจะพูดมากกว่าทักทายพอเป็นพิธีโดยเพียงแค่พูดสวัสดีกับคนใหม่, ผู้สูงอายุ, หรือพวกเด็ก ๆ บางคน ถึงกับนั่งลงกับพวกที่อ่อนวัยกว่า เพื่ออยู่ในระดับเดียวกันกับเขามากขึ้น. ความสนใจอันแท้จริงของเราและช่วงต่าง ๆ แห่งการพูดเพื่อเสริมสร้างเช่นนั้นย่อมทำให้คนอื่นยิ่งสะท้อนความรู้สึกของดาวิดมากขึ้นดังปรากฏในบทเพลงสรรเสริญ 122:1.
11. (ก) หลายคนพัฒนานิสัยเป็นเช่นไรในการหาที่นั่ง? (ข) ทำไมบางคนมีเจตนาจะไม่นั่งที่เดิมเสียทุกครั้ง?
11 อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้มีการสนทนาเป็นแบบเสริมสร้างคือ นั่งในที่ต่าง ๆ ในระหว่างการประชุม. แม่ลูกอ่อนอาจอยากนั่งใกล้ห้องสุขา หรือคนทุพพลภาพอาจอยากได้ที่นั่งริม ๆ แต่พวกเราคนอื่น ๆ เป็นอย่างไร? เป็นนิสัยเท่านั้นที่อาจทำให้เรานั่งแต่ที่เดิม เหมือนนกบินกลับรังของมันโดยสัญชาตญาณ. (ยะซายา 1:3; มัดธาย 8:20). พูดกันตรง ๆ เนื่องจากเราจะนั่งที่ไหนก็ได้ ทำไมไม่สลับที่นั่งบ้าง—ด้านขวาบ้าง ซ้ายบ้าง นั่งแถวหน้าและที่อื่น ๆ—และเมื่อทำเช่นนั้นเราจะได้รู้จักคุ้นเคยดีกับอีกหลายคน? แม้ไม่มีกฎเกณฑ์ว่าเราต้องทำเช่นนี้ก็ตาม ผู้ปกครองและผู้อาวุโสคนอื่น ซึ่งนั่งเปลี่ยนที่บ่อย ๆ พบว่าเป็นการง่ายขึ้นที่จะสื่อสารสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์แก่หลายคนแทนที่จะคบหาแค่เพื่อนสนิทเพียงไม่กี่คน.
เสริมสร้างกันขึ้นในทางที่เลื่อมใสในพระเจ้า
12. แนวโน้มแบบไหนซึ่งเป็นสิ่งไม่น่าปรารถนาได้ปรากฏให้เห็นเรื่อยมาทุกสมัย?
12 ความปรารถนาของคริสเตียนที่จะเสริมสร้างคนอื่นเช่นนั้นน่าจะกระตุ้นเขาให้เลียนแบบพระเจ้าในเรื่องนี้ แทนที่จะทำตามความโน้มเอียงอย่างมนุษย์ที่ตั้งกฎเกณฑ์มากมายขึ้นมา.a มนุษย์ผู้ไม่สมบูรณ์ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาจึงมักปกครองคนที่อยู่รอบข้าง และแม้แต่ผู้รับใช้บางคนของพระเจ้าได้ตกเข้าสู่ความโน้มเอียงเช่นนี้. (เยเนซิศ 3:16; ท่านผู้ประกาศ 8:9) ในสมัยพระเยซู ผู้นำชาวยิว ‘ได้วางภาระหนักให้ผู้อื่นแบก แต่เขาเองไม่สมัครใจขยับแม้แต่นิดเดียว.’ (มัดธาย 23:4) พวกเขาได้เปลี่ยนธรรมเนียมที่ไม่สำคัญให้กลายเป็นประเพณีนิยมที่ต้องปฏิบัติ. ด้วยความเป็นห่วงเกินไปในเรื่องกฎเกณฑ์ของมนุษย์ พวกเขาได้มองข้ามสิ่งต่าง ๆ ซึ่งพระเจ้าทรงระบุให้เป็นสิ่งที่สำคัญกว่า. ไม่มีใครได้รับการเสริมสร้างโดยการที่เขาได้ตั้งกฎข้อบังคับซึ่งไม่ได้มาจากคัมภีร์ไบเบิล; แนวทางของเขาไม่ใช่แนวทางของพระเจ้า.—มัดธาย 23:23, 24; มาระโก 7:1-13.
13. ทำไมไม่บังควรตั้งกฎข้อบังคับมากมายสำหรับคริสเตียนด้วยกัน?
13 คริสเตียนต้องการอย่างแท้จริงที่จะยึดมั่นในข้อกฎหมายต่าง ๆ ขององค์พระผู้เป็นเจ้า. ทั้งที่เป็นเช่นนั้น พวกเราก็ยังอาจแพ้ต่อความโน้มเอียงในการตั้งกฎข้อบังคับมากมายอันเป็นภาระหนัก. เพราะเหตุใด? ประการหนึ่งได้แก่รสนิยมหรือความชอบต่างกัน ดังนั้น บางคนจึงยอมรับได้สำหรับสิ่งที่คนอื่น ๆ ไม่ชอบหรือมีความรู้สึกว่าน่าจะห้ามปราม. เช่นเดียวกัน คริสเตียนก็ต่างกันในความก้าวหน้าไปสู่ความอาวุโสฝ่ายวิญญาณ. การวางกฎข้อบังคับเป็นแนวทางของพระเจ้าที่จะช่วยคนอื่นให้ก้าวหน้าไปสู่ความอาวุโสไหม? (ฟิลิปปอย 3:15; 1 ติโมเธียว 1:19; เฮ็บราย 5:14) แม้แต่เมื่อคนเราตั้งหน้ามุ่งไปในแนวทางซึ่งดูเหมือนเลยเถิดหรือมีภยันตราย กฎข้อห้ามเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดไหม? วิธีของพระเจ้าคือ ให้บุคคลผู้ประกอบด้วยคุณวุฒิพยายามนำคนหลงผิดกลับคืน โดยการหาเหตุผลกับเขาอย่างอ่อนโยน.—ฆะลาเตีย 6:1.
14. ข้อบัญญัติต่าง ๆ ที่พระเจ้าประทานแก่ชาติยิศราเอลนั้นเพื่อจุดมุ่งหมายอะไร?
14 จริงอยู่ ในระหว่างที่พระเจ้าทรงใช้ชาติยิศราเอลเป็นไพร่พลของพระองค์นั้น พระองค์ทรงวางข้อบัญญัติหลายร้อยข้อเกี่ยวกับระเบียบนมัสการในพระวิหาร การถวายเครื่องบูชา กระทั่งการส่งเสริมสุขอนามัย. ทั้งนี้นับว่าเหมาะสมสำหรับชาติที่โดดเด่นนี้ และบัญญัติหลายข้อมีความสำคัญเชิงพยากรณ์ ทั้งได้นำชาวยิวให้มาถึงพระมาซีฮา. เปาโลเขียนอย่างนี้: “พระบัญญัติจึงเป็นครูสอนซึ่งนำเราให้มาถึงพระคริสต์ เพื่อเราจะได้ความชอบธรรมเพราะความเชื่อ. แต่ครั้นความเชื่อมาแล้ว เราหาได้อยู่ใต้ครูสอนต่อไปไม่. (ฆะลาเตีย 3:19, 23-25) หลังจากพระบัญญัติถูกเพิกถอนบนหลักทรมานแล้ว พระเจ้ามิได้ทรงประทานบัญญัติอีกมากหลายประการว่าด้วยแง่มุมต่าง ๆ ในชีวิตแก่คริสเตียน เสมือนว่านั่นเป็นวิธีการสร้างเสริมพวกเขาขึ้นในความเชื่อ.
15. พระเจ้าได้ทรงจัดเครื่องนำทางอะไรให้แก่คริสเตียนผู้นมัสการพระองค์?
15 แน่นอน เราไม่ได้อยู่อย่างปราศจากกฎหมาย. พระเจ้าทรงบัญชาให้เราละเว้นการไหว้รูปเคารพ, การผิดศีลธรรมทางเพศและการผิดประเวณี, และการใช้เลือดในทางผิด. พระองค์ทรงห้ามการฆ่าคน, การโกหก, การเล่นผี, และการบาปอื่น ๆ หลายอย่าง. (กิจการ 15:28, 29; 1 โกรินโธ 6:9, 10; วิวรณ์ 21:8) และพระองค์ทรงให้คำแนะนำเกี่ยวด้วยเรื่องต่าง ๆ หลายประการไว้ในพระวจนะของพระองค์. กระนั้น มากยิ่งกว่าพวกยิศราเอล พวกเรามีความรับผิดชอบที่จะเรียนรู้หลักการแห่งคัมภีร์ไบเบิลแล้วนำไปใช้. พวกผู้ปกครองสามารถเสริมสร้างคนอื่นได้โดยการช่วยเหลือเขาให้แสวงหาและใคร่ครวญในหลักการเหล่านี้ แทนที่จะมองหาหรือเอาแต่ตั้งกฎข้อบังคับ.
ผู้ปกครองผู้เสริมสร้าง
16, 17. เหล่าอัครสาวกได้วางตัวอย่างที่ดีอะไรในเรื่องการวางกฎเกณฑ์สำหรับเพื่อนผู้นมัสการ?
16 เปาโลเขียนดังนี้: “เราได้ก้าวหน้ามาถึงขั้นแค่ไหนแล้วก็ตาม จงให้เราดำเนินอย่างมีระเบียบในกรอบเดียวกันนี้ต่อไป.” (ฟิลิปปอย 3:16, ล.ม.) สอดคล้องกับทัศนะอันแสดงความเลื่อมใสในพระเจ้าเช่นนั้น อัครสาวกจึงปฏิบัติกับพวกพี่น้องด้วยวิธีที่เสริมสร้างขึ้น. อย่างเช่น มีปัญหาขึ้นมาว่าจะกินเนื้อที่อาจมาจากวิหารแห่งรูปเคารพได้หรือไม่. บางที เพื่อความเสมอต้นเสมอปลายหรือเพื่อความเรียบง่าย ผู้ปกครองคนนี้วางกฎไว้สำหรับทุกคนในประชาคมสมัยต้น ๆ ไหม? หามิได้. ท่านทราบดีว่าความแตกต่างกันในทางความรู้และความก้าวหน้าถึงขั้นอาวุโสอาจเป็นสาเหตุให้คริสเตียนเหล่านั้นเลือกต่างกัน. แต่สำหรับเปาโล ท่านมุ่งมั่นจะวางตัวอย่างที่ดีไว้.—โรม 14:1-4; 1 โกรินโธ 8:4-13.
17 คัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกแสดงให้เห็นว่าเหล่าอัครสาวกได้จัดให้มีคำแนะนำอันเป็นประโยชน์สำหรับบางเรื่องส่วนตัว เช่น เรื่องเสื้อผ้าและการตกแต่งร่างกาย แต่ท่านเหล่านั้นก็ใช่ว่าวางกฎครอบคลุมทุกอย่าง. นี้แหละเป็นตัวอย่างอันดีสำหรับคริสเตียนผู้ดูแลสมัยนี้ ซึ่งสนใจจะเสริมสร้างคนทั้งหลายที่อยู่ในความดูแลของตน. และที่แท้แล้วก็เป็นการสานต่อปฏิบัติการพื้นฐาน ซึ่งพระเจ้าเคยได้กระทำต่อยิศราเอลสมัยโบราณ.
18. ว่าด้วยเครื่องแต่งกาย พระยะโฮวาทรงให้กฎอะไรแก่ชาวยิศราเอล?
18 พระเจ้าไม่ได้ตั้งกฎเกณฑ์ปลีกย่อยกับพวกยิศราเอลในเรื่องการแต่งกาย. ดูเหมือนว่าชายหญิงยิศราเอลใส่เสื้อยาวคลุมชั้นนอกที่คล้ายคลึงกัน แม้เสื้อของผู้หญิงอาจมีรอยปักเพิ่มและมีสีสันมากกว่า. ทั้งผู้ชายผู้หญิงนุ่งซาดิห์น หรือชุดชั้นในด้วย. (ผู้วินิจฉัย 14:12; สุภาษิต 31:24; ยะซายา 3:23) พระเจ้าได้ทรงวางกฎอะไรบ้างเรื่องเสื้อผ้า? ไม่ว่าชายหรือหญิงจะไม่สวมใส่เสื้อผ้าที่บ่งบอกว่าเป็นของเพศตรงกันข้าม ซึ่งส่อลักษณะเป็นพวกรักร่วมเพศ. (พระบัญญัติ 22:5) เพื่อแสดงว่าพวกเขาถูกแยกออกจากชนต่างชาติที่อยู่ล้อมรอบ ชาวยิศราเอลจึงต้องทำครุยด้วยเชือกสีฟ้าติดรอบชายเสื้อของเขา และอาจทำพู่ติดมุมผ้าคลุมนั้น. (อาฤธโม 15:38-41) โดยพื้นฐานแล้วนั้นเป็นการชี้แนะในเรื่องรูปแบบเครื่องแต่งกายเท่าที่ระบุไว้ในพระบัญญัติ.
19, 20. (ก) คัมภีร์ไบเบิลให้การชี้แนะคริสเตียนอย่างไรเกี่ยวกับการแต่งกายและการประดับตัว? (ข) พวกผู้ปกครองควรมีทัศนะเช่นไรในเรื่องการวางกฎว่าด้วยการปรากฏตัวเฉพาะบุคคล?
19 ขณะที่คริสเตียนไม่อยู่ใต้พระบัญญัติ มีกฎเกณฑ์ปลีกย่อยอื่น ๆ สำหรับพวกเราไหมในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับการแต่งกายหรือเครื่องประดับ? จริง ๆ แล้วไม่มี. พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมหลักการอันมีเหตุผลพอที่เราจะใช้ได้. อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ดังนี้: “ข้าพเจ้าปรารถนาให้พวกผู้หญิงประดับตัวด้วยเสื้อผ้าที่จัดเรียบร้อย ด้วยความสงบเสงี่ยมและสุขภาพจิตดี ไม่ใช่ด้วยแบบถักทรงผมและทองคำ หรือไข่มุก หรือเสื้อผ้าราคาแพงมาก.” (1 ติโมเธียว 2:9, ล.ม.) เปโตรเตือนว่าแทนที่จะจดจ่อกับอาภรณ์ประดับกาย สตรีคริสเตียนควรสนใจใน “บุคคลที่ซ่อนเร้นไว้แห่งหัวใจ ด้วยเครื่องแต่งกายที่เปื่อยเน่าไม่ได้แห่งน้ำใจสงบเสงี่ยมและอ่อนโยน ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่ามากในสายพระเนตรของพระเจ้า.” (1 เปโตร 3:3, 4, ล.ม.) ที่มีคำแนะนำดังกล่าวได้บันทึกไว้ชี้แนะว่าคริสเตียนศตวรรษแรกบางคน อาจต้องเป็นคนสงบเสงี่ยมและเหนี่ยวรั้งตนมากขึ้นในการแต่งตัวและการประดับกาย. ถึงกระนั้น แทนการเรียกร้อง—หรือห้ามใช้—เสื้อผ้าแบบใดโดยเฉพาะ เหล่าอัครสาวกเพียงแต่ให้คำแนะนำอันเป็นการเสริมสร้าง.
20 กล่าวโดยทั่วไป พยานพระยะโฮวาควรเป็นคนที่ได้รับความนับถือสำหรับการปรากฏตัวอย่างสงบเสงี่ยมของเขา. อย่างไรก็ดี รูปแบบเครื่องแต่งตัวมักจะต่างกันในแต่ละประเทศ หรือแม้แต่ในท้องที่หนึ่ง ๆ หรือภายในประชาคม. แน่ล่ะ ผู้ปกครองที่มีความคิดเห็นหนักแน่นหรือมีรสนิยมเฉพาะตัวในเรื่องเครื่องแต่งตัวและการประดับกายก็อาจตัดสินใจตามที่ตนเห็นชอบและเพื่อครอบครัวของเขา. แต่สำหรับสมาชิกประชาคม เขาพึงระลึกถึงคำพูดของเปาโลดังนี้: “มิใช่ที่ว่าเราเป็นนายเหนือความเชื่อของท่าน แต่เราเป็นเพื่อนร่วมทำงานเพื่อความยินดีของท่าน เพราะโดยความเชื่อของท่านนั่นเองที่ท่านตั้งมั่นอยู่.” (2 โกรินโธ 1:24, ล.ม.) ใช่แล้ว โดยต้านทานแรงกระตุ้นใด ๆ ที่จะตั้งกฎสำหรับประชาคม ผู้ปกครองจึงทำไปเพื่อเสริมสร้างความเชื่อของผู้อื่น.
21. ผู้ปกครองจะสามารถให้การช่วยเหลือเชิงเสริมสร้างได้อย่างไร หากบางคนแต่งตัวจนเลยเถิด?
21 ดังที่เคยเป็นมาแล้วในศตวรรษที่หนึ่ง บางครั้งคนใหม่หรือคนอ่อนแอฝ่ายวิญญาณอาจปฏิบัติตนอย่างไม่สู้จะสุขุมหรือถูกต้องนักในด้านเครื่องแต่งกาย หรือการใช้เครื่องสำอางหรือเครื่องประดับ. ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? อีกครั้งหนึ่งที่ฆะลาเตีย 6:1 ให้คำแนะนำสำหรับคริสเตียนผู้ปกครองที่ต้องการช่วยอย่างจริงใจ. ก่อนผู้ปกครองตัดสินใจให้คำแนะนำ คงจะดีหากเขาปรึกษาหารือกับเพื่อนผู้ปกครองด้วยกัน และทางที่เหมาะไม่ควรไปหาผู้ปกครองที่เขารู้ว่ามีรสนิยมหรือแนวคิดแบบเดียวกับตัวเอง. หากแนวโน้มด้านการแต่งกายหรือการแต่งผมของชาวโลกมีท่าว่าจะกระทบหลายคนในประชาคม คณะผู้ปกครองสามารถปรึกษาหาวิธีช่วยที่ดีที่สุด เช่น โดยการจัดส่วนในวาระการประชุมที่ให้การเสริมสร้างด้วยวิธีนุ่มนวลหรือเสนอให้ความช่วยเหลือเป็นส่วนตัว. (สุภาษิต 24:6; 27:17) เป้าประสงค์ของเขาก็เพื่อก่อให้เกิดทัศนะดังสะท้อนให้เห็นใน 2 โกรินโธ 6:3, (ล.ม.) ที่ว่า “ไม่ว่าทางใดเรามิได้เป็นเหตุให้มีการสะดุด เพื่องานของเราไม่เป็นที่ติเตียนได้.”
22. (ก) ทำไมจึงไม่น่ารู้สึกรำคาญใจหากมีทัศนะแตกต่างกันบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ? (ข) เปาโลวางตัวอย่างอันดีอะไรไว้?
22 ผู้ปกครองคริสเตียนที่ ‘บำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าในอารักขาของตน’ จึงต้องการจะทำตามที่เปโตรได้กำชับไว้คือ ไม่ ‘เป็นนายกดขี่คนเหล่านั้นซึ่งเป็นมรดกของพระเจ้า.’ (1 เปโตร 5:2, 3) เมื่อพวกเขาทำงานด้วยความรักเช่นนั้น อาจมีปัญหาเกิดขึ้นในที่ซึ่งมีทางเลือกต่างกัน. บางทีในระหว่างการศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์ อาจถือเป็นธรรมเนียมในท้องถิ่นก็ได้ที่จะยืนอ่านวรรคต่าง ๆ. การจัดกลุ่มออกประกาศและข้อปลีกย่อยหลายอย่างในงานรับใช้อาจดำเนินตามธรรมเนียมที่เคยชิน. กระนั้น การที่บางคนทำอะไรแตกต่างไปบ้างเช่นนั้นจะถึงกับเป็นความหายนะไหม? ผู้ดูแลที่ประกอบด้วยความรักใคร่ย่อมต้องการ “ให้ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างที่ถูกที่ควรและโดยการจัดเตรียม” ซึ่งถ้อยคำนี้เปาโลหมายถึงของประทานอันน่าพิศวง. แต่ท้องเรื่องชี้ว่าสิ่งที่เปาโลถือเป็นเรื่องสำคัญคือ “กระทำให้ประชาคมเจริญขึ้น.” (1 โกรินโธ 14:12, 40, ล.ม.) ท่านไม่ได้แสดงแนวโน้มจะวางกฎเกณฑ์มากมายไม่จบสิ้น ประหนึ่งการเป็นแบบเดียวกันหรือมีประสิทธิภาพครบถ้วนนั้นเป็นหลักของท่าน. ท่านได้เขียนว่า “ในเรื่องอำนาจที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้เรา เพื่อจะเสริมสร้างท่านทั้งหลายขึ้น และมิใช่เพื่อรื้อทำลายท่านทั้งหลายลง.”—2 โกรินโธ 10:8, ล.ม.
23. เราจะเลียนแบบเปาโลในการก่อร่างสร้างผู้อื่นในทางใดได้บ้าง?
23 ไม่สงสัยเลยว่า เปาโลทุ่มเทตนเองเพื่อเสริมสร้างคนอื่นขึ้น โดยคำกล่าวหนุนใจและพูดในทางบวก. แทนที่คบหาสมาคมอยู่ในแวดวงเพื่อนเพียงไม่กี่คน ท่านมุ่งเยี่ยมพี่น้องชายหญิงหลายคน ทั้งผู้ที่เข้มแข็งฝ่ายวิญญาณและผู้ที่จำเป็นต้องรับการเสริมสร้างเป็นพิเศษ. และท่านเน้นความรัก—มากกว่ากฎข้อบังคับ—เพราะ “ความรักก่อร่างสร้างขึ้น.”—1 โกรินโธ 8:1, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
a ภายในครอบครัวดูเหมือนว่าเป็นสิ่งเหมาะสมที่จะมีกฎข้อบังคับบางอย่างแล้วแต่สภาพการณ์. พระคัมภีร์มอบอำนาจแก่บิดามารดาในการตัดสินใจแทนบุตรของตนซึ่งยังอยู่ในวัยเยาว์.—เอ็กโซโด 20:12; สุภาษิต 6:20; เอเฟโซ 6:1-3.
จุดสำคัญสำหรับการทบทวน
▫ ทำไมการเปลี่ยนจึงเหมาะสม ถ้าการพูดของเรามีแนวโน้มไปในทางลบหรือชอบวิพากษ์วิจารณ์?
▫ เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อเป็นการเสริมสร้างกันขึ้นภายในประชาคม?
▫ อะไรคือแบบอย่างที่แสดงถึงความเลื่อมใสในพระเจ้าเกี่ยวกับการตั้งกฎเกณฑ์ให้ผู้อื่น?
▫ อะไรจะช่วยผู้ปกครองให้หลีกเลี่ยงการตั้งกฎของมนุษย์สำหรับฝูงแกะในความอารักขาของตน?