ทำไมคนดีต้องทนทุกข์?
ปีนั้นเป็นปี 1914 และโลกได้ถลำเข้าสู่สงคราม. ทันทีทันใด ไข้รากสาดใหญ่ก็ระบาดขึ้นในค่ายเชลยสงครามในเซอร์เบีย. แต่นั่นเป็นเพียงการเริ่มต้น. โรคอันร้ายกาจนั้นได้ลามไปถึงพลเรือน และเป็นเหตุให้ 150,000 คนเสียชีวิตในเวลาเพียงหกเดือน. ในท่ามกลางสภาพการณ์ของภาวะสงคราม และการปฏิวัติที่เกิดขึ้นในรัสเซีย มีสามล้านคนตายเนื่องจากไข้รากสาดใหญ่. คุณอาจพูดได้อย่างถูกต้องว่า คนดีหลายคนกับสมาชิกในครอบครัวของเขาที่เสียชีวิตไปนั้นอยู่ในบรรดาผู้ตกเป็นเหยื่อด้วย.
นี้เป็นเพียงตัวอย่างเดียวเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมของมนุษย์. คุณเองอาจเคยประสบความปวดร้าวใจที่เกิดขึ้นเมื่อผู้เป็นที่รักตกเป็นเหยื่อของโรคภัย, อุบัติเหตุ, และภัยพิบัติไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง. อาจเป็นได้ที่คุณรู้สึกเป็นทุกข์ใจเมื่อบุคคลที่ชอบธรรมทนทรมานด้วยความเจ็บปวดจากโรคที่รักษาไม่หาย. คุณอาจรู้สึกโศกเศร้าขนาดหนักเมื่อคนดี—บางทีเป็นคนมีครอบครัวแล้วซึ่งทำงานอย่างขยันหมั่นเพียร—เสียชีวิตในอุบัติเหตุ. ความเศร้าระทมของผู้ที่สูญเสียอาจทำให้หัวใจของคุณเจ็บปวดร่วมกับเขา.
หลายคนรู้สึกว่าบุคคลที่ทำดีน่าจะได้รับบำเหน็จด้วยเสรีภาพพ้นจากความทุกข์. บางคนถือด้วยซ้ำไปว่าความทุกข์เป็นข้อพิสูจน์ว่า ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อนั้นเป็นผู้กระทำผิด. นี้เป็นการอ้างเหตุผลของชายสามคนซึ่งมีชีวิตอยู่ประมาณ 3,600 ปีมาแล้ว. พวกเขาเป็นบุคคลร่วมสมัยกับบุรุษที่ดีคนหนึ่งชื่อโยบ. ขอให้เราย้อนกลับไปยังสมัยของพวกเขาขณะที่เราเริ่มสืบหาคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า ทำไมคนดีต้องทนทุกข์?
ความทุกข์ทรมานของโยบ
เมื่อผู้ที่อ้างว่าเป็นสหายของโยบสามคนมาเยี่ยมท่านนั้น ท่านกำลังประสบความทุกข์ทรมานสุดที่จะพรรณนาเนื่องจากความเจ็บปวดและโรคภัย. ท่านได้สูญเสียลูกสิบคนไปและสูญเสียสมบัติทั้งสิ้นของท่าน. ประชาชนที่เคยมีความนับถือท่านมากได้ชิงชังท่าน. แม้แต่ภรรยาของท่านเองก็เลิกสนับสนุนท่านและเร่งเร้าท่านให้แช่งด่าพระเจ้าแล้วก็ตายเสีย.—โยบ 1:1–2:13; 19:13-19.
เป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนผู้มาเยี่ยมโยบสังเกตดูความทุกข์ทรมานของท่านเงียบ ๆ. แล้วคนหนึ่งในพวกเขาได้กล่าวหาท่านในเรื่องความประพฤติไม่ชอบธรรมซึ่งคาดว่าเป็นเหตุให้ท่านถูกลงโทษ. บุรุษชื่ออะลีฟาศกล่าวว่า “ขอท่านจงระลึกจำไว้เถอะว่า ใครที่ไม่มีผิดและได้พินาศไปหรือ? และมีที่ไหนที่คนชอบธรรมถูกกำจัดเสีย? ตามที่ข้าฯได้เคยเห็นมาแล้ว ผู้ที่ไถด้วยความชั่วและหว่านด้วยความร้ายก็ย่อมได้เกี่ยวผลอย่างนั้น. ด้วยลมเป่าจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าเขาก็พินาศไป และลมแห่งพระพิโรธของพระองค์ก็ไหม้เขาให้มอดไป.”—โยบ 4:7-9.
ดังนั้น อะลีฟาศอ้างว่าพระเจ้าลงโทษโยบเพราะการกระทำบาปของท่าน. ทุกวันนี้เช่นกัน บางคนอ้างเหตุผลว่าภัยพิบัติต่าง ๆ เป็นปฏิบัติการของพระเจ้าที่กำหนดไว้เพื่อลงโทษประชาชนเนื่องด้วยการกระทำผิด. แต่พระยะโฮวามิได้ลงโทษโยบเนื่องด้วยการกระทำที่ไม่ชอบธรรม. เราทราบเรื่องนี้เพราะพระเจ้าได้แจ้งแก่อะลีฟาศในภายหลังว่า “โทโสของเราได้พลุ่งขึ้นต่อเจ้าแล้ว เพราะเจ้าได้พูดอะไร ๆ ถึงเรานั้นไม่เป็นความจริง ดังโยบผู้ทาสของเราได้กล่าวแล้ว.”—โยบ 42:7
ไม่ใช่ความผิดของพระเจ้า
ทุกวันนี้ หลายล้านคน—แน่นอน รวมทั้งคนดีหลายคนด้วย—ประสบความอัตคัตขัดสนแสนสาหัส. ปัจเจกบุคคลบางคนรู้สึกเจ็บแค้นและตำหนิพระเจ้าเนื่องด้วยความทุกข์ทรมานของเขา. แต่พระองค์ไม่ควรถูกตำหนิเพราะความอดอยาก. ที่จริง พระองค์ทรงเป็นผู้ที่จัดเตรียมอาหารสำหรับมนุษยชาติ.—บทเพลงสรรเสริญ 65:9.
ความเห็นแก่ตัว และปัจจัยอื่น ๆ ของมนุษย์อาจขัดขวางการส่งอาหารไปยังคนหิวโหย. ภาวะสงครามก็อยู่ในบรรดาสาเหตุของความอดอยาก. ตัวอย่างเช่น สารานุกรมเวิลด์บุ๊ก แจ้งว่า “สงครามอาจก่อให้เกิดความอดอยากได้หากชาวนาหลายคนทิ้งไร่นาของตน แล้วเข้าร่วมกับกองกำลังที่เตรียมรบ. ในบางกรณี กองทัพจงใจก่อให้เกิดความอดอยากเพื่อบีบให้ศัตรูยอมจำนน. กองทัพทำลายอาหารที่เก็บสะสมไว้และพืชผลที่เพาะปลูกและปิดกั้นเพื่อตัดการส่งเสบียงอาหารของศัตรู. การปิดกั้นการลำเลียงอาหารมิให้ไปถึงแถบเบียฟราระหว่างสงครามกลางเมืองของไนจีเรีย (1967-1970). ยังผลเป็นความอดอยาก และเชื่อกันว่าชาวเบียฟรามากกว่าหนึ่งล้านคนอดตาย.”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางคนตำหนิพระเจ้าอย่างผิด ๆ ระหว่างสงครามโลกที่ 2 เมื่อคนดีหลายคนต้องทนความทุกข์ทรมานและตาย. กระนั้น มนุษย์ก็ละเมิดกฎหมายของพระเจ้าโดยการเกลียดชังและสู้รบกันและกัน. เมื่อมีคนถามพระเยซูคริสต์ว่าพระบัญญัติข้อใดที่ “เป็นเอกเป็นใหญ่กว่าบัญญัติทั้งปวง” นั้น พระองค์ตรัสตอบว่า “พระบัญญัติที่เป็นเอกเป็นใหญ่กว่าบัญญัติทั้งปวงนั้นคือว่า ‘ดูก่อนพวกยิศราเอล จงฟังเถิด พระยะโฮวาพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าองค์เดียว จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของเจ้า และด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของเจ้า.’ และบัญญัติที่สองนั้นคือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง.’ พระบัญญัติอื่นที่ใหญ่กว่าพระบัญญัติทั้งสองนี้ไม่มี.”—มาระโก 12:28-31.
เมื่อมนุษย์ละเมิดกฎหมายของพระเจ้าโดยเข้าร่วมในการสังหารมวลชนนั้น ใคร ๆ จะตำหนิพระองค์ได้หรือ ถ้าหากความทุกข์ทรมานเป็นผลพวง? หากบิดามารดาบอกลูก ๆ ของตนมิให้ทะเลาะกัน และพวกเขาไม่เอาใจใส่คำแนะนำที่ดีแล้ว บิดามารดาต้องรับผิดชอบไหมหากลูก ๆ ได้รับบาดเจ็บ? บิดามารดาไม่ต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกันกับที่พระเจ้าไม่ต้องรับผิดชอบต่อความทุกข์ทรมานของมนุษย์เมื่อผู้คนไม่นำพาต่อกฎหมายของพระเจ้า.
ถึงแม้อาจเกิดความทุกข์ทรมานเมื่อมีการละเลยกฎหมายของพระยะโฮวาก็ตาม พระคัมภีร์มิได้ชี้ว่า ภัยพิบัติโดยทั่วไปนั้นเป็นปฏิบัติการของพระเจ้าที่กำหนดไว้เพื่อลงโทษคนชั่ว. เมื่อมนุษย์คู่แรกทำบาป เขาได้สูญเสียพระพรและการคุ้มครองเป็นพิเศษของพระองค์ไป. นอกจากกรณีที่มีการแทรกแซงของพระเจ้าเพื่อทำให้พระประสงค์ของพระยะโฮวาสำเร็จแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษยชาติวันต่อวันนั้นเป็นไปตามหลักพระคัมภีร์ข้อนี้: “คนที่วิ่งเร็วมิใช่จะชนะในการวิ่งแข่ง หรือคนที่มีอำนาจใหญ่โตมิใช่จะชนะการสู้รบได้ หรือคนฉลาดก็เช่นกันจะมีอาหารกินเสมอก็หาไม่ หรือคนที่มีความเข้าใจก็เหมือนกันหาใช่ว่าจะมั่งคั่งไม่ หรือแม้แต่คนเหล่านั้นที่มีความรู้ก็จะหาได้รับความโปรดปรานไม่ เพราะวาระและเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดล่วงหน้าย่อมบังเกิดแก่เขาทุกคน.”—ท่านผู้ประกาศ 9:11, ล.ม.
ทั้งคนดีและคนชั่วทนทุกข์
ที่จริงแล้ว ทั้งคนดีและคนชั่วได้ทนทุกข์เนื่องจากความบาปและความไม่สมบูรณ์ที่ได้รับเป็นมรดก. (โรม 5:12) ตัวอย่างเช่น ชนผู้ชอบธรรมและคนชั่วประสบโรคภัยที่เจ็บปวดเช่นเดียวกัน. ติโมเธียวคริสเตียนผู้ซื่อสัตย์ทนความเจ็บป่วยเนื่องจาก “โรคที่บังเกิดแก่ท่านเนือง ๆ.” (1 ติโมเธียว 5:23) เมื่ออัครสาวกเปาโลกล่าวถึง “เสี้ยนหนามในเนื้อหนัง” ของท่านเองนั้น ท่านอาจพูดพาดพิงถึงความเจ็บป่วยทางกายบางอย่าง. (2 โกรินโธ 12:7-9) แม้แต่เพื่อผู้รับใช้ที่ภักดีของพระองค์ ในขณะนี้พระเจ้าก็ใช่ว่าจะขจัดความอ่อนแอหรือการเจ็บป่วยที่ได้รับเป็นมรดกมานั้น.
ชนผู้เลื่อมใสพระเจ้าอาจประสบความทุกข์เนื่องจากการไม่ใช้วิจารณญาณที่ดีหรือไม่ใช้คำแนะนำตามหลักพระคัมภีร์ในบางครั้ง. ยกตัวอย่างเช่น คนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าและแต่งงานกับคนที่ไม่มีความเชื่ออาจประสบความยุ่งยากระหว่างสามีภรรยาซึ่งเขาอาจหลีกเลี่ยงได้. (พระบัญญัติ 7:3, 4; 1 โกรินโธ 7:39) หากคริสเตียนไม่รับประทานอาหารอย่างสมควร และไม่ได้พักผ่อนเพียงพอแล้ว เขาอาจรับทุกข์ทรมานเนื่องจากการทำลายสุขภาพของตน.
อาจเกิดความทุกข์ทรมานทางด้านความรู้สึกได้หากเรายอมจำนนต่อความอ่อนแอและมีส่วนในการประพฤติผิด. การเล่นชู้ของกษัตริย์ดาวิดกับนางบัธเซบะนั้นนำความทุกข์ทรมานมากมายมาสู่ท่าน. (บทเพลงสรรเสริญ 51) ขณะที่พยายามปกปิดการกระทำผิด ท่านได้รับความระทมทุกข์เหลือเกิน. ท่านกล่าวว่า “ครั้นข้าพเจ้านิ่งอยู่ กระดูกก็เหี่ยวแห้งไปโดยข้าพเจ้าครางอยู่ตลอดวัน . . . . อาโปธาตุ [ความชุ่มชื้น, ล.ม.] ของข้าพเจ้าแห้งไปดุจหน้าแล้งในฤดูร้อน.” (บทเพลงสรรเสริญ 32:3, 4) ความกลัดกลุ้มในเรื่องความผิดของท่านทำให้กำลังวังชาของดาวิดลดลงเหมือนต้นไม้อาจสูญเสียความชื้นที่ให้ชีวิตไประหว่างฤดูแล้ง หรือในความร้อนอันแห้งผากของฤดูร้อน. ดูเหมือนว่าท่านทนทุกข์ทรมานทั้งทางจิตใจและร่างกาย. แต่บทเพลงสรรเสริญ 32 แสดงว่าความทุกข์ทรมานดังกล่าวอาจบรรเทาลงได้โดยที่คนเราสารภาพความผิดด้วยการสำนึกผิดกลับใจและได้รับการให้อภัยจากพระเจ้า.—สุภาษิต 28:13.
คนชั่วทนความทุกข์ทรมานอยู่เนือง ๆ เพราะการติดตามแนวทางที่เสเพล หาใช่เพราะการลงโทษของพระเจ้าไม่. เฮโรดมหาราชถูกโรคร้ายครอบงำเนื่องจากนิสัยชั่วร้าย. โยซิฟุส นักประวัติศาสตร์ชาวยิวกล่าวว่า ในช่วงสุดท้ายของเขา เฮโรด “ได้รับความทรมานที่น่าสยดสยอง. เขาอยากเหลือเกินที่จะข่วนตัวเอง ลำไส้ของเขาเป็นแผล และของลับของเขาเปื่อยเน่าและมีหนอนไช. เขาพยายามอย่างไร้ผลที่จะบรรเทาการหายใจไม่ออกและการเป็นตะคริวในน้ำพุอุ่นที่แคลีโรเอ. . . . เฮโรดตอนนี้ได้รับความปวดร้าวอย่างรุนแรงจนเขาพยายามจะแทงตัวเอง . . . แต่ลูกพี่ลูกน้องของเขาห้ามเขาไว้.”—โยซิฟุส: บทบันทึกสำคัญ แปลและเรียบเรียงโดย พอล แอล. ไมเออร์.
การยึดมั่นกับกฎหมายของพระเจ้าจัดให้มีการป้องกันไว้จากสิ่งต่าง ๆ เช่นกามโรค. กระนั้น ทำไมคนดีที่แสวงหาความพอพระทัยของพระองค์จึงดูเหมือนว่ามีความทุกข์ทรมานมากกว่าธรรมดา?
สาเหตุที่ชนผู้เลื่อมใสพระเจ้าทนทุกข์
เหตุผลประการแรกที่ชนผู้เลื่อมใสพระเจ้าทนทุกข์ก็คือการที่พวกเขาเป็นคนชอบธรรม. มีการอธิบายเรื่องนี้ในกรณีของโยเซฟบุตรชายของยาโคบปฐมบรรพบุรุษ. แม้ภรรยาของโพติฟาร์ชักชวนโยเซฟอยู่เรื่อย ๆ ให้มีเพศสัมพันธ์กับเธอก็ตาม ท่านถามว่า “ข้าพเจ้าจะทำผิดดังนี้อย่างไรได้ เป็นบาปใหญ่หลวงนักต่อพระเจ้า?” (เยเนซิศ 39:9) ทั้งนี้นำไปสู่การถูกจำคุกอย่างไม่เป็นธรรม และโยเซฟทนทุกข์เพราะท่านเป็นคนซื่อตรง.
แต่ทำไมพระเจ้าทรงยอมให้ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ทนทุกข์? คำตอบอยู่ในประเด็นที่ซาตานพญามาร ทูตสวรรค์ที่กบฏได้ตั้งขึ้นนั้น. ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระเจ้า. เราทราบโดยวิธีใด? เพราะมีการแสดงให้เห็นเรื่องนี้ในกรณีของโยบบุรุษผู้ชอบธรรมที่กล่าวถึงข้างต้น.
ณ การประชุมของเหล่าบุตรทูตสวรรค์ของพระเจ้า พระยะโฮวาได้ตรัสถามซาตานว่า “เคยได้สังเกตดูโยบผู้ทาสของเราหรือไม่ว่าไม่มีใครในโลกดีเหมือนเขา เป็นคนดีรอบคอบและชอบธรรม เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและหลบหลีกจากความชั่ว?” คำตอบของพญามารแสดงว่ามีข้อโต้แย้งที่ว่ามนุษย์จะคงไว้ซึ่งความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระยะโฮวาระหว่างที่ถูกทดลองหรือไม่. ซาตานยืนยันว่าโยบรับใช้พระเจ้าเนื่องจากพระพรทางวัตถุที่ได้รับ และมิใช่เนื่องจากความรัก. แล้วซาตานได้กล่าวว่า “แต่ถ้าหากบัดนี้พระองค์จะยื่นพระหัตถ์ออกแตะต้องให้เป็นอันตรายแก่ทรัพย์สินทั้งหมดที่เขามีอยู่นั้น เขาจะเลิกนับถือพระองค์ทีเดียว.” พระยะโฮวาตรัสตอบว่า “เอาเถอะ ทรัพย์สิ้นทั้งหมดที่เขามีอยู่ ก็อยู่ในอำนาจของเจ้าแล้ว. จะทำอะไรก็ทำได้ แต่ตัวเขาอย่าได้แตะต้องเป็นอันขาด!”—โยบ 1:6-12.
แม้ซาตานสามารถทำทุกสิ่งได้ก็ตาม โยบก็ธำรงไว้ซึ่งแนวทางชอบธรรมและพิสูจน์ว่าท่านรับใช้พระยะโฮวาเนื่องจากความรัก. ที่จริง โยบแจ้งแก่พวกผู้กล่าวหาท่านว่า “จงเมินเสียเถิดที่ข้าจะพูดว่าท่านถูก ข้าจะไม่ทิ้งความสัตย์จริงของข้าจนข้าตาย!” (โยบ 27:5, ฉบับแปลใหม่) ถูกแล้ว ผู้รักษาความซื่อสัตย์มั่นคงเช่นนั้นเต็มใจเสมอที่จะทนทุกข์เพราะเห็นแก่ความชอบธรรม. (1 เปโตร 4:14-16) พระคัมภีร์เล่าถึงหลายคนผู้ซึ่งมีความรักอันหาที่สุดมิได้ต่อพระเจ้าและได้ดำเนินชีวิตที่ชอบธรรมเพื่อถวายเกียรติยศแด่พระองค์และพิสูจน์ว่าคำอ้างของซาตานที่ว่ามันสามารถทำให้มวลมนุษย์หันเหไปจากพระยะโฮวาได้นั้นไม่เป็นความจริง. ปัจเจกบุคคลทุกคนซึ่งรับทุกข์ทรมานเนื่องจากความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระเจ้านั้นเป็นสุขเบิกบานได้ที่เขาพิสูจน์ว่าพญามารเป็นตัวมุสาและกระทำให้พระทัยของพระยะโฮวายินดี.—สุภาษิต 27:11.
พระเจ้ามิได้ทรงเมินเฉยในเรื่องความทุกข์ทรมานแห่งผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์. ดาวิดผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญได้กล่าวว่า “พระยะโฮวาทรงประคองสรรพสัตว์และสรรพสิ่งที่จวนจะล้มลง และทรงยกบรรดาคนที่ถ่อมตัวลงให้ยืนขึ้นตรง.” (บทเพลงสรรเสริญ 145:14) คนเหล่านั้นที่ได้อุทิศตัวแด่พระยะโฮวาอาจไม่มีกำลังในตัวเองเพียงพอที่จะทนรับความทุกข์ทรมานในชีวิตและการข่มเหงที่พวกเขาประสบฐานะไพร่พลของพระองค์. แต่พระเจ้าทรงชูกำลังและประทานสติปัญญาที่จำเป็นให้พวกเขาเพื่อจะอดทนการทดลองทุกอย่างของเขา. (บทเพลงสรรเสริญ 121:1-3; ยาโกโบ 1:5, 6) แม้ผู้ข่มเหงจะฆ่าผู้รับใช้ที่ภักดีของพระยะโฮวาบางคน พวกเขาก็มีความหวังที่พระเจ้าประทานให้ในการกลับเป็นขึ้นจากตาย. (โยฮัน 5:28,29; กิจการ 24:15) กระทั่งถึงขีดนั้น พระเจ้าก็สามารถพลิกผันผลกระทบแห่งความทุกข์ทรมานใด ๆ ที่คนเหล่านั้นซึ่งรักพระองค์ประสบนั้นได้. พระองค์ทรงทำให้ความทุกข์ทรมานของโยบสิ้นสุดลงและอวยพระพรบุรุษผู้ซื่อตรงนั้นอย่างบริบูรณ์. และเราสามารถมั่นใจได้ว่าพระยะโฮวาจะไม่ละทิ้งพลไพร่ของพระองค์ในสมัยของเรา.—โยบ 42:12-16; บทเพลงสรรเสริญ 94:14.
ในไม่ช้า—ความทุกข์ทรมานจะไม่มีอีกต่อไป!
ดังนั้นแล้ว ทุกคนประสบความทุกข์ทรมานเนื่องจากความไม่สมบูรณ์ที่ได้รับเป็นมรดกและการมีชีวิตอยู่ท่ามกลางระบบชั่วนี้. ปัจเจกบุคคลผู้เลื่อมใสพระเจ้าอาจคาดหมายด้วยที่จะรับทุกข์ทรมานเนื่องจากการรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระยะโฮวา. (2 ติโมเธียว 3:12) แต่พวกเขาสามารถปีติยินดีได้ เนื่องจากในไม่ช้าพระเจ้าจะทำให้น้ำตา, ความตาย, ความโศกเศร้า, เสียงร้องโวยวาย, และความเจ็บปวดสิ้นสุดลง. ในเรื่องนี้ อัครสาวกโยฮันเขียนดังนี้:
“ข้าพเจ้าได้เห็นฟ้าอากาศใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เพราะฟ้าอากาศเดิมและแผ่นดินโลกเดิมนั้นล่วงไปแล้ว และทะเลไม่มีต่อไปเลย. ข้าพเจ้าได้เห็นเมืองบริสุทธิ์คือเมืองยะรูซาเลมใหม่เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์แต่พระเจ้า ทรงจัดเตรียมไว้แล้ว เหมือนอย่างเจ้าสาวตกแต่งตัวไว้สำหรับสามี. ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า ‘จงดูเถิด! พลับพลาของพระเจ้าก็อยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตอยู่กับเขา เขาจะเป็นพลเมืองของพระองค์. พระเจ้าเองจะดำรงอยู่กับเขา และจะทรงเป็นพระเจ้าของเขา. และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุก ๆ หยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีต่อไป การคร่ำครวญและร้องไห้และการเจ็บปวดอย่างหนึ่งอย่างใดจะไม่มีอีกเลย. เพราะเหตุการณ์ที่ได้มีอยู่แต่ดั้งเดิมนั้นได้ล่วงพ้นไปแล้ว.’ พระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นจึงตรัสว่า ‘จงดูเถิด เรากำลังสร้างสิ่งสารพัดขึ้นใหม่.’ และพระองค์ได้ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า ‘จงจารึกไว้เถิด เพราะว่าถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำสุจริตและสัตย์จริง.’”—วิวรณ์ 21:1-5.
ในทำนองเดียวกัน อัครสาวกเปโตรได้แถลงว่า “มีฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ซึ่งเรากำลังรอท่าอยู่ตามคำสัญญาของพระองค์ [พระยะโฮวาพระเจ้า] และซึ่งความชอบธรรมจะดำรงอยู่ที่นั่น.” (2 เปโตร 3:13, ล.ม.) ช่างเป็นความหวังอันยอดเยี่ยมเสียนี่กระไรมีอยู่ข้างหน้าทีเดียว! ชีวิตบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยานอาจเป็นสิทธิพิเศษอันน่าปีติยินดีของคุณได้. (ลูกา 23:43) เพราะฉะนั้น อย่าปล่อยให้ความทุกข์ทรมานสมัยปัจจุบันทำให้คุณรู้สึกขมขื่น. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จงมองดูอนาคตในแง่ดี. จงตั้งความหวังและความมั่นใจของคุณไว้ในโลกใหม่ของพระเจ้าที่ใกล้เข้ามาแล้วทีเดียว. จงติดตามแนวทางที่พระยะโฮวาพระเจ้าทรงรับรองเอาได้ และคุณจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปในโลกที่ปราศจากความทุกข์ทรมานทั้งมวล.
[รูปภาพหน้า 4]
ถึงแม้โยบได้รับความทุกข์ทรมาน ท่านก็ยังติดตามแนวทางที่พระเจ้าทรงรับรองเอาได้
[รูปภาพหน้า 7]
คุณจะมีชีวิตอยู่ได้ในโลกที่ปราศจากความทุกข์ทรมานทั้งมวล
[ที่มาของภาพหน้า 3]
Collier’s Photographic History of the European War