คุณสามารถรับมือกับความข้องขัดใจได้!
ขอพิจารณาสภาพอับจนของชายวัย 23 ปีคนหนึ่ง. เขามีเพียงการศึกษาที่จำกัดและทำงานที่มีค่าจ้างต่ำสุด. การคิดถึงเรื่องการแต่งงานและชีวิตที่น่าพอใจดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเขา. มิน่าเล่า แม่ของเขาบอกว่า “เขาเศร้าเหลือเกินและข้องขัดใจ.” กรณีของชายหนุ่มคนนี้เป็นตัวอย่างกรณีของคนอื่น ๆ หลายล้านคน. ด้วยเหตุผลไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ผู้คนในทุกวงการข้องขัดใจ.
ความข้องขัดใจเป็น “ความรู้สึกหรือสภาพที่ไม่ปลอดภัยลึก ๆ แบบเรื้อรัง, การหมดกำลังใจ, และความไม่พอใจที่เกิดขึ้นเนื่องจากความไม่สมหวัง, ความขัดแย้งภายใน, หรือปัญหาอื่น ๆ ที่แก้ไม่ตก.” (พจนานุกรม นิว อินเตอร์เนชันนัลเล่มที่สามของเว็บสเตอร์) เราประสบความข้องขัดใจเมื่อเราพยายามอย่างแข็งขันจริง ๆ ที่จะทำให้อะไรบางอย่างสำเร็จลุล่วงไป แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ. เรารู้สึกว่าถูกขัดขวางในทุกเรื่อง ประหนึ่งว่าเรากำลังเอาศีรษะชนกำแพงหิน โดยไม่มีทางสำเร็จ. เราทุกคนทราบความรู้สึกเช่นนั้น.
คนงานที่ทำงานซึ่งดูเหมือนไม่น่าพอใจอาจมีความรู้สึกว่าไร้ค่า. หากไม่มีใครสังเกตหรือขอบคุณต่องานของพวกเธอแล้ว ภรรยาหรือแม่บ้านที่ต่อสู้กับความกังวลประจำวันและภารกิจที่น่าเบื่อหน่ายก็อาจรู้สึกว่าไม่ได้บรรลุผลสำเร็จ ไม่ได้รับการหยั่งรู้ค่า. เยาวชนซึ่งเผชิญการทดสอบที่โรงเรียนอาจรู้สึกข้องขัดใจในความพยายามที่จะได้รับการศึกษา. สมาชิกของชนกลุ่มน้อยอาจรู้สึกจิตใจว้าวุ่นและไม่มีความสุข เชื่อมั่นว่าพวกเขาเป็นเหยื่อของการแบ่งแยกอย่างไม่เป็นธรรม. นักธุรกิจผู้ซึ่งพยายามอย่างซื่อตรงที่จะจัดหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีคุณภาพอาจถูกทำให้ล่มจมทางการเงินโดยคู่แข่งขันที่ไม่คำนึงถึงศีลธรรมและไม่ซื่อตรง. ประสบการณ์เหล่านี้และที่คล้าย ๆ กันก่อให้เกิดความข้องขัดใจ และทิ้งหลายคนไว้กับความรู้สึกหมดหวัง.
บุรุษผู้ฉลาดคนหนึ่งซึ่งมีชีวิตอยู่หลายศตวรรษมาแล้วสามารถถ่ายทอดความข้องขัดใจของท่านออกมาเป็นคำพูดที่เราเข้าใจได้. ซะโลโมกษัตริย์ของยิศราเอลตรัสว่า “ข้าฯได้หันมาดูบรรดาการงานที่มือของข้าฯได้กระทำนั้น และบรรดาการที่ข้าฯได้ออกแรงทำนั้น และดูเถอะ การทั้งหลายเป็นอนิจจังเหมือนวิ่งไล่ตามลม และมิได้มีผลประโยชน์อะไรภายใต้ดวงอาทิตย์. เพราะว่าเขาได้อะไรเล่าจากบรรดาการงานของเขาที่เขาต้องทำอย่างคร่ำเครียดภายใต้ดวงอาทิตย์? ด้วยว่าวันเวลาทั้งหลายของเขามีแต่ความโศกเศร้า และกิจธุระของเขาก่อความสลดใจ พอตกกลางคืนจิตใจของเขาไม่สงบสุข. นี่อีกด้วยเป็นอนิจจัง.” (ท่านผู้ประกาศ 2:11, 22, 23) ถ้อยคำของซะโลโมแสดงถึงความหมดหวังที่หลายคนรู้สึกในการพยายามที่จะรับมือกับความข้องขัดใจที่ปล้นเอาชีวิตที่ให้ผลตอบแทนไปจากพวกเขา.
ผู้คนที่ข้องขัดใจอาจกลายเป็นคนสิ้นหวังด้วยซ้ำ. ในกรณีที่ร้ายแรง บางคนได้เลิกการต่อสู้ดิ้นรน ถอนตัวจากสังคมเพื่อดำเนินชีวิตแบบผิดธรรมดา. เพื่อได้สิ่งที่เขารู้สึกว่าสมควรได้รับ บางคนไปมั่วสุมกับอาชญากรรมและความรุนแรง. ความกดดันแบบไม่ผ่อนคลายได้ทำให้ความผูกพันของชีวิตสมรสและครอบครัวพังทลายลง.
หลายคนในพวกเราอาจได้ใช้ความพยายามเป็นอันมากในการสืบหาวิธีการรับมือกับความข้องขัดใจ. ไม่ว่าเราทำอะไรก็ตาม สิ่งต่าง ๆ อาจดูเหมือนว่าแย่ลง. สุภาษิต 13:12 กล่าวว่า “ความหวังใจที่ถูกเลื่อนให้เนิ่นไปนั้นทำให้อ่อนระอาใจ.” สวัสดิภาพฝ่ายร่างกายและฝ่ายวิญญาณของเราอาจเป็นอันตรายได้. ไม่มีหวังอะไรสำหรับสภาพการณ์นั้นไหม? เราต้องมีชีวิตอยู่กับความข้องขัดใจเสมออันเป็นการตอบแทนสำหรับความไม่เหมาะสมหรือความผิดพลาดของเราไหม? มาตรการบางอย่างที่ใช้การได้จะช่วยรับมือกับความข้องขัดใจเพื่อที่จะประสบชีวิตที่น่าพอใจมากขึ้นได้ไหม? ให้เราพิจารณาดู.
วิธีการบางอย่างในการรับมือกับความข้องขัดใจ
เมื่อเรามีปัญหาและจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำ ตามปกติเราไปหาบุคคลที่มีความรู้ มีประสบการณ์ซึ่งเราไว้ใจได้. สุภาษิต 3:5, 6 แนะนำว่า “จงวางใจในพระยะโฮวาด้วยสุดใจของเจ้า อย่าพึ่งในความเข้าใจของตนเอง. จงรับพระองค์ให้เข้าส่วนในทางทั้งหลายของเจ้า และพระองค์จะชี้ทางเดินของเจ้าให้แจ่มแจ้ง.” คำแนะนำที่ใช้การได้จริงพบได้ในคัมภีร์ไบเบิล พระวจนะของพระเจ้า. จงพิจารณาตัวอย่างบางประการเกี่ยวกับการหยั่งเห็นเข้าใจที่พระคัมภีร์เสนอให้.
ความข้องขัดใจอาจเกี่ยวข้องกับการหาเลี้ยงชีพ. อาทิเช่น งานอาชีพของเราอาจเป็นที่น่าพอใจ แต่ทว่าค่าจ้างต่ำอาจเป็นบ่อเกิดของความกดดันได้. เรารักครอบครัวของเราและต้องการสิ่งดีที่สุดสำหรับเขา. กระนั้น ดูเหมือนว่าความกระวนกระวายในเรื่องการรับมือกับภาระหน้าที่ทางการเงินของเราไม่รู้จักจบสิ้น. เราอาจทำงานล่วงเวลาและรับงานอีกอย่างหนึ่งด้วยซ้ำ. ผ่านไปสักระยะหนึ่งชีวิตดูเหมือนจะเป็นวงจรที่น่าเบื่อหน่ายของการกิน, การนอน, และการทำงาน. กระนั้น ใบแจ้งหนี้ก็กองสุมอยู่ หนี้สินเพิ่มทวี และความข้องขัดใจก็เพิ่มมากขึ้น.
วัตถุประสงค์อันดับแรกแห่งงานอาชีพคือเพื่อจัดหาสิ่งจำเป็นให้เรา. แต่เราจำเป็นต้องมีมากเท่าไร? อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “เราเข้ามาในโลกไม่ได้เอาอะไรมาฉันใด เราไปจากโลกก็เอาอะไรไปไม่ได้ฉันนั้น. แต่ว่าถ้าเรามีเครื่องอุปโภคบริโภค ก็ให้เราอิ่มใจด้วยของเหล่านั้นเถิด.” เราพยายามได้มากกว่านั้นและที่จะให้ทัดเทียมกับสิ่งที่คนอื่นมีหรือสามารถทำได้ไหม? ถ้าเช่นนั้น เราอาจเก็บเกี่ยวผลลัพธ์ในรูปของความข้องขัดใจ. เปาโลเตือนว่า “ฝ่ายคนเหล่านั้นที่อยากเป็นคนมั่งมีก็ย่อมตกในการทดลองและในบ่วงแร้ว และในตัณหาหลายอย่างอันโฉดเขลาและเป็นภัยแก่ตัว ซึ่งย่อมทำให้ตัวจมลงในความพินาศเสื่อมศูนย์. ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นก็เป็นรากแห่งความชั่วทุกอย่าง และบางคนที่ได้โลภเงินทองจึงได้หลงไปจากความเชื่อนั้น และความทุกข์เป็นอันมากจึงทิ่มแทงตัวของเขาเองให้ทะลุ.” (1 ติโมเธียว 6:7-10) การประเมินดูอย่างซื่อตรงเกี่ยวกับการแสวงหาทางฝ่ายวัตถุของเราอาจเผยให้เห็นสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องมีอย่างแท้จริง. การปรับตัวอย่างเหมาะสมบางประการเพื่อประหยัดและวิถีชีวิตแบบที่เรียบง่ายขึ้นอาจช่วยได้ทีเดียวในการลดความข้องขัดใจของเราลงถึงขีดต่ำสุดได้.
ความปรารถนาตามธรรมชาติที่ไม่ได้รับการสนองตอบก่อให้เกิดความข้องขัดใจมากมาย. ตัวอย่างเช่น เป็นเรื่องธรรมดาที่หญิงสาวจะมีพลังกระตุ้นรุนแรงที่จะแต่งงานและมีความมั่นคงปลอดภัยและความรักใคร่อันอบอุ่นซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับชีวิตครอบครัว. เธออาจใช้เวลาและความพยายามมากมายเพื่อทำให้ตัวเองมีเสน่ห์มากขึ้นด้วยแฟชั่นล่าสุดหรือเครื่องเสริมสวยที่ทันสมัย และอาจเป็นคนที่มัวเมาในการอ่านนิตยสารที่ให้คำแนะนำแก่คนพลาดรัก. ผู้หญิงอาจเข้าร่วมในงานชุมนุมทางสังคมงานแล้วงานเล่าอย่างไม่จบสิ้นด้วยความหวังที่ว่าจะพบใครสักคนที่เหมาะ—ทำทุกอย่างโดยปราศจากผลสำเร็จ. หลายปีผ่านไป และความข้องขัดใจกลายเป็นเรื่องที่ทนไม่ไหว. ด้วยความรู้สึกจนตรอกเธออาจถูกล่อใจให้สมรสกับใครบางคนที่ไม่เหมาะสม. ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น เพื่อสนองความปรารถนาของเธอในเรื่องความรัก เธออาจเข้าไปพัวพันในการประพฤติผิดศีลธรรมด้วยซ้ำ.
ในกรณีของผู้หญิงที่อยากแต่งงานเช่นนั้น ความอดกลั้นและวิจารณญาณที่ดีเป็นสิ่งจำเป็น. การสมรสกับบุคคลที่ไม่เหมาะสม—โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ขาดความเชื่อในพระยะโฮวา—คงจะเป็นความผิดพลาดมหันต์. (1 โกรินโธ 7:39; 2 โกรินโธ 6:14, 15) การผิดศีลธรรมมีแต่นำไปสู่ความปวดร้าวหัวใจและความสิ้นหวังอย่างเลี่ยงไม่พ้นเท่านั้น. (สุภาษิต 6:32, 33) การสำรวจดูตัวเองอย่างสุจริตร่วมกับวิธีจัดการอย่างมีเหตุผลอาจช่วยได้. “จิตใจอ่อนสุภาพและสงบเสงี่ยม” อาจดึงดูดใจคู่สมรสที่เหมาะสมดียิ่งกว่าเสื้อผ้าอาภรณ์แบบทันสมัยหรือเครื่องสำอางแบบผิดธรรมดา. (1 เปโตร 3:3, 4) แทนการพึ่งอาศัยคำแนะนำที่มักเป็นแบบมองตื้น ๆ หรือแบบผิวเผินของผู้เชี่ยวชาญทางโลก นับว่าสำคัญที่จะไปหาผู้ริเริ่มการสมรสเพื่อทราบสิ่งที่จำเป็นต้องมีเพื่อจะเป็นภรรยาซึ่งได้รับความรักและการทะนุถนอม. (สุภาษิตบท 31) ชายและหญิงที่ยังไม่แต่งงานควรพยายามแสดงคุณลักษณะที่เขาปรารถนาในตัวคู่สมรส. นับว่าฉลาดสุขุมสักเพียงไรที่จะแสวงการคบหาสมาคมที่เป็นประโยชน์กับชนซึ่งนับถือหลักการของพระคัมภีร์. หากเรานำเอาคำแนะนำเหล่านี้มาใช้ในชีวิตแล้ว โอกาสในภายหน้าของเราในเรื่องชีวิตสมรสที่มีความสุขก็จะยิ่งมีมากขึ้น. ถึงแม้การสมรสไม่ได้มีขึ้นทันทีก็ตาม การปฏิบัติสอดคล้องกับพระคัมภีร์จะนำมาซึ่งความยินดีและทำให้ชีวิตที่เป็นโสดนั้นได้ผลตอบแทนจริง ๆ.
การแบกภาระที่หนักอาจทำให้เราถึงขั้นหมดหวังก็ได้. อาจมีความกดดันมาจากรอบข้าง. เรากระวนกระวายในเรื่องความจำเป็นอันเร่งด่วนแห่งครอบครัวของเรา และนายจ้างของเราอาจเอาใจยาก. ญาติพี่น้องอาจคาดหมายให้เราช่วยพวกเขาทุกครั้งที่มีภาวะฉุกเฉิน. เนื่องจากมีเรื่องรีบด่วนหลายอย่าง บัญชีรายการยาวเหยียดเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวที่ถูกละเลยจำเป็นต้องได้รับการเอาใจใส่จากเรา. ดูเหมือนว่าเวลาและพลังของเราอาจถูกโน้มนำไปในทิศทางต่างกันมากมายพร้อม ๆ กัน. ความข้องขัดใจอาจเปลี่ยนเป็นความหมดหวัง และเราอาจรู้สึกเหมือนยอมแพ้. ดังนั้น เราควรทำประการใด?
สิ่งที่น่าจะทำคือประเมินดูการจัดลำดับก่อนหลังของเราใหม่. เนื่องจากมีขีดจำกัดในสิ่งที่เราทำได้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำตามคำขอร้องทุกอย่างจากคนอื่น. เราต้องจำกัดเรื่องต่าง ๆ ลงมาสู่ “สิ่งไหนสำคัญกว่า.” (ฟิลิปปอย 1:10, ล.ม.) ที่แท้แล้ว “สุนัขที่เป็นอยู่ มันก็ยังดีกว่าสิงโตที่ตายแล้ว.” (ท่านผู้ประกาศ 9:4) ภาระหน้าที่บางอย่างสำคัญยิ่งและไม่อาจกันไว้ทางหนึ่งได้ ขณะที่ภาระเหล่านั้นที่สำคัญน้อยกว่าอาจรอได้. เราอาจรับเอาภาระรับผิดชอบเพียบในหน้าที่บางอย่างที่ควรแบ่งให้คนอื่น. อาจตัดหน้าที่รับผิดชอบบางอย่างออกไปเลยถ้าหากไม่ใช่เรื่องสำคัญ. ถึงแม้เรื่องนี้อาจก่อให้เกิดความไม่สะดวกในตอนแรกหรืออาจทำให้คนอื่นผิดหวังก็ตาม เราจำต้องคำนึงถึงขีดจำกัดทางร่างกายและทางด้านความรู้สึกของเราเอง.
โรคที่ทำให้อ่อนเพลียอาจนำมาซึ่งความข้องขัดใจอย่างเหลือทนได้ เพราะนั่นอาจทำให้เรานอนป่วยอยู่เป็นเวลาครั้งละหลายวันหรือหลายสัปดาห์. ความเจ็บปวดอันรุนแรงทำให้เราตรมทุกข์ได้. โดยสืบหาการบำบัดรักษา เราอาจไปหมอคนแล้วคนเล่า หรืออาจกินยาหรือวิตามินหลายอย่างด้วยความหวังที่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะก่อผลดีบ้าง. กระนั้น เราอาจทรมานอยู่ต่อไป และอาจเริ่มสงสัยว่าชีวิตคู่ควรกับการต่อสู้ดิ้นรนหรือไม่.
นี้อาจเป็นปัญหาที่แก้ได้เฉพาะแต่ในโลกใหม่ของพระเจ้าเท่านั้น. (2 เปโตร 3:13; เทียบกับยะซายา 33:24.) เนื่องจากมนุษย์ไม่สมบูรณ์ หมอและยาช่วยได้ในขีดจำกัด. ในบางช่วงเราต้องยอมรับความทรมานของเราเสมือนเป็นส่วนหนึ่งแห่งชีวิต. อัครสาวกเปาโลมี “เสี้ยนหนามในเนื้อหนัง” บางทีเป็นโรคของตาหรืออวัยวะส่วนอื่นในร่างกายของท่าน ซึ่งก่อความลำบากจนท่านได้อธิษฐานขอการขจัดออกไปหลายครั้ง. (2 โกรินโธ 12:7-10) แต่พระเจ้ามิได้รักษาเปาโลให้หาย และบางทีอัครสาวกต้องอดทนกับโรคนั้นไปจนตาย. ท่านมีชีวิตอยู่ด้วยทนความลำบาก มิได้ร้องขอความสงสาร และไม่เคยสูญเสียความยินดีของท่าน. (2 โกรินโธ 7:4) ถึงแม้โยบบุรุษผู้ซื่อตรงได้รับความทุกข์ทรมานมากมาย ท่านก็คงไว้ซึ่งความเชื่อในพระยะโฮวา และทั้งนี้นำไปสู่บำเหน็จอันอุดม. (โยบ 42:12, 13) หากเราเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า เราสามารถพบพลังที่จะดำเนินต่อไปได้โดยการคิดรำพึงตัวอย่างเหล่านี้และอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา.—บทเพลงสรรเสริญ 41:1-3.
เข้มแข็งถึงแม้มีความข้องขัดใจ
ไพร่พลของพระยะโฮวาสามารถเข้มแข็งทางฝ่ายวิญญาณได้ถึงแม้มีความข้องขัดใจใด ๆ. อาทิเช่น แม้เราอาจต้องทนกับโรคภัยไข้เจ็บ เราก็ยัง “ปกติอยู่ในความเชื่อ” ได้โดยการรับเอาประโยชน์อย่างเต็มที่จากการจัดเตรียมฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้า. (ติโต 2:1, 2) ถึงแม้เราอาจขัดสนทางฝ่ายวัตถุอย่างน่าข้องขัดใจก็ตาม เราก็ยังเป็นคนมั่งคั่งทางฝ่ายวิญญาณอย่างน่าพิศวงได้.
โดยการพึ่งอาศัยพระเจ้าในเรื่องสติปัญญาและกำลัง เราสามารถรับมือกับความข้องขัดใจที่อาจเกิดขึ้นในสถานการณ์เกี่ยวกับครอบครัวได้. ตัวอย่างเช่น จงพิจารณาดูอะบีฆายิล ภรรยาของนาบาล. เขาเป็น “คนสามานย์และประพฤติตัวเลวทราม” และชื่อของเขานั้นเองมีความหมายว่า “ความโง่เขลา.” การอยู่ร่วมกับคนเช่นนั้นคงต้องเป็นความข้องขัดใจสักเพียงไร! กระนั้น อะบีฆายิลก็ยังคง “มีความรอบคอบ” และมิได้สิ้นหวัง. ที่จริง คำพูดและการกระทำของเธอสุขุมรอบคอบระหว่างเหตุการณ์ฉุกเฉินครั้งหนึ่งจนกระทั่งเธอโน้มน้าวใจดาวิดมิให้ตอบแทนการสบประมาทและการเนรคุณของนาบาลโดยการทำให้เลือดตกยางออกและขาดการไว้วางใจในพระยะโฮวา.—1 ซามูเอล 25:2-38.
ถึงแม้สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับบางคนซึ่งสมทบกับประชาคมคริสเตียนเป็นเหตุให้เราข้องขัดใจก็ตาม เราสามารถอดทนได้ด้วยพลังที่พระยะโฮวาประทานให้. เรื่องนี้เห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าพฤติกรรมของดิโอเตรเฟสที่อาจทำให้ข้องขัดใจนั้นมิได้ทำให้ฆาโยบุรุษผู้เลื่อมใสพระเจ้าหยุดจากการทำสิ่งที่ดีและโดยวิธีนี้จึงได้รับความสุขและบำเหน็จฝ่ายวิญญาณอันอุดม.—กิจการ 20:35; 3 โยฮัน 1-10.
ความข้องขัดใจอาจเกิดขึ้นได้หากเราปรารถนาจะรับใช้เพื่อนร่วมความเชื่อของเราในประชาคม แต่ถูกมองข้ามไปเมื่อคนอื่นได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองหรือผู้รับใช้. แทนที่จะปล่อยให้ความผิดหวังท่วมท้นในตัวเรา จงให้เราพยายามจะทำให้ตัวเองเข้มแข็งทางฝ่ายวิญญาณ และยอมให้พระวิญญาณของพระเจ้าผลิตผลที่ดีในตัวเราให้มากขึ้น. (ฆะลาเตีย 5:22, 23) ระหว่าง 40 ปีที่โมเซใช้เวลาอยู่ในมิดยาน พระเจ้าได้พัฒนาความอ่อนสุภาพ ความอดกลั้นในระดับที่สูงกว่า และคุณลักษณะอื่น ๆ ที่จำเป็นขึ้นในตัวท่านเพื่อรับมือกับความยากลำบากและความข้องขัดใจที่ท่านคงจะเผชิญในฐานะผู้นำของชนยิศราเอล. ในทำนองเดียวกัน พระยะโฮวาอาจเตรียมเราไว้สำหรับสิทธิพิเศษแห่งการรับใช้ในอนาคตซึ่งเราอาจได้รับ หากเราเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณอยู่ต่อไปและไม่ยอมจำนนต่อความข้องขัดใจ.
การปลดเปลื้องจากความข้องขัดใจ—ในไม่ช้า!
ความข้องขัดใจของเรา ไม่ว่าเป็นแบบไหนก็ตามจะมีวันสิ้นสุดไหม? สำหรับเรา สภาพการณ์ของเราอาจดูเหมือนหมดหวัง แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่กับพระยะโฮวาพระเจ้า พระผู้สร้างของเรา. พระองค์ไม่ข้องขัดใจ. พระเจ้าตรัสผ่านทางผู้พยากรณ์ยะซายาว่า “ถ้อยคำที่ออกไปจากปากของเราจะไม่ได้กลับมายังเราโดยไร้ผล และโดยยังมิได้ทำอะไรให้สำเร็จตามความพอใจของเรา และสัมฤทธิ์ผลสมประสงค์ดังที่เราได้ใช้มันไปทำฉันนั้น.” (ยะซายา 55:11) เนื่องจากพระยะโฮวาทรงมีฤทธานุภาพและอำนาจทุกประการ ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระองค์. (มาระโก 10:27) คำสัญญาของพระองค์ที่จะนำพระพรไม่สิ้นสุดมาสู่ไพร่พลของพระองค์นั้นจะเป็นจริงแน่นอน.—ยะโฮซูอะ 21:45.
ความสงสัยและความไม่มั่นใจเป็นปัจจัยสำคัญในความข้องขัดใจ. แต่เมื่อเปรียบเทียบแล้ว “ความเชื่อคือความคาดหมายที่แน่นอนในสิ่งซึ่งหวังไว้.” (เฮ็บราย 11:1, ล.ม.) ความเชื่อในพระเจ้าจัดให้มีการรับรองที่ว่าความหวังทั้งสิ้นของเราที่อาศัยพระคัมภีร์เป็นหลักนั้นจะเป็นจริงอย่างครบถ้วน. อรรถบทตั้งแต่ต้นจนจบของพระคัมภีร์รวมจุดอยู่ที่คำสัญญาของพระยะโฮวาในเรื่องการปกครองของราชอาณาจักร ซึ่งภายใต้การปกครองนั้นแผ่นดินโลกจะกลายเป็นอุทยานอันสมบูรณ์พร้อม ที่ซึ่งชนผู้ชอบธรรมจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปด้วยความยินดี. (บทเพลงสรรเสริญ 37:11, 29) สิ่งไม่ดีทุกอย่าง—รวมทั้งความข้องขัดใจ—จะผ่านพ้นไป เพราะพระเจ้าจะ ‘ประทานแก่สรรพสัตว์ที่มีชีวิตอยู่ให้อิ่มตามความประสงค์.’—บทเพลงสรรเสริญ 145:16.
จนกว่าพระพรเหล่านั้นจะเป็นจริงขึ้น เราทุกคนล้วนประสบความข้องขัดใจ. แต่ความหวังตามหลักพระคัมภีร์สามารถทำให้เรามีความกล้าหาญและความทรหดที่จะยืนหยัดต่อไป. คำแนะนำที่ถูกต้องซึ่งเราพบในพระคัมภีร์จะแสดงให้เราเห็นวิธีใช้วิจารณญาณที่ดีและความมีเหตุผลในแนวทางที่จะนำความมั่นคงมาสู่ชีวิต และสันติสุขมาสู่หัวใจของเรา. แม้เราจะมีความผิดหวัง เราก็อาจประสบ “สันติสุขแห่งพระเจ้าที่เหนือกว่าความคิดทุกอย่าง” ได้. (ฟิลิปปอย 4:6, 7, ล.ม.) ดังนั้น การต่อสู้กับความข้องขัดใจใช่ว่าจะหมดหวัง. โดยความช่วยเหลือของพระยะโฮวา เราสามารถรับมือกับความข้องขัดใจในปัจจุบัน และพิชิตมันได้ในวันข้างหน้า.
[จุดเด่นหน้า 31]
พระเจ้าทรงสามารถช่วยคุณให้รับมือกับความข้องขัดใจได้ ดังที่พระองค์ได้ทรงช่วยโยบ, โมเซ, อะบีฆายิล, และเปาโล