พระยะโฮวาทรงระลึกถึงคนป่วยและคนสูงอายุ
การที่ต้องเผชิญ “วันแห่งภัยพิบัติ” อาจเป็นเรื่องที่ยากมาก. (บทเพลงสรรเสริญ 37:18, 19, ล.ม.) เวลาเช่นนั้นอาจมาในรูปของอายุที่มากขึ้นและความอ่อนแอที่ตามมา. บางคนเข้าสู่เวลาแห่งความทุกข์ร้อน เมื่อป่วยหนักและป่วยเรื้อรัง. พวกเขาอาจรู้สึกราวกับว่าโรคที่เป็นอยู่กำลังควบคุมชีวิตของตน คือครอบงำความคิดและและการกระทำของตน.
กระนั้น เป็นการปลอบประโลมใจที่จะระลึกว่าพระยะโฮวาทรงเฝ้าดูผู้รับใช้ของพระองค์ทุกคน. พระทัยของพระองค์เบิกบานยินดีเมื่อผู้รับใช้ที่อุทิศตัวยังคงสำแดงความภักดีและสติปัญญาแม้จะแก่ชรา, เจ็บป่วย, หรืออยู่ในสภาพการณ์ที่ยากลำบากอื่น ๆ. (2 โครนิกา 16:9ก; สุภาษิต 27:11) กษัตริย์ดาวิดรับรองกับเราว่า “พระยะโฮวาทรงสถิตอยู่ใกล้คนทั้งปวงที่ทูลต่อพระองค์ . . . พระองค์จะทรงสดับฟังคำร้องทุกข์ของเขา.” ใช่แล้ว พระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาต้องต่อสู้อย่างหนักหน่วง จึงทรงเสริมกำลังพวกเขาด้วยพระวิญญาณของพระองค์. “และจะทรงช่วยเขาให้รอดด้วย.” พระองค์ทรงระลึกถึงพวกเขา และทรงช่วยพวกเขาให้อดทนได้. (บทเพลงสรรเสริญ 145:18, 19) แล้วเราล่ะ? พวกเรา เหมือนพระยะโฮวา นึกถึงคนป่วยและคนสูงอายุไหม?
ความอ่อนแอเนื่องจากความเจ็บป่วยหรือความชราเป็นความจริงของชีวิตในระบบปัจจุบันนี้. เป็นความจริงที่เราต้องเผชิญ จนกว่าพระยะโฮวาจะทรงทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำหรับแผ่นดินโลกและมนุษยชาติบรรลุผลสำเร็จ. ทุกวันนี้ ผู้คนมากขึ้นมีชีวิตค่อนข้างยืนยาว ดังนั้น ผู้คนเป็นจำนวนมากจึงคุ้นเคยดีกับความอ่อนแอแห่งวัยชรา. นอกจากนี้ ขณะที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว หลายคนประสบอุบัติเหตุหรือโรคภัยที่คุกคามชีวิตหรือทำให้พิการ. กว่าโลกเก่านี้จะผ่านพ้นไป ความเจ็บป่วยและความชราจะยังคงเป็นข้อท้าทายประการสำคัญ.
เราหยั่งรู้ค่าสักเพียงไรในพี่น้องที่เจ็บป่วยและสูงอายุ ซึ่งยังคงเป็นแบบอย่างใน “การอดทนความทุกข์”! ใช่แล้ว “ท่านเหล่านั้นที่อดทนก็เป็นสุข.” (ยาโกโบ 5:10, 11) ผู้สูงอายุเป็นจำนวนมาก ซึ่งเวลานี้มีกำลังถดถอยลงนั้น มีส่วนร่วมเป็นเวลาหลายสิบปีในการสั่งสอน, อบรม, และนวดปั้นคนเหล่านั้นซึ่งเวลานี้นำหน้าในประชาคม. นอกจากนี้ ผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งก็ปีติยินดีที่ได้เห็นบุตรของตนมีส่วนร่วมในงานรับใช้ประเภทเต็มเวลา.—บทเพลงสรรเสริญ 71:17, 18; 3 โยฮัน 4.
ในทำนองเดียวกัน เราหยั่งรู้ค่าคนเหล่านั้นที่อยู่ท่ามกลางเรา ซึ่งป่วยหนัก แต่กระนั้นก็สามารถหนุนใจเราด้วยการรักษาความซื่อสัตย์ของตน แม้ต้องทนทุกข์. เมื่อคนเหล่านั้นให้พยานหลักฐานถึงความหวังที่ไม่สั่นคลอนของพวกเขา ผลจึงเป็นการกระตุ้นหนุนใจที่ดีมากและการเสริมความเชื่อให้เข้มแข็ง. สันติสุขในใจและความอิ่มใจพอใจของพวกเขาเผยถึงความเชื่อ ซึ่งมีค่าควรแก่การเลียนแบบอย่างแท้จริง.
เป็นเรื่องที่น่าตกใจที่คนเราจู่ ๆ ก็ล้มป่วยด้วยโรคมะเร็ง, เป็นโรคปัจจุบัน, หรือประสบกับสภาพการณ์อื่น ๆ ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้นั้นโดยสิ้นเชิง. ทั้งยังเป็นการทดลองอย่างหนักสำหรับบิดามารดาที่เห็นบุตรของตนล้มป่วยหรือทนทุกข์ทรมานอันเป็นผลจากอุบัติเหตุ. คนอื่นจะช่วยได้อย่างไร? เวลาแห่งความทุกข์ร้อนเช่นนี้เป็นการทดลองสำหรับพี่น้องคริสเตียนทุกคน. เป็นโอกาสที่จะแสดงว่า ‘มิตรแท้เป็นพี่น้องซึ่งเกิดมาเพื่อยามที่มีความทุกข์ยาก.’ (สุภาษิต 17:17, ล.ม.) ตามสภาพที่เป็นจริง มิใช่ผู้ป่วยและผู้สูงอายุทุกคนจะคาดหวังความช่วยเหลือเป็นส่วนตัวจากสมาชิกแต่ละคนและทุกคนในประชาคม. แต่พระยะโฮวาจะทรงดูแลโดยผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ ที่จะกระตุ้นให้หลายคนรู้สึกอยากช่วยในวิธีต่างกันไป. และผู้ปกครองสามารถคอยเฝ้าดู เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครถูกมองข้าม.—ดูเอ็กโซโด 18:17, 18.
พยายามเข้าใจ
ในการพยายามช่วยใครสักคน เป็นสิ่งสำคัญที่จะมีการสื่อความที่ดี ซึ่งต้องใช้เวลา, ความอดทน, และความร่วมรู้สึก. ในฐานะผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ เป็นธรรมดาอยู่เองที่คุณปรารถนาจะ ‘กล่าวหนุนใจ’ แต่ควรฟังให้ดีก่อนพูดหรือทำอะไรลงไป มิฉะนั้น คุณอาจลงเอยด้วยการกลายเป็น ‘ผู้เล้าโลมอันร้ายกาจ.’—โยบ 16:2, 5.
ผู้ป่วยและผู้สูงอายุพบว่าบางครั้ง เป็นการยากที่จะซ่อนความข้องขัดใจของตนไว้. หลายคนยึดมั่นอยู่ในความหวังที่จะมีชีวิตผ่านพ้นความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่ และบัดนี้พวกเขารู้สึกว่าเข้าไปพัวพันอยู่ในการแข่งขันทางเวลา เป็นการแข่งขันที่พวกเขาไม่รู้สึกมั่นใจว่าจะชนะ. นอกจากนี้ สภาพการณ์มักทำให้พวกเขาเหนื่อยล้าและเป็นกังวล. การรักษาความเชื่อให้มีชีวิตชีวาและให้เข้มแข็งนั้นเป็นสิ่งที่ต้องต่อสู้ โดยเฉพาะเมื่อคนเราไม่สามารถทำตามที่หัวใจปรารถนา คือมีส่วนอย่างเต็มที่ในงานรับใช้ฝ่ายคริสเตียนอีกต่อไป. ผู้ปกครองคริสเตียนคนหนึ่งไปเยี่ยมพี่น้องหญิงสูงอายุคนหนึ่ง เมื่ออธิษฐานกับเธอ เขาขอให้พระยะโฮวาทรงให้อภัยบาปของเรา. หลังจากคำอธิษฐาน เขาสังเกตว่าพี่น้องหญิงคนนั้นกำลังร้องไห้. เธออธิบายว่าเธอรู้สึกต้องการได้รับการอภัยจากพระเจ้าเป็นพิเศษ ที่ไม่สามารถเข้าส่วนในงานประกาศตามบ้านอีกต่อไป. ใช่แล้ว ความรู้สึกว่าด้อยความสามารถหรือขาดคุณสมบัติ แม้ว่าบ่อยครั้งไม่มีเหตุผล แต่ก็อาจทำให้คน ๆ นั้นเศร้าใจได้มาก.
ขอให้ตระหนักว่าความกังวลและความเหนื่อยล้าอาจมีผลกระทบต่อความสมดุลทางด้านจิตใจ. เนื่องจากความอ่อนแอที่เกิดจากความชรา และความเครียดที่เกิดจากความเจ็บป่วยที่บั่นทอนกำลัง คนเราอาจรู้สึกว่าพระยะโฮวาทรงทอดทิ้ง ด้วยการกล่าวว่า “ฉันได้ทำอะไร? ทำไมจึงต้องเป็นฉัน?” ขอให้ระลึกถึงถ้อยคำที่สุภาษิต 12:25 ว่า “ความหนักใจทำให้คนท้อใจลง; แต่คำปรานีทำให้คนเบิกบานใจ.” พยายามหาคำพูดดี ๆ ที่จะให้การปลอบประโลม. ผู้สูงอายุซึ่งเจ็บปวดอาจถึงกับบอกว่าอยากตาย เหมือนท่านโยบ. ไม่ต้องตกใจ ให้พยายามเข้าใจ. การโอดครวญเช่นนั้นไม่ได้แสดงถึงการขาดความเชื่อหรือความไว้วางใจ. โยบอธิษฐานขอให้ ‘ปิดซ่อนท่านไว้ในหลุมฝังศพ’ กระนั้น คำพูดของท่านหลังจากถ้อยคำนี้เผยถึงความเชื่ออันมั่นคงว่า พระยะโฮวาจะปลุกท่านให้เป็นขึ้นจากตายทีหลัง. ความเชื่ออันเข้มแข็งทำให้เป็นไปได้ที่จะผ่านช่วงเวลาที่เจ็บปวดและซึมเศร้า โดยที่ยังคงใกล้ชิดกับพระยะโฮวา.—โยบ 14:13-15.
ให้เกียรติคนป่วยและคนสูงอายุ
เป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จะปฏิบัติต่อคนป่วยและคนสูงอายุโดยให้เกียรติและให้ศักดิ์ศรี. (โรม 12:10) หากพวกเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบรับเร็วเหมือนแต่ก่อน หรือไม่สามารถทำอะไร ๆ ได้มากเหมือนเดิม ขออย่าได้หมดความอดทน. อย่ารีบเข้าไปแทรกแซงและทำการตัดสินใจแทน. ไม่ว่าเราจะมีเจตนาดีเพียงไร หากเราปฏิบัติตัวว่าเหนือกว่าหรือวางอำนาจ จะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งขาดความนับถือตนเองอย่างแน่นอน. ในดุษฎีนิพนธ์ชิ้นหนึ่งซึ่งพิมพ์ในปี 1988 เจ็ตเท อิงเกอร์สเล็ฟว์ นักวิจัย อธิบายถึงสิ่งที่ผู้มีอายุ 85 ปีกลุ่มหนึ่งถือว่ามีความสำคัญที่สุดสำหรับคุณภาพของชีวิตของตนว่า “พวกเขาให้ความสำคัญต่อสามสิ่งเป็นอันดับแรก คือ การอยู่กับญาติ; สุขภาพดี; และประการสุดท้ายซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือโอกาสจะตัดสินใจด้วยตนเองได้.” ขอให้สังเกตว่า พวกลูกชายของยาโคบ ปฐมบรรพบุรุษ ไม่ได้ปฏิบัติต่อท่านว่าเหนือกว่าเมื่อท่านแก่ชรา แต่ยังคงทำตามความปรารถนาของท่าน.—เยเนซิศ 47:29, 30; 48:17-20.
ผู้ที่เจ็บป่วยก็ต้องได้รับการปฏิบัติด้วยศักดิ์ศรีเช่นกัน. ผู้ปกครองคนหนึ่งสูญเสียความสามารถในการพูด, อ่าน, และเขียนเนื่องจากเกิดความผิดพลาดในระหว่างผ่าตัด. นี่เป็นเรื่องร้ายแรงทีเดียว แต่เพื่อนผู้ปกครองตกลงใจที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำได้ เพื่อไม่ให้เขารู้สึกไร้ประโยชน์. เดี๋ยวนี้ พวกเขาอ่านจดหมายทั้งหมดของประชาคมให้เขาฟัง และมีเขาอยู่ด้วยเมื่อวางแผนเรื่องอื่น ๆ ของประชาคม. ในการประชุมผู้ปกครอง พวกเขาพยายามที่จะรู้ให้ได้ว่าเขามีความคิดเห็นอย่างไร. พวกผู้ปกครองให้เขารู้ว่าพวกเขายังถือว่าเขาเป็นเพื่อนผู้ปกครอง และหยั่งเห็นคุณค่าที่เขาอยู่ด้วย. ในประชาคมคริสเตียน พวกเราทุกคนสามารถออกความพยายามเพื่อจะไม่มีคนป่วยหรือคนสูงอายุรู้สึกว่าถูก ‘สลัด’ ทิ้งหรือถูกลืม.—บทเพลงสรรเสริญ 71:9.
การช่วยเหลือให้มีความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณ
เราทุกคนต้องการอาหารฝ่ายวิญญาณเพื่อรักษาความเชื่อของเราให้คงอยู่และเข้มแข็ง. นี่เองเป็นสาเหตุที่เราได้รับการสนับสนุนให้อ่านพระคัมภีร์และคู่มือพระคัมภีร์ทุกวันและให้มีส่วนอย่างกระตือรือร้นในการประชุมคริสเตียนและการประกาศ. บ่อยครั้ง คนป่วยและคนสูงอายุต้องการความช่วยเหลือเพื่อทำเช่นนั้น และเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำในสิ่งที่จะเป็นไปได้จริงในกรณีเฉพาะของพวกเขา. น่าดีใจที่หลายคนยังมาร่วมประชุมได้ หากมีคนรับส่งและช่วยเหลือบ้างในหอประชุม. การเข้าร่วมประชุมของพวกเขาเป็นการหนุนใจยิ่งแก่ประชาคม. ความอดทนของพวกเขาเป็นการกระตุ้นหนุนใจและเสริมความเชื่อให้เข้มแข็ง.
ในหลายกรณี ผู้ป่วยและผู้สูงอายุก็สามารถมีส่วนอย่างมีความหมาย ในงานรับใช้ฝ่ายคริสเตียนเช่นกัน. บางคนอาจอยู่ในกลุ่มให้คำพยานโดยทางรถยนต์ และแน่นอน พวกเขาจะรู้สึกเบิกบานยินดีที่สามารถทำการเยี่ยมได้บ้าง แม้ว่าจะเพียงไม่กี่รายก็ตาม. หากทำเช่นนี้ไม่ได้อีกต่อไป พวกเขาสามารถพบความยินดีในการให้คำพยานเมื่อสบโอกาสกับผู้ที่พวกเขาพบ. พี่น้องหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นมะเร็งตัดสินใจที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่โดยใช้ความพยายามเป็นพิเศษในการส่งเสริมข่าวดี. การประกาศอย่างกล้าหาญของเธอหนุนใจทุกคน. เธอถึงกับวางแผนสำหรับงานศพของเธอเองเพื่อจะได้มีการให้คำพยานเป็นอย่างดีแก่ญาติ, เพื่อนร่วมงาน, และเพื่อนบ้านที่ไม่มีความเชื่อ. สภาพการณ์ที่น่าวิตกของเธอ “กลับเป็นเหตุให้กิตติคุณแผ่แพร่หลายออกไป” และความแน่วแน่ที่จะสำแดงความเชื่อและความมั่นใจทำให้ชีวิตบั้นปลายของเธอมีความหมายเป็นพิเศษ.—ฟิลิปปอย 1:12-14.
เป็นการดีที่จะช่วยคนป่วยและคนสูงอายุให้การเสริมสร้างขึ้นฝ่ายวิญญาณ. ผู้ที่มีครอบครัวอาจเชิญพวกเขามาสังสรรค์ที่บ้านในตอนเย็น หรืออาจย้ายบางส่วนของการศึกษาประจำครอบครัวเป็นครั้งคราวมาที่บ้านของผู้ที่ไม่สามารถออกนอกบ้านได้. มารดาคนหนึ่งพาลูกคนเล็กสองคนไปที่บ้านของพี่น้องหญิงสูงอายุเพื่อเขาจะได้อ่านหนังสือของฉันเกี่ยวด้วยเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิล ด้วยกัน. การทำเช่นนี้ทำให้พี่น้องหญิงสูงอายุคนนั้นมีความสุข และเด็ก ๆ ก็ชอบที่เธอสนใจพวกเขา.
อย่างไรก็ตาม มีบางครั้งที่ไม่ควรรบกวนคนสูงอายุที่นอนป่วยมากเกินไป ฉะนั้น อาจเป็นการดีที่จะเพียงแต่อ่านบางเรื่องให้ฟังเป็นครั้งคราว. กระนั้น พึงระลึกไว้ว่า แม้บางคนอาจอ่อนแรงเกินกว่าจะสนทนาได้ แต่เขาอาจยังต้องการและปรารถนาการคบหาสมาคมฝ่ายวิญญาณอยู่. เราอาจอธิษฐานกับคนเหล่านั้น, อ่านหนังสือให้ฟัง, หรือเล่าประสบการณ์ แต่เราควรระวังที่จะไม่อยู่นานเกินกว่าที่พวกเขาจะรับได้.
มีงานรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งซึ่งคนป่วยและคนสูงอายุส่วนใหญ่ยังทำได้ นั่นคือการอธิษฐานเผื่อผู้อื่น. สาวกสมัยแรกให้ความสำคัญยิ่งกับงานรับใช้ชนิดนี้. ในโอกาสหนึ่ง พวกเขาช่วยแบ่งเบาภาระการงานในประชาคม เพื่อว่าพวกอัครสาวกจะได้เพ่งเล็งไปที่การอธิษฐาน. มีการกล่าวถึงเอปาฟรัศผู้ซื่อสัตย์ว่า ‘สู้อธิษฐานเผื่อผู้อื่น.’ (โกโลซาย 4:12; กิจการ 6:4) การอธิษฐานเช่นนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งและมีประโยชน์.—ลูกา 2:36-38; ยาโกโบ 5:16.
พระยะโฮวาทรงระลึกถึงคนป่วยและคนสูงอายุ และทรงดูแลพวกเขาในเวลาแห่งความทุกข์ร้อน. ฉะนั้น จึงเป็นการเหมาะสมที่พระองค์จะทรงคาดหมายว่า เราก็เช่นกันจะพิจารณาว่าเราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนพวกเขา. ความห่วงใยที่เราแสดงสะท้อนความตั้งใจของเราที่จะรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงของเราเอง. และเราดีใจเมื่อคิดถึงคำกล่าวของกษัตริย์ดาวิดที่ว่า “พระยะโฮวาทรงทราบวันทั้งหลายของคนที่ดีรอบคอบ; และมฤดกของเขาจะยั่งยืนอยู่เป็นนิตย์.”—บทเพลงสรรเสริญ 37:18.◆
[กรอบหน้า 28]
การให้ความช่วยเหลือที่เป็นประโยชน์ด้วยความเข้าใจ
เพื่อนและญาติควรหาความรู้พื้นฐานที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดูแลคนป่วยและคนสูงอายุ. ที่สำคัญที่สุด เขาควรได้รับการหนุนใจให้มีเจตคติในแง่บวกต่อชีวิต, ให้รู้สึกว่าเป็นที่ต้องการและมีผู้เห็นคุณค่า, ทั้งให้รู้สึกว่าตนเองมีค่า. ด้วยวิธีนี้ คุณภาพของชีวิตของเขาจะคงอยู่ในระดับที่จะรักษาความยินดีในพระยะโฮวาไว้ได้ แม้ต้องประสบกับความเจ็บป่วย. เป็นที่สังเกตได้ว่า พยานพระยะโฮวาหลายคนมีชีวิตจนแก่เฒ่า. ไม่ต้องสงสัย ปัจจัยอย่างหนึ่งซึ่งเอื้ออำนวยให้เกิดผลเช่นนี้ก็คือความสนใจจดจ่ออยู่กับความหวังในวันข้างหน้า, อารมณ์ที่แจ่มใส, และการเข้าร่วมในงานราชอาณาจักรเท่าที่จะทำได้. เฟรเดอริก ดับเบิลยู. แฟรนซ์ นายกสมาคมว็อชเทาเวอร์คนก่อน ซึ่งเสียชีวิตอย่างสงบเมื่ออายุย่างเข้า 100 ปีหลังจากมีชีวิตที่ชื่นชมกับผลงานมากมายนั้นเป็นแบบอย่างยอดเยี่ยมในเรื่องนี้.—เทียบกับ 1 โครนิกา 29:28.
โดยทั่วไป การเอาใจใส่ดูแลเรื่องพื้นฐานในชีวิตประจำวันนั้นมีความหมายมาก คือสุขอนามัยที่ดี, โภชนาการที่เหมาะสม, น้ำและเกลือที่พอเพียง, การออกกำลังกายพอเหมาะ, อากาศบริสุทธิ์, การบีบนวดเบา ๆ, และการสนทนาที่กระตุ้นหนุนใจ. โภชนาการที่เหมาะสมมีส่วนส่งเสริมให้การทำงานของร่างกายดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการฟัง, สายตา, การทำงานของสมอง, และสุขภาพทางกาย รวมทั้งการต้านทานโรคสูงขึ้น. สำหรับคนสูงอายุ เรื่องธรรมดา ๆ เกี่ยวกับโภชนาการที่เหมาะสมและการดื่มน้ำมากพออาจหมายถึงความแตกต่างระหว่างการมีสุขภาพที่ดีกับการเป็นโรคชรา. อาจต้องคิดหาวิธีการออกกำลังกายซึ่งเหมาะเป็นรายบุคคลไป. พี่น้องหญิงคนหนึ่งที่มาอ่านหนังสือให้พี่น้องหญิงสูงอายุและเกือบตาบอดฟังเริ่มและจบการเยี่ยมแต่ละครั้งในสัปดาห์ด้วยการเต้นรำกับพี่น้องคนนั้นไปรอบ ๆ ห้องอย่างช้า ๆ. เครื่องบันทึกเสียงอยู่พร้อมเสมอสำหรับเพลงที่เลือกไว้ และทั้งคู่ชอบ “การออกกำลังกาย” วิธีนี้.
ในหลายประเทศ มีองค์การต่าง ๆ ที่ให้ความช่วยเหลือที่เป็นประโยชน์มาก ทั้งยังให้ข้อมูลและคำแนะนำเกี่ยวกับสภาพการณ์เฉพาะอย่างและวิธีรับมือกับสภาพการณ์เหล่านั้น. (แน่นอน คริสเตียนควรระวังเสมอที่จะไม่เข้าไปมีส่วนในกิจกรรมซึ่งจะเบนเราออกจากงานรับใช้ในฝ่ายคริสเตียนแท้.) บางครั้ง ความช่วยเหลืออาจมาในรูปของการให้ยืมเตียงคนไข้, เครื่องช่วยเดิน, ปลอกเหล็กสำหรับขา, เก้าอี้เข็น, เครื่องช่วยฟัง, และอื่น ๆ. เนื่องจากคนสูงอายุหลายคนรู้สึกว่าตนไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งเหล่านี้ หรือไม่คุ้มที่จะหาของใหม่เหล่านั้นมา ญาติจึงมักต้องให้คำแนะนำที่อาศัยเหตุผล หรือถึงกับต้องใช้วิธีโน้มน้าว. ลูกบิดประตูสำหรับห้องน้ำซึ่งมีประโยชน์ในการใช้สอยอาจทำให้มีความชื่นชมยินดีอย่างแท้จริงยิ่งกว่าดอกไม้สักช่อหนึ่ง.
การดูแลคนสูงอายุอาจก่อให้เกิดความเครียดได้มาก โดยเฉพาะถ้าบุคคลนั้นเป็นโรคคนชรา ซึ่งเป็นโรคที่มักจะมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว. คนเราสามารถป้องกันโรคนี้ได้ ด้วยการไม่ปล่อยให้คนไข้อยู่นิ่งเฉยโดยไม่จำเป็น. ผู้ที่เป็นโรคชราอาจจู่ ๆ ก็อารมณ์เสียกับคนที่เขาเคยผูกพันรักชอบมาก. ญาติ ๆ ต้องตระหนักว่าคนสูงอายุอาจถึงกับลืมทุกสิ่งเกี่ยวกับความจริงก็ได้—ซึ่งเป็นผลอันน่าเศร้าของสุขภาพที่เสื่อมโทรมลง ไม่ใช่เครื่องบ่งชี้ถึงการขาดความเชื่อ.
หากคนไข้อยู่ในโรงพยาบาลหรือบ้านพักคนชรา ความสัมพันธ์อย่างดีกับบุคลากรที่นั่นเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่นั่นทราบว่าควรจะทำอย่างไรในเรื่องวันเกิด, วันคริสต์มาส, หรือวันหยุดอื่น ๆ ทางโลก. หากจำเป็นต้องผ่าตัด ญาติสามารถอธิบายพร้อมทั้งให้เอกสารที่แสดงถึงทัศนะของคนไข้ในเรื่องการถ่ายเลือด.