วิธีที่คริสเตียนจะช่วยผู้สูงอายุได้
“เราจึงไม่ย่อท้อ, ถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป, ใจภายในนั้นก็ยังจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน ๆ . . . . ด้วยว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่แลเห็นอยู่, แต่เห็นแก่สิ่งของที่แลไม่เห็น. เพราะว่าสิ่งของซึ่งแลเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งแลไม่เห็นนั้นก็ถาวรอยู่นิรันดร์.” อัครสาวกเปาโลได้กล่าวไว้เช่นนี้ในจดหมายฉบับที่สองของท่าน ซึ่งมีไปถึงพี่น้องชาวโกรินโธ.—2 โกรินโธ 4:16-18.
ในโบราณกาล ชายหญิงที่มีความเชื่อจดจ่ออยู่กับสิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งรวมถึงทุกสิ่งที่พระยะโฮวา พระเจ้าของเขาทรงสัญญาว่าจะทำในเวลากำหนดของพระองค์. ในพระธรรมเฮ็บราย เปาโลยกย่องคนเหล่านั้นที่รักษาความเชื่อของตนจนถึงความตาย—และบางคนในคนเหล่านั้นก็มีชีวิตจนถึงแก่เฒ่า. ท่านชี้ถึงพวกเขาว่าเป็นแบบอย่างสำหรับเรา โดยกล่าวว่า “คนเหล่านั้นได้ตายไปในระหว่างที่เชื่ออยู่, ยังไม่ได้รับผลตามที่ทรงสัญญาไว้นั้น, แต่แลเห็นและยินดีต้อนรับไว้แต่ไกล.”—เฮ็บราย 11:13.
ทุกวันนี้เราใกล้จะได้เห็นความสำเร็จเป็นจริงของคำสัญญาเหล่านี้เต็มที. แต่เรามีผู้ที่เจ็บป่วยและสูงอายุอยู่ท่ามกลางพวกเรา ซึ่งรู้สึกไม่แน่ใจว่าจะทันได้เห็นอวสานของระบบชั่วนี้ด้วยตนเอง. บางคนในคนเหล่านี้ก็เช่นกัน อาจจะตายในความเชื่อโดยไม่ได้เห็นคำสัญญาทั้งหมดเป็นจริงในช่วงชีวิตปัจจุบันของตน. สำหรับคนเหล่านั้นแล้ว คำกล่าวของเปาโลที่ 2 โกรินโธ 4:16-18 อาจเป็นการหนุนใจอย่างยิ่ง.
พระยะโฮวาทรงระลึกถึงทุกคนที่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ รวมทั้งผู้ที่เจ็บป่วยและผู้สูงอายุ. (เฮ็บราย 6:10) มีการกล่าวยกย่องผู้สูงอายุที่ซื่อสัตย์หลายแห่งในคัมภีร์ไบเบิล และในพระบัญญัติของโมเซมีการกล่าวเป็นพิเศษถึงการให้เกียรติแก่ผู้สูงอายุ. (เลวีติโก 19:32; บทเพลงสรรเสริญ 92:12-15; สุภาษิต 16:31) ท่ามกลางคริสเตียนในสมัยแรก ผู้สูงอายุได้รับการปฏิบัติด้วยความนับถือ. (1 ติโมเธียว 5:1-3; 1 เปโตร 5:5) พระธรรมเล่มหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิลมีคำพรรณนาอย่างไพเราะถึงการดูแลเอาใจใส่ด้วยความรักและการเสียสละตนเองอย่างน่าซาบซึ้งที่สตรีผู้หนึ่งมีต่อมารดาสูงอายุของสามี. เหมาะที่พระธรรมเล่มนี้ใช้ชื่อของสตรีผู้นี้คือประวัตินางรูธ.
ผู้ช่วยที่เต็มด้วยความรัก
ชีวิตช่างขมขื่นสำหรับนางนาอะมีผู้ชรา. ทุพภิกขภัยบังคับให้เธอ พร้อมด้วยครอบครัวเล็ก ๆ ของเธอ ต้องทิ้งมิตรสหายและมรดกไว้ในยูดา แล้วไปอาศัยอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำยาระเดนในแผ่นดินโมอาบ. ที่นี่เอง สามีของนางนาอะมีเสียชีวิต ทิ้งให้เธออยู่กับบุตรชายสองคน. ในที่สุด บุตรทั้งสองเติบโตขึ้นและแต่งงาน แต่แล้วก็เสียชีวิตอีกเช่นกัน. นางนาอะมีไม่เหลือทายาทที่จะดูแลเอาใจใส่นาง.
เธอแก่เกินกว่าจะเริ่มต้นการมีครอบครัวใหม่ และดูเหมือนว่าไม่มีอะไรให้หวังมากนักในชีวิต. โดยไม่เห็นแก่ตัว เธอต้องการส่งนางรูธและนางอะระฟา ภรรยาม่ายของบุตรชายทั้งสองของนางกลับไปยังบ้านมารดาของเขา เพื่อว่านางทั้งสองจะได้หาสามีใหม่สำหรับตนเอง. ส่วนเธอจะกลับไปยังถิ่นกำเนิดของเธอตามลำพัง. ทุกวันนี้ก็เช่นกัน ผู้สูงอายุบางคนรู้สึกซึมเศร้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้สูญเสียผู้ซึ่งเป็นที่รักไปในความตาย. เช่นเดียวกับนางนาอะมี พวกเขาอาจต้องการใครสักคนที่จะมาดูแลเอาใจใส่ตน แต่ไม่ต้องการเป็นภาระแก่ผู้ใด.
อย่างไรก็ตาม นางรูธไม่ยอมละทิ้งมารดาของสามี. เธอรักสตรีสูงวัยผู้นี้ และรักพระยะโฮวา พระเจ้าที่นางนาอะมีนมัสการ. (รูธ 1:16) ดังนั้น เขาทั้งสองจึงออกเดินทางด้วยกันกลับไปยังยูดา. ในดินแดนนั้น มีการจัดเตรียมด้วยความรักภายใต้พระบัญญัติของพระยะโฮวา ที่ผู้ยากไร้สามารถเก็บหรือรวบรวมสิ่งที่เหลืออยู่ในนาหลังจากมีการเก็บเกี่ยวแล้ว. นางรูธ ซึ่งอ่อนวัยกว่า เต็มใจเสนอตัวที่จะทำงานนี้โดยกล่าวว่า “ขอให้ฉันไปทุ่งนา.” เธอทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อผลประโยชน์ของเขาทั้งสอง.—ประวัตินางรูธ 2:2, 17, 18.
ความซื่อสัตย์และความรักของนางรูธที่มีต่อพระยะโฮวานั้นเป็นการหนุนใจอย่างแรงกล้าต่อนางนาอะมี ซึ่งเริ่มคิดในเชิงก่อและสร้างสรรค์. การที่นางรู้เกี่ยวกับพระบัญญัติและขนบประเพณีของบ้านเมืองเป็นประโยชน์ในเวลานี้. นางให้คำแนะนำอันชาญฉลาดแก่ผู้ช่วยที่เต็มด้วยความรักของนาง เพื่อว่าหญิงที่อ่อนวัยกว่า อาจได้มรดกของครอบครัวกลับคืนมา และอาจมีบุตรชายสืบสกุลต่อไปโดยการสมรสกับพี่น้องของสามีที่เสียชีวิตไป. (ประวัตินางรูธ บท 3) นางรูธเป็นแบบอย่างอันดีสำหรับคนเหล่านั้นที่เสียสละเพื่อดูแลคนเจ็บป่วยหรือสูงอายุ. (ประวัตินางรูธ 2:10-12) ภายในประชาคมทุกวันนี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะทำได้ในลักษณะเดียวกัน เพื่อช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยและผู้สูงอายุ. ด้วยวิธีใด?
การจัดให้เป็นระเบียบเป็นสิ่งสำคัญ
ในประชาคมคริสเตียนสมัยแรก มีการเก็บรายชื่อของหญิงม่ายซึ่งจำต้องได้รับความช่วยเหลือทางด้านวัตถุ. (1 ติโมเธียว 5:9, 10) ในทำนองเดียวกัน ทุกวันนี้ ในบางกรณี ผู้ปกครองอาจทำรายชื่อของผู้ที่เจ็บป่วยและสูงอายุ ซึ่งต้องได้รับความเอาใจใส่เป็นพิเศษ. ในบางประชาคม ได้มีการขอให้ผู้ปกครองคนหนึ่งเอาใจใส่เรื่องนี้ เป็นหน้าที่รับผิดชอบพิเศษของเขา. เนื่องจากผู้สูงอายุหลายคนเหมือนนางนาอะมี ไม่อยากขอความช่วยเหลือ ผู้ปกครองคนนั้นจำต้องช่ำชองในการวิเคราะห์สถานการณ์และ—ด้วยวิธีที่ผ่อนหนักผ่อนเบาและสุขุม—ทำให้แน่ใจว่ามีการทำสิ่งที่จำเป็นต่าง ๆ. ยกตัวอย่าง เช่น เขาอาจดูว่าหอประชุมมีการเตรียมการเพียงพอหรือไม่สำหรับผู้ป่วยและผู้สูงอายุ. หากเป็นไปได้ เขาอาจพิจารณาในเรื่องต่าง ๆ เช่น ทางลาดสำหรับเก้าอี้เข็น, อุปกรณ์ที่เหมาะสมในห้องน้ำ, หูฟังสำหรับผู้ที่หูตึง, และบริเวณสำหรับที่นั่งพิเศษ. ผู้ปกครองคนนี้ยังอาจตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกคนที่ไม่สามารถมายังหอประชุมสามารถขอยืมเทปบันทึกการประชุม หรือฟังการประชุมโดยผ่านการเชื่อมต่อทางโทรศัพท์ได้.
นอกจากนี้ ยังอาจมีความจำเป็นต้องจัดให้มีการรับส่งมายังการประชุมประจำสัปดาห์และการประชุมใหญ่. พี่น้องหญิงสูงอายุคนหนึ่งมีปัญหา เนื่องจากผู้ที่พาเธอมายังการประชุมเป็นประจำเกิดไม่ว่าง. เธอต้องโทรศัพท์ไปหาหลายต่อหลายคนก่อนที่จะได้คนอาสารับส่งเธอในที่สุด และยังผลให้เธอรู้สึกว่าตนเป็นภาระ. หากมีการปรึกษากับผู้ปกครองที่ดูแลเรื่องเหล่านั้นทั้งหมดก็คงจะไม่ทำให้เธอยุ่งยากใจเช่นนั้น.
ผู้ปกครองคนนั้นยังอาจถามครอบครัวต่าง ๆ ว่าจะผลัดกันไปเยี่ยมเยียนผู้สูงอายุได้หรือไม่. ด้วยวิธีนี้ บุตรจะเรียนรู้ว่าการเอาใจใส่ผู้สูงอายุเป็นส่วนของชีวิตคริสเตียน. เป็นการดีสำหรับบุตรที่จะเรียนรู้การแบกรับหน้าที่รับผิดชอบนี้. (1 ติโมเธียว 5:4) ผู้ดูแลหมวดคนหนึ่งกล่าวว่า “ในประสบการณ์ของผม มีเด็กหรือผู้เยาว์เพียงไม่กี่คน ที่เป็นฝ่ายริเริ่มไปเยี่ยมผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยเอง.” พวกเขาอาจไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น หรืออาจรู้สึกไม่มั่นใจว่าจะต้องทำหรือพูดอะไร บิดามารดาสอนบุตรของตนในเรื่องนี้ได้.
อย่างไรก็ตาม โปรดจำไว้ว่า ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะหยั่งรู้คุณค่าที่ได้ทราบล่วงหน้าว่าจะมีพี่น้องมา. การทำเช่นนี้ช่วยให้พวกเขามีความชื่นชมยินดีเพิ่มขึ้นในการรอคอยผู้มาเยี่ยม. หากแขกนำอาหารว่าง อย่างเช่น กาแฟหรือเค้ก แล้วรีบทำความสะอาดหลังจากนั้น ก็จะไม่เป็นภาระยุ่งยากสำหรับผู้สูงอายุนั้น. ผู้สูงอายุคู่หนึ่ง ซึ่งยังคงกระฉับกระเฉงมาก ได้จัดวันหนึ่งไว้เป็นประจำในแต่ละสัปดาห์ ที่จะจัดตะกร้าปิกนิกใบเล็ก ๆ แล้วเริ่มออกเยี่ยมผู้สูงอายุต่าง ๆ ในประชาคม. การเยี่ยมของเขาทั้งสองเป็นที่หยั่งรู้คุณค่ามาก.
เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้สูงอายุ หลายประชาคมได้จัดการศึกษาหนังสือประจำประชาคมในตอนกลางวัน. ในที่หนึ่งมีการทาบทามบางครอบครัวและผู้ประกาศซึ่งเป็นคนโสดว่าจะยินดีและสามารถสนับสนุนกลุ่มเช่นนั้นหรือไม่ และผลปรากฏว่ากลุ่มการศึกษาหนังสือกลุ่มหนึ่งซึ่งมีผู้สูงอายุและผู้ที่อ่อนวัยสามารถเอาใจใส่กันและกันได้.
ไม่ควรปล่อยให้ผู้ปกครองเป็นฝ่ายริเริ่มในเรื่องเช่นนี้แต่ฝ่ายเดียว. เราทุกคนต้องตระหนักถึงความต้องการของผู้ป่วยและผู้สูงอายุ. เราสามารถทักทายพวกเขาในหอประชุม และใช้เวลาพูดคุยด้วย. พวกเขาอาจยินดีที่ได้รับเชิญให้ร่วมสังสรรค์อย่างเป็นกันเอง. หรือเราอาจเชิญพวกเขาให้ไปปิกนิกหรือกระทั่งไปพักร้อนร่วมกับเรา. พยานฯคนหนึ่งมักพาผู้ประกาศสูงอายุไปในรถยนต์กับเขา เมื่อไปธุระนอกเมือง. เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าพวกเขามีส่วนอยู่ด้วยเสมอในเรื่องต่าง ๆ. อย่าปล่อยให้พวกเขาแยกตัวอยู่ต่างหาก ดังที่นางนาอะมีมีแนวโน้มที่จะทำเช่นนั้น ซึ่งจะเป็นการเร่งขบวนการของโรคชราให้มาถึงเร็วขึ้น.
เยาวชนที่พิการหรือป่วยก็จำต้องได้รับการเอาใจใส่เช่นกัน. พยานฯคนหนึ่งซึ่งมีบุตรชายสามคนซึ่งป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่ได้ ซึ่งสองคนในจำนวนนั้นได้เสียชีวิตไปแล้วนั้นได้กล่าวว่า “อาจเป็นการยากสำหรับประชาคม ที่จะแสดงการเอาใส่ใจอย่างต่อเนื่องเมื่อมีผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง. เหตุใดจึงไม่มอบหมายให้ผู้ประกาศหนุ่มสาวบางคนที่ไว้ใจได้ อธิบายข้อพระคัมภีร์ประจำวัน และอ่านคัมภีร์ไบเบิลวันละบทกับเพื่อนที่นอนป่วยอยู่? พยานฯหนุ่มสาว รวมทั้งไพโอเนียร์ด้วย อาจผลัดกันทำเช่นนี้ได้.”
เมื่อดูเหมือนหนีความตายไม่พ้น
ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาเผชิญความตายอย่างกล้าหาญเสมอมา ไม่ว่าจะเนื่องจากความเจ็บป่วยหรือการกดขี่ข่มเหง. เมื่อผู้ป่วยเริ่มรู้สึกว่าความตายอาจใกล้เข้ามา เป็นธรรมดาอยู่เองที่พวกเขาจะมีอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ นานา. หลังจากเขาเสียชีวิต ญาติ ๆ ก็เช่นกัน จะต้องผ่านช่วงเวลาของการปรับตัว, ความเศร้าโศก, และการยอมรับ. ดังนั้น จึงมักเป็นการดีสำหรับผู้ป่วยที่จะพูดอย่างเปิดเผยถึงความตาย เหมือนอย่างที่ยาโคบ, ดาวิด, และเปาโลได้กระทำ.—เยเนซิศ บท 48 และ 49; 1 กษัตริย์ 2:1-10; 2 ติโมเธียว 4:6-8.
พยานฯคนหนึ่งซึ่งเป็นแพทย์เขียนว่า “เราต้องเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องนี้. ในอาชีพการงานของผม ๆ ไม่เคยพบเลยว่า ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นแก่คนไข้ในการปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่าเขาหรือเธอป่วยด้วยโรคที่รักษาไม่ได้.” กระนั้น เราจำต้องเข้าใจว่าคนไข้เองต้องการรู้อะไร, และเขาต้องการรู้สิ่งนี้เมื่อไร. คนไข้บางคนบอกอย่างชัดเจนว่าตนรู้ตัวว่าใกล้จะตายแล้ว และต้องการพูดถึงความคิดและความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งนี้. คนอื่น ๆ ดูเหมือนว่ายืนกรานที่จะหวัง และเพื่อน ๆ ของเขาก็ควรที่จะหวังไปพร้อมกับพวกเขาด้วย.—เทียบกับโรม 12:12-15.
ผู้ที่ใกล้จะเสียชีวิตอาจเหนื่อยอ่อนหรือสับสนจนยากสำหรับเขาที่จะอธิษฐาน. ผู้ป่วยเช่นนั้นอาจจะได้รับการปลอบประโลม เมื่อทราบจากโรม 8:26, 27 ที่ว่าพระเจ้าทรงเข้าพระทัยถึง “ความคร่ำครวญซึ่งเหลือที่จะอธิบายได้.” พระยะโฮวาทรงทราบว่า ภายใต้ความตึงเครียดเช่นนั้น อาจเป็นการยากที่จะสรรหาถ้อยคำมาอธิษฐาน.
เมื่อเป็นไปได้ เป็นสิ่งสำคัญที่จะอธิษฐานกับผู้ป่วย. พี่น้องชายคนหนึ่งเล่าว่า “เมื่อคุณแม่ของผมใกล้จะเสีย และไม่มีแรงที่จะพูดอีกต่อไป ท่านแสดงให้รู้โดยประสานมือของเธอเพื่อบอกว่าท่านต้องการให้เราอธิษฐานกับเธอ. หลังจากคำอธิษฐาน เราร้องเพลงราชอาณาจักรเพลงหนึ่ง เพราะคุณแม่ชอบดนตรีมาก. ตอนแรก เราฮัมแค่ทำนอง แล้วจากนั้น จึงร้องเนื้อเพลงเบา ๆ. เห็นได้ชัดว่าเธอได้รับความเพลิดเพลิน. ไม่ต้องสงสัย เพลงเหล่านี้ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับชีวิตของเราในฐานะพยานพระยะโฮวานั้นแสดงถึงความรู้สึกซึ่งอาจจะยากที่จะแสดงออกด้วยวิธีอื่น.”
การพูดกับบุคคลซึ่งใกล้จะเสียชีวิตจำต้องมีความรัก, ความผ่อนหนักผ่อนเบา, และความเห็นอกเห็นใจ. ผู้ที่มาเยี่ยมอาจเตรียมเรื่องราวที่เสริมสร้างและเสริมความเชื่อให้เข้มแข็ง ทั้งควรระวังที่จะหลีกเลี่ยงการพูดในแง่ลบเกี่ยวกับผู้อื่นและปัญหาของผู้อื่น. นอกจากนี้ ควรปรับช่วงเวลาของการเยี่ยมให้พอเหมาะพอควร. หากดูเหมือนว่าผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว เป็นการดีที่จะพึงจดจำไว้ว่า เขาอาจจะยังได้ยินว่าพูดอะไรกัน. ฉะนั้น ควรระวังในสิ่งที่คุณพูด.
ความรับผิดชอบร่วมกัน
การดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุเป็นหน้าที่รับผิดชอบที่หนัก. สำหรับผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยมากที่สุด เป็นการเรียกร้องทั้งทางกายภาพและทางอารมณ์. พวกเขาต้องการความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งพวกเขาสมควรจะได้ และต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ ในประชาคม. คนเหล่านั้นที่ดูแลสมาชิกที่ป่วยในครอบครัวหรือเพื่อนร่วมความเชื่อกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะหมายความว่าพวกเขาต้องขาดการประชุมในบางครั้ง หรือการมีส่วนร่วมในงานประกาศลดน้อยลงชั่วระยะหนึ่งก็ตาม. (เทียบกับ 1 ติโมเธียว 5:8.) พวกเขาจะได้รับการเสริมกำลังจากท่าทีที่เห็นอกเห็นใจของพี่น้องในประชาคม. บางครั้ง พี่น้องชายหรือหญิงอาจรับที่จะดูแลแทนชั่วครั้งชั่วคราว เพื่อให้ผู้ที่ดูแลเป็นประจำไปประชุม หรือได้รับความสดชื่นสักสองสามชั่วโมงในงานประกาศ.
แน่นอน หากตัวคุณเองเป็นผู้ป่วย มีบางสิ่งบางอย่างที่คุณจะทำได้เช่นกัน. ความหมดหวังสิ้นท่าเกี่ยวกับความทุพพลภาพอาจทำให้คุณรู้สึกขมขื่น แต่ความขมขื่นจะทำให้คนเราแยกตัวจากผู้อื่น ซ้ำยังทำให้ผู้อื่นผละหนี. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น คุณควรพยายามแสดงความหยั่งรู้คุณค่าและให้ความร่วมมือ. (1 เธซะโลนิเก 5:18) อธิษฐานเผื่อผู้อื่นที่เจ็บป่วย. (โกโลซาย 4:12) คิดรำพึงถึงความจริงอันยอดเยี่ยมในคัมภีร์ไบเบิล และพูดถึงความจริงนี้กับผู้มาเยี่ยม. (บทเพลงสรรเสริญ 71:17, 18) ติดตามอย่างกระตือรือร้นถึงความก้าวหน้าของพลไพร่ของพระเจ้า ซึ่งเสริมสร้างความเชื่อ. (บทเพลงสรรเสริญ 48:12-14) ขอบคุณพระยะโฮวาสำหรับความก้าวหน้าที่น่ายินดีเหล่านี้. การคิดรำพึงถึงสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่กำลังจะตกซึ่งฉายแสงที่ส่องไปได้ลึกกว่าและเป็นแสงที่นุ่มนวลกว่าดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวันนั้น ทำให้ช่วงชีวิตในบั้นปลายมีความงดงามในตัวเอง.
เราทุกคนควรเพียรพยายามที่จะรักษาความหวังซึ่งปกป้องจิตใจของเราไว้ดุจหมวกเกราะโดยเฉพาะในสมัยที่มีความยากลำบาก. (1 เธซะโลนิเก 5:8) นับว่าดีที่จะคิดรำพึงถึงความหวังของการกลับเป็นขึ้นจากตายและรากฐานอันแข็งแรงของความหวังนั้น. เราสามารถมองไปข้างหน้าด้วยความเชื่อมั่นและการคาดหวังด้วยใจจดจ่อถึงเวลาที่จะไม่มีความเจ็บป่วยและความอ่อนแอเนื่องจากความชราอีกต่อไป. แล้วทุกคนจะมีสุขภาพดี. แม้แต่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก็จะกลับมีชีวิตอีก. (โยฮัน 5:28, 29) เราเห็น “สิ่งของที่แลไม่เห็น” เหล่านี้ด้วยตาแห่งความเชื่อและหัวใจของเรา. อย่าปล่อยให้ความหวังเหล่านี้หลุดลอยไป.—ยะซายา 25:8; 33:24; วิวรณ์ 21:3, 4.