ความรัก (อะกาเป)—หมายถึงและไม่หมายถึงสิ่งใด
“จงเพิ่มความรักชอบฉันพี่น้องด้วยความรัก.”—2 เปโตร 1:5, 7, ล.ม.
1. (ก) คุณลักษณะใดที่คัมภีร์ไบเบิลให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก? (ข) คำภาษากรีกสี่คำอะไรซึ่งมักจะแปลว่า “ความรัก” และคำไหนที่ 1 โยฮัน 4:8 อ้างถึง?
หากจะมีคุณลักษณะหรือคุณความดีอย่างใดอย่างหนึ่งที่คัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระเจ้าให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก สิ่งนั้นได้แก่ความรัก. ภาษากรีก ภาษาเดิมของคัมภีร์คริสเตียน มีอยู่สี่คำซึ่งมักจะแปลเป็น “ความรัก.” ความรักที่เรากำลังพิจารณาในตอนนี้ไม่ใช่เอรอส (คำนี้ไม่มีปรากฏในคัมภีร์ภาคภาษากรีก) ซึ่งเป็นความรักที่เกิดจากการต้องตาต้องใจด้านเพศ; และก็ไม่ใช่สตอร์เจ อันหมายถึงความรู้สึกที่เกิดจากความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด; และก็ไม่ใช่ฟิเลีย ความรักฉันมิตรที่อบอุ่นซึ่งเกิดจากการรักและเทิดทูนกันมาก อย่างที่ได้พิจารณาในบทความก่อน. แต่เป็นอะกาเป—ความรักที่อาศัยหลักการ ซึ่งกล่าวได้ว่ามีความหมายตรงกันกับการไม่เห็นแก่ตัว เป็นความรักที่อัครสาวกโยฮันอ้างถึงเมื่อท่านบอกว่า “พระเจ้าเป็นความรัก.”—1 โยฮัน 4:8.
2. ได้มีการพูดอะไรไว้เป็นอย่างดีเกี่ยวกับความรัก (อะกาเป)?
2 เกี่ยวกับความรักนี้ (อะกาเป) ศาสตราจารย์วิลเลียม บาร์กเลย์ พูดไว้ในหนังสือคำในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ใหม่ (ภาษาอังกฤษ) ว่า “อะกาเป เกี่ยวข้องกับจิตใจ หาใช่เป็นแค่อารมณ์พลุ่งขึ้นภายในหัวใจโดยไม่รู้ตัว [อาจเป็นเช่นกรณีฟิเลีย] มันเป็นหลักการซึ่งเราจงใจดำเนินชีวิตอย่างนั้น. อะกาเป นั้นในอันดับแรกเกี่ยวข้องกับเจตจำนง. เป็นชัยชนะ และการสัมฤทธิ์ผล. ปกติแล้ว ไม่มีใครนึกรักศัตรูของตัวเอง. ที่จะรักศัตรูของตนถือว่าผู้นั้นชนะความโน้มเอียงและอารมณ์ตามธรรมชาติทุกอย่างของตน. อะกาเป นี้ . . . โดยแท้แล้วเป็นพลังที่จะรักสิ่งที่ไม่น่าจะรัก รักผู้คนที่เราไม่ชอบ.”
3. พระเยซูคริสต์และเปาโลได้เน้นอย่างไรในเรื่องความรัก?
3 ใช่แล้ว ในบรรดาการต่าง ๆ ซึ่งจำแนกการนมัสการบริสุทธิ์ของพระเจ้ายะโฮวาไว้ต่างหากจากการนมัสการรูปแบบอื่น ๆ ก็ได้แก่การเน้นเรื่องความรักชนิดนี้. พระเยซูคริสต์ทรงแถลงบัญญัติสำคัญยิ่งสองประการไว้อย่างถูกต้องดังนี้: “พระบัญญัติที่เป็นเอกเป็นใหญ่กว่าบัญญัติทั้งปวงนั้นคือว่า . . . ‘จงรักพระองค์ [พระยะโฮวา, ล.ม.] ผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตต์ของเจ้า, ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของเจ้า.’ และบัญญัติที่สองนั้นคือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง.’ พระบัญญัติอื่นที่ใหญ่กว่าพระบัญญัติทั้งสองนี้ไม่มี.” (มาระโก 12:29-31) อัครสาวกเปาโลได้กล่าวย้ำเรื่องความรักเช่นเดียวกันใน 1 โกรินโธบท 13. หลังจากได้เน้นว่าความรักเป็นคุณลักษณะเยี่ยมยอดอันจะขาดเสียไม่ได้ แล้วท่านก็กล่าวสรุปว่า “อย่างไรก็ตาม บัดนี้ยังคงมีความเชื่อ, ความหวัง, ความรัก, สามอย่างนี้; แต่ที่ใหญ่ที่สุดคือความรัก.” (1 โกรินโธ 13:13, ล.ม.) พระเยซูตรัสไว้ถูกต้องทีเดียวว่าความรักเป็นหลักฐานชี้ตัวสาวกของพระองค์.—โยฮัน 13:35.
ความรักไม่หมายถึงสิ่งใด
4. ที่พระธรรม 1 โกรินโธ 13:4-8 เปาโลพูดถึงความรักในด้านลบกี่ครั้งและในด้านบวกกี่ครั้ง?
4 เคยมีการอ้างว่าที่จะบอกว่าสิ่งซึ่งความรักไม่หมายถึงก็คงง่ายกว่าจะบอกว่าความรักหมายถึงสิ่งใด. มีความจริงอยู่บ้างในข้อนี้ เพราะที่ 1 โกรินโธ บท 13 ข้อ 4 ถึง 8 (ล.ม.) อัครสาวกเปาโลพูดเรื่องความรัก ท่านกล่าวไว้เก้าอย่างซึ่งความรักไม่หมายถึง และเจ็ดอย่างที่ความรักหมายถึง.
5. คำ “อิจฉาริษยาหวงแหน” ถูกนิยามอย่างไร และในคัมภีร์ไบเบิลได้มีการใช้คำนี้อย่างไรในด้านบวก?
5 สิ่งแรกที่เปาโลพูดว่าความรักไม่หมายถึงนั้นคือความรัก “ไม่อิจฉาริษยาหวงแหน.” คงต้องมีการชี้แจงบ้างเล็กน้อย เพราะความอิจฉาริษยาหวงแหนนี้มีทั้งแง่บวกและแง่ลบ. พจนานุกรมฉบับหนึ่งนิยามคำ “อิจฉาริษยาหวงแหน” ว่า “ไม่ยอมทนกับคู่แข่ง” และเป็น “การให้ความเลื่อมใสศรัทธาโดยเฉพาะ.” ด้วยเหตุนี้ โมเซจึงแถลงไว้ที่เอ็กโซโด 34:14 ว่า “ส่วนพวกเจ้าอย่าได้นมัสการพระอื่นเลย; เพราะพระยะโฮวาผู้ทรงนามว่าหวงแหน, เป็นพระเจ้าผู้หวงแหน.” ที่เอ็กโซโด 20:5 (ล.ม.) พระยะโฮวาตรัสว่า “เรา ยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า เป็นพระเจ้าที่เรียกร้องความเลื่อมใสโดยเฉพาะ.” ในลักษณะคล้ายกัน อัครสาวกเปาโลเขียนอย่างนี้: “ข้าพเจ้าหวงแหนท่านทั้งหลายตามอย่างความหวงแหนของพระเจ้า.”—2 โกรินโธ 11:2.
6. ตัวอย่างอะไรในคัมภีร์ไบเบิลที่แสดงว่าความรักไม่ใช่ความอิจฉาริษยา?
6 อย่างไรก็ดี ถ้ากล่าวโดยทั่วไปแล้ว “ความอิจฉาริษยา” มักจะส่อความหมายในแง่ไม่ดี เพราะคำนี้จัดรวมอยู่ในกิจการของเนื้อหนังอย่างที่กล่าวในฆะลาเตีย 5:20. ใช่แล้ว ความอิจฉาริษยาเป็นการเห็นแก่ตัวและฟักตัวเป็นความเกลียดชัง และความเกลียดชังนั้นตรงกันข้ามกับความรัก. ความอิจฉาเป็นเหตุทำให้คายินเกลียดเฮเบ็ลถึงกับลงมือฆ่าเขา และความอิจฉานี้เองที่ทำให้พี่ชายสิบคนต่างมารดาจงเกลียดจงชังโยเซฟถึงขนาดวางแผนสังหาร. ความรักย่อมไม่อิจฉาริษยาและเดียดฉันท์ผู้อื่นที่มั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติหรือมีข้อได้เปรียบ อย่างกษัตริย์อาฮาบอิจฉาและรู้สึกเดียดฉันท์นาโบธด้วยเรื่องสวนองุ่น.—1 กษัตริย์ 21:1-19.
7. (ก) เหตุการณ์อะไรแสดงว่าพระยะโฮวาไม่ทรงพอพระทัยการพูดโอ้อวด? (ข) เหตุใดความรักไม่อวดตัวแม้จะกระทำไปโดยไม่ทันคิด?
7 ต่อจากนั้นเปาโลบอกพวกเราว่าความรัก “ไม่อวดตัว.” การอวดตัวแสดงว่าไม่มีความรัก เพราะการอวดตัวนั้นทำให้คนเรายกตัวเองสูงกว่าผู้อื่น. พระยะโฮวาไม่ชอบพระทัยในคนอวดอ้างถือตัว ดังเห็นได้จากวิธีที่พระองค์ทรงทำให้ราชานะบูคัศเนซัรต่ำต้อยเมื่อเขาอวดตัว. (ดานิเอล 4:30-35) การอวดตัวมักจะกระทำไปโดยไม่คิด เพราะมัวแต่ทะนงตน พอใจที่ตัวเองบรรลุความสำเร็จหรือมีทรัพย์บริบูรณ์. บางคนอาจชอบพูดยกตนเกี่ยวกับความสำเร็จของตัวเองในงานรับใช้ฝ่ายคริสเตียน. คนอื่น ๆ เป็นเหมือนผู้ปกครองคนนั้นซึ่งอดใจไม่ไหวต้องพูดโทรศัพท์แจ้งเพื่อน ๆ ว่าเขาได้ซื้อรถยนต์คันใหม่ราคาร่วม 1,200,000 บาท. การทำเช่นนั้นทุกอย่างไม่ใช่การแสดงความรัก เพราะเป็นการแสดงภาพลักษณ์ของผู้โอ้อวดว่าเขาเหนือกว่าคนที่ฟังเขา.
8. (ก) ทัศนะของพระยะโฮวาเป็นเช่นไรต่อผู้ที่พองตัว? (ข) ทำไมความรักจึงไม่ประพฤติในแนวทางเช่นนั้น?
8 ครั้นแล้วเราได้รับการชี้แจงว่าความรัก “ไม่พองตัว.” ผู้ใดที่พองตัวหรือหยิ่งยโสโดยปราศจากความรักได้ชื่อเป็นคนยกตนข่มท่าน. ทัศนะทางใจเช่นนั้นไม่สุขุมเลย เพราะ “พระเจ้าทรงต่อต้านผู้ที่หยิ่งยโส แต่พระองค์ทรงประทานพระกรุณาอันไม่พึงได้รับแก่ผู้ที่ถ่อมใจ.” (ยาโกโบ 4:6, ล.ม.) ความรักกระทำในทางตรงกันข้าม ความรักจะคำนึงถึงผู้อื่นว่าดีกว่าตน. เปาโลเขียนไว้ในฟิลิปปอย 2:2, 3 ว่า: “ท่านทั้งหลายก็จงกระทำให้ความยินดีของข้าพเจ้าเต็มเปี่ยม, โดยที่ท่านมีใจคิดอย่างเดียวกัน, มีความรักอย่างเดียวกัน, มีใจรู้สึกและคิดพร้อมเพรียงกัน. คือไม่ทำประการใดในทางทุ่มเถียงกันหรืออวดดีไปเปล่า ๆ, แต่ให้ทุกคนมีใจถ่อมลงถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว.” ทัศนะทางใจดังกล่าวทำให้คนอื่นรู้สึกสบายใจ ขณะที่คนหยิ่งก่อความรู้สึกลำบากใจแก่ผู้อื่นเนื่องมาจากการชิงดีชิงเด่นกัน.
9. ทำไมความรักไม่ประพฤติหยาบโลน?
9 เปาโลกล่าวต่อไปว่าความรัก “ไม่ประพฤติหยาบโลน.” พจนานุกรมให้คำจำกัดความ “หยาบโลน” เป็น “ความไม่บังควรอย่างยิ่งหรือเป็นสิ่งน่ารังเกียจต่อธรรมเนียมและจริยธรรม.” บุคคลที่ประพฤติหยาบโลนแสดงการลบหลู่ความรู้สึกของผู้อื่น (อย่างขาดความรัก). คัมภีร์ฉบับแปลหลายฉบับแปลคำนี้จากภาษากรีกว่า “หยาบคาย.” คนแบบนี้หยามสิ่งใด ๆ ที่ถือว่าเป็นสิ่งเหมาะสมและดีงาม. แน่นอนว่า การคำนึงถึงผู้อื่นด้วยความรักจะทำให้เราหลีกเลี่ยงคำหยาบคายหรือสิ่งหยาบโลนทุกอย่าง สิ่งอันน่ารังเกียจและอาจเลวจนน่าตกตะลึง.
สิ่งอื่น ๆ ซึ่งความรักไม่ได้หมายถึง
10. ในทางใดบ้างที่ความรักไม่แสวงหาผลประโยชน์สำหรับตนเอง?
10 เราได้รับคำชี้แจงต่อจากนั้นว่า ความรัก “ไม่แสวงหาผลประโยชน์สำหรับตนเอง” นั้นคือเมื่อมีปัญหาในเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวของเราและของคนอื่นรวมอยู่ด้วย. อัครสาวกกล่าวไว้อีกที่หนึ่งว่า “ไม่มีชายคนใดเคยเกลียดชังเนื้อหนังของตนเอง; แต่เขาเลี้ยงดูและทะนุถนอมเนื้อหนังนั้น.” (เอเฟโซ 5:29, ล.ม.) อย่างไรก็ตาม เมื่อตกลงกันไม่ได้ในเรื่องผลประโยชน์ของเรากับอีกฝ่ายหนึ่ง และไม่มีหลักการอื่น ๆ ของคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวข้องด้วย เราควรกระทำดังที่อับราฮามทำต่อโลต โดยความรัก เรายอมทำตามใจเขา.—เยเนซิศ 13:8-11.
11. ที่ว่าความรักไม่ปล่อยตัวให้เกิดโทโสนั้นหมายความอย่างไร?
11 อนึ่ง ความรักไม่ใช่การโกรธเร็ว. ดังนั้น เปาโลได้กำชับเราว่าความรัก “ไม่ปล่อยตัวให้เกิดโทโส.” ความรักย่อมไม่โกรธง่าย. ความรักแสดงถึงการรู้จักบังคับตน. โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่สมรสพึงรับคำแนะนำนี้ใส่ใจ โดยไม่ขึ้นเสียง หรือพูดด้วยอารมณ์โกรธหรือตะโกนใส่หน้ากัน. มีสภาพการณ์หลายอย่างซึ่งทำให้บันดาลโทสะได้ง่าย ๆ ด้วยเหตุนี้ เปาโลตระหนักถึงความจำเป็นต้องเตือนติโมเธียวดังนี้: “ทาสขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่จำเป็นต้องต่อสู้ แต่จำเป็นต้องสุภาพต่อคนทั้งปวง มีคุณวุฒิที่จะสั่งสอน เหนี่ยวรั้งตัวไว้ภายใต้สภาพการณ์ที่ไม่ดี”—นั้นคือไม่ปล่อยตัวให้เกิดโทโส—“สั่งสอนคนที่มีแนวโน้มไม่ยินดีรับนั้นด้วยใจอ่อนโยน.”—2 ติโมเธียว 2:24, 25, ล.ม.
12. (ก) ในทางใดบ้างที่ว่าความรักไม่จดจำความเสียหาย? (ข) เหตุใดการจดจำความเสียหายจึงเป็นการกระทำที่ไม่สุขุม?
12 เพื่อดำเนินเรื่องต่อไปเกี่ยวกับสิ่งที่ความรักไม่หมายถึง เปาโลแนะนำดังนี้: “ความรักไม่จดจำความเสียหาย.” ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าความรักไม่ใส่ใจต่อความเสียหาย. พระเยซูได้สอนเราว่าควรปฏิบัติอย่างไรเมื่อเราเป็นฝ่ายเสียหายอย่างร้ายแรง. (มัดธาย 18:15-17) แต่ความรักไม่ยอมให้เราเก็บเอาความแค้นไว้และขุ่นเคืองอยู่เรื่อยไป. การไม่จดจำความเสียหายหมายถึงการให้อภัยและลืมเรื่องนั้นเสียเมื่อได้จัดการไปแล้วตามหลักพระคัมภีร์. ใช่แล้ว อย่าทรมานตัวเองหรือสร้างทุกข์ให้ตัวเองโดยคิดซ้ำซากเรื่องความผิดนั้น ซึ่งเป็นการจดจำความเสียหาย!
13. ไม่ยินดีในการอธรรมหมายถึงอะไร และเหตุใดความรักไม่ทำเช่นนั้น?
13 ยิ่งกว่านั้น เรารับคำชี้แจงว่าความรัก “ไม่ยินดีในการอธรรม.” โลกยินดีในการอธรรม ดังเห็นได้จากการที่ผู้คนนิยมหนังสือ, ภาพยนตร์, และรายการทีวีที่หนักไปในทางความรุนแรงและลามก. ความยินดีดังกล่าวทุกอย่างเป็นการเห็นแก่ตัว ไม่คำนึงถึงหลักการที่ชอบธรรมของพระเจ้า หรือความผาสุกของผู้อื่น. ความยินดีในทางเห็นแก่ตัวทุกอย่างดังกล่าวนั้นเป็นการหว่านลงในเนื้อหนัง และครั้นได้เวลาแล้ว ก็จะเกี่ยวเก็บผลอันเลวร้ายจากเนื้อหนังนั้น.—ฆะลาเตีย 6:8.
14. อาจกล่าวได้ด้วยความมั่นใจอย่างไรว่า ความรักไม่ล้มเหลว?
14 ถึงตอนนี้ สิ่งสุดท้ายซึ่งความรักไม่ได้หมายถึงคือ “ความรักไม่ล้มเหลวเลย.” ที่ว่าความรักไม่ล้มเหลวหรือเสื่อมสูญ เพราะว่าพระเจ้าเป็นความรัก และพระองค์ทรงเป็น “พระมหากษัตริย์แห่งนิรันดรกาล.” (1 ติโมเธียว 1:17) ที่โรม 8:38, 39 ให้คำรับรองแก่เราว่าความรักของพระยะโฮวาสำหรับพวกเรานั้นจะไม่ล้มเหลว: “ข้าพเจ้าเชื่อมั่นคงว่า, แม้ความตาย, หรือชีวิต, หรือทูตสวรรค์, หรือผู้มีบรรดาศักดิ์, หรือสิ่งซึ่งมีอยู่เดี๋ยวนี้, หรือสิ่งซึ่งจะเป็นมาภายหน้า, หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย, หรือความสูง, หรือความลึก, หรือสิ่งใด ๆ อื่นที่ทรงสร้างแล้ว, จะไม่อาจกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้าซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย.” อีกประการหนึ่ง ความรักไม่มีวันล้มเหลวเพราะไม่เคยปรากฏว่าขาดไปหรือมีไม่พอ. ความรักสามารถบรรลุข้อเรียกร้องต่าง ๆ ได้ทุกสถานการณ์, รับการท้าทายใด ๆ ได้.
สิ่งซึ่งความรักหมายถึง
15. ทำไมเปาโลจัดให้ความอดทนนานไว้เป็นอันดับแรกในแง่บวกของความรัก?
15 บัดนี้เรามาดูกันในด้านบวก สิ่งซึ่งความรักหมายถึง เปาโลเริ่มต้นดังนี้: “ความรักอดทนนาน.” เคยกล่าวกันว่าจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่ามิตรสัมพันธ์ระหว่างคริสเตียนหากปราศจากเสียซึ่งความอดทนนาน คือขาดความเพียรอดทนต่อกันและกัน. ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเราทุกคนเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ และคนอื่นต้องจำทนความไม่สมบูรณ์และข้อบกพร่องต่าง ๆ ของเรา. ไม่แปลกที่อัครสาวกเปาโลจัดแง่มุมนี้ขึ้นมาเป็นอันดับแรกว่าด้วยสิ่งที่ความรักหมายถึง!
16. สมาชิกครอบครัวจะแสดงความกรุณาต่อกันและกันด้วยวิธีใด?
16 เปาโลระบุว่า ความรักแสดง “ความกรุณา” ด้วย. นั่นคือความรักให้การเกื้อกูล, คิดถึงและเกรงใจผู้อื่น. ความกรุณาแสดงให้เห็นทั้งในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ และสิ่งใหญ่. ชาวซะมาเรียที่เอื้ออารีแสดงความกรุณาอย่างแท้จริงแก่ชายผู้ที่ถูกโจรดักปล้น. (ลูกา 10:30-37) ความรักยินดีจะพูดว่า “ขอ, กรุณา, โปรด.” ที่จะพูดว่า “ส่งอาหารมาซิ” เป็นคำสั่ง. ถ้าเพิ่มคำ “ขอ, หรือ กรุณา” ก็จะเป็นการขอร้อง. สามีจะปฏิบัติต่อภรรยาด้วยความกรุณาก็ต่อเมื่อเขาเชื่อฟังคำแนะนำที่ 1 เปโตร 3:7 (ล.ม.) ดังนี้: “ท่านทั้งหลายที่เป็นสามี จงอยู่กับเขาต่อ ๆ ไปในลักษณะเดียวกันตามความรู้ ให้เกียรติแก่เขาทั้งหลายเหมือนหนึ่งเป็นภาชนะที่อ่อนแอกว่า คือเพศหญิง เนื่องจากท่านทั้งหลายเป็นผู้รับมรดกความโปรดปรานอันไม่พึงได้รับแห่งชีวิตร่วมกับเขา เพื่อคำอธิษฐานของท่านจะไม่ถูกขัดขวาง.” ภรรยากรุณาสามีก็ต่อเมื่อเธอแสดง “ความนับถืออย่างสุดซึ้ง” ต่อเขา. (เอเฟโซ 5:33, ล.ม.) บิดากรุณาบุตรเมื่อเขาปฏิบัติตามคำแนะนำที่เอเฟโซ 6:4 (ล.ม.) ดังนี้: “ท่านทั้งหลายผู้เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของท่านให้ขัดเคืองใจ แต่จงอบรมเขาด้วยการตีสอนและการปรับความคิดจิตใจตามหลักการของพระยะโฮวา.”
17. ความรักยินดีกับความจริงในสองทางอะไรบ้าง?
17 ความรักไม่ยินดีในการอธรรม แต่ “ยินดีกับความจริง.” ความรักกับความจริงควบคู่กันเสมอ—พระเจ้าเป็นความรัก และขณะเดียวกัน พระองค์ก็ทรงเป็น “พระเจ้าแห่งความสัตย์จริง.” (บทเพลงสรรเสริญ 31:5) ความรักชื่นชมยินดีเมื่อเห็นความจริงมีชัยและเปิดโปงความเท็จ; เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีการเพิ่มทวีจำนวนผู้นมัสการพระยะโฮวาในเวลานี้อย่างมากมาย. อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความจริงตรงกันข้ามกับความอธรรม, จึงเห็นได้ว่าความรักย่อมยินดีกับความชอบธรรม. ความรักยินดีในชัยชนะของความชอบธรรม ดังที่เหล่าผู้นมัสการพระยะโฮวาได้รับคำสั่งให้แสดงความยินดีเมื่อบาบูโลนใหญ่ล่มจม.—วิวรณ์ 18:20.
18. ความรักทนรับเอาทุกสิ่งในแง่ไหน?
18 อนึ่ง เปาโลบอกพวกเราว่าความรัก “ทนรับเอาทุกสิ่ง.” คัมภีร์ฉบับแปล คิงดอม อินเตอร์ลิเนียร์ ให้แนวคิดว่าความรักปกปิดทุกอย่าง. ความรักไม่ ‘เปิดเผยข้อบกพร่อง’ ของพี่น้องอย่างที่คนชั่วมักจะทำ. (บทเพลงสรรเสริญ 50:20; สุภาษิต 10:12; 17:9) ใช่แล้ว แนวความคิด ณ ที่นี้เหมือนกับที่กล่าวใน 1 เปโตร 4:8 (ล.ม.) ว่า “ความรักปกปิดความผิดไว้มากมาย.” แต่แน่ละ ความภักดีคงจะไม่ยอมให้คนเราปกปิดความผิดที่ร้ายแรงต่อพระยะโฮวาและต่อประชาคมคริสเตียนไว้.
19. ความรักเชื่อทุกสิ่งในทางใด?
19 ความรัก “เชื่อทุกสิ่ง.” ความรักเป็นแง่บวก ไม่ใช่แง่ลบ. ทั้งนี้ไม่หมายความว่าความรักเป็นความงมงาย. ความรักไม่ด่วนเชื่อคำพูดที่ก่อความตื่นเต้น. แต่สำหรับผู้ที่เข้ามาเชื่อพระเจ้านั้น เขาต้องมีเจตนาจะเชื่อ. ดังนั้น ความรักจึงไม่คลางแคลงใจ วิพากษ์วิจารณ์เกินควร. ความรักไม่ต่อต้านความเชื่อศรัทธาเยี่ยงนักอเทวนิยม ผู้ซึ่งกล่าวอย่างดึงดันว่าไม่มีพระเจ้า หรือไม่เป็นอย่างพวกอไญยนิยม ซึ่งโดยการดันทุรังแล้วบอกว่ามันเป็นเรื่องเกินความเข้าใจที่จะรู้ต้นกำเนิดของมนุษย์, เหตุผลที่คนเราเกิดมาอยู่ในโลกและอนาคตจะเป็นอย่างไร. พระคำของพระเจ้ารับรองเราในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด. อนึ่ง ความรักพร้อมจะเชื่อเพราะมีความไว้วางใจกัน ไม่ระแวงสงสัยโดยไม่จำเป็น.
20. ความรักสัมพันธ์กับความหวังอย่างไร?
20 อัครสาวกเปาโลให้คำรับรองแก่พวกเราอีกว่าความรัก “หวังทุกสิ่ง.” เนื่องจากความรักเป็นในเชิงก่อ ไม่ใช่เชิงลบ ความรักมีความหวังจริง ๆ ในทุกสิ่งซึ่งได้สัญญาไว้ในพระคำของพระเจ้า. เราได้รับคำชี้แจงว่า “ให้คนที่ไถนาไถด้วยความหวังใจ, แล้วให้คนที่นวดข้าวนวดด้วยความหวังใจว่าจะได้ประโยชน์ตามที่เขาหวัง.” (1 โกรินโธ 9:10) ทั้งที่ความรักมีการไว้วางใจกัน ความรักยังมีความหวังใจอีกด้วย หวังจะประสบสิ่งดีที่สุดอยู่เสมอ.
21. มีคำรับรองอะไรในคัมภีร์ไบเบิลว่าความรักอดทนทุกสิ่ง?
21 ประการสุดท้าย เราได้รับคำรับรองให้แน่ใจว่าความรัก “อดทนทุกสิ่ง.” ความรักสามารถทำเช่นนั้น เพราะอัครสาวกเปาโลได้กำชับพวกเรา ดังปรากฏที่ 1 โกรินโธ 10:13 (ล.ม.) ว่า “ไม่มีการล่อใจใด ๆ มาถึงท่านทั้งหลายเว้นไว้แต่การล่อใจซึ่งมนุษย์เคยประสบมา. แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ และพระองค์จะไม่ทรงให้ท่านถูกล่อใจเกินที่ท่านจะทนได้ และเมื่อทรงยอมให้ท่านถูกล่อใจนั้น พระองค์จะจัดทางออกด้วย เพื่อว่าท่านจะสามารถทนได้.” เนื่องมาแต่ความรักนี้เอง เราจึงหมายเอาบรรดาผู้รับใช้ของพระเจ้าซึ่งได้อดทนเป็นตัวอย่าง ดังบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล องค์เอกในเรื่องนี้ได้แก่พระเยซูคริสต์ ตามที่กล่าวในเฮ็บราย 12:2, 3.
22. ในฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า เราพึงเป็นห่วงอยู่เสมอในการสำแดงคุณลักษณะเด่นยิ่งประการใดให้ปรากฏ?
22 จริงทีเดียว ความรัก (อะกาเป) เป็นคุณลักษณะเด่นยิ่งซึ่งพวกเราในฐานะคริสเตียนพยานพระยะโฮวาจำต้องพัฒนา ทั้งในสิ่งซึ่งความรักไม่หมายถึง และสิ่งซึ่งความรักหมายถึงด้วย. เนื่องจากพวกเราเป็นบุตรของพระเจ้า ขอให้เราคำนึงอยู่เสมอถึงการสำแดงผลแห่งพระวิญญาณให้ปรากฏ. ที่จะทำเช่นนั้นก็จงเป็นเหมือนพระเจ้า พึงจำไว้ว่า “พระเจ้าเป็นความรัก.”
คุณจำได้ไหม?
▫ พระเยซูคริสต์และเปาโลได้ชี้ลักษณะเด่นของความรักให้เห็นอย่างไร?
▫ ความรักไม่อิจฉาริษยาในแง่ไหน?
▫ ความรัก “ทนรับเอาทุกสิ่ง” อย่างไร?
▫ เหตุใดอาจกล่าวได้ว่าความรักไม่ล้มเหลวเลย?
▫ ความรักยินดีกับความจริงในสองทางอะไรบ้าง?
[กรอบหน้า 21]
ความรัก (อะกาเป)
ไม่หมายถึง หมายถึง
1. อิจฉาริษยาหวงแหน 1. อดทนนาน
2. อวดตัว 2. กรุณา
3. พองตัว 3. ยินดีกับความจริง
4. ประพฤติหยาบโลน 4. ทนรับเอาทุกสิ่ง
5. แสวงหาผลประโยชน์สำหรับตนเอง 5. เชื่อทุกสิ่ง
6. ปล่อยตัวให้เกิดโทโส 6. หวังทุกสิ่ง
7. จดจำความเสียหาย 7. อดทนทุกสิ่ง
8. ยินดีในการอธรรม
9. ล้มเหลว
[รูปภาพหน้า 18]
พระยะโฮวาทรงทำให้นะบูคัสเนซัรต่ำต้อยเพราะการอวดตัว