ผู้บำรุงเลี้ยงและฝูงแกะในระบอบของพระเจ้า
“พระยะโฮวาทรงเป็นผู้พิพากษาของเรา พระยะโฮวาทรงเป็นผู้บัญญัติกฎหมายของเรา พระยะโฮวาทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของเรา พระองค์เองจะช่วยเราให้รอด.”—ยะซายา 33:22, ล.ม. [ฉบับแปลเก่าข้อ 23.]
1. อาจกล่าวได้อย่างไรว่า คริสเตียนสมัยศตวรรษแรกและคริสเตียนสมัยนี้เป็นองค์การตามระบอบของพระเจ้า?
ระบอบของพระเจ้าหมายถึงการปกครองโดยพระเจ้า. ระบอบนี้รวมเอาการรับรองสิทธิอำนาจของพระยะโฮวาและปฏิบัติตามการชี้นำและคำสั่งสอนเมื่อเราตัดสินใจทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็กในชีวิต. ประชาคมศตวรรษแรกเป็นระบอบของพรเจ้าอย่างแท้จริง. คริสเตียนสมัยนั้นสามารถกล่าวด้วยความจริงใจว่า “พระยะโฮวาทรงเป็นผู้พิพากษาของเรา พระยะโฮวาทรงเป็นผู้บัญญัติกฎหมายของเรา พระยะโฮวาทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของเรา.” (ยะซายา 33:22, ล.ม., ฉบับแปลเก่าข้อ 23) โดยมีชนที่เหลือผู้ถูกเจิมเป็นแกนกลาง องค์การของพระเจ้ายะโฮวาเวลานี้จึงเป็นระบอบของพระองค์อย่างแท้จริงเช่นเดียวกัน.
เวลานี้เราอยู่ใต้ระบอบของพระเจ้าในทางใดบ้าง?
2. วิธีหนึ่งที่พยานพระยะโฮวายอมอยู่ใต้การปกครองของพระยะโฮวานั้นคืออะไร?
2 เราอาจกล่าวได้อย่างไรว่าองค์การของพระยะโฮวาทางแผ่นดินโลกเป็นระบอบของพระเจ้า? เพราะบรรดาผู้ที่ขึ้นอยู่กับองค์การนี้ยอมตัวอยู่ใต้การปกครองของพระยะโฮวา. และพวกเขาติดตามการทรงนำของพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระยะโฮวาได้ทรงสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์. เพื่อเป็นตัวอย่าง ในสมัยสุดท้าย พระบัญชาจากผู้ปกครององค์สูงสุดโดยตรงได้ถ่ายทอดถึงพระเยซูที่ว่า “จงยื่นเคียวของพระองค์และเกี่ยวไปเถิด เพราะว่าชั่วโมงเกี่ยวมาถึงแล้ว ด้วยว่าผลที่จะเก็บเกี่ยวของแผ่นดินโลกนั้นสุกเต็มที่แล้ว.” (วิวรณ์ 14:15, ล.ม.) พระเยซูเชื่อฟังและทรงดำเนินการเก็บเกี่ยวผลของแผ่นดินโลก. คริสเตียนสนับสนุนพระมหากษัตริย์ของตนกระทำงานใหญ่เช่นนี้อย่างกระตือรือร้นโดยทำการประกาศเผยแพร่ข่าวดีและทำให้คนเป็นสาวก. (มัดธาย 28:19; มาระโก 13:10; กิจการ 1:8) ด้วยการกระทำดังกล่าว พวกเขาก็เช่นกันได้เป็นผู้ร่วมงานกับพระยะโฮวา ผู้ปกครององค์สูงสุด.—1 โกรินโธ 3:9.
3. คริสเตียนยอมตัวอยู่ในระบอบของพระเจ้าอย่างไรในประเด็นทางด้านศีลธรรม?
3 ด้านการประพฤติก็เช่นกัน คริสเตียนยอมอยู่ใต้การปกครองของพระเจ้า. พระเยซูตรัสดังนี้: “ผู้ที่กระทำสิ่งซึ่งเป็นความจริงย่อมมาถึงความสว่าง เพื่อการของตนจะปรากฏว่าได้กระทำไปอย่างที่ประสานกันกับพระเจ้า.” (โยฮัน 3:21, ล.ม.) เวลานี้ มีการถกเถียงกันถึงมาตรฐานทางศีลธรรมอย่างไม่จบสิ้น แต่การโต้เถียงเหล่านี้ไม่มีในท่ามกลางชนคริสเตียน. สิ่งใดพระยะโฮวาตรัสว่าผิดศีลธรรม พวกเขาก็ถือว่าผิดศีลธรรม และหลีกเลี่ยงการประพฤติผิดศีลธรรมโดยสิ้นเชิง ประหนึ่งสิ่งนั้นเป็นโรคติดเชื้อที่เป็นอันตรายถึงตายทีเดียว! อนึ่ง พวกเขาเอาใจใส่ครอบครัวของตนเป็นอย่างดี เชื่อฟังบิดามารดา และยอมอยู่ในอำนาจของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง. (เอเฟโซ 5:3-5, 22-33; 6:1-4; 1 ติโมเธียว 5:8; ติโต 3:1) ดังนั้น พวกเขาประพฤติตนตามระบอบของพระเจ้า ประสานกับพระเจ้า.
4. อาดาม, ฮาวา, และกษัตริย์ซาอูลได้แสดงให้เห็นเจตคติที่ผิด ๆ ของตนอย่างไร และคริสเตียนแสดงเจตคติที่ต่างออกไปอย่างไร?
4 อาดามกับฮาวาได้สูญเสียอุทยานก็เพราะเขาต้องการตัดสินใจเอาเองว่าอะไรถูกอะไรผิด. พระเยซูต้องการในทางตรงกันข้าม. พระองค์ตรัสว่า “เรามิได้มุ่งที่จะทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่ตามความประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา.” คริสเตียนมุ่งแสวงอย่างเดียวกัน. (โยฮัน 5:30, ล.ม.; ลูกา 22:42; โรม 12:2; เฮ็บราย 10:7) ซาอูล กษัตริย์องค์แรกของชาติยิศราเอลได้เชื่อฟังพระยะโฮวาก็จริง แต่เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น. ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงปฏิเสธท่าน. ซามูเอลได้บอกท่านว่า “การเชื่อฟังก็ประเสริฐกว่าเครื่องบูชา, และการสดับฟังนั้นประเสริฐกว่ามันแกะตัวผู้อีก.” (1 ซามูเอล 15:22) การทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวาถึงขั้นหนึ่ง บางทีอาจมีส่วนทำงานเผยแพร่หรือเข้าร่วมประชุมเป็นประจำ ครั้นแล้วกลับอะลุ้มอล่วยในประเด็นต่าง ๆ ทางศีลธรรมหรือในทางใดทางหนึ่งนั้นจะถือว่าเป็นการกระทำตามระบอบของพระเจ้าไหม? ไม่ใช่แน่นอน! เราพยายาม ‘ทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าสิ้นสุดจิตวิญญาณ.’ (เอเฟโซ 6:6; 1 เปโตร 4:1, 2) ไม่เป็นอย่างซาอูล พวกเรายอมอยู่ในอำนาจการปกครองของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง.
ระบอบของพระเจ้าสมัยปัจจุบัน
5, 6. เวลานี้ พระยะโฮวาทรงปฏิบัติต่อมนุษย์อย่างไร และการร่วมมือกับวิธีจัดเตรียมเช่นนี้บังเกิดผลอะไร?
5 ในอดีต พระยะโฮวาทรงปกครองและเปิดเผยความจริงผ่านบุคคลต่าง ๆ เป็นต้นว่า ผู้พยากรณ์, กษัตริย์, และอัครสาวก. สมัยนี้ ไม่เป็นอย่างนั้น ไม่มีผู้พยากรณ์หรือพวกอัครสาวกที่รับการดลใจ. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระเยซูตรัสไว้ว่า ในระหว่างการประทับครองราชย์ พระองค์จะทรงระบุตัวคณะผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” และจะทรงแต่งตั้งคณะนั้นให้ดูแลทรัพย์ทั้งสิ้นของพระองค์. (มัดธาย 24:45-47; ยะซายา 43:10) ปี 1919 ทาสนี้ได้รับการระบุตัวว่าเป็นชนที่เหลือแห่งคริสเตียนผู้ถูกเจิม. นับแต่นั้นมา โดยมีคณะกรรมการปกครองเป็นตัวแทน ชนจำพวกทาสจึงเป็นแกนกลางแห่งระบอบของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก. คณะกรรมการปกครองมีกรรมการสาขา, ผู้ดูแลเดินทาง, และผู้ปกครองในประชาคมเป็นตัวแทนอยู่ทั่วโลก.
6 การร่วมมือกับองค์การตามระบอบของพระเจ้าเป็นส่วนสำคัญของการยอมอยู่ในอำนาจการปกครองของพระเจ้า. การร่วมมือดังกล่าวทำให้เกิดเอกภาพและระเบียบทั่วโลกใน “สังคมแห่งพี่น้องทั้งสิ้น.” (1 เปโตร 2:17, ล.ม.) สิ่งนี้ยังผลเป็นความยินดีในพระทัยพระยะโฮวา ผู้ซึ่ง “มิใช่พระเจ้าแห่งความยุ่งเหยิง แต่เป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข.”—1 โกรินโธ 14:33, ล.ม.
ผู้ปกครองในระบอบของพระเจ้า
7. เหตุใดจึงกล่าวได้ว่า บรรดาคริสเตียนผู้ปกครองได้รับการแต่งตั้งตามระบอบของพระเจ้า?
7 บรรดาผู้ปกครองที่รับการแต่งตั้ง ไม่ว่าเขามีฐานะหน้าที่อะไรก็ตาม ทุกคนต่างก็บรรลุคุณวุฒิตามที่กำหนดไว้ในคัมภีร์ไบเบิลว่าด้วยคุณสมบัติประการต่าง ๆ สำหรับตำแหน่งผู้ดูแลหรือผู้ปกครอง. (1 ติโมเธียว 3:1-7; ติโต 1:5-9) นอกจากนั้น คำกล่าวของเปาโลถึงพวกผู้ปกครองประชาคมเอเฟโซย่อมใช้ได้กับผู้ปกครองทุกคน: “จงเอาใจใส่ตัวของท่านและฝูงแกะทั้งสิ้นที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงแต่งตั้งท่านไว้เป็นผู้ดูแล เพื่อบำรุงเลี้ยงประชาคมของพระเจ้า.” (กิจการ 20:28, ล.ม.) ใช่แล้ว พวกผู้ปกครองได้รับการแต่งตั้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งมาจากพระเจ้ายะโฮวา. (โยฮัน 14:26) การแต่งตั้งพวกเขาเป็นไปตามระบอบของพระเจ้า. ยิ่งกว่านั้น เขาบำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้า. ฝูงแกะเป็นของพระยะโฮวา ไม่ใช่ของผู้ปกครอง. องค์การของพระเจ้าเป็นระบอบของพระเจ้า.
8. ความรับผิดชอบทั่ว ๆ ไปของผู้ปกครองสมัยนี้มีอะไรบ้าง?
8 ในจดหมายที่เขียนไปถึงประชาคมเอเฟโซนั้น อัครสาวกเปาโลได้กำหนดหน้าที่รับผิดชอบพื้นฐานของผู้ปกครอง โดยกล่าวว่า “พระองค์ได้ประทานบางคนให้เป็นอัครสาวก, ให้บางคนเป็นผู้พยากรณ์, ให้บางคนเป็นผู้เผยแพร่กิตติคุณ, ให้บางคนเป็นผู้บำรุงเลี้ยงและผู้สอน, โดยมุ่งหมายที่จะปรับผู้บริสุทธิ์ให้เข้าที่อีกเพื่องานรับใช้ เพื่อการก่อร่างสร้างพระกายของพระคริสต์.” (เอเฟโซ 4:11, 12, ล.ม.) บรรดาอัครสาวกและผู้พยากรณ์ได้ล่วงลับไปกับระยะแรกแห่ง “พระกายของพระคริสต์.” (เทียบกับ 1 โกรินโธ 13:8.) ทว่า ผู้ปกครองก็ยังคงหมกมุ่นขันแข็งในการเผยแพร่กิตติคุณ, การบำรุงเลี้ยง, และการสั่งสอน.—2 ติโมเธียว 4:2; ติโต 1:9.
9. ผู้ปกครองควรจะเตรียมตัวอย่างไรเพื่ออธิบายเกี่ยวกับพระทัยประสงค์ของพระเจ้าในประชาคม?
9 เนื่องจากระบอบของพระเจ้าเป็นการปกครองโดยพระเจ้า บรรดาผู้ปกครองที่มีประสิทธิภาพย่อมเข้าใจพระทัยประสงค์ของพระเจ้าเป็นอย่างดี. ยะโฮซูอะได้รับพระบัญชาให้อ่านกฎหมายทุกวัน. ผู้ปกครองก็เช่นกันจะต้องศึกษาและตรวจสอบพระคัมภีร์เป็นประจำและคุ้นเคยอย่างละเอียดถี่ถ้วนกับสรรพหนังสือด้านคัมภีร์ไบเบิลซึ่งทาสสัตย์ซื่อและสุขุมได้จัดพิมพ์ออกมา. (2 ติโมเธียว 3:14, 15) ทั้งนี้รวมเอาวารสารหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด! อีกทั้งหนังสืออื่น ๆ ที่ชี้ถึงวิธีใช้หลักการต่าง ๆ ของคัมภีร์ไบเบิลกับสภาพการณ์เฉพาะอย่าง.a อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ปกครองพึงรู้และติดตามการชี้นำที่พิมพ์ไว้ในหนังสือต่าง ๆ ของสมาคมว็อชเทาเวอร์ กระนั้น เขาควรจะรู้เป็นอย่างดีถึงหลักการต่าง ๆ ในพระคัมภีร์อันเป็นพื้นฐานแห่งการชี้นำนั้น. ครั้นแล้ว เขาจะอยู่ในฐานะที่สามารถใช้คำชี้นำจากพระคัมภีร์พร้อมด้วยความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจ.—เทียบกับมีคา 6:8.
ปฏิบัติด้วยน้ำใจคริสเตียน
10. เจตคติที่ไม่ดีเช่นไรซึ่งผู้ปกครองควรระวัง และด้วยวิธีใด?
10 ประมาณปีสากลศักราช 55 อัครสาวกเปาโลได้เขียนจดหมายฉบับแรกไปยังประชาคมโกรินโธ. ปัญหาหนึ่งที่ท่านต้องได้จัดการนั้นเกี่ยวข้องกับคนกลุ่มหนึ่งอยากเด่นดังในประชาคม. เปาโลเขียนอย่างนี้ “เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายอิ่มหนำบริบูรณ์แล้วหรือ ท่านทั้งหลายได้ขึ้นครองเมืองเหมือนอย่างกษัตริย์โดยมิต้องอาศัยเราหรือ เรามีความปรารถนาให้ท่านทั้งหลายได้ขึ้นครองเมืองจริง ๆ, เพื่อเราจะได้ขึ้นครองด้วยกันกับท่าน.” (1 โกรินโธ 4:8) ในศตวรรษแรกแห่งสากลศักราช คริสเตียนทุกคนมีความหวังจะปกครองเป็นกษัตริย์และปุโรหิตทางภาคสวรรค์ร่วมกับพระเยซู. (วิวรณ์ 20:4, 6) แต่ดูเหมือนว่าบางคนในประชาคมโกรินโธลืมไปว่า บนแผ่นดินโลกก็หาได้มีกษัตริย์ในระบอบของพระเจ้าที่ปกครองคริสเตียนไม่. แทนการปฏิบัติเยี่ยงกษัตริย์ของโลกนี้ คริสเตียนผู้บำรุงเลี้ยงพึงปลูกฝังความถ่อมใจ คุณลักษณะที่พระยะโฮวาพอพระทัย.—บทเพลงสรรเสริญ 138:6; ลูกา 22:25-27.
11 (ก) มีตัวอย่างเด่นอะไรบ้างเกี่ยวด้วยความถ่อมใจ? (ข) ผู้ปกครองและคริสเตียนทั้งมวลควรมองตัวเองเช่นไร?
11 ความถ่อมใจเป็นความอ่อนแอไหม? ไม่ใช่แน่นอน! พระยะโฮวาเองได้รับการพรรณนาว่าทรงน้อมถ่อมพระองค์. (บทเพลงสรรเสริญ 18:35) กษัตริย์ทั้งหลายแห่งยิศราเอลได้นำกองทัพสู้รบและได้ปกครองประเทศภายใต้พระยะโฮวา. ถึงกระนั้น แต่ละองค์ต้องระมัดระวัง ‘มิให้ใจสูงกว่าพี่น้อง.’ (พระบัญญัติ 17:20) พระเยซูที่ได้ฟื้นคืนพระชนม์แล้วทรงเป็นพระมหากษัตริย์ทางภาคสวรรค์. อย่างไรก็ตาม เมื่อพระองค์อยู่ในโลก ได้ทรงล้างเท้าพวกสาวก. เป็นการถ่อมพระทัยอะไรเช่นนั้น! และแสดงว่าพระองค์ต้องการให้พวกอัครสาวกมีความถ่อมใจเช่นเดียวกัน พระองค์ตรัสว่า “ถ้าเราได้ล้างเท้าพวกเจ้า แม้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและอาจารย์ พวกเจ้าก็ควรล้างเท้าซึ่งกันและกันด้วย.” (โยฮัน 13:14, ล.ม.; ฟิลิปปอย 2:5-8) สง่าราศีและคำสรรเสริญทั้งสิ้นควรให้แก่พระยะโฮวาไม่ใช่แก่คนใดคนหนึ่ง. (วิวรณ์ 4:11) เขาเป็นผู้ปกครองหรือไม่เป็นก็ตาม คริสเตียนทุกคนควรนึกถึงตัวเองโดยอาศัยคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นบ่าวที่ไม่มีบุญคุณต่อนาย, ข้าพเจ้าได้กระทำตามหน้าที่ซึ่งข้าพเจ้าควรกระทำเท่านั้น.” (ลูกา 17:10) แง่คิดอื่นใดไม่เป็นตามระบอบของพระเจ้า.
12. เหตุใดความรักเป็นคุณลักษณะสำคัญที่คริสเตียนผู้ปกครองพึงปลูกฝัง?
12 พร้อม ๆ กับความถ่อมใจคริสเตียนผู้ปกครองปลูกฝังความรัก. อัครสาวกโยฮันได้ชี้ถึงความสำคัญของความรักเมื่อท่านกล่าวดังนี้: “ผู้ที่ไม่รักก็ไม่ได้มารู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก.” (1 โยฮัน 4:8, ล.ม.) คนใดที่ไม่มีความรักจึงไม่ได้ดำเนินตามระบอบของพระเจ้า. พวกเขาไม่รู้จักพระยะโฮวา. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงพระบุตรของพระเจ้าดังนี้: “พระเยซูได้ทรงรักพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ และทรงรักเขาจนถึงที่สุด.” (โยฮัน 13:1, ล.ม.) เมื่อทรงกล่าวกับชาย 11 คนผู้ซึ่งจะเป็นส่วนแห่งคณะกรรมการปกครองในประชาคมคริสเตียน พระเยซูตรัสว่า “นี้แหละเป็นบัญญัติของเรา คือให้เจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกันเหมือนที่เราได้รักเจ้า.” (โยฮัน 15:12, ล.ม.) ความรักเป็นเครื่องหมายระบุตัวคริสเตียนแท้. ความรักเป็นชนวนดึงดูดใจคนชอกช้ำ, คนเป็นทุกข์โศกเศร้า และคนที่เป็นทาสฝ่ายวิญญาณซึ่งปรารถนาเสรีภาพ. (ยะซายา 61:1, 2; โยฮัน 13:35) ผู้ปกครองต้องเป็นตัวอย่างในการแสดงความรัก.
13. แม้ว่าปัญหาต่าง ๆ ในปัจจุบันอาจยากก็ตาม แต่ผู้ปกครองอาจเป็นพลังชักจูงที่เป็นประโยชน์ภายใต้สภาพการณ์ทุกอย่างได้อย่างไร?
13 ทุกวันนี้ บ่อยครั้ง ผู้ปกครองได้รับการขอร้องให้ช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อน. ความยุ่งยากในชีวิตสมรสอาจฝังรากลึกและเป็นปัญหาเรื้อรัง. หนุ่มสาวมีปัญหาที่ผู้ใหญ่อาจเข้าใจยาก. ความเจ็บป่วยด้านอารมณ์ก็ยากจะเข้าใจ. ผู้ปกครองที่ประสบสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวอาจไม่แน่ใจว่าจะดำเนินการอย่างไร. แต่เขามั่นใจได้ว่า ถ้าเขาอธิษฐานด้วยความไว้วางใจในพระสติปัญญาของพระยะโฮวา หากเขาสืบค้นดูในคัมภีร์ไบเบิลและหาคำแนะนำที่ทาสสัตย์ซื่อและสุขุมได้จัดพิมพ์ไว้ และถ้าเขาดำเนินการกับแกะด้วยใจถ่อมและด้วยความรัก เขาจะเป็นพลังชักจูงที่เป็นประโยชน์ กระทั่งในสถานการณ์อันยากมาก.
14, 15. คำกล่าวบางประการเช่นไรที่ชี้ให้เห็นว่า พระยะโฮวาทรงอวยพรไพร่พลของพระองค์ด้วยผู้ปกครองดี ๆ จำนวนมากมาย?
14 พระยะโฮวาทรงอวยพรองค์การของพระองค์อย่างอุดมด้วย “ของประทานในลักษณะมนุษย์.” (เอเฟโซ 4:8, ล.ม.) บางครั้งสมาคมว็อชเทาเวอร์ได้รับจดหมายซึ่งเป็นที่อบอุ่นใจอันแสดงหลักฐานความรักของผู้ปกครองที่ใจถ่อม ผู้ซึ่งบำรุงเลี้ยงแกะของพระเจ้าด้วยความเห็นอกเห็นใจ. อย่างที่ผู้ปกครองคนหนึ่งในประชาคมเขียนดังนี้: “เท่าที่ผมจำได้ไม่เคยมีการเยี่ยมครั้งใดของผู้ดูแลหมวดซึ่งส่งผลกระทบผมและซึ่งยังมีการสนทนาถึงการเยี่ยมนั้นในประชาคมมากเท่ากับการเยี่ยมครั้งล่าสุดนี้. ผู้ดูแลหมวดได้ช่วยผมมองเห็นความสำคัญของการมีทัศนะเชิงบวกเมื่อดำเนินการกับพวกพี่น้อง พร้อมกับเน้นหนักในเรื่องการชมเชย.”
15 ซิสเตอร์คนหนึ่งที่ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่ห่างไกลเขียนเล่าว่า “ช่างอบอุ่นใจเสียจริง ๆ ที่ผู้ปกครองได้มาเยี่ยมในคืนแรกที่ดิฉันกังวลใจในโรงพยาบาลซึ่งไกลจากบ้านมาก! ผู้ปกครองคนนั้นและพี่น้องคนอื่น ๆ ใช้เวลาไม่น้อยกับดิฉัน. แม้แต่คนทั่วไปซึ่งรู้ดีเกี่ยวกับความยากลำบากที่ดิฉันเผชิญอยู่ พวกเขารู้สึกว่าดิฉันคงไม่อยู่รอดหากขาดการปลอบใจ, การเอาใจใส่, และการอธิษฐานโดยคนเหล่านั้นที่เป็นพี่น้องผู้เปี่ยมด้วยความรักและเสียสละ.” พี่น้องหญิงอีกคนหนึ่งเขียนดังนี้: “ดิฉันอยู่มาจนถึงเวลานี้ก็เพราะคณะผู้ปกครองชี้นำด้วยความเพียรอดทน จนดิฉันผ่านการต่อสู้โรคซึมเศร้าอย่างรุนแรงมาได้. . . . บราเดอร์คนหนึ่งกับภรรยาไม่รู้จะพูดอย่างไรดีกับดิฉัน. . . . .แต่สิ่งที่ตรึงใจดิฉันมากที่สุดคือ ถึงแม้เขาไม่เข้าใจทุกอย่างว่าดิฉันทนทุกข์ลำบากเพียงไร แต่เขาห่วงใยดิฉันด้วยความรัก.”
16. เปโตรได้ให้คำตักเตือนอะไรแก่ผู้ปกครอง?
16 ใช่แล้ว ผู้ปกครองเป็นจำนวนมากกำลังปฏิบัติตามคำตักเตือนของอัครสาวกเปโตรอยู่ทีเดียวที่ว่า “จงบำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าในความอารักขาของท่านทั้งหลาย มิใช่เพราะถูกบังคับ แต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เพราะรักผลกำไรโดยมิชอบ แต่ด้วยใจจดจ่อ ไม่ใช่เหมือนเจ้านายกดขี่คนเหล่านั้นซึ่งเป็นมรดกของพระเจ้า แต่เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะนั้น.” (1 เปโตร 5:1-3, ล.ม.) ผู้ปกครองภายใต้ระบอบของพระเจ้าเป็นพระพรอะไรเช่นนั้น!
ฝูงแกะในระบอบของพระเจ้า
17. จงบอกคุณลักษณะบางประการซึ่งสมาชิกประชาคมทุกคนพึงปลูกฝัง?
17 อย่างไรก็ตาม ระบอบของพระเจ้าใช่ว่าประกอบขึ้นด้วยพวกผู้ปกครองเท่านั้น. หากผู้บำรุงเลี้ยงต้องปฏิบัติตามระบอบของพระเจ้า ฝูงแกะก็ต้องทำเช่นนั้นด้วย. โดยวิธีใด? อ้าว หลักการต่าง ๆ อันเดียวกันที่ชี้นำผู้บำรุงเลี้ยงก็ต้องชี้นำแกะเหมือนกัน. คริสเตียนทุกคน ไม่เฉพาะผู้ปกครองเท่านั้นต้องเป็นคนใจถ่อมหากเขาประสงค์จะรับพระพรจากพระยะโฮวา. (ยาโกโบ 4:6) ทุกคนต้องปลูกฝังความรัก เพราะหากปราศจากความรัก เครื่องบูชาต่าง ๆ ที่เราถวายแด่พระยะโฮวาคงจะไม่เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์. (1 โกรินโธ 13:1-3) และพวกเราทุก ๆ คน ไม่เพียงแต่ผู้ปกครอง ควรจะ “ประกอบด้วยความรู้ถ่องแท้เรื่องพระทัยประสงค์ของ [พระยะโฮวา] ในสรรพปัญญา และความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ.”—โกโลซาย 1:9, ล.ม.
18. (ก) เหตุใดความรู้เพียงผิวเผินในด้านความจริงยังไม่เพียงพอ? (ข) พวกเราทุกคนจะบริบูรณ์ด้วยความรู้ถ่องแท้โดยวิธีใด?
18 คนหนุ่มและคนชราเช่นกันต่างก็เผชิญกับการตัดสินใจที่ยุ่งยากเป็นประจำ ขณะที่พวกเขาพยายามรักษาความซื่อสัตย์ถึงแม้ดำรงชีวิตในโลกของซาตาน. แนวโน้มของโลกด้านเสื้อผ้า, ดนตรี, ภาพยนตร์, และสรรพหนังสือล้วนแต่ท้าทายสภาพฝ่ายวิญญาณของบางคน. ความรู้ด้านความจริงเพียงผิวเผินไม่พอจะช่วยเราคงความสมดุลไว้ได้. เพื่อให้แน่ใจว่าจะดำรงตนซื่อสัตย์ตลอดไป เราจำต้องเปี่ยมด้วยความรู้ถ่องแท้. เราจำต้องมีการหยั่งเห็นเข้าใจและสติปัญญาซึ่งพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นให้เราได้. (สุภาษิต 2:1-5) ทั้งนี้หมายถึงการเพาะนิสัยศึกษาที่ดี, คิดรำพึงสิ่งที่เราได้เรียน, และใช้ความรู้ที่เรียนมานั้น. (บทเพลงสรรเสริญ 1:1-3; วิวรณ์ 1:3) เปาโลเขียนถึงคริสเตียนทุกคน ไม่เฉพาะถึงผู้ปกครองเท่านั้น เมื่อท่านกล่าวว่า “อาหารแข็งเป็นของผู้อาวุโส คือผู้ซึ่งด้วยการใช้จึงฝึกฝนความสามารถของตนในการสังเกตเข้าใจว่าอะไรถูกอะไรผิด.”—เฮ็บราย 5:14, ล.ม.
ผู้บำรุงเลี้ยงและฝูงแกะทำงานด้วยกัน
19, 20. ทุกคนได้รับคำแนะนำตักเตือนอะไรเพื่อจะร่วมมือกับผู้ปกครอง และเพราะเหตุใด?
19 ในที่สุด ควรจะกล่าวว่า น้ำใจที่เป็นไปตามระบอบของพระเจ้าจริง ๆ นั้นแสดงให้ปรากฏโดยคนเหล่านั้นซึ่งร่วมมือกับพวกผู้ปกครอง. เปาโลเขียนถึงติโมเธียวดังนี้: “จงถือว่าผู้เฒ่าผู้แก่ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานอย่างดีนั้นสมควรได้รับเกียรติสองเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่พากเพียรในการพูดและการสั่งสอน.” (1 ติโมเธียว 5:17, ล.ม.; 1 เปโตร 5:5, 6) ฐานะผู้ปกครองนับเป็นสิทธิพิเศษอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ผู้ปกครองส่วนใหญ่มีครอบครัว ซึ่งต้องออกไปทำงานประกอบอาชีพทุกวัน และซึ่งมีภรรยามีบุตรที่ต้องเอาใจใส่. ขณะที่เขายินดีรับใช้ งานรับใช้ที่เขาทำอยู่นั้นจะง่ายขึ้นและน่าชื่นใจมากขึ้นเมื่อประชาคมให้การสนับสนุน ไม่ใช่จะวิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องเกินไป.—เฮ็บราย 13:17.
20 อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงคนเหล่านั้นที่ได้เคยปกครองท่าน, คือคนที่ได้ประกาศพระคำของพระเจ้าแก่ท่าน. และจงพิจารณาดูผลแห่งปลายทางแห่งประวัติของเขา, แล้วจงเอาอย่างความเชื่อของเขา.” (เฮ็บราย 13:7) ข้อนี้ไม่หมายความว่า เปาโลกระตุ้นพี่น้องให้ติดตามผู้ปกครอง. (1 โกรินโธ 1:12) การติดตามมนุษย์ไม่เป็นไปตามระบอบของพระเจ้า. แต่เป็นความสุขุมอย่างแน่นอนที่จะเอาอย่างความเชื่อที่รับการพิสูจน์แล้วของผู้ปกครองตามระบอบของพระเจ้า ผู้ซึ่งขยันขันแข็งทำงานเผยแพร่กิตติคุณ เป็นคนสม่ำเสมอในการประชุม และเป็นคนปฏิบัติกับประชาคมอย่างใจถ่อมและด้วยความรัก.
ข้อพิสูจน์ชัดแจ้งถึงความเชื่อ
21. คริสเตียนจะสำแดงความเชื่อที่มั่นคงเยี่ยงความเชื่อของโมเซให้ปรากฏโดยวิธีใด?
21 การที่มีองค์การตามระบอบของพระเจ้าในยุคที่เสื่อมถอยมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเช่นนี้เป็นหลักฐานอันแท้จริงแสดงถึงอำนาจของผู้ปกครององค์ใหญ่ยิ่ง. (ยะซายา 2:2-5) อนึ่ง ถือว่าเป็นหลักฐานถึงความเชื่อของคริสเตียนชายหญิงและเด็กทั้งสิ้นเกือบห้าล้านคน ผู้ซึ่งดิ้นรนฝ่าฟันปัญหาในชีวิตประจำวัน แต่ก็ไม่เคยลืมว่าพระยะโฮวาเป็นผู้ครอบครองของตน. เช่นเดียวกับโมเซผู้ซื่อสัตย์ “มั่นใจอยู่เหมือนหนึ่งเห็นพระองค์ผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตา” คริสเตียนสมัยนี้มีความเชื่อที่มั่นคงทำนองเดียวกัน. (เฮ็บราย 11:27) พวกเขามีสิทธิพิเศษจะอยู่ในระบอบของพระเจ้า และเขาขอบพระคุณพระยะโฮวาทุก ๆ วันสำหรับสิทธิพิเศษนี้. (บทเพลงสรรเสริญ 100:4, 5) ขณะพวกเขาประสบอำนาจของพระยะโฮวาที่ช่วยให้รอด เขามีความสุขที่จะประกาศว่า “พระยะโฮวาทรงเป็นผู้พิพากษาของเรา พระยะโฮวาทรงเป็นผู้บัญญัติกฎหมายของเรา พระยะโฮวาทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของเรา พระองค์เองจะช่วยเราให้รอด.”—ยะซายา 33:22, ล.ม., ฉบับแปลเก่าข้อ 23.
[เชิงอรรถ]
a ในบรรดาสรรพหนังสือดังกล่าวก็มีหนังสือ “จงเอาใจใส่ตัวเองและฝูงแกะทั้งสิ้น” ซึ่งบรรจุคำชี้นำจากพระคัมภีร์และจัดเตรียมไว้สำหรับผู้ดูแล หรือผู้ปกครองที่รับการแต่งตั้งในประชาคม.
คัมภีร์ไบเบิลชี้แจงอย่างไร?
▫ คริสเตียนยอมอยู่ใต้ระบอบของพระเจ้าในทางใด?
▫ เวลานี้ระบอบของพระเจ้าได้รับการจัดเป็นระเบียบอย่างไร?
▫ ผู้ปกครองควรเตรียมตัวโดยวิธีใดเพื่อทำหน้าที่รับผิดชอบของตนเองให้สำเร็จ?
▫ คุณลักษณะแบบไหนบ้างของคริสเตียนซึ่งจำเป็นที่ผู้ปกครองพึงปลูกฝังและแสดงออก?
▫ ในระบอบของพระเจ้า ความสัมพันธ์อะไรควรให้มีอยู่ระหว่างฝูงแกะกับผู้บำรุงเลี้ยง?
[รูปภาพหน้า 16]
อาดามและฮาวาสูญเสียอุทยานเพราะทั้งสองต้องการตัดสินใจเองว่าอะไรถูกอะไรผิด
[รูปภาพหน้า 18]
ถ้าผู้ปกครองปฏิบัติกับฝูงแกะด้วยใจถ่อมและด้วยความรัก เขาย่อมจะเป็นพลังชักจูงที่เป็นประโยชน์เสมอ