คำสอนของพระเจ้ามีชัย
“ตาของเจ้าต้องมาเป็นตาที่มองเห็นพระบรมครูของเจ้า. และหูของเจ้าเองจะได้ยินถ้อยคำข้างหลังเจ้ากล่าวว่า ‘นี่แหละคือทางนั้น. เจ้าทั้งหลาย จงเดินในทางนี้เถิด.’”—ยะซายา 30:20, 21, ล.ม.
1. เพราะเหตุใดจึงเรียกคำสั่งสอนของพระยะโฮวาได้อย่างถูกต้องว่าคำสอนของพระเจ้า?
พระเจ้ายะโฮวาทรงเป็นบ่อเกิดแห่งคำสอนอันดียิ่งซึ่งใคร ๆ จะรับได้. ถ้าเราฟังเมื่อพระองค์ตรัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผ่านทางพระวจนะอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ พระองค์จะทรงเป็นองค์บรมครูของเรา. (ยะซายา 30:20) อนึ่ง ข้อพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูเรียกพระองค์ว่า “พระเจ้าองค์เดียว” (บทเพลงสรรเสริญ 50:1) ฉะนั้น คำสั่งสอนของพระยะโฮวาจึงเป็นคำสอนของพระเจ้า.
2. เป็นความจริงในแง่ใดที่ว่าเฉพาะพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงพระสติปัญญา?
2 โลกภาคภูมิใจในสถาบันการศึกษามากมายของโลก แต่ไม่มีสักสถาบันที่ถ่ายทอดคำสอนของพระเจ้า. ที่แท้ สติปัญญาทั้งมวลที่มนุษย์ได้สะสมมาตลอดประวัติศาสตร์นั้นนับว่ามีเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับคำสั่งสอนจากพระเจ้าซึ่งอาศัยพระสติปัญญาอันไม่มีขีดจำกัดของพระยะโฮวา. โรม 16:27 กล่าวว่า พระเจ้าองค์เดียวทรงสติปัญญา และนี่เป็นความจริงในแง่ที่ว่า พระยะโฮวาองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงพระสติปัญญาโดยครบถ้วน.
3. ทำไมพระเยซูคริสต์จึงทรงเป็นครูผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่เคยมีบนแผ่นดินโลก?
3 พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ทรงเป็นแบบฉบับอันสมบูรณ์แห่งสติปัญญาและทรงเป็นครูผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่เคยมีบนแผ่นดินโลก. ไม่น่าแปลก! เพราะพระยะโฮวาทรงเป็นครูของพระองค์ในสวรรค์มานานแสนนาน. แท้จริง การสอนของพระเจ้าเริ่มต้นเมื่อพระเจ้าทรงเริ่มสอนสิ่งแรกที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น นั่นคือพระบุตรผู้ได้รับการกำเนิดองค์เดียวของพระองค์. ฉะนั้น พระเยซูจึงสามารถตรัสว่า “เราพูดสิ่งเหล่านี้ตามที่พระบิดาได้ทรงสอนเรา.” (โยฮัน 8:28, ล.ม.; สุภาษิต 8:22, 30) ถ้อยคำของพระคริสต์ดังที่มีบันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลเพิ่มพูนความรู้ของเราเกี่ยวกับคำสอนของพระเจ้าขึ้นมากมาย. โดยการสอนในสิ่งที่พระเยซูทรงสอน เหล่าคริสเตียนผู้ถูกเจิมก็เชื่อฟังองค์บรมครูของตน ผู้ซึ่งมีพระทัยประสงค์จะให้ “พระปัญญาอันหลากหลายยิ่งของพระเจ้า” เป็นที่รู้จักโดยทางประชาคม.—เอเฟโซ 3:10, ล.ม., 11; 5:1; ลูกา 6:40.
การเสาะหาพระปัญญา
4. เคยมีการกล่าวถึงสมรรถนะของสมองว่าอย่างไร?
4 เพื่อจะได้รับสติปัญญาแท้ซึ่งเป็นผลจากการสอนจากพระเจ้านั้นต้องมีความขยันในการใช้ความสามารถในการคิดของเราซึ่งพระเจ้าทรงประทานให้. เรื่องนี้เป็นไปได้เพราะสมองมนุษย์มีศักยภาพอันมหัศจรรย์. หนังสือเครื่องจักรมหัศจรรย์ (ภาษาอังกฤษ) กล่าวดังนี้: “แม้แต่คอมพิวเตอร์ซึ่งสลับซับซ้อนมากที่สุดเท่าที่เราจะจินตนาการได้ก็เป็นแต่สิ่งหยาบ ๆ เมื่อเทียบกับความสลับซับซ้อนและความสามารถปรับเปลี่ยนได้อันสุดคณนาของสมองมนุษย์—คุณลักษณะต่าง ๆ ซึ่งเป็นไปได้โดยระบบสัญญาณแบบเคมีไฟฟ้าอันซับซ้อนที่ปรับเฉพาะของสมอง. . . . สัญญาณต่าง ๆ นับล้าน ๆ ที่แวบผ่านเข้าสมองคุณทุกขณะนั้นส่งข่าวสารข้อมูลมากมายมหาศาล. สัญญาณเหล่านั้นส่งข่าวเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในร่างกายคุณและสภาพรอบ ๆ ตัวภายนอกด้วย: เช่น เกี่ยวกับเท้าคุณที่เป็นตะคริว, หรือกลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟ, หรือไม่ก็คำพูดตลกของเพื่อน. ขณะที่สัญญาณอื่น ๆ แยกและวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้เกิดอารมณ์, ความจำ, ความคิด, หรือแผนการบางอย่างซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจ. เกือบจะทันทีทันใด สัญญาณจากสมองของคุณบอกส่วนอื่นของร่างกายคุณว่าต้องทำอะไร เช่น ขยับนิ้วเท้าของคุณ, ดื่มกาแฟ, หัวเราะ, หรืออาจตอบอย่างคมคาย. ขณะเดียวกัน สมองของคุณยังทำหน้าที่ควบคุมระบบหายใจ, คุณสมบัติทางเคมีของเลือด, อุณหภูมิร่างกาย และกระบวนการสำคัญอื่น ๆ ซึ่งคุณไม่รู้ตัว. สมองส่งคำสั่งที่ทำให้ร่างกายคุณอยู่ในสภาพคงที่และทำงานอย่างราบเรียบทั้งที่สภาพรอบ ๆ ตัวคุณเปลี่ยนอยู่เสมอ. นอกจากนั้น สมองยังเตรียมไว้พร้อมสำหรับความจำเป็นในอนาคตด้วย.”—หน้า 326.
5. ในความหมายตามพระคัมภีร์ สติปัญญาคืออะไร?
5 ถึงแม้สมองมนุษย์มีสมรรถนะอันมหัศจรรย์อย่างไม่ต้องสงสัย เราจะใช้สมองของเราในทางที่ดีที่สุดได้อย่างไร? ไม่ใช่โดยการทุ่มเทตัวในการบากบั่นศึกษาด้านภาษา, ประวัติศาสตร์, วิทยาศาสตร์, จิตวิทยา, หรือศาสนาเปรียบเทียบ. เราควรใช้ความสามารถในการคิดของเราเพื่อรับการสอนจากพระเจ้าเป็นอันดับแรก. เฉพาะการสอนจากพระเจ้าเท่านั้นที่ยังผลด้วยสติปัญญาแท้. แต่อะไรล่ะคือสติปัญญาแท้? ในความหมายตามพระคัมภีร์ คำ สติปัญญาเน้นการตัดสินที่ดีโดยอาศัยความรู้ถ่องแท้และความเข้าใจจริง. สติปัญญาทำให้เราสามารถใช้ความรู้และความเข้าใจอย่างประสบผลสำเร็จในการแก้ปัญหาต่าง ๆ, เพื่อหลีกเลี่ยงหรือป้องกันอันตราย, เพื่อช่วยคนอื่น ๆ, และเพื่อบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ. น่าสนใจ คัมภีร์ไบเบิลให้สติปัญญาตรงข้ามกับความโง่เขลา และความเซ่อเซอะ—นิสัยที่เราต้องการหลีกเว้นอย่างแน่นอน.—พระบัญญัติ 32:6; สุภาษิต 11:29; ท่านผู้ประกาศ 6:8.
คู่มือยอดเยี่ยมจากพระยะโฮวา
6. ถ้าเราจะแสดงออกซึ่งสติปัญญาแท้ จำต้องใช้อะไรให้เป็นประโยชน์?
6 มีสติปัญญาฝ่ายโลกมากมายรอบตัวเรา. (1 โกรินโธ 3:18, 19) นั่นเป็นเพราะโลกนี้เต็มไปด้วยโรงเรียนและห้องสมุดที่มีหนังสือนับล้าน ๆ เล่ม! หนังสือเหล่านั้นมีมากมายที่เป็นคู่มือซึ่งให้การสอนด้านภาษา, คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์, และความรู้สาขาอื่น ๆ. แต่องค์บรมครูได้ทรงจัดให้มีคู่มือซึ่งเยี่ยมกว่าคู่มืออื่น ๆ ทั้งสิ้น นั่นคือคัมภีร์ไบเบิล พระวจนะที่ได้รับการดลบันดาลจากพระองค์. (2 ติโมเธียว 3:16, 17) คัมภีร์ไบเบิลถูกต้องแม่นยำไม่เพียงเมื่อกล่าวเรื่องต่าง ๆ เช่น ประวัติศาสตร์, ภูมิศาสตร์, และพฤกษศาสตร์ แต่ถูกต้องแม่นยำเช่นกันเมื่อบอกล่วงหน้าถึงอนาคต. ยิ่งกว่านั้น คัมภีร์ไบเบิลช่วยเราให้ดำเนินชีวิตอย่างที่มีความสุขที่สุดและบังเกิดผลที่สุดในขณะนี้เอง. แน่นอน เช่นเดียวกับนักเรียนในโรงเรียนฝ่ายโลกจำเป็นต้องใช้หนังสือต่าง ๆ ของเขา เราก็ต้องคุ้นเคยอย่างดีกับคู่มืออันยอดเยี่ยมของพระเจ้าและนำมาใช้ถ้าเราจะแสดงออกซึ่งสติปัญญาแท้ดังคนเหล่านั้นที่ “ได้รับการสั่งสอนจากพระยะโฮวา.”—โยฮัน 6:45.
7. เพราะเหตุใดคุณจึงจะบอกว่าการมีความรู้เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลในสมองนั้นยังไม่พอ?
7 กระนั้น การมีความรู้เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลในสมองไม่ใช่อย่างเดียวกันกับสติปัญญาแท้และการปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้า. ตัวอย่างเช่น ในศตวรรษที่ 17 ชายชาวคาทอลิกคนหนึ่งชื่อคอร์เนลิอุส วาน เดอร์ สเตน พยายามจะเข้าคณะเยซูอิตแต่ถูกปฏิเสธเพราะเขาเตี้ยเกินไป. มานเฟร็ด บาร์เทล กล่าวไว้ในหนังสือของเขาชื่อคณะเยซูอิต—ประวัติและตำนานว่าด้วยสังคมของพระเยซูดังนี้: “คณะกรรมการแจ้งให้วาน เดอร์ สเตนทราบว่า พวกเขาพร้อมจะตัดข้อเรียกร้องเรื่องความสูงออกไป แต่มีเงื่อนไขว่าเขาจะต้องหัดท่องจำคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่ม. เรื่องนี้คงแทบไม่มีค่าที่จะนำมาเล่าหากวาน เดอร์ สเตนไม่ได้ทำตามข้อเรียกร้องที่ยากมากเช่นนี้.” จะต้องใช้ความพยายามสักแค่ไหนกันเพื่อจะท่องจำคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่ม! กระนั้น เป็นที่แน่นอนว่าการจะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญกว่าการท่องจำพระวจนะนั้นมากมายนัก.
8. อะไรจะช่วยเราให้ได้รับประโยชน์เต็มที่จากคำสอนของพระเจ้าและแสดงออกซึ่งสติปัญญาแท้?
8 ถ้าเราจะได้รับประโยชน์เต็มที่จากคำสอนของพระเจ้าและแสดงออกซึ่งสติปัญญาแท้ละก็ เราต้องมีความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับพระคัมภีร์. เราต้องได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือพลังปฏิบัติการของพระยะโฮวาด้วย. สิ่งนี้จะทำให้เราสามารถเรียนรู้ความจริงอันลึกซึ้ง “แม้ความล้ำลึกของพระเจ้า.” (1 โกรินโธ 2:10, ฉบับแปลใหม่) ฉะนั้น ให้เราขยันศึกษาตำราอันยอดเยี่ยมของพระยะโฮวาและอธิษฐานขอการทรงนำจากพระองค์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์. ประสานกับสุภาษิต 2:1-6 ให้เราเอาใจใส่ต่อพระปัญญา น้อมหัวใจของเราลงเพื่อจะได้ความหยั่งเห็นเข้าใจ และเรียกหาความเข้าใจ. เราต้องทำสิ่งนี้ราวกับว่าเรากำลังค้นหาทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ เพราะว่าเมื่อทำเช่นนี้เท่านั้นเราจึงจะ ‘เข้าใจความเกรงกลัวพระยะโฮวาและพบความรู้ของพระเจ้า.’ การพิจารณาเกี่ยวกับชัยชนะและผลประโยชน์บางอย่างของการสอนจากพระเจ้าจะทำให้เรามีความหยั่งรู้ค่าเพิ่มขึ้นต่อสติปัญญาที่พระเจ้าทรงประทานนั้น.
ความเข้าใจเป็นขั้น ๆ
9, 10. พระเจ้าตรัสอย่างไรดังที่บันทึกไว้ที่เยเนซิศ 3:15 และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับถ้อยคำเหล่านั้นคืออย่างไร?
9 คำสอนของพระยะโฮวามีชัยโดยการถ่ายทอดความเข้าใจเป็นขั้น ๆ ในเรื่องพระคัมภีร์แก่ไพร่พลของพระยะโฮวา. ตัวอย่างเช่น เราได้เรียนรู้ว่าซาตานเป็นผู้พูดผ่านทางงูในสวนเอเดนและกล่าวหาอย่างผิด ๆ ว่าพระเจ้าตรัสมุสาเมื่อพระองค์ตรัสว่าการรับประทานผลไม้ต้องห้ามนั้นมีโทษถึงตาย. แต่เราเห็นแล้วว่าการไม่เชื่อฟังพระเจ้ายะโฮวาเช่นนั้นได้นำความตายมาสู่เผ่าพันธุ์มนุษย์. (เยเนซิศ 3:1-6; โรม 5:12) กระนั้น พระเจ้าทรงประทานความหวังแก่มนุษย์เมื่อพระองค์ตรัสกับงู และโดยวิธีนี้จึงเป็นการตรัสกับซาตานนั่นเองว่า “เราจะบันดาลให้เจ้ากับหญิงนี้, ทั้งเผ่าพันธุ์ของเจ้ากับเผ่าพันธุ์ของเราเป็นศัตรูกัน: เผ่าพันธุ์ของหญิงจะทำหัวของเจ้าให้ฟกช้ำ, และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ.”—เยเนซิศ 3:15.
10 ถ้อยคำเหล่านั้นมีความลับแฝงอยู่ซึ่งมีการเปิดเผยเป็นขั้น ๆ โดยทางคำสอนของพระเจ้า. พระยะโฮวาทรงสอนไพร่พลของพระองค์ว่า อรรถบทสำคัญที่สุดของพระคัมภีร์คือการพิสูจน์ความถูกต้องแห่งพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวาโดยทางพงศ์พันธุ์นั้น ซึ่งเป็นเชื้อสายของอับราฮามและดาวิดซึ่งมีสิทธิตามกฎหมายในการปกครองราชอาณาจักร. (เยเนซิศ 22:15-18; 2 ซามูเอล 7:12, 13; ยะเอศเคล 21:25-27) พระบรมครูทรงสอนเราว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพงศ์พันธุ์แรกของหญิงนั้น คือสากลองค์การของพระเจ้า. (ฆะลาเตีย 3:16) ทั้ง ๆ ที่ซาตานได้ทดลองพระองค์ทุกอย่าง พระเยซูก็ได้ทรงรักษาความภักดี—กระทั่งสิ้นพระชนม์ เป็นการทำให้ส้นเท้าของพงศ์พันธุ์ฟกช้ำ. เรายังเรียนรู้ด้วยว่ารัชทายาทร่วมแห่งราชอาณาจักรจำนวน 144,000 คนจากท่ามกลางมนุษยชาติจะร่วมกับพระคริสต์ในการบดขยี้หัวของซาตาน “งูตัวแรกเดิม”นั้น. (วิวรณ์ 14:1-4; 20:2, ล.ม.; โรม 16:20; ฆะลาเตีย 3:29; เอเฟโซ 3:4-6) เราหยั่งรู้ค่าจริง ๆ ต่อความรู้เช่นนั้นเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า!
เข้าสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระเจ้า
11. ทำไมจึงอาจกล่าวได้ว่า คำสอนของพระเจ้ามีชัยโดยการนำผู้คนเข้าสู่ความสว่างฝ่ายวิญญาณ?
11 คำสอนของพระเจ้ามีชัยโดยการนำผู้คนเข้าสู่ความสว่างฝ่ายวิญญาณ. คริสเตียนผู้ถูกเจิมเคยมีประสบการณ์นั้นในความสำเร็จเป็นจริงของ 1 เปโตร 2:9 (ล.ม.) ที่ว่า “ท่านทั้งหลายเป็น ‘เชื้อสายที่ทรงเลือกไว้ เป็นคณะปุโรหิตหลวง เป็นชาติบริสุทธิ์ เป็นไพร่พลที่เป็นสมบัติพิเศษ เพื่อท่านทั้งหลายจะประกาศเผยแพร่พระบารมีคุณ’ ของพระองค์ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกจากความมืดเข้าสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์.” ทุกวันนี้ “ชนฝูงใหญ่”ซึ่งมีความหวังจะมีชีวิตตลอดไปบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยานก็ชื่นชมยินดีกับความสว่างที่พระเจ้าทรงประทานนั้นเช่นกัน. (วิวรณ์ 7:9; ลูกา 23:43) ขณะพระเจ้าทรงสอนไพร่พลของพระองค์ สุภาษิต 4:18 (ล.ม.) เป็นความจริงที่ว่า “วิถีของเหล่าคนชอบธรรมเป็นดุจแสงสว่างอันรุ่งโรจน์ซึ่งส่องแสงกล้าขึ้นทุกทีจนกระทั่งถึงวันได้ตั้งขึ้นมั่นคง.” วิธีการเรียนรู้เป็นขั้น ๆ เช่นนี้กลั่นกรองความเข้าใจของเราในคำสอนของพระเจ้า เช่นเดียวกับที่นักเรียนทำความก้าวหน้าเพราะครูให้การช่วยเหลืออย่างดีเมื่อพวกเขาเรียนไวยากรณ์, ประวัติศาสตร์, หรือวิชาอื่น ๆ.
12, 13. คำสอนของพระเจ้าปกป้องไพร่พลของพระยะโฮวาไว้จากอันตรายอะไรบ้างด้านหลักคำสอน?
12 คำสอนของพระเจ้ามีชัยอีกแง่หนึ่งคือ ปกป้องผู้รับคำสอนนี้ไว้จาก “คำสอนของพวกผีปิศาจ.” (1 ติโมเธียว 4:1) อีกด้านหนึ่ง ดูที่คริสต์ศาสนจักรสิ! ย้อนไปในปี 1878 บาทหลวงชั้นสูงของลัทธิโรมันคาทอลิกชื่อ จอห์น เฮ็นรี นิวแมน เขียนว่า “โดยมั่นใจในพลังอำนาจแห่งศาสนาคริสเตียนในการต้านทานอิทธิพลของความชั่ว และเพื่อเปลี่ยนแปลงเครื่องใช้ไม้สอยและกิจปฏิบัติต่าง ๆ เกี่ยวกับการนมัสการภูติผีปิศาจมาใช้ในการเผยแพร่ศาสนา . . . เมื่อสบโอกาส พวกผู้ปกครองคริสต์จักรตั้งแต่สมัยแรกจึงพร้อมที่จะรับเอา, หรือเลียนแบบ, หรือยอมให้กับพิธีรีตองและประเพณีที่มีอยู่ของประชาชน รวมทั้งหลักปรัชญาของชนชั้นที่มีการศึกษา.” นิวแมนกล่าวเพิ่มเติมว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น เช่น น้ำมนตร์, ชุดสวมในพิธีของนักบวช, และรูปปั้นต่าง ๆ “มีต้นตอมาจากพวกนอกรีตทั้งสิ้น และถูกทำให้เป็นที่นับถืออันบริสุทธิ์โดยที่สิ่งเหล่านั้นถูกรับเข้ามาในคริสต์จักร.” ไพร่พลของพระเจ้ารู้สึกขอบพระคุณที่คำสอนของพระเจ้าปกป้องพวกเขาไว้จากการออกหากเช่นนั้น. คำสอนของพระเจ้ามีชัยเหนือลัทธิผีปิศาจทุกรูปแบบ—กิจการ 19:20.
13 คำสอนของพระเจ้ามีชัยเหนือข้อผิดพลาดทางศาสนาในทุก ๆ ทาง. ยกตัวอย่าง เมื่อคนเราได้รับการสอนจากพระเจ้า เราไม่เชื่อในตรีเอกานุภาพ แต่ยอมรับว่าพระยะโฮวาทรงเป็นพระผู้สูงสุด พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระองค์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพลังปฏิบัติการของพระเจ้า. เราไม่กลัวไฟนรก เพราะเราตระหนักว่านรกในคัมภีร์ไบเบิลก็คือหลุมฝังศพทั่วไปของมนุษยชาตินั่นเอง. และขณะที่นักศาสนาเท็จบอกว่าจิตวิญญาณมนุษย์เป็นอมตะ เราทราบว่าคนตายไม่รู้สึกอะไรเลย. ลำดับรายการของความจริงมีมากมายไม่รู้จบสิ้นที่เราได้รับโดยทางคำสอนของพระเจ้า. ช่างเป็นพระพรจริง ๆ ที่เป็นอิสระพ้นจากพันธนาการฝ่ายวิญญาณของบาบูโลนใหญ่ จักรวรรดิแห่งศาสนาเท็จ!—โยฮัน 8:31, 32; วิวรณ์ 18:2, 4, 5.
14. ทำไมไพร่พลของพระเจ้าสามารถดำเนินต่อไปได้ในแสงสว่างฝ่ายวิญญาณ?
14 เนื่องจากคำสอนของพระเจ้ามีชัยเหนือข้อผิดพลาดทางศาสนา คำสอนของพระเจ้าจึงทำให้ไพร่พลของพระเจ้าสามารถดำเนินในแสงสว่างฝ่ายวิญญาณ. ผลก็คือ พวกเขาได้ยินถ้อยคำจากข้างหลังของเขากล่าวว่า “นี่แหละคือทางนั้น เจ้าทั้งหลาย จงเดินในทางนี้เถิด.” (ยะซายา 30:21, ล.ม.) นอกจากนี้ คำสอนของพระเจ้ายังป้องกันผู้รับใช้ของพระองค์ให้พ้นจากการหาเหตุผลจอมปลอมด้วย. เมื่อ “อัครสาวกเท็จ” ก่อความยุ่งยากในประชาคมคริสเตียนในเมืองโกรินโธ อัครสาวกเปาโลเขียนดังนี้: “อาวุธแห่งการสู้รบของเราไม่เป็นฝ่ายเนื้อหนัง แต่มีพลังมากจากพระเจ้าเพื่อล้มคว่ำป้อมปราการอันแข็งแรง. เพราะเรากำลังล้มคว่ำการหาเหตุผลและสิ่งสูงส่งทุกอย่างที่ยกขึ้นต่อสู้ความรู้เรื่องพระเจ้า; และเรากำลังนำความคิดทุกประการเข้าสู่การควบคุมเพื่อทำให้เชื่อฟังพระคริสต์.” (2 โก. 10:4, 5, ล.ม.; 11:13-15) การหาเหตุผลที่ตรงกันข้ามกับคำสอนของพระเจ้าถูกโค่นทำลายโดยคำสั่งสอนที่มีการให้ในประชาคมด้วยความอ่อนโยนและโดยการเผยแพร่ข่าวดีแก่คนที่อยู่ภายนอก.—2 ติโมเธียว 2:24-26.
นมัสการด้วยวิญญาณและความจริง
15, 16. การนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริงหมายความอย่างไร?
15 ขณะที่งานเผยแพร่เรื่องราชอาณาจักรรุดหน้าไป คำสอนของพระเจ้าก็มีชัยในการแสดงให้คนที่อ่อนน้อมทราบถึงวิธีนมัสการพระเจ้า “ด้วยวิญญาณและความจริง.” ที่บ่อน้ำของยาโคบใกล้เมืองซูคาร พระเยซูตรัสแก่หญิงชาวซะมาเรียว่าพระองค์ทรงสามารถให้น้ำซึ่งทำให้มีชีวิตนิรันดร์. โดยพาดพิงถึงชาวซะมาเรียพระองค์ตรัสเพิ่มเติมว่า “ซึ่งพวกเจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่รู้จัก . . . เวลานั้นจะมาถึง และก็คือเดี๋ยวนี้แหละ เมื่อผู้นมัสการแท้ทั้งหลายจะนมัสการพระบิดาด้วยวิญญาณและความจริง เพราะแท้จริง พระบิดาทรงแสวงหาคนอย่างนั้นนมัสการพระองค์.” (โยฮัน 4:7-15, 21-23, ล.ม.) แล้วพระเยซูได้ทรงระบุพระองค์เองว่าเป็นมาซีฮา.
16 แต่เราจะนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณได้อย่างไร? ก็โดยถวายการนมัสการบริสุทธิ์จากหัวใจที่รู้สึกขอบคุณเปี่ยมด้วยความรักต่อพระเจ้าซึ่งอาศัยความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับพระวจนะของพระองค์. เรานมัสการพระองค์ด้วยความจริงได้โดยการปฏิเสธความเท็จทางศาสนาและด้วยการทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า ดังที่เผยให้ทราบในตำราอันยอดเยี่ยมของพระองค์.
มีชัยเหนือการทดลองและโลก
17. คุณจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าคำสอนของพระเจ้าได้ช่วยเหล่าผู้รับใช้ของพระยะโฮวาเมื่อเผชิญกับการทดลอง?
17 เมื่อไพร่พลของพระเจ้าเผชิญการทดลอง คำสอนของพระเจ้าก็มีชัยครั้งแล้วครั้งเล่า. ขอให้พิจารณาเรื่องนี้: เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นในเดือนกันยายน 1939 เหล่าผู้รับใช้ของพระยะโฮวาจำต้องได้รับความหยั่งเห็นเข้าใจโดยเฉพาะเจาะจงในตำราอันยอดเยี่ยมของพระองค์. สิ่งที่ช่วยได้มากคือบทความในหอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 1 พฤศจิกายน 1939 ซึ่งเสนอคำสอนของพระเจ้าอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความเป็นกลางของคริสเตียน. (โยฮัน 17:16) คล้ายคลึงกัน ในตอนต้นทศวรรษปี 1960 บทความในหอสังเกตการณ์ เกี่ยวกับการยอมอยู่ใต้อำนาจ “ผู้มีอำนาจสูงกว่า” ของรัฐบาลอย่างมีขอบเขตจำกัดได้ช่วยเหล่าผู้รับใช้ของพระเจ้าให้ทำตามคำสอนของพระเจ้าเมื่อเผชิญความปั่นป่วนวุ่นวายของสังคม.—โรม 13:1-7, ล.ม.; กิจการ 5:29.
18. เหล่าผู้ที่ประกาศตัวเป็นคริสเตียนในศตวรรษที่สองและสามแห่งสากลศักราชมองดูความบันเทิงที่ต่ำทรามอย่างไร และในทุกวันนี้คำสอนของพระเจ้าให้ความช่วยเหลืออะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น?
18 คำสอนของพระเจ้าช่วยเราให้มีชัยเหนือการล่อใจต่าง ๆ เช่น การล่อใจให้แสวงหาความบันเทิงที่ต่ำทราม. โปรดสังเกตสิ่งที่มีกล่าวไว้โดยผู้ที่ประกาศตัวเป็นคริสเตียนในศตวรรษที่สองและสามแห่งสากลศักราช. เทอร์ทุลเลียนเขียนว่า “เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง ไม่ว่าด้วยคำพูด, การดูหรือฟัง กับความบ้าคลั่งของสังเวียนแข่งขันการแสดง, ความหน้าด้านไร้ยางอายของมหรสพ, ความป่าเถื่อนของการประลองฝีมือ.” ผู้เขียนอีกคนหนึ่งในยุคนั้นถามว่า “คริสเตียนที่ซื่อสัตย์ทำอะไรในบรรดาความบันเทิงที่ต่ำทรามเหล่านี้ เนื่องจากเขาไม่อาจแม้แต่จะคิดถึงความชั่ว? ทำไมเขาจะมาหาความเพลิดเพลินในการแสดงออกซึ่งตัณหาต่าง ๆ นี้?” ถึงแม้ผู้เขียนเหล่านี้มีชีวิตอยู่ภายหลังพวกคริสเตียนในศตวรรษแรกอยู่หลายปี พวกเขาก็แสดงให้เห็นว่า ความบันเทิงที่ต่ำทรามต่าง ๆ นั้นผิด. ทุกวันนี้ คำสอนของพระเจ้าให้เรามีสติปัญญาเพื่อจะหลีกหนีความบันเทิงที่ลามก, ผิดศีลธรรม, และรุนแรง.
19. คำสอนของพระเจ้าช่วยเราอย่างไรให้มีชัยเหนือโลกนี้?
19 การปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้าทำให้เราสามารถมีชัยเหนือโลกนี้. ใช่แล้ว การนำเอาคำสอนของพระบรมครูของเราไปใช้ทำให้เรามีชัยเหนืออิทธิพลของโลกนี้ซึ่งทอดตัวอยู่ในอำนาจซาตาน. (2 โกรินโธ 4:4; 1 โยฮัน 5:19) เอเฟโซ 2:1-3 กล่าวว่า พระเจ้าได้ทรงทำให้เรามีชีวิตอยู่ถึงแม้ว่าเราเคยตายแล้วในการล่วงละเมิดและการบาปของเราในคราวที่เราดำเนินตามผู้ปกครองแห่งอำนาจในอากาศ. เราขอบพระคุณพระยะโฮวาที่คำสอนของพระองค์ช่วยเราให้มีชัยเหนือความปรารถนาแบบโลกและน้ำใจที่มาจากปรปักษ์ของพระองค์และของเรา—ซาตานพญามาร เจ้าแห่งการล่อลวง!
20. มีคำถามอะไรบ้างที่ควรพิจารณาต่อไป?
20 ดังนั้นแล้ว จึงเห็นได้ชัดเจนว่าคำสอนของพระเจ้ามีชัยในหลายทาง. แท้จริง ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวถึงชัยชนะทุกประการ. คำสอนของพระเจ้ามีผลกระทบผู้คนทั่วโลก. แต่คำสอนนั้นกำลังทำอะไรเพื่อคุณ? คำสอนของพระเจ้ามีผลกระทบชีวิตของคุณอย่างไร?
คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง?
▫ อาจให้คำจำกัดความสติปัญญาแท้อย่างไร?
▫ พระเจ้าทรงเปิดเผยเรื่องอะไรเป็นขั้น ๆ อันเกี่ยวกับเยเนซิศ 3:15?
▫ คำสอนของพระเจ้ามีชัยอย่างไรในเรื่องฝ่ายวิญญาณ?
▫ การจะนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริงหมายความอย่างไร?
▫ คำสอนของพระเจ้าได้ช่วยเหล่าผู้รับใช้ของพระยะโฮวาอย่างไรเพื่อจะมีชัยเหนือการทดลองและเหนือโลกนี้?
[รูปภาพหน้า 10]
พระเยซูทรงรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงตราบสิ้นพระชนม์—นั่นคือการทำให้ส้นเท้าของพงศ์พันธุ์ฟกช้ำ