เราแสวงหาราชอาณาจักรเป็นอันดับแรก
เล่าโดย โอลิฟ สปริงเกต
คุณแม่เพิ่งดับเทียนไขและออกไปจากห้องหลังจากที่ฟังเราอธิษฐานแล้ว. น้องชายถามดิฉันขึ้นมาทันทีว่า “พี่โอลิฟ พระเจ้าเห็นและได้ยินเราผ่านกำแพงอิฐได้อย่างไรครับ?”
ดิฉันตอบว่า “คุณแม่บอกว่า พระองค์สามารถมองทะลุอะไร ๆ ก็ได้ แม้กระทั่งเข้าไปในหัวใจของเราทีเดียว.” คุณแม่เป็นสตรีที่เกรงกลัวพระเจ้าและเป็นนักอ่านคัมภีร์ไบเบิลตัวยง และท่านปลูกฝังพวกเราลูก ๆ ให้มีความเคารพอย่างสุดซึ้งต่อพระเจ้าและต่อหลักการในคัมภีร์ไบเบิล.
คุณพ่อคุณแม่เป็นสมาชิกของนิกายแองกลิคันในเมืองเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่าแชตแทม มณฑลเคนต์ ประเทศอังกฤษ. แม้ว่าคุณแม่ไปโบสถ์เป็นประจำ แต่ท่านเชื่อว่า การเป็นคริสเตียนมีความหมายมากกว่าการเพียงแต่ไปนั่งให้ม้านั่งในโบสถ์อุ่นสัปดาห์ละครั้ง. ท่านแน่ใจด้วยว่า พระเจ้าต้องมีคริสต์จักรแท้เพียงคริสต์จักรเดียว.
หยั่งรู้ค่าความจริงในคัมภีร์ไบเบิล
ในปี 1918 ตอนที่ดิฉันอายุประมาณห้าขวบ คุณแม่ได้หนังสือชุดที่ชื่อว่าคู่มือการศึกษาพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) ซึ่งเขียนโดยชาร์ลส์ ที. รัสเซลล์ นายกคนแรกของสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์. สองสามปีต่อมา ขณะที่อาศัยอยู่ในเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า วิกมอร์ คุณแม่พบกับนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นชื่อที่พยานพระยะโฮวาเป็นที่รู้จักกันในสมัยนั้น. ท่านรับคู่มือศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่ชื่อว่าพิณของพระเจ้า (ภาษาอังกฤษ) เอาไว้ และจากหนังสือเล่มนี้ ท่านเริ่มพบคำตอบสำหรับคำถามหลายข้อที่ท่านสงสัยเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล. ทุกสัปดาห์ บัตรสีชมพูพร้อมด้วยคำถามที่พิมพ์มาสำหรับแต่ละบทจะส่งมาทางไปรษณีย์. บัตรนั้นยังบอกด้วยว่าจะหาคำตอบได้ที่ไหนจากหนังสือเล่มนั้น.
ในปี 1926 คุณพ่อคุณแม่, น้องเบริล, และดิฉันลาออกจากคริสต์จักรแองกลิคัน เพราะเรารังเกียจที่คริสต์จักรมีส่วนพัวพันกับการเมือง รวมทั้งคำสอนหลายอย่างที่ไร้เหตุผล. คำสอนเด่นอย่างหนึ่งก็คือ พระเจ้าจะทรมานผู้คนตลอดไปในไฟนรก. คุณแม่ซึ่งกำลังเสาะหาความจริงในคัมภีร์ไบเบิลอย่างจริงจังเชื่อแน่ว่า คริสต์จักรแองกลิคันไม่ใช่คริสต์จักรแท้.
ไม่นานหลังจากนั้น คุณแจ็กสัน นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งมาเยี่ยมเรา ซึ่งเป็นการตอบคำอธิษฐานอย่างจริงจังของคุณแม่. เธอพูดกับคุณแม่และดิฉันเป็นเวลาเกือบสองชั่วโมง ตอบคำถามต่าง ๆ ของเราโดยใช้คัมภีร์ไบเบิล. เราดีใจที่ได้เรียนรู้ว่า เราควรอธิษฐานถึงพระเจ้ายะโฮวา พระบิดาของพระเยซูคริสต์ และไม่ใช่ถึงพระตรีเอกานุภาพที่ลึกลับ. (บทเพลงสรรเสริญ 83:18; โยฮัน 20:17) แต่สำหรับดิฉัน คำถามที่จำได้แม่นที่สุดซึ่งคุณแม่ถามก็คือ “การแสวงหาราชอาณาจักรก่อนนั้นหมายความว่าอย่างไร?”—มัดธาย 6:33.
คำตอบที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักนั้นมีผลกระทบต่อชีวิตของเรามาก. ตั้งแต่สัปดาห์นั้นทีเดียว เราเริ่มเข้าร่วมการประชุมของพวกนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล และเริ่มแบ่งปันสิ่งที่เราเรียนรู้กับคนอื่น. เราแน่ใจว่า เราได้พบความจริง. ไม่กี่เดือนต่อมา ในปี 1927 คุณแม่รับบัพติสมาซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงการอุทิศตัวเพื่อรับใช้พระยะโฮวา และในปี 1930 ดิฉันก็รับบัพติสมาเช่นกัน.
เข้าสู่งานรับใช้เป็นไพโอเนียร์
ครอบครัวของเราเข้าร่วมประชุมที่ประชาคมกิลลิงแฮม ซึ่งมีสมาชิกประมาณ 25 คน. หลายคนในจำนวนนั้นเป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลา หรือที่เรียกว่าไพโอเนียร์ และทุกคนมีความหวังทางภาคสวรรค์. (ฟิลิปปอย 3:14, 20) ความกระตือรือร้นแบบคริสเตียนของพวกเขาเป็นเหมือนโรคติดต่อ. ขณะที่ยังเป็นวัยรุ่น ดิฉันเป็นไพโอเนียร์ชั่วเวลาสั้น ๆ ในเบลเยียมตอนต้นทศวรรษปี 1930. สิ่งนี้กระตุ้นความปรารถนาของดิฉันที่จะรับใช้เพื่อราชอาณาจักรมากยิ่งขึ้น. ในเวลานั้น เรามีส่วนในการแจกจ่ายหนังสือเล่มเล็กที่ชื่อว่าราชอาณาจักร ความหวังของโลก (ภาษาอังกฤษ) ให้กับนักเทศน์ทุกคนคนละเล่ม.
ต่อมา คุณพ่อกลับต่อต้านการงานฝ่ายคริสเตียนของเราอย่างหนัก และเนื่องจากนี่เป็นสาเหตุหนึ่ง ดิฉันจึงย้ายไปกรุงลอนดอนในปี 1932 เพื่อเข้าเรียนในวิทยาลัย. ต่อมา ดิฉันเป็นครูอยู่สี่ปี และในช่วงนั้นก็สมทบกับประชาคมแบล็กฮีท หนึ่งในประชาคมเพียงสี่แห่งในลอนดอนเวลานั้น. ในช่วงนั้นเอง เราเริ่มได้ยินข่าวเกี่ยวกับพี่น้องคริสเตียนชายหญิงของเราในเยอรมนีที่ฮิตเลอร์มีอำนาจอยู่นั้นถูกคุมขังและทนทุกข์ทรมาน เนื่องจากพวกเขาไม่ยอมสนับสนุนการสงครามของฮิตเลอร์.
ในปี 1938 เดือนนั้นทีเดียวที่ดิฉันหมดหนี้ค่าหนังสือต่าง ๆ ที่ดิฉันได้รับ ดิฉันออกจากงานเพื่อเป็นไพโอเนียร์สมดังที่ปรารถนา. เบริลน้องสาวดิฉันเริ่มงานไพโอเนียร์ที่ลอนดอนในเวลาเดียวกัน แต่เธออยู่ในบ้านไพโอเนียร์อีกหลังหนึ่ง. คนแรกที่ทำงานคู่กับดิฉันในงานไพโอเนียร์ก็คือ มิลเดร็ด วิลเลตต์ ซึ่งต่อมาแต่งงานกับจอห์น บารร์ เวลานี้เป็นสมาชิกคณะกรรมการปกครองของพยานพระยะโฮวา. เราจะขี่จักรยานไปยังเขตทำงานพร้อมกับคนอื่น ๆ ในกลุ่มของเรา และอยู่ที่นั่นตลอดวัน แม้ว่าบ่อยครั้งฝนจะตกก็ตาม.
เมฆทะมึนแห่งสงครามกำลังลอยอยู่เหนือยุโรป. มีการให้ประชาชนฝึกซ้อมใช้หน้ากากกันแก๊สพิษ และมีการเตรียมการเพื่ออพยพเด็ก ๆ ไปยังชนบทของอังกฤษหรือไปยังเมืองเล็ก ๆ ในกรณีที่เกิดสงคราม. ดิฉันมีเงินเก็บแค่พอซื้อรองเท้าหนึ่งคู่ และไม่มีทางที่จะได้ความช่วยเหลือทางการเงินจากคุณพ่อคุณแม่. แต่พระเยซูตรัสไว้มิใช่หรือที่ว่า ‘พระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งอื่นเหล่านี้ทั้งหมด หากท่านแสวงหาราชอาณาจักรก่อน’? (มัดธาย 6:33, ล.ม.) ดิฉันมีความเชื่ออย่างเต็มเปี่ยมว่า พระยะโฮวาจะทรงเพิ่มเติมสิ่งจำเป็นทั้งหมดแก่ดิฉัน และพระองค์ทรงเพิ่มเติมให้ดิฉันมากมายในช่วงปีเหล่านี้. ระหว่างสงคราม บางครั้ง ดิฉันได้ผักซึ่งเก็บได้ตามถนนหลังจากที่รถบรรทุกผักเต็มคันแล่นผ่านไป มาเพิ่มเข้ากับอาหารเพียงเล็กน้อยที่ได้จากการปันส่วน. และบ่อยครั้ง ดิฉันจะได้อาหารจากการแลกสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลกับผักและผลไม้.
ซอนยาน้องสาวคนเล็กของดิฉันเกิดปี 1928. เธออายุเพียงเจ็ดขวบตอนที่เธออุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวา. ซอนยาบอกว่า แม้อายุยังน้อย งานไพโอเนียร์ก็เป็นเป้าประสงค์ของเธอ. ในปี 1941 ไม่นานหลังจากที่แสดงสัญลักษณ์ของการอุทิศตัวโดยรับบัพติสมาในน้ำ เธอทำให้เป้าประสงค์นั้นเป็นจริงเมื่อเธอและคุณแม่ได้รับมอบหมายเป็นไพโอเนียร์ที่คาร์ฟิลลี แคว้นเวลส์ตอนใต้.
งานเผยแพร่ของเราในช่วงสงคราม
ในเดือนกันยายน 1939 สงครามโลกครั้งที่สองเริ่มขึ้น และพี่น้องคริสเตียนชายหญิงของเราในอังกฤษถูกคุมขังด้วยเหตุผลเดียวกันกับที่เพื่อนร่วมความเชื่อของพวกเขาถูกจับในเยอรมนีภายใต้การครอบครองของนาซี นั่นคือจุดยืนที่เป็นกลางเกี่ยวกับการเข้าร่วมสงคราม. การทิ้งระเบิดในอังกฤษเริ่มขึ้นกลางปี 1940. คืนแล้วคืนเล่า การโจมตีทิ้งระเบิดแบบสายฟ้าแลบดังจนแสบแก้วหู แต่ด้วยความช่วยเหลือของพระยะโฮวา เราได้หลับบ้างและรู้สึกสดชื่นที่จะทำงานเผยแพร่ในวันรุ่งขึ้น.
บางครั้ง เราไปถึงเขตประกาศของเรา แต่แล้วก็พบว่าบ้านส่วนใหญ่พังพินาศไปแล้ว. ในเดือนพฤศจิกายน มีระเบิดลูกหนึ่งตกห่างออกไปไม่กี่หลาจากบ้านที่พวกเราบางคนพักอยู่ ทำให้หน้าต่างแตกกระจายไม่เป็นชิ้นดี. ประตูหน้าบ้านบานหนักล้มลง และปล่องไฟก็พังลงมา. หลังจากที่อยู่ในหลุมหลบภัยจนถึงเช้า เราแยกกันไปอยู่ตามบ้านของพี่น้องพยานฯ.
ไม่นานหลังจากนั้น ดิฉันได้รับงานมอบหมายให้ไปยังครอยดอนในเขตลอนดอนและปริมณฑล. ไพโอเนียร์ที่เป็นคู่ของดิฉันคือแอนน์ พาร์กิน ซึ่งรอน พาร์กิน น้องชายของเธอได้เป็นผู้ประสานงานสาขาที่เปอร์โตริโกในเวลาต่อมา. จากนั้น ดิฉันย้ายไปที่บริดเจนด์ แคว้นเวลส์ตอนใต้ ที่ซึ่งดิฉันเป็นไพโอเนียร์ต่อ โดยอาศัยอยู่ในรถตู้เทียมม้าเป็นเวลาหกเดือน. จากที่นั่น เราจะขี่จักรยานหกกิโลเมตร เพื่อไปยังประชาคมใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุดที่พอร์ตแทลบอต.
ในเวลานั้น ประชาชนเริ่มเป็นปฏิปักษ์ต่อเรามาก เรียกเราว่า คอนชีส์ (ผู้ที่ปฏิเสธการเป็นทหารเนื่องด้วยหลักทางศีลธรรมหรือศาสนา). สิ่งนี้ทำให้เราหาที่พักได้ยาก แต่พระยะโฮวาทรงเอาพระทัยใส่เราตามที่ทรงสัญญาไว้.
ต่อมา พวกเราแปดคนได้รับมอบหมายให้เป็นไพโอเนียร์พิเศษในสวอนซี เมืองท่าในแคว้นเวลส์ตอนใต้. ขณะที่สงครามทวีความรุนแรงขึ้น อคติที่มีต่อเราก็ทวีขึ้นเช่นกัน. มีคนเขียนคำว่า “คนทรยศ” และ “คนขี้ขลาด” ที่กำแพงบ้านพักไพโอเนียร์ของเรา. ความเป็นปฏิปักษ์นี้ถูกปลุกปั่นโดยรายงานข่าวในหนังสือพิมพ์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งประณามเราที่วางตัวเป็นกลาง. ในที่สุด เจ็ดคนในพวกเราถูกส่งเข้าคุกทีละคน ๆ. ดิฉันอยู่ในคุกคาร์ดิฟฟ์หนึ่งเดือนในปี 1942 และต่อมา เบริลน้องสาวดิฉันก็อยู่ในคุกนั้นด้วย. แม้ว่าเรามีวัตถุสิ่งของไม่มากและทนรับการเยาะเย้ยและคำตำหนิ แต่เราก็ร่ำรวยฝ่ายวิญญาณ.
ในระหว่างนั้น คุณแม่และซอนยากำลังเป็นไพโอเนียร์ที่คาร์ฟิลลี และมีประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกัน. การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลรายแรกเลยที่ซอนยานำก็คือการศึกษากับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเธอตกลงจะไปเยี่ยมในเย็นวันศุกร์. ซอนยามั่นใจว่า คุณแม่จะไปกับเธอ แต่คุณแม่อธิบายว่า “แม่มีนัดอีกรายหนึ่ง. ลูกเป็นคนนัดแนะ ดังนั้น ลูกจะต้องไปเอง.” แม้ว่าซอนยาอายุเพียง 13 ปี แต่เธอก็ไปด้วยตัวเธอเอง และผู้หญิงคนนั้นก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างดี และต่อมาก็ได้มาเป็นพยานฯที่อุทิศตัว.
กิจการงานหลังสงคราม—แล้วไปกิเลียด
เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงในปี 1945 ดิฉันกำลังทำงานในเขตโดดเดี่ยวในเวลี บริดจ์ มณฑลเดอร์บีเชียร์. ในเช้าวันที่มีการประกาศหยุดยิง เราเยี่ยมเยียนและปลอบประโลมประชาชนซึ่งในเวลานั้นเอือมระอาเต็มทีกับสงครามที่ทำให้มีลูกกำพร้า, หญิงม่าย, และร่างกายที่พิการ.
ไม่กี่เดือนต่อมา สมาคมฯขออาสาสมัครที่จะไปเผยแพร่ในไอร์แลนด์ เกาะมรกต. ในเวลานั้น มีพยานพระยะโฮวาประมาณ 140 คนเท่านั้นบนเกาะนี้ ดังนั้น จึงถือว่าเป็นเขตมิชชันนารี. ภายในเวลาไม่กี่เดือน ไพโอเนียร์พิเศษประมาณ 40 คนได้รับมอบหมายให้ไปที่นั่น และดิฉันเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น.
หลังจากที่ทำงานอยู่ระยะหนึ่งในเมืองโคเลอเรนและคุกสทาวน์ทางตอนเหนือ ดิฉันได้รับมอบหมายพร้อมกับอีกสามคนให้ไปยังเมืองดรออิดาทางชายฝั่งตะวันออก. แม้ว่าคนไอริชโดยนิสัยแล้วเป็นคนที่เป็นมิตรและมีอัธยาศัยดีมาก แต่อคติทางศาสนานั้นมีมากเหลือเกิน. ดังนั้น ในช่วงหนึ่งปีเต็ม ๆ เราจำหน่ายคู่มือศึกษาคัมภีร์ไบเบิลได้แค่ไม่กี่เล่มแก่ประชาชน (ที่จริง หนังสือปกแข็งเพียงหนึ่งเล่มและหนังสือเล่มเล็กไม่กี่เล่มเท่านั้น).
ระหว่างที่เราอยู่ที่เมืองดรออิดา ขณะที่ดิฉันกำลังขี่จักรยานจากฟาร์มหนึ่งไปยังอีกฟาร์มหนึ่ง ในทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มคนงานในไร่คนหนึ่งโผล่พรวดออกจากแนวพุ่มไม้มาที่ถนน. เขาเหลียวซ้ายแลขวา แล้วถามเสียงเบา ๆ ว่า “คุณเป็นพยานพระยะโฮวาใช่ไหม?” เมื่อดิฉันตอบว่าใช่ เขาก็พูดต่อว่า “เมื่อคืนนี้ ผมเถียงกับคู่หมั้นอย่างรุนแรงเกี่ยวกับพวกคุณสาว ๆ ทั้งหลาย และเราถึงกับถอนหมั้นกัน. เธอยืนกรานว่าพวกคุณเป็นคอมมิวนิสต์ ตามที่พวกบาทหลวงคาทอลิกและหนังสือพิมพ์บอก แต่ผมเถียงว่า เป็นจริงไปไม่ได้เพราะพวกคุณไปตามบ้านอย่างเปิดเผย.”
ดิฉันเอาหนังสือเล่มเล็กให้เขาไปอ่านเล่มหนึ่ง ซึ่งเขาซ่อนไว้ในกระเป๋า และเรานัดแนะเพื่อพบและคุยกันอีกหลังค่ำ เพราะเขาบอกว่า “ถ้ามีใครเห็นผมคุยกับคุณ ผมจะต้องตกงาน.” คืนนั้น สองคนในพวกเราพูดคุยกับเขาและตอบคำถามของเขาหลายข้อ. ดูเขามั่นใจว่า นี่เป็นความจริง และเขาสัญญาว่าจะมาที่บ้านของเราอีกในตอนกลางคืนเพื่อเรียนรู้มากขึ้น. เขาไม่เคยมา ดังนั้น เราจึงรู้สึกว่า คงต้องมีคนขี่จักรยานผ่านไปแล้วจำเขาได้ในคืนแรก และเขาอาจต้องออกจากงาน. เรานึกสงสัยอยู่บ่อย ๆ ว่า เขาได้เข้ามาเป็นพยานฯหรือไม่.
หลังจากเข้าร่วมการประชุมภาคในไบรก์ตันทางชายฝั่งด้านใต้ของอังกฤษในปี 1949 แล้ว หลายคนในพวกเราได้รับการเชิญให้ไปยังโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียดในรัฐนิวยอร์ก. ทั้งหมด 26 คนจากอังกฤษเข้าชั้นเรียนที่ 15 ซึ่งสำเร็จการศึกษาในวันที่ 30 กรกฎาคม 1950 ในช่วงที่มีการประชุมนานาชาติที่สนามกีฬาแยงกี.
งานเผยแพร่ของเราในบราซิล
ในปีถัดมา ดิฉันได้รับมอบหมายให้ไปเมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล เมืองที่เติบโตเร็วที่สุดเมืองหนึ่งของโลก. ในเวลานั้น มีเพียงห้าประชาคมของพยานพระยะโฮวา แต่เวลานี้ มีเกือบ 600 ประชาคม! ช่างเป็นความแตกต่างอะไรเช่นนี้กับการทำงานในไอร์แลนด์! บ้านเป็นจำนวนมากในเขตทำงานของเราในเซาเปาโลเป็นคฤหาสน์ ซึ่งมีรั้วเหล็กสูงล้อมรอบ และมีประตูเหล็กดัดที่งดงาม. เราจะเรียกเจ้าของบ้านหรือสาวใช้ด้วยการตบมือ.
ขณะที่เวลาผ่านไป มีงานมอบหมายใหม่ ๆ เข้ามา. ดิฉันได้รับสิทธิพิเศษในการช่วยจัดตั้งประชาคมใหม่ ๆ ในที่ต่าง ๆ กันใจกลางรัฐเซาเปาโล รวมทั้งประชาคมหนึ่งในฮุนเดียอิในปี 1955 และอีกประชาคมหนึ่งในปิราซิกาบาในปี 1958. ต่อมาในปี 1960 ซอนยาน้องสาวได้มาทำงานคู่กับดิฉันในงานมิชชันนารี และเราได้รับมอบหมายให้ไปยังปอร์โตอะเลเกร เมืองหลวงของรัฐรีโอแกรงเดดูซุล. คุณอาจนึกสงสัยว่า เป็นมาอย่างไรเธอจึงมาที่บราซิล?
ซอนยาและคุณแม่ยังคงเป็นไพโอเนียร์ด้วยกันต่อไปในอังกฤษหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง. แต่ต้นทศวรรษปี 1950 คุณแม่รับการผ่าตัดมะเร็ง ซึ่งทำให้เธออ่อนแอเกินกว่าที่จะไปตามบ้านได้ แม้ว่าเธอสามารถนำการศึกษาพระคัมภีร์และเขียนจดหมายก็ตาม. ซอนยายังคงอยู่ในงานไพโอเนียร์ต่อไป และในเวลาเดียวกัน เธอช่วยดูแลคุณแม่. ในปี 1959 ซอนยาได้รับสิทธิพิเศษที่จะเข้าชั้นเรียนที่ 33 ของโรงเรียนกิเลียด และได้รับมอบหมายให้ไปบราซิล. ในระหว่างนั้น เบริลดูแลคุณแม่จนท่านสิ้นชีวิตในปี 1962. เบริลในเวลานั้นแต่งงานแล้ว และเธอกับครอบครัวกำลังรับใช้พระยะโฮวาอยู่อย่างซื่อสัตย์.
ในบราซิล ซอนยาและดิฉันช่วยหลายคนถึงขั้นอุทิศตัวและรับบัพติสมา. อย่างไรก็ดี ปัญหาหนึ่งซึ่งชาวบราซิลจำนวนมากประสบก็คือ การทำให้การสมรสของตนถูกต้องตามกฎหมาย. เนื่องจากการหย่าเป็นไปได้ยากในบราซิล จึงไม่ใช่สิ่งผิดปกติที่ผู้ชายและผู้หญิงเพียงแต่อยู่ด้วยกันโดยไม่ได้จดทะเบียนการสมรส. นี่เป็นกรณีโดยเฉพาะเมื่อฝ่ายหนึ่งแยกกันอยู่กับคู่สมรสเดิมที่ถูกต้องตามกฎหมาย.
ผู้หญิงคนหนึ่งชื่ออีวาอยู่ในสภาพการณ์นี้เมื่อดิฉันพบเธอ. คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายหายตัวไป ดังนั้น เพื่อจะรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน เราจึงจัดให้มีคำประกาศทางวิทยุ. เมื่อทราบว่าสามีของเธออยู่ที่ไหน ดิฉันไปที่เมืองนั้นกับเธอ เพื่อให้เขาเซ็นชื่อในเอกสารซึ่งจะทำให้เธอเป็นอิสระ เพื่อว่าเธอจะได้ทำให้การอยู่กินกับชายที่เธอไม่ได้สมรสด้วยนั้นถูกต้องตามกฎหมาย. ในการสืบพยานต่อหน้าผู้พิพากษา ผู้พิพากษาขอให้ทั้งอีวาและดิฉันอธิบายว่า เหตุใดเธอจึงต้องการทำให้สถานะการสมรสของเธอถูกต้อง. ผู้พิพากษาแสดงความประหลาดใจและความพอใจด้วยเมื่อมีการอธิบายถึงเหตุผล.
ในอีกโอกาสหนึ่ง ดิฉันไปกับนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งของดิฉัน เพื่อจัดหาทนายความมาดำเนินการฟ้องร้องให้เธอ. อีกครั้งหนึ่ง มีการให้คำพยานที่ดีในเรื่องการสมรสและมาตรฐานทางศีลธรรมของพระเจ้า. ในกรณีนี้ ค่าดำเนินการฟ้องร้องในการหย่านั้นสูงมากจนทั้งคู่ต้องทำงานหาเงินมาจ่ายค่าธรรมเนียม. แต่สำหรับนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลรายใหม่เหล่านี้ สิ่งนี้คุ้มค่ากับความพยายาม. ซอนยาและดิฉันมีสิทธิพิเศษที่ได้เป็นสักขีพยานในการสมรสของเขา และจากนั้น พร้อมด้วยลูกวัยรุ่นสามคนของเขา เราฟังคำบรรยายสั้น ๆ จากคัมภีร์ไบเบิลที่บ้านของเขา.
ชีวิตที่โชกโชนและคุ้มค่า
เมื่อซอนยาและดิฉันอุทิศชีวิตของเราแด่พระยะโฮวา และได้มาเป็นไพโอเนียร์ เราตั้งใจว่า เท่าที่จะเป็นไปได้ งานเผยแพร่เต็มเวลาจะเป็นงานประจำชีวิตของเรา. เราไม่เคยเป็นห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตบั้นปลายของเรา หรือในกรณีที่เจ็บป่วยหรือมีความยุ่งยากทางการเงิน. กระนั้น ดังที่พระยะโฮวาทรงสัญญา เราไม่เคยถูกทอดทิ้ง.—เฮ็บราย 13:6.
แต่แน่นอน การมีเงินไม่พอบางครั้งก็เป็นปัญหา. มีอยู่ช่วงหนึ่ง ดิฉันกับเพื่อนไพโอเนียร์ที่ทำงานด้วยกันกินแซนด์วิชผักชีเป็นอาหารเที่ยงอยู่หนึ่งปีเต็ม ๆ แต่เราไม่เคยอดอยาก หรือขาดสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต.
เมื่อเวลาล่วงเลยไป กำลังของเราก็ถดถอยตามไปด้วย. ในช่วงกลางทศวรรษปี 1980 เราทั้งคู่รับการผ่าตัดใหญ่ ซึ่งยังผลให้เกิดการทดลองอย่างหนักสำหรับเรา เนื่องจากงานเผยแพร่ของเราถูกตัดทอนลงไปมาก. ในเดือนมกราคม 1987 เราได้รับเชิญให้เป็นสมาชิกทำงานในสำนักงานกลางของพยานพระยะโฮวาในบราซิล.
ครอบครัวใหญ่ของเราซึ่งมีผู้รับใช้กว่าหนึ่งพันคนอยู่ห่างจากตัวเมืองเซาเปาโลออกไปประมาณ 140 กิโลเมตรในกลุ่มอาคารอันสวยงาม ที่ซึ่งเราพิมพ์สรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลสำหรับบราซิลและส่วนอื่น ๆ ของทวีปอเมริกาใต้. ที่นี่ เราได้รับการดูแลเอาใจใส่ด้วยความรักจากผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้า. เมื่อดิฉันมาที่บราซิลเป็นครั้งแรกในปี 1951 มีผู้ประกาศข่าวราชอาณาจักรประมาณ 4,000 คน แต่เวลานี้ มีกว่า 366,000 คน! พระบิดาผู้มีความเห็นอกเห็นใจของเราในสวรรค์ทรงเพิ่มเติม ‘สิ่งอื่นทั้งหมด’ แก่เราอย่างแท้จริงเนื่องจากเราแสวงหาราชอาณาจักรของพระองค์เป็นอันดับแรก.—มัดธาย 6:33.
[รูปภาพหน้า 22]
ปี 1939 โอลิฟและมิลเดร็ด วิลเลตต์อยู่ข้างรถโฆษณาปาฐกถา
[รูปภาพหน้า 25]
โอลิฟและซอนยา สปริงเกต