ผมได้อุทิศชีวิตเพื่อสิ่งดีที่สุด
เล่าโดย บ็อบ แอนเดอร์สัน
ราว ๆ สิบปีมาแล้ว เพื่อนบางคนถามผมว่า “ทำไมคุณเป็นไพโอเนียร์นานอย่างนี้ บ็อบ?”“เออ” ผมยิ้มและบอกว่า “แล้วคุณคิดว่ามีอะไรที่ดียิ่งไปกว่างานไพโอเนียร์ล่ะ?”
ผมอายุ 23 ปีในปี 1931 เมื่อผมเข้าสู่งานรับใช้เป็นไพโอเนียร์. ปัจจุบันผมอายุ 87 ปีและยังคงเป็นไพโอเนียร์อยู่. ผมรู้ว่าไม่มีอะไรดีไปกว่านี้ที่ผมจะอุทิศชีวิตให้. ขอให้ผมอธิบายเหตุผล.
ในปี 1914 มีการแจกแผ่นพับใบหนึ่งไว้ที่บ้านของเรา. แผ่นพับนั้นจัดพิมพ์โดยนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลนานาชาติ อันเป็นชื่อที่เรียกพยานพระยะโฮวากันในสมัยนั้น. เมื่อพยานฯคนนั้นกลับมา คุณแม่ถามเขาอย่างละเอียดเรื่องไฟนรก. ท่านได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาฐานะเป็นเมโทดิสต์ที่เคร่ง แต่ไม่อาจทำให้คำสอนเรื่องการทรมานตลอดกาลนี้ประสานกับพระเจ้าแห่งความรักได้เลย. ทันทีที่ท่านได้เรียนรู้ความจริงในเรื่องนี้ ท่านบอกว่า “แม่รู้สึกมีความสุขยิ่งกว่าที่เคยรู้สึกมาในชีวิต!”
คุณแม่เลิกสอนที่โรงเรียนรวิวารศึกษาของกลุ่มเมโทดิสต์ทันที แล้วสมทบกับนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกลุ่มเล็ก ๆ นั้น. คุณแม่เริ่มประกาศในเบอร์เคนเฮดบ้านเกิดของเรา ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับท่าเรือลิเวอร์พูล อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำเมอร์ซีย์ และไม่นานก็ปั่นรถจักรยานเป็นประจำไปยังเมืองใกล้เคียงหลายเมือง. ท่านให้คำพยานในเขตทำงานที่กว้างขวางนี้ตลอดชีวิตของท่านและเป็นที่รู้จักดี และได้วางตัวอย่างที่ดีไว้สำหรับลูก ๆ. ท่านเสียชีวิตในปี 1971 เมื่อแก่หง่อมด้วยวัย 97 ปี เป็นพยานฯที่เอาการเอางานจนถึงที่สุด.
ผมกับแคทลีนพี่สาวได้ย้ายจากโรงเรียนรวิวารศึกษาของเมโทดิสต์ติดตามคุณแม่ไปยังการประชุมกับนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. ต่อมา เมื่อคุณพ่อตามไปด้วย คุณพ่อคุณแม่ได้จัดให้มีการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลในครอบครัวเป็นประจำโดยใช้หนังสือพิณของพระเจ้า (ภาษาอังกฤษ). การศึกษาดังกล่าวเป็นสิ่งแปลกใหม่ในยุคนั้น แต่การวางพื้นฐานแต่เนิ่น ๆ ในความจริงขั้นมูลฐานของคัมภีร์ไบเบิลเช่นนี้ให้ผลตอบแทนล้ำค่า เนื่องจากทั้งพี่สาวและผมเข้าสู่การรับใช้ประเภทไพโอเนียร์เมื่อถึงเวลา.
คุณแม่ยืนยันว่าการชม “ภาพยนตร์เรื่องการทรงสร้าง” ในลิเวอร์พูลเมื่อปี 1920 เป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อฝ่ายวิญญาณสำหรับพวกเราที่เป็นเด็ก ๆ และท่านก็เป็นฝ่ายถูก. แม้ผมยังเด็ก แต่ภาพยนตร์นั้นยังคงแจ่มชัดในใจผม. ส่วนที่โดดเด่นอยู่ในความทรงจำของผมคือตอนที่แสดงถึงชีวิตของพระเยซู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพที่แสดงให้เห็นพระองค์ทรงเดินไปสู่การประหาร. ประสบการณ์ทั้งหมดช่วยผมให้จดจ่อกับงานสำคัญที่สุดในชีวิต—งานประกาศนั่นเอง!
ต้นทศวรรษปี 1920 ผมเริ่มแจกจ่ายแผ่นพับกับคุณแม่ตอนบ่ายวันอาทิตย์. ทีแรก เราได้รับการแนะนำให้ทิ้งแผ่นพับไว้ตามบ้าน ต่อมา มีการบอกให้เราส่งให้เจ้าของบ้าน และจากนั้นก็ไปเยี่ยมคนเหล่านั้นที่สนใจอีก. ผมถือเสมอว่านี่เป็นรากฐานแรกเริ่มสำหรับการกลับเยี่ยมเยียนและการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งบังเกิดผลมากทีเดียวในทุกวันนี้.
เข้าสู่งานรับใช้ประเภทไพโอเนียร์!
แคทลีนกับผมได้รับบัพติสมาในปี 1927. ผมทำงานเป็นนักเคมีวิเคราะห์อยู่ในลิเวอร์พูล ตอนที่ผมได้ยินมติที่รับเอาชื่อพยานพระยะโฮวาในปี 1931. บ่อยครั้งผมเคยเห็นพวกคอลพอเตอร์ (ปัจจุบันเรียกว่าไพโอเนียร์) ของสมาคมฯทำงานในเขตธุรกิจในลิเวอร์พูล และตัวอย่างของพวกเขาทำให้ผมประทับใจมากทีเดียว. ผมใฝ่หาสักเพียงไรที่จะพ้นจากการคบหาฝ่ายโลก เพื่อใช้ชีวิตในการรับใช้พระยะโฮวา!
ระหว่างฤดูร้อนในปีเดียวกันนั้น เกอรี การ์ราด เพื่อนของผมบอกว่าเขาได้รับการมอบหมายจากโจเซฟ เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ด นายกคนที่สองของสมาคมว็อชเทาเวอร์ให้ไปประกาศในอินเดีย. ก่อนขึ้นเรือ เขามาเยี่ยมผมแล้วพูดถึงสิทธิพิเศษแห่งการรับใช้เต็มเวลา. เมื่อเขากล่าวคำอำลา เขาได้สนับสนุนผมต่อไปอีกโดยพูดว่า “ผมแน่ใจว่าคุณจะเป็นไพโอเนียร์ไม่ช้านี้ บ็อบ.” และก็เป็นอย่างนั้น. ผมสมัครในเดือนตุลาคมปีนั้น. ช่างน่ายินดีและเป็นอิสระเสียจริง ๆ ที่ได้ปั่นจักรยานไปตามถนนในชนบทประกาศแก่ชุมชนต่าง ๆ ที่อยู่โดดเดี่ยว! ตอนนั้นผมรู้ว่าผมเริ่มลงมือทำงานสำคัญที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้.
เขตมอบหมายไพโอเนียร์ครั้งแรกของผมอยู่ในแคว้นเวลส์ตอนใต้ ผมได้สมทบกับซีริล สเตนติฟอร์ด ที่นั่น. ต่อมาซีริลแต่งงานกับแคทลีน และเขาเป็นไพโอเนียร์ด้วยกันหลายปี. รูท ลูกสาวของเขาได้เข้าสู่งานรับใช้ประเภทไพโอเนียร์ในภายหลังด้วย. ปี 1937 ผมอยู่ในฟลีตวูด มณฑลแลงคาเชียร์โดยมี เอริก คุก เป็นเพื่อนร่วมงาน. จนถึงเวลานั้น ไพโอเนียร์ทำงานเฉพาะเขตชนบทของบริเตน นอกเขตทำงานของประชาคม. แต่อัลเบิร์ต ดี. ชโรเดอร์ ผู้ซึ่งรับผิดชอบงานของสำนักงานสาขาลอนดอนของสมาคมฯในสมัยนั้น ได้ตัดสินใจย้ายเราไปยังเมืองแบรดฟอร์ด มณฑลยอร์กเชียร์. นี่เป็นครั้งแรกที่ไพโอเนียร์ในบริเตนถูกมอบหมายให้ช่วยประชาคมหนึ่งโดยเฉพาะ.
ปี 1946 เอริกไปโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ ไบเบิลแห่งกิเลียด และถูกมอบหมายไปยังโรดีเซียใต้ ปัจจุบันนี้คือ ซิมบับเว เขากับภรรยายังคงรับใช้อย่างซื่อสัตย์ฐานะมิชชันนารีในเดอร์บัน สาธารณรัฐแอฟริกาใต้.
ในปี 1938 ผมได้รับงานมอบหมายอีกอย่างหนึ่ง คราวนี้ฐานะผู้รับใช้โซน (ปัจจุบันเรียกว่าผู้ดูแลหมวด) ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลแลงคาเชียร์และเขตทะเลสาบอันงดงาม. ที่นั่นผมพบโอลิฟ ดักเก็ตต์ และหลังจากที่เราแต่งงานกัน เธอไปกับผมในงานหมวดทันที.
ไอร์แลนด์ระหว่างช่วงสงคราม
ไม่นานหลังจากบริเตนประกาศสงครามกับเยอรมนีในเดือนกันยายน 1939 เขตมอบหมายของผมถูกเปลี่ยนไปยังไอร์แลนด์. การเรียกทหารเข้าประจำการในกองทัพเริ่มขึ้นในบริเตน แต่ไม่มีในสาธารณรัฐไอร์แลนด์ที่อยู่ทางตอนใต้ ซึ่งยังคงเป็นประเทศที่เป็นกลางอยู่ในช่วงที่มีสงคราม. สาธารณรัฐไอร์แลนด์และไอร์แลนด์เหนือรวมเป็นหมวดเดียว. อย่างไรก็ตาม มีการวางข้อจำกัด และจำเป็นต้องได้รับใบอนุญาตในการเดินทางเพื่อจะออกจากบริเตนไปยังส่วนใดส่วนหนึ่งของไอร์แลนด์. เจ้าหน้าที่แจ้งให้ผมทราบว่า ผมจะเดินทางไปได้ แต่ผมต้องยินยอมกลับอังกฤษทันทีเมื่อมีการเรียกกลุ่มของผมที่มีอายุครบเกณฑ์เข้าประจำการ. ผมรับปาก แต่สิ่งที่ยังความประหลาดใจแก่ผมก็คือ เมื่อมีการออกใบอนุญาตของผม ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขแนบมาด้วยเลย!
ในตอนนั้น มีพยานฯเพียง 100 กว่าคนทั่วทั้งไอร์แลนด์. เมื่อเรามาถึงดับลินในเดือนพฤศจิกายน 1939 แจ็ก คอร์ ผู้ที่เป็นไพโอเนียร์มานานแล้ว มาพบเรา. เขาบอกเราว่ามีไพโอเนียร์อีกสองคนในเมืองใกล้ ๆ และคนสนใจไม่กี่คนในดับลิน รวมทั้งหมดราว ๆ 20 คน. แจ็กเช่าห้องหนึ่งในดับลินสำหรับการประชุมซึ่งทุกคนเห็นพ้องกันที่จะประชุมที่นั่นเป็นประจำทุกวันอาทิตย์. การจัดเตรียมนี้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งมีการตั้งประชาคมขึ้นในปี 1940.
เนื่องจากเป็นส่วนของสหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์เหนือจึงอยู่ในภาวะสงครามกับเยอรมนี ดังนั้น ขณะที่เราย้ายขึ้นไปที่เบลฟาสต์ เราได้รับบัตรปันส่วนอาหารและต้องเผชิญกับช่วงปิดไฟเพื่อระวังการโจมตีทางอากาศในยามค่ำคืน. ถึงแม้เครื่องบินของนาซีต้องบินเป็นระยะทางมากกว่า 1,600 กิโลเมตรเพื่อมาถึงเบลฟาสต์แล้วกลับไปยังฐานทัพในยุโรปก็ตาม พวกเขาทิ้งระเบิดใส่เมืองอย่างมีประสิทธิภาพ. ระหว่างการโจมตีครั้งแรก หอประชุมของเราได้รับความเสียหายและห้องพักของเราพังทลายขณะที่เรากำลังเยี่ยมพี่น้องอยู่ในอีกส่วนหนึ่งของเมือง ดังนั้นเราจึงรอดพ้นอย่างน่าทึ่ง. คืนเดียวกันนั้น ครอบครัวพยานฯครอบครัวหนึ่งวิ่งไปยังที่หลบภัยสาธารณะ. เมื่อพวกเขาไปถึง ก็พบว่าคนเต็มหมดจึงต้องกลับบ้าน. มีระเบิดลงตรงที่หลบภัยนั้น และทุกคนในนั้นตายหมด แต่พี่น้องของเรารอดชีวิตพร้อมกับมีบาดแผลและรอยฟกช้ำดำเขียวบ้าง. ระหว่างช่วงสงครามที่ยากลำบากนี้ ไม่มีพี่น้องของเราสักคนเดียวได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเราขอบพระคุณพระยะโฮวา.
การจัดส่งอาหารฝ่ายวิญญาณ
ขณะที่สงครามคืบหน้าไป ข้อจำกัดก็เข้มงวดมากขึ้นและในที่สุดก็มีการกำหนดให้ตรวจสอบสิ่งที่ส่งทางไปรษณีย์. นี่หมายความว่าหอสังเกตการณ์ จะถูกยึดและไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศ. ถึงแม้เราสงสัยว่าเราจะทำอะไรได้ พระหัตถ์ของพระยะโฮวาไม่สั้นเกินไป. เช้าวันหนึ่งผมได้รับจดหมายจาก “ลูกพี่ลูกน้อง” คนหนึ่งในแคนาดาซึ่งเขียนถึงผมเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว. ผมนึกไม่ออกว่าเขาเป็นใคร แต่ในปัจฉิมลิขิต เขาบอกว่า เขาแนบ “บทความเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง” มาให้ผมอ่าน. นั่นเป็นสำเนาของหอสังเกตการณ์ แต่เนื่องจากไม่มีปกตามแบบที่เคยมี พนักงานตรวจสอบจึงไม่ได้เอาสำเนานั้นออกไป.
ภรรยากับผม พร้อมด้วยความช่วยเหลือของพยานฯในท้องถิ่น รวมทั้งแมกกี คูเพอร์ซึ่งเคยทำงานเกี่ยวกับ “ภาพยนตร์” ได้เริ่มอัดสำเนาบทความนั้นทันที. ไม่ช้าเราได้จัดระบบส่งสำเนา 120 ฉบับออกไปทั่วประเทศ ขณะที่วารสารหอสังเกตการณ์ ไม่มีปกมาถึงเป็นประจำจากเพื่อนใหม่ ๆ มากมายในแคนาดา, ออสเตรเลีย, และสหรัฐ. เนื่องจากความขยันขันแข็งและความกรุณาของพวกเขา เราไม่เคยพลาดสักฉบับเดียวตลอดช่วงสงคราม.
เราสามารถจัดการประชุมใหญ่ได้ด้วย. ที่โดดเด่นคือการประชุมใหญ่ปี 1941 เมื่อมีการออกหนังสือใหม่ชื่อเด็ก ๆ (ภาษาอังกฤษ). ดูเหมือนว่าพนักงานตรวจสอบไม่คัดค้านหนังสือซึ่งเขาคิดว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับเด็ก ดังนั้น เราจึงหาทางนำหนังสือของเราเข้าประเทศได้โดยไม่ลำบากแต่อย่างใด! ในอีกโอกาสหนึ่ง เราจัดให้พิมพ์หนังสือเล่มเล็กสันติภาพ—จะยืนยงไหม? (ภาษาอังกฤษ) ในท้องถิ่นเพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะนำหนังสือจากลอนดอนเข้ามา. ทั้ง ๆ ที่มีการใช้ข้อจำกัดกับเราด้วยประการทั้งปวงก็ตาม เราได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดีทางด้านวิญญาณ.
เอาชนะการต่อต้าน
นักเทศน์คนหนึ่งที่พักอยู่ในสถานพยาบาลที่เบลฟาสต์ ซึ่งพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งดำเนินการ ได้ส่งหนังสือความมั่งคั่ง (ภาษาอังกฤษ) เล่มหนึ่งให้ภรรยาในอังกฤษ. เธอต่อต้านความจริง และเธอทำให้ประเด็นนั้นเด่นชัดในจดหมายตอบของเธอ. เธอยังยืนยันด้วยว่าเราเป็น “องค์การที่ไม่รักชาติ.” พนักงานตรวจสอบสิ่งที่ส่งทางไปรษณีย์สังเกตเรื่องนี้ และได้รายงานต่อกรมตำรวจสอบสวนอาชญากรรม. ผลก็คือ ผมถูกเรียกไปยังสถานีตำรวจเพื่อให้คำอธิบาย และขอให้นำหนังสือความมั่งคั่ง ไปด้วยเล่มหนึ่ง. น่าสนใจ เมื่อมีการส่งหนังสือคืนมาในที่สุด ผมสังเกตว่าส่วนที่ขีดเส้นใต้ไว้เป็นเรื่องเกี่ยวกับคริสตจักรโรมันคาทอลิกทั้งนั้น. ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้สำคัญ เนื่องจากผมทราบว่าตำรวจจับตาดูกิจการงานของพวกไออาร์เอ (กองกำลังปลดปล่อยไอริช).
ผมถูกสอบสวนอย่างละเอียดเรื่องความเป็นกลางของเราในช่วงสงคราม เพราะตำรวจพบว่ายากจะเข้าใจฐานะของเรา. แต่พวกเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ลงมือจัดการกับเราแต่อย่างใด. ต่อมา เมื่อผมขออนุญาตจัดการประชุมใหญ่ ตำรวจยืนกรานที่จะส่งผู้สื่อข่าวซึ่งเป็นตำรวจสองคนมา. ผมบอกว่า “พวกเรายินดีต้อนรับเขา!” ดังนั้น เขามาและนั่งอยู่ตลอดการประชุมภาคบ่าย จดชวเลขไปด้วย. ในตอนจบวาระการประชุม เขาถามว่า “เราถูกส่งมาที่นี่ทำไม? เราชอบทุกอย่าง!” เขามาอีกในวันรุ่งขึ้นและรับหนังสือเล่มเล็กสันติภาพ—จะยืนยงไหม? ฟรีด้วยความยินดี. ส่วนที่เหลือของการประชุมผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น.
ทันทีที่สงครามสิ้นสุดลงและมีการผ่อนผันข้อจำกัดในการเดินทาง ไพรส์ ฮิวส์ จากสำนักเบเธลลอนดอนก็มาถึงเบลฟาสต์. ฮาโรลด์ คิง ซึ่งภายหลังถูกมอบหมายไปเป็นมิชชันนารีที่ประเทศจีน ได้ตามเขามาด้วย. หลังจากหกปีที่ถูกตัดขาดจากสำนักงานสาขาลอนดอน เราทุกคนได้รับการหนุนกำลังใจมากมายจากคำบรรยายของพี่น้องเหล่านี้. หลังจากนั้นไม่นาน ฮาโรลด์ ดยูร์เดน ไพโอเนียร์ที่ซื่อสัตย์อีกคนหนึ่ง ถูกส่งจากอังกฤษมาเพื่อทำให้งานราชอาณาจักรเข้มแข็งขึ้นในเบลฟาสต์.
กลับไปอังกฤษ
เราได้พัฒนาความรักสุดซึ้งต่อพี่น้องชาวไอริช และเป็นเรื่องยากที่จะกลับไปยังอังกฤษ. แต่ภรรยากับผมถูกมอบหมายให้กลับไปยังแมนเชสเตอร์ และภายหลังก็ย้ายไปยังนิวตัน-เลอะ-วิลโลส์ อีกเมืองหนึ่งในมณฑลแลงคาเชียร์ที่ซึ่งมีความต้องการมากกว่า. โลอิส ลูกสาวของเราเกิดในปี 1953 และเป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจอบอุ่นที่เห็นเธอเข้าสู่งานรับใช้ประเภทไพโอเนียร์เมื่ออายุ 16 ปี. หลังจากเธอสมรสกับไพโอเนียร์ชื่อเดวิด พาร์คินสัน แล้ว เขาทั้งสองรับใช้เต็มเวลาต่อไปในไอร์แลนด์เหนือ เจริญรอยตามที่โอลิฟกับผมได้วางไว้. ขณะนี้ เขาทั้งสองได้กลับมาอยู่ในอังกฤษพร้อมกับลูก ๆ และพวกเราทุกคนรับใช้อยู่ในประชาคมเดียวกัน.
ทั้ง ๆ ที่สภาพการณ์ของเราเปลี่ยนไป ผมไม่เคยหยุดจากการเป็นไพโอเนียร์ โอลิฟไม่ต้องการอย่างนั้นเลย ทั้งผมก็ไม่ต้องการด้วย. ผมสำนึกเสมอว่า ภรรยามีส่วนร่วมอย่างเหมาะสมในประวัติการเป็นไพโอเนียร์ของผม เพราะถ้าปราศจากการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องด้วยความรักของเธอแล้ว ผมคงไม่สามารถอยู่ต่อไปในการรับใช้เต็มเวลาได้เลย. แน่ละ ตอนนี้เราทั้งคู่รู้สึกเหนื่อยเร็วขึ้น แต่การให้คำพยานยังเป็นความยินดีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรานำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเพื่อนบ้านของเราด้วยกัน. ตลอดหลายปี เรามีสิทธิพิเศษช่วยราว ๆ หนึ่งร้อยคนให้เข้ามาเป็นผู้รับใช้ที่อุทิศตัวบัพติสมาแล้วของพระยะโฮวา. ช่างเป็นความยินดีเสียจริง ๆ! และผมคิดว่าจำนวนนี้คงต้องทวีขึ้นหลายเท่าในปัจจุบันขณะที่ครอบครัวซึ่งขยายไปถึงชั่วอายุที่สามที่สี่ได้เข้ามาเป็นพยานฯด้วย.
โอลิฟกับผมคุยกันบ่อย ๆ ถึงสิทธิพิเศษและประสบการณ์หลายอย่างของเราตลอดหลายปี. ช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขและผ่านไปเร็วเสียจริง ๆ! ผมรู้ว่าไม่มีอะไรจะทำได้ในชีวิตของผมดีไปกว่าการรับใช้พระยะโฮวา พระเจ้าของผม ฐานะไพโอเนียร์ตลอดช่วงเวลานี้. บัดนี้ ไม่ว่ามองย้อนหลังด้วยความขอบพระคุณ หรือมองไปข้างหน้าด้วยความคาดหมาย ผมประสบว่าถ้อยคำของยิระมะยามีความหมายมากจริง ๆ ที่ว่า “เป็นความรักกรุณาของพระยะโฮวาที่พวกเราไม่ประสบความหายนะ เพราะพระเมตตาของพระองค์จะไม่ขาดสะบั้นลงเป็นแน่. พระเมตตานั้นมีมาใหม่ทุกเช้า. . . . ‘เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะแสดงเจตคติที่รอคอยพระองค์.’”—บทเพลงร้องทุกข์ของยิระมะยา 3:22-24, ล.ม.
[รูปภาพหน้า 26]
บ็อบและโอลิฟ แอนเดอร์สัน