จงหว่านต่อ ๆ ไปพระยะโฮวาจะทรงบันดาลให้เกิดผล
เล่าโดย เฟรด เม็ทคาล์ฟ
ในช่วงต้น ๆ ของปี 1948 ในงานรับใช้ตามบ้าน ผมเยี่ยมฟาร์มเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ชานเมืองคอร์กตอนใต้ของประเทศไอร์แลนด์. เมื่ออธิบายให้เจ้าของฟาร์มฟังว่าผมเป็นใคร หน้าของเขาแดงก่ำ. เขาโกรธมากและร้องตะโกนว่าผมเป็นคอมมิวนิสต์ แล้วเขาก็วิ่งเข้าไปเอาส้อมโกยฟางมา. โดยไม่ต้องคิดซ้ำสอง ผมรีบออกจากบริเวณฟาร์มและกระโดดขึ้นจักรยานซึ่งผมจอดทิ้งไว้ข้างถนน. เนินเขาที่นั่นสูงชันมากอยู่แล้ว แต่ผมปั่นจักรยานลงไปเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมไม่หันหลังไปมองเพราะคิดว่าเจ้าของฟาร์มคงจะพุ่งส้อมโกยฟางของเขาตามหลังผมเหมือนพุ่งหอก.
ผมมาคุ้นเคยกับปฏิกิริยาดังกล่าวในช่วงเวลาสองปีนับตั้งแต่ผมจากอังกฤษมาอยู่ในสาธารณรัฐไอร์แลนด์ฐานะไพโอเนียร์พิเศษในปี 1946. ผู้ประกาศราชอาณาจักรกลุ่มเล็ก ๆ ที่ผมร่วมสมทบอยู่ มีจำนวนประมาณ 24 คนเท่านั้น และพวกเขาประสบกับพฤติกรรมที่เป็นปฏิปักษ์และการสบประมาทด่าทออยู่แล้ว. แต่ผมมั่นใจว่าพระวิญญาณของพระยะโฮวาจะบันดาลให้เกิดผลในที่สุด.—ฆะลาเตีย 6:8, 9.
อย่างไรก็ดี ก่อนที่ผมจะเล่าถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ขอผมเล่าสั้น ๆ เกี่ยวกับช่วงต้น ๆ ของชีวิตและการฝึกฝนซึ่งช่วยผมยืนหยัดเมื่ออยู่ภายใต้สภาพการณ์ที่เป็นการทดลองดังกล่าว.
ตัวอย่างที่ดีและการฝึกอบรมจากคุณพ่อคุณแม่
คุณพ่อของผมพบความจริงในตอนต้นปี 1914. ขณะเดินทางกลับบ้านหลังจากชมการแข่งขันฟุตบอลที่เมืองเชฟฟิลด์ประเทศอังกฤษ คุณพ่ออ่านแผ่นพับเรื่องคัมภีร์ไบเบิลซึ่งอธิบายสภาพของคนตาย. คุณพ่อได้แวะไปตามโบสถ์มากมายหลายแห่งมาแล้วเพื่อค้นหาคำตอบสำหรับข้อสงสัยของท่าน แต่ก็ไม่ได้ผล. อย่างไรก็ตาม สิ่งที่บัดนี้คุณพ่ออ่านพบในแผ่นพับก่อความตื่นเต้นแก่ท่าน. คุณพ่อส่งจดหมายสั่งหนังสือ สตัดดีส์ อิน เดอะ สคริพเจอร์ส์ (การศึกษาพระคัมภีร์) ซึ่งโฆษณาในแผ่นพับ และท่านอ่านอย่างกระหาย บ่อยครั้งถึงรุ่งเช้า. คุณพ่อยอมรับความจริงในเวลาอันรวดเร็ว.
ไม่ช้าท่านเริ่มสมทบกับประชาคมท้องถิ่นของพยานพระยะโฮวา เป็นการสมทบที่กินเวลานานกว่า 40 ปี ซึ่งส่วนใหญ่ท่านรับใช้ฐานะเป็นผู้ดูแลผู้เป็นประธาน. สิ่งที่นำความเบิกบานยินดีมาสู่คุณพ่อของผมก็คือ การที่น้องชายสองคนและน้องสาวทั้งสามของท่านยอมรับความจริง. น้องชายคนหนึ่งของคุณพ่อให้คำพยานกับหญิงสาวคนขายของคนหนึ่ง และแล้วเธอกับน้องสาวเข้ามาเป็นผู้อุทิศตัว เป็นคริสเตียนผู้ถูกเจิม. คุณพ่อของผมและน้องของท่านแต่งงานกับสตรีสาวสองคนนี้.
ในครอบครัวของผม ผมเป็นหนึ่งในลูกชายสี่คนที่ได้รับการเลี้ยงดูโดย “การตีสอนและเตือนสติขององค์พระผู้เป็นเจ้า.” (เอเฟโซ 6:4) ผมดีใจที่คุณพ่อกับคุณแม่ไม่ละความพยายามในการปลูกฝังความจริงให้พวกเรา. ในเวลานั้นไม่มีหนังสือที่ออกแบบเป็นพิเศษเพื่อช่วยบิดามารดาในการสอนความจริงเรื่องพระคัมภีร์ให้เด็ก ๆ แต่เราก็มีการศึกษาพระคัมภีร์ประจำครอบครัวเป็นประจำสัปดาห์ละสองครั้งโดยใช้หนังสือ เดอะ ฮาร์พ อ็อฟ กอด รวมทั้งการพิจารณาข้อคัมภีร์เป็นประจำแต่ละวันด้วย.—พระบัญญัติ 6:6, 7; 2 ติโมเธียว 3: 14, 15.
นอกจากนั้น คุณพ่อและคุณแม่ของผมยังเป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมในการแสดงความหยั่งรู้ค่าต่อการประชุมและในการแสดงความกระตือรือร้นในงานรับใช้. นอกจากคุณสมบัติที่ดีทางด้านวิญญาณของท่าน คุณพ่อยังเป็นคนมีอารมณ์ขัน ที่ท่านถ่ายทอดไปถึงลูก ๆ ของท่าน. การทำงานอย่างหนักของคุณพ่อกับคุณแม่เกิดผลดี. ลูกชายทั้งสี่คนของท่านซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงวัย 60 ปียังคงมีความสุขในการรับใช้พระยะโฮวาอยู่.
เข้าสู่งานไพโอเนียร์
ในเดือนเมษายน ปี 1939 เมื่ออายุได้ 16 ปี ผมเรียนจบและเริ่มเป็นไพโอเนียร์ประจำ. ผมร่วมกับคุณพ่อในงานไพโอเนียร์และท่านให้การฝึกฝนอย่างดีเยี่ยมแก่ผม. เราเดินทางด้วยจักรยานและครอบคลุมเขตทำงานทั้งหมดที่อยู่ในรัศมี 11 กิโลเมตรรอบบ้านของเรา. แต่ละวันเราแต่ละคนจะนำหนังสือเล่มเล็ก 50 เล่มไปด้วย และเราจะไม่กลับบ้านจนกว่าเราได้จำหน่ายหนังสือหมด.
สองปีต่อมา ผมได้สิทธิพิเศษอยู่ในบรรดาไพโอเนียร์พิเศษที่ได้รับการแต่งตั้งรุ่นแรกในอังกฤษ. ช่างน่ายินดีที่ได้รับพระพรอันนี้ แต่ก็รู้สึกปวดร้าวที่ต้องละความสุขและความปลอดภัยของครอบครัวตามระบอบการของพระเจ้า. ในที่สุดและพร้อมกับความช่วยเหลือของพระยะโฮวา ผมก็ปรับตัวได้.
งานไพโอเนียร์ของผมถูกขัดจังหวะช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อผมและพยานฯหนุ่มคนอื่น ๆ ถูกจำคุกเนื่องจากประเด็นความเป็นกลาง. ในคุกที่เดอร์แฮม เขาจัดผมไว้ในกลุ่มวายพี (นักโทษหนุ่ม). นี้หมายความว่าผมต้องใส่กางเกงขาสั้น—นับเป็นข้อเสียเปรียบที่เห็นได้ชัดในยามที่อากาศหนาวเหน็บ. ลองนึกภาพวิล์ฟ กูช (ขณะนี้เป็นผู้ประสานงานของคณะกรรมการสาขาในอังกฤษ), ปีเตอร์ เอลลิส (สมาชิกคนหนึ่งของคณะกรรมการสาขา), เฟรด อาดัมส์, และผม—เราทั้งหมดสูงเกือบ 180 เซนติเมตร—ยืนอยู่ด้วยกันและใส่กางเกงขาสั้นเหมือนเด็กนักเรียน!
การมอบหมาย—ไอร์แลนด์
หลังจากที่ได้รับการปล่อยตัวออกจากคุก ผมทำงานไพโอเนียร์ตามส่วนต่าง ๆ ของอังกฤษเป็นเวลาสามปี. จากนั้นผมได้รับมอบหมายซึ่งปรากฏว่าเป็นทั้งการพิสูจน์ทดลองและความพึงพอใจอย่างใหญ่หลวง—สาธารณรัฐไอร์แลนด์. ทุกสิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับไอร์แลนด์ใต้คือว่าเกือบทุกคนที่อยู่ที่นั่นเป็นชาวโรมันคาทอลิก. แต่ผมมองข้ามความเห็นในแง่ลบที่หลายคนกล่าวถึงและไม่ลังเลที่จะตอบรับการมอบหมายนั้น. นี่เป็นเวลาที่จะขยายการนมัสการแท้ และผมแน่ใจว่าโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระยะโฮวา พระองค์จะทรงช่วยผม.
พยานฯส่วนมากในสาธารณรัฐไอร์แลนด์อยู่ในดับลิน เมืองหลวง มีเพียงคนหรือสองคนเท่านั้นที่กระจายอยู่ที่อื่น ๆ. เพราะฉะนั้น ผู้คนโดยมากจึงไม่เคยเจอพยานพระยะโฮวาเลย. ผมพร้อมกับเพื่อนไพโอเนียร์พิเศษอีกสามคน เริ่มงานในเมืองคอร์ก. ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาคนที่ยอมฟัง. ณ พิธีมิซซาของพวกเขา บาทหลวงจะประกาศเตือนต่อต้านเราเสมอ ทั้งเรียกพวกเราว่าเป็น “ปีศาจคอมมิวนิสต์.” หนังสือพิมพ์ก็ลงข่าวต่อต้านกิจกรรมของพวกเราเช่นกัน.
วันหนึ่งช่างตัดผมกำลังเล็มผมของผมด้วยมีดโกน. ในระหว่างที่สนทนากันอยู่ เขาถามว่าผมมาทำอะไรที่คอร์ก. พอผมบอกเขา เขาเดือดดาลและแช่งด่าผม. มือของเขาสั่นด้วยความโกรธ และผมนึกภาพถึงตัวเองเดินออกจากร้านพร้อมกับหัวที่ขาดซุกอยู่ใต้แขน! โล่งอกไปทีที่ผมออกจากร้านของเขามาได้โดยมีส่วนของร่างกายชิ้นเดียวเหมือนเดิม!
พฤติกรรมที่รุนแรงจากฝูงชน
บางครั้งเราต้องเผชิญกับพฤติกรรมที่รุนแรงของฝูงชน. อย่างเช่น วันหนึ่งในเดือนมีนาคม ปี 1948 ขณะที่เราเพลิดเพลินอยู่กับงานประกาศตามบ้าน ฝูงชนรุมทำร้ายเฟรด แชฟฟิน เพื่อนร่วมงานของผม. เนื่องจากฝูงชนไล่ตาม เฟรดจึงวิ่งไปท่ารถเมล์และขอร้องให้คนขับรถและกระเป๋ารถเมล์ช่วยเขา. แทนที่จะช่วย พวกเขากลับร่วมกันทำร้าย. เฟรดวิ่งขึ้นไปตามถนนและสามารถซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงสูงซึ่งติดกับบ้านของบาทหลวง.
ขณะเดียวกัน ผมวิ่งไปที่รถจักรยานของผม. เพื่อจะกลับไปในเมือง ผมจึงไปตามถนนรอบนอก แต่พอผมโผล่ออกมาบนถนนใหญ่ ก็เห็นฝูงชนรอผมอยู่แล้ว. ผู้ชายสองคนฉวยกระเป๋าของผมและโยนสิ่งของที่อยู่ภายในลอยขึ้นไป. แล้วพวกเขาก็เริ่มต่อยและเตะผม. ทันใดนั้นชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น. เขาเป็นตำรวจอยู่ในชุดนอกเครื่องแบบ และเขาห้ามการรุมทำร้ายและพาผมกับผู้รุมทำร้ายไปสถานีตำรวจ.
การกลุ้มรุมทำร้ายคราวนี้เปิดทางให้มีพื้นฐานเพื่อ ‘กล่าวป้องกันให้กิตติคุณนั้นตั้งมั่นคงอยู่.’ (ฟิลิปปอย 1:7) เมื่อเรื่องนี้มาถึงขั้นศาล นายตำรวจที่ได้ช่วยชีวิตผม ตัวเขาเองเป็นคาทอลิก เขาเป็นพยานให้ และบุคคลทั้งหกได้รับการตัดสินลงโทษข้อหาทำร้ายร่างกาย. คดีนี้จึงแสดงว่าพวกเรามีสิทธิที่จะไปตามบ้านและนอกจากนั้นยังเป็นการยับยั้งคนอื่น ๆ ซึ่งอาจคิดที่จะใช้วิธีการรุนแรง.
ทีแรกเข้าใจกันว่าอันตรายเกินไปที่จะส่งพี่น้องไพโอเนียร์หญิงเข้าไปในเขตต่าง ๆ ซึ่งมีลักษณะเดียวกับที่คอร์ก. อย่างไรก็ดี บ่อยครั้ง ดูเหมือนจะดีกว่าที่ให้พี่น้องหญิงกลับเยี่ยมผู้สนใจที่เป็นผู้หญิง. ดังนั้น ก่อนหน้าการทำร้ายคราวนี้เล็กน้อยสมาคมได้ส่งพี่น้องหญิงซึ่งเป็นไพโอเนียร์ที่มีคุณวุฒิไปที่คอร์ก. คนหนึ่งชื่อ เอวิลีน แมคฟาร์แลน ซึ่งต่อมาเป็นมิชชันนารีและรับใช้อย่างดีเยี่ยมในประเทศชิลี. อีกคนหนึ่งคือคาโรลีน แฟรนซิส ซึ่งขายบ้านในลอนดอนเพื่อจะเป็นไพโอเนียร์ที่ไอร์แลนด์ ต่อมาเป็นภรรยาของผม.
เมล็ดแห่งความจริงงอกงาม
คงเป็นการง่ายที่จะคิดว่าเราเสียเวลาเปล่าในการหว่านเมล็ดแห่งความจริงเรื่องราชอาณาจักรเมื่ออยู่ในสภาพการณ์ดังกล่าว. อย่างไรก็ตาม พอเราเห็นความจริงงอกงามขึ้นที่โน่นบ้างที่นี่บ้าง จึงพยุงความเชื่อมั่นของเราในฤทธิ์อำนาจของพระยะโฮวาที่จะทรงทำให้สิ่งต่าง ๆ เติบโตขึ้น. อย่างเช่น ครั้งหนึ่งสมาคมส่งชื่อและที่อยู่ของชายคนหนึ่งซึ่งเขียนจดหมายขอรับหนังสือชื่อ จงให้พระเจ้าเป็นองค์สัตย์จริง. เขาอยู่ที่เฟอร์มอย เป็นเมืองเล็ก ๆ อยู่ห่างจากเมืองคอร์กไป 35 กิโลเมตร. ดังนั้น ผมจึงไปโดยรถจักรยานของผมในตอนเช้าวันอาทิตย์เพื่อหาบุคคลคนนี้.
เมื่อผมมาถึงเมืองเฟอร์มอย ผมถามทางกับชายคนหนึ่ง. เขาตอบว่า “โอย ต้องไปอีก 14 กิโลเมตร.” ผมออกเดินทางต่อและในที่สุดก็มาถึงฟาร์มแห่งหนึ่งอยู่สุดถนนเล็ก ๆ ในชนบท. ชายหนุ่มคนที่เขียนจดหมายสั่งหนังสือกำลังยืนอยู่ที่ประตูฟาร์ม. พอผมแนะนำตัวเอง เขาพูดว่า “หนังสือเล่มนั้นมีคุณค่าดุจทองคำ!” เราสนทนากันอย่างเพลิดเพลิน และผมไม่ได้คิดถึงการขี่จักรยานกลับบ้านระยะทาง 50 กิโลเมตรเลย. แม้แต่ขณะนี้ ซึ่งเวลาผ่านไปกว่า 40 ปีแล้ว ผมรู้สึกชื่นชมยินดีอย่างยิ่งเมื่อผมพบชาร์ลส์ รินน์ ชาย “หนุ่ม” คนนั้น ณ การประชุมภาคทุกปี. ปัจจุบันนี้มีสิบประชาคมในเขตเมืองคอร์ก.
ในช่วงทศวรรษปี 1950 ผมกับแคโรลีนกระจายเมล็ดแห่งความจริงในตอนกลางของไอร์แลนด์. ในปี 1951 เราได้รับการหนุนกำลังเพื่อจะไม่ท้อถอยเมื่อเราพบคนที่มีใจถ่อมอย่าง “คุณยาย” เฮมิลตันและลูกสะใภ้ของเธอซึ่งตอบรับอย่างรวดเร็ว. “คุณยาย” เฮมิตัน เป็นผู้ประกาศที่รับบัพติสมาคนแรกในเคาน์ตี ลองฟอร์ด.—1 เธซะโลนิเก 2:13.
ที่พักอาศัยก็เป็นปัญหาหนึ่ง. พอมีความกดดันเกิดขึ้นกับเจ้าของบ้านเช่า พวกเขาก็จะขอให้เราออกไป. ด้วยเหตุที่เราต้องสูญเสียที่พักอาศัยในสถานที่ต่าง ๆ กันถึงสามแห่งในเวลาที่ต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็ว เราจึงซื้อเต็นท์หลังหนึ่ง ผ้าปูพื้นผืนหนึ่ง และถุงนอนและบรรทุกของเหล่านี้ไว้ในรถฟอร์ดรุ่น Y. เรากางเต็นท์ในทุก ๆ ที่ที่เราสามารถทำได้ในตอนสิ้นสุดงานประกาศแต่ละวัน. ภายหลังเราได้รถพ่วงขนาดยาว 4 เมตร. เป็นรถพ่วงเล็ก ๆ พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัยไม่กี่ชิ้น—เรายังต้องเดินราวครึ่งกิโลเมตรเพื่อจะได้น้ำ—และฉนวนกันความร้อนหรือความหนาวก็ไม่มี แต่สำหรับเราแล้วมันโอ่อ่าทีเดียว. วันหนึ่งความมีอารมณ์ขันของผมได้รับการทดสอบเมื่อผมเหยียบรากไม้ที่เปียกลื่นและล้มหงายหลังตกลงไปในบ่อน้ำที่ยาวและแคบ แต่ก็ไม่ลึกมากนัก. กระนั้นก็ดี เราให้ผู้ดูแลหมวดและภรรยาของเขาพักในรถพ่วงเมื่อเขามาเยี่ยมเรา.
บางครั้งผู้คนที่มีจิตใจดีงามแสดงความกรุณาออกมาอย่างที่คาดไม่ถึง. อย่างเช่น ตอนที่เราไปเมืองสลิโกซึ่งอยู่ทางตะวันตกของไอร์แลนด์ในปี 1958 เป็นเวลาแปดปีหลังจากที่ไพโอเนียร์สามีภรรยาคู่หนึ่งถูกขับออกจากเมือง. เราอธิษฐานขอให้พระยะโฮวาทรงช่วยเราหาสถานที่สำหรับจอดรถพ่วง และหลังจากตระเวนหาเป็นเวลาหลายชั่วโมง เราพบเหมืองหินขนาดใหญ่ที่ไม่ได้ใช้แล้ว. ชายคนหนึ่งที่เลี้ยงฝูงสัตว์อยู่บริเวณใกล้ ๆ บอกเราว่าครอบครัวของเขาเป็นเจ้าของเหมืองนั้น. เราถามว่า “ขอเราใช้สถานที่นี้ได้ไหม?” เราบอกเขาว่าเป็นตัวแทนของสมาคมพระคัมภีร์ไบเบิล.” เขาตอบว่าไม่ขัดข้อง.
หลังจากนั้นไม่นาน เขาถามว่า “พวกคุณขึ้นอยู่กับสมาคมพระคัมภีร์ไบเบิลกลุ่มไหน?” ตอนนั้นเป็นเวลาที่น่าประหวั่นยิ่ง. เราบอกเขาว่าเราเป็นพยานพระยะโฮวา. เรารู้สึกโล่งใจอย่างยิ่ง ที่เขายังคงท่าทีที่เป็นมิตรอยู่. ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เขายื่นใบเสร็จรับเงินซึ่งเป็นค่าเช่าสถานที่เป็นเวลาหนึ่งปีให้เรา. เขาบอกว่า “เราไม่ต้องการเงินแม้แต่น้อย แต่เราทราบถึงการต่อต้านขัดขวางที่พวกคุณเผชิญอยู่ ดังนั้น ถ้าหากมีใครมาถามว่าคุณมีสิทธิอะไรที่มาอยู่บริเวณเหมืองหินนี้ นี่ก็จะเป็นหลักฐานให้คุณ.”
ระหว่างที่อยู่ในสลิโก เราได้ยินเกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของร้านและนักฟุตบอลที่ใคร ๆ ก็รู้จัก ผู้ซึ่งได้แสดงความสนใจอยู่บ้างขณะที่ไพโอเนียร์คนก่อนอยู่ในเมืองนี้. อย่างไรก็ตาม เป็นเวลาแปดปีที่เขาไม่มีการติดต่อเท่าไรนัก เราจึงสงสัยว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง. คำตอบอยู่ที่รอยยิ้มสดใสมีชีวิตชีวาบนใบหน้าของแมตตี เบิร์นขณะที่ผมแนะนำตัว. เมล็ดแห่งความจริงที่ปลูกไว้นานหลายปีก่อนหน้านี้ยังไม่ตาย. เขายังคงเป็นสมาชิกคนหนึ่งของประชาคมเล็ก ๆ ที่กระตือรือร้นในเมืองสลิโก.
ทัศนะเปลี่ยนไป
ที่แห่งหนึ่งซึ่งเป็นตัวอย่างเกี่ยวกับทัศนะอันเป็นปฏิปักษ์ของหลาย ๆ คนที่มีต่อพวกเราก็คือที่เมืองแอทโลน. เมื่องานประกาศเริ่มขึ้นในทศวรรษปี 1950 พวกบาทหลวงจัดการให้ทุกคนที่อาศัยอยู่ ณ ส่วนหนึ่งของเมืองลงชื่อในใบคำร้องที่ว่าพวกเขาไม่ต้องการให้พยานพระยะโฮวาไปเยี่ยมที่บ้านของพวกเขา. พวกเขาส่งเอกสารนี้ไปยังรัฐบาล เป็นเหตุให้การทำงานที่แอทโลนยุ่งยากมากเป็นเวลาหลายปี. ครั้งหนึ่งกลุ่มวัยรุ่นจำได้ว่าผมเป็นพยานฯและเริ่มขว้างก้อนหินใส่ผม. เมื่อผมเคลื่อนย้ายไปอยู่ที่หน้ากระจกร้านขายของ เจ้าของร้านเชิญผมเข้าไปในร้านเขา—ทั้งนี้เพื่อป้องกันกระจกของเขามากกว่าที่จะปกป้องผม—และเขาให้ผมออกทางประตูหลัง.
อย่างไรก็ดี เมื่อเร็ว ๆ นี้ ในเดือนสิงหาคมปี 1989 ขณะที่ผมให้คำบรรยายในงานศพของพี่น้องชายที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งในแอทโลน ผมอดประหลาดใจไม่ได้เมื่อเห็นถึงวิธีที่พระยะโฮวาทรงทำให้สิ่งต่าง ๆ ที่นั่นก้าวหน้า. นอกจากสมาชิกของประชาคมแล้ว มีคนท้องถิ่นประมาณ 50 คนตั้งใจฟังด้วยความเคารพ ณ งานศพซึ่งจัดในหอประชุมที่สวยงามซึ่งพี่น้องสร้างขึ้น.
การฝึกอบรมพิเศษที่โรงเรียนกีเลียด
ในปี 1961 ผมได้รับเชิญให้เข้าอบรมเป็นเวลาสิบเดือนที่โรงเรียนกีเลียดของสมาคมวอชเทาเวอร์. การอบรมพิเศษนี้จัดให้พี่น้องฝ่ายชายเท่านั้น ดังนั้น คาโรลีนกับผมจึงต้องพิจารณาคำเชิญนี้ด้วยการอธิษฐานอย่างจริงจัง. เราไม่เคยแยกจากกันเลยเป็นเวลา 12 ปี. ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากภรรยาของผมมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเข้าโรงเรียนกีเลียดและเป็นมิชชันนารีด้วย เธอรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งที่ไม่ได้รับเชิญ. แต่เพราะมีความคิดสูงส่ง เธอให้ผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักรเป็นอันดับแรกและเห็นด้วยว่าผมควรจะไป. การอบรมนี้เป็นสิทธิพิเศษที่เยี่ยมยอดจริง ๆ. แต่ก็น่ายินดีที่ได้กลับบ้านและเข้าไปร่วมงานในสำนักงานสาขาของสมาคม เพื่อให้การหนุนใจแก่พยานฯจำนวน 200 คนหรือกว่านั้นซึ่งกำลังทำการปลูกและรดน้ำในไอร์แลนด์ในช่วงต้นทศวรรษปี 1960.
หลายปีต่อมา ในปี 1979 คาโรลีนมีโอกาสไปที่สำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาในนิวยอร์กเมื่อผมได้รับเชิญให้รับการอบรมพิเศษที่กีเลียดสำหรับสมาชิกของคณะกรรมการสาขา. สิ่งนี้กลายเป็นส่วนที่เด่นที่สุดของช่วงในตอนท้ายสุดแห่งชีวิตของเธอ. สองปีต่อมาเธอก็เสียชีวิต. รวมเวลา 32 ปีเต็มที่เราทำงานรับใช้เต็มเวลาด้วยกัน คาโรลีนไม่เคยหมดความกระตือรือร้นในงานรับใช้พระยะโฮวารวมทั้งเธอไม่ได้หมดความมั่นใจในเรื่องที่ว่าพระยะโฮวาจะทรงทำให้สิ่งต่าง ๆ เกิดผล.
ผมอาลัยอาวรณ์ถึงเธอมาก. สิ่งหนึ่งที่ช่วยผมรับมือคือบทความในวารสารตื่นเถิด ที่ออกในเวลานั้นในหัวเรื่องที่ว่า “หัดมีชีวิตอยู่โดยปราศจากคนที่คุณรัก.” (อเวค! 8 กุมภาพันธ์ 1981) ยามใดก็ตามที่ผมคิดถึงคู่ชีวิตที่จากไปน้ำตาผมจะไหล แต่ผมทำตามที่บทความนั้นแนะนำและทำให้ตัวเองง่วนอยู่กับงานรับใช้พระยะโฮวา.
พระพรจากพระยะโฮวามีไม่หยุด
ก่อนหน้านี้หนึ่งปี คือในเดือนเมษายนปี 1980 ผมเข้าร่วมด้วยคราวที่บราเดอร์ไลแมน สวิงเกิลซึ่งเป็นคนหนึ่งจากคณะกรรมการปกครองทำการอุทิศอาคารใหม่ของสาขาในดับลิน. น่าตื่นเต้นยิ่งที่เห็นผู้ประกาศในเขตทำงานถึง 1,854 คนซึ่งตอนนั้นรวมไอร์แลนด์ตอนเหนือด้วย! และมาตอนนี้ ซึ่งเป็นเวลาสิบปีต่อมา หนังสือประจำปี รายงานยอดผู้ประกาศ 3,451 สำหรับปีรับใช้ 1990!
ในระหว่างเวลานี้ผมก็ได้พระพรสมทบเพิ่มอีก. ช่วงเวลาที่รับใช้ฐานะเป็นผู้สอนในโรงเรียนพระราชกิจ ผมพบกับเอวีลีน ฮอล์ฟอร์ด พี่น้องหญิงที่มีเสน่ห์และกระตือรือร้นซึ่งย้ายมาอยู่ที่ไอร์แลนด์เพื่อรับใช้ในเขตที่มีความต้องการมากกว่า. เราแต่งงานกันในปี 1986 และปรากฏว่าเธอเป็นผู้ช่วยอย่างแท้จริงสำหรับผมในกิจกรรมตามระบอบการของพระเจ้าทุก ๆ ด้าน.
ในระยะเวลา 51 ปีของการรับใช้เต็มเวลาของผมนับตั้งแต่ออกจากโรงเรียน ผมอยู่ในไอร์แลนด์ 44 ปี. ช่างอบอุ่นหัวใจยิ่งที่ได้เห็นหลายคนซึ่งผมได้ช่วยยังคงรับใช้พระยะโฮวาอยู่ บางคนเป็นผู้ปกครองและบางคนเป็นผู้รับใช้. ผมกล่าวอย่างไม่ลังเลเลยว่าความยินดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดประการหนึ่งที่ใคร ๆ สามารถมีได้ก็คือการช่วยคนอื่น ๆ เข้ามาอยู่บนเส้นทางแห่งชีวิต.
นับเป็นการเสริมความเข้มแข็งแก่ความเชื่อเมื่อเห็นการนมัสการแท้งอกงามขึ้นแห่งแล้วแห่งเล่าในไอร์แลนด์ ทั้งที่มีการขัดขวางต่อต้านอย่างรุนแรง. ปัจจุบันนี้ ผู้ประกาศประมาณ 3,500 คนร่วมสมทบกับประชาคมกว่า 90 แห่งตลอดทั่วประเทศ. จริงทีเดียว ไม่มีขอบเขตจำกัดสำหรับสิ่งที่พระยะโฮวาทรงกระทำ. พระองค์จะทรงทำให้สิ่งต่าง ๆ เกิดผลหากเราขยันขันแข็งในการปลูกและรดน้ำ. (1 โกรินโธ 3:6, 7) ผมรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นจริง. ผมเห็นสิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้วในไอร์แลนด์.
[รูปภาพของ เฟรดและอวีลีน เม็ทคาล์ฟ หน้า 25]