ผมประสบความอิ่มใจในการรับใช้พระเจ้า
เล่าโดยโจชัว ทองกวานา
ย้อนกลับไปในปี 1942 ผมรู้สึกสับสน. ผมกำลังศึกษาสรรพหนังสือซึ่งจัดพิมพ์โดยคณะเซเวนท์เดย์ แอดเวนทิสต์ และสรรพหนังสือซึ่งจัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์. เหมือนชนชาติยิศราเอลสมัยโบราณ ผม “กำลังอยู่ท่ามกลางลัทธิทั้งสองฝ่าย.”—1 กษัตริย์ 18:21.
คณะเซเวนท์เดย์ แอดเวนทิสต์ได้ส่งบทความที่เป็นตัวพิมพ์ชื่อว่า “เสียงแห่งคำพยากรณ์” มาให้ผม. ผมชอบตอบคำถามของพวกเขา และเขาสัญญาจะให้ประกาศนียบัตรที่สวยงามถ้าผมสอบผ่านทั้งหมด. แต่ผมสังเกตว่าทั้ง “เสียงแห่งคำพยากรณ์” และสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ของสมาคมว็อชเทาเวอร์ถูกส่งมาจากเมืองเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้. ผมสงสัยว่า ‘องค์การเหล่านี้รู้จักกันไหม? หลักคำสอนของเขาสอดคล้องลงรอยกันไหม? ถ้าไม่ ใครเป็นฝ่ายถูก?’
เพื่อให้หายข้องใจ. ผมได้ส่งจดหมายที่มีใจความเหมือนกันไปถึงแต่ละองค์การ. ตัวอย่างเช่น ผมเขียนถึงสมาคมว็อชเทาเวอร์ว่า “คุณรู้จักผู้คนที่เกี่ยวข้องกับ ‘เสียงแห่งคำพยากรณ์’ ไหม และถ้ารู้จัก คุณจะว่าอย่างไรเกี่ยวกับหลักคำสอนของเขา? ต่อมา ผมได้รับคำตอบจากทั้งสองฝ่าย. จดหมายจากสมาคมว็อชเทาเวอร์บอกว่าเขารู้จักพวก “เสียงแห่งคำพยากรณ์” แต่อธิบายว่าหลักคำสอนต่าง ๆ ของพวกนี้ เช่น เรื่องตรีเอกานุภาพและการเสด็จกลับของพระคริสต์มายังแผ่นดินโลกในสภาพเนื้อหนังนั้นไม่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์. จดหมายของเขามีข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ประกอบด้วยเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าหลักคำสอนเหล่านี้ไม่เป็นความจริง.—โยฮัน 14:19, 28.
ส่วนคำตอบจาก “เสียงแห่งคำพยากรณ์” เพียงแต่บอกว่าเขารู้จัก “พวกว็อชเทาเวอร์” แต่ไม่เห็นด้วยกับหลักคำสอนของพวกเขา. เขาไม่ได้ให้เหตุผลอะไร. ดังนั้น ผมตัดสินใจอยู่ฝ่ายสมาคมว็อชเทาเวอร์ ซึ่งเป็นองค์การที่ถูกต้องตามกฎหมายที่พยานพระยะโฮวาใช้. ปัจจุบัน หลังจากที่ได้คบหาสมาคมกับพยานฯมา 50 ปี ผมช่างมีความสุขสักเพียงไรที่ได้ทำการตัดสินใจที่ถูกต้องในครั้งนั้น!
ภูมิหลังทางศาสนา
ผมเกิดเมื่อปี 1912 ในเขตชนบทที่เรียกว่ามากานเย ทางตะวันออกของเมืองปีเตอร์สเบอร์กในแอฟริกาใต้. มากานเยในตอนนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมทางศาสนาของคริสต์จักรแองกลิคัน ดังนั้น ผมจึงเป็นสมาชิกของคริสต์จักรนั้น. เมื่อผมอายุ 10 ปี ครอบครัวของเราย้ายไปยังท้องถิ่นซึ่งปกครองโดยคริสต์จักรลูเทอร์รันเบอร์ลินมิชชัน และคุณพ่อคุณแม่ของผมได้สมทบกับคริสต์จักรนั้น. ในไม่ช้าผมก็มีคุณสมบัติที่จะร่วมในพิธีศีลมหาสนิทและกินขนมปังชิ้นเล็ก ๆ กับจิบเหล้าองุ่น แต่นั่นไม่ได้สนองความต้องการฝ่ายวิญญาณของผม.
หลังจากจบการเรียนแปดปีในโรงเรียน คุณพ่อได้ส่งผมไปที่วิทยาลัยฝึกหัดครูคีลเนอร์ตัน และในปี 1935 ผมได้รับประกาศนียบัตรครูหลักสูตรสามปี. หนึ่งในบรรดาครูที่ทำงานร่วมกับผมคือหญิงสาวชื่อคารอไลน์. เราแต่งงานกันและต่อมาคารอไลน์ให้กำเนิดลูกสาวคนหนึ่งซึ่งเราตั้งชื่อให้ว่าดาเมริส. สองสามปีต่อมาผมได้เป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนเซทลาเลในหมู่บ้านชนบทของมามาตชา. เนื่องจากโรงเรียนดำเนินการโดยคริสต์จักรดัตช์รีฟอร์ม เราจึงสมทบกับคริสต์จักรนั้น เข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของคริสต์จักรอย่างสม่ำเสมอ. เราทำเช่นนี้เพราะเป็นสิ่งที่นิยมทำกัน แต่ไม่ได้นำความอิ่มใจมาให้ผม.
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
วันอาทิตย์หนึ่งในปี 1942 ขณะที่เรากำลังฝึกร้องเพลงสรรเสริญที่โบสถ์ ชายหนุ่มผิวขาวคนหนึ่งปรากฏตัวที่ประตูพร้อมกับหนังสือปกแข็งสามเล่มซึ่งจัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์—การสร้าง, การชันสูตรเชิดชู, และการตระเตรียม. ผมคิดว่าหนังสือเหล่านั้นคงจะมองดูสวยงามบนชั้นหนังสือในห้องสมุดของผม ดังนั้น ผมจึงรับหนังสือเหล่านั้นด้วยเงินสามชิลลิง. ต่อมาผมจึงทราบว่าผู้ชายคนนั้น ทีนี่ เบเซเดนโฮต เป็นพยานพระยะโฮวา เพียงคนเดียวในเขตนั้น. ในการเยี่ยมครั้งต่อไปของทีนี่ เขาได้เอาเครื่องเล่นจานเสียงมาและเปิดคำบรรยายบางเรื่องโดยจัดจ์ รัทเทอร์ฟอร์ดให้ฟัง. ผมชอบคำบรรยายหนึ่งมากคือเรื่องที่รู้จักกันว่า “บ่วงแร้วและวิธีหลอกลวง” แต่คารอไลน์และพริสซิลลาน้องสาวของผมซึ่งอาศัยอยู่กับเรา ไม่ชอบ. ในการเยี่ยมครั้งที่สามของทีนี่ เขาได้ให้เครื่องเล่นจานเสียงกับผมเพื่อว่าผมจะเปิดจานเสียงเหล่านั้นให้เพื่อน ๆ ฟัง.
วันหนึ่งผมพลิกดูหนังสือการสร้าง แต่ละหน้าและมาถึงบทหนึ่งที่ว่า “คนตายแล้วอยู่ที่ไหน?” ผมเริ่มต้นอ่านโดยหวังจะรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ที่น่ายินดีของจิตวิญญาณที่ตายแล้วในสวรรค์. แต่ตรงข้ามกับความคาดหมายของผม หนังสือนั้นอธิบายว่าคนตายอยู่ในหลุมฝังศพและไม่รู้อะไรเลย. ข้อต่าง ๆ จากคัมภีร์ไบเบิล อาทิ ท่านผู้ประกาศ 9:5, 10 ได้รับการอ้างถึงในการสนับสนุน. อีกบทหนึ่งที่มีหัวเรื่องว่า “การปลุกคนตาย” และโยฮัน 5:28, 29 ถูกยกขึ้นมาเป็นข้อพิสูจน์ว่าคนตายไม่รู้สึกอะไรและคอยการปลุกให้เป็นขึ้นจากตาย. เรื่องนี้มีเหตุผล. เป็นที่น่าพอใจ.
ช่วงนั้นเอง ในปี 1942 ที่ผมได้ตัดความสัมพันธ์กับพวก “เสียงแห่งคำพยากรณ์” และเริ่มต้นบอกคนอื่น ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่ผมกำลังเรียนรู้จากสรรพหนังสือของสมาคมว็อชเทาเวอร์ไบเบิล. คนแรกที่ตอบรับคือเพื่อนชื่อ ยูดา เลตซวาลอ ซึ่งเคยเป็นเพื่อนนักเรียนของผมที่วิทยาลัยฝึกหัดครูคีลเนอร์ตัน.
ยูดากับผมขี่จักรยานระยะทาง 51 กิโลเมตรไปเข้าร่วมการประชุมใหญ่ของพยานฯที่เป็นชาวแอฟริกาในปีเตอร์สเบอร์ก. หลังจากนั้น บ่อยครั้งเพื่อน ๆ ได้เดินทางไกลจากปีเตอร์สเบอร์กมาที่มามาตชาเพื่อช่วยผมเสนอข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรกับเพื่อนบ้านของผม. ในที่สุด ณ การประชุมใหญ่อีกครั้งหนึ่งในปีเตอร์สเบอร์ก เมื่อเดือนธันวาคม 1944 ผมได้รับบัพติสมาเป็นสัญลักษณ์การอุทิศตัวของผมแด่พระยะโฮวา.
ครอบครัวของผมและคนอื่น ๆ ตอบรับ
คารอไลน์, พริสซิลลา, และลูกสาวของผมดาเมริส, ยังคงไปโบสถ์ดัตช์รีฟอร์ม. ครั้นแล้วภัยพิบัติก็โหมกระหน่ำ. คารอไลน์ให้กำเนิดลูกคนที่สองของเรา—ทารกชายที่ดูเหมือนมีสุขภาพดีซึ่งเราตั้งชื่อว่าซามูเอล. แต่โดยกะทันหันเขาเริ่มป่วยและตาย. เพื่อน ๆ ของคารอไลน์ที่โบสถ์ไม่ได้ให้การปลอบประโลมแต่อย่างใด เขาพูดว่าพระเจ้าต้องการลูกของเราไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์. ด้วยความเศร้าโศก คารอไลน์เฝ้าถามว่า “ทำไมพระเจ้าเอาลูกของเราไป?”
เมื่อข่าวความทุกข์โศกเศร้าของเรามาถึงพวกพยานฯในปีเตอร์สเบอร์ก พวกเขามาเยี่ยมและให้ความปลอบประโลมใจเราอย่างแท้จริงจากพระวจนะของพระเจ้า. ต่อมาคารอไลน์กล่าวว่า “สิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลพูดเกี่ยวกับสาเหตุของความตาย, สภาพของคนตาย, และเกี่ยวกับความหวังของการกลับเป็นขึ้นจากตายมีเหตุผล และดิฉันได้รับความปลอบใจอย่างยิ่ง. ดิฉันปรารถนาจะอยู่ในโลกใหม่และรับลูกชายของเรากลับมาจากหลุมฝังศพ.”
คารอไลน์เลิกไปโบสถ์ และในปี 1946 เธอ, พริสซิลลา, และยูดา รับบัพติสมา. ไม่นานหลังจากการรับบัพติสมา ยูดาได้จากไปบุกเบิกงานประกาศในเขตชนบทที่เรียกว่ามามาทลอรา และจนกระทั่งทุกวันนี้เขายังคงรับใช้ในฐานะไพโอเนียร์ผู้ประกาศเต็มเวลา.
เมื่อยูดาจากไป ผมเป็นผู้ชายคนเดียวที่เหลืออยู่เพื่อดูแลประชาคมของเรา ซึ่งมีชื่อว่าบอยนี. ครั้นแล้วเกรซลี มาทลาทยีได้ย้ายเข้ามาในเขตทำงานของเรา และในที่สุดเขาได้แต่งงานกับพริสซิลลา. แต่ละสัปดาห์ เกรซลีกับผมจะผลัดกันให้คำบรรยายสาธารณะภาษาซีพีดี ภาษาแอฟริกาท้องถิ่น. เพื่อให้สรรพหนังสือมีอยู่พร้อมสำหรับผู้คน สมาคมได้ขอให้ผมแปลสรรพหนังสือเป็นภาษาซีพีดี. สิ่งนี้นำความอิ่มใจอย่างยิ่งมาสู่ผมที่เห็นผู้คนได้รับประโยชน์จากสรรพหนังสือเหล่านี้.
เพื่อให้การรณรงค์การประชุมสาธารณะได้ผล เราซื้อเครื่องเล่นจานเสียงพร้อมด้วยเครื่องกระจายเสียงเพื่อเปิดคำบรรยายจากคัมภีร์ไบเบิลให้ดังไปทั่วเขตทำงานของเรา. เราได้ยืมรถที่ใช้ลาลากเพื่อบรรทุกเครื่องมือที่หนักชิ้นนี้จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง. ผลที่ตามมาก็คือ เพื่อนบ้านของเราให้ฉายาเราว่า “พวกคริสต์จักรลา.”
ขณะเดียวกันประชาคมเล็ก ๆ ของเราก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ. ในที่สุด พี่สาวของผมสองคนและสามีของเธอได้มาเป็นพยานฯ และทุกคนรักษาความซื่อสัตย์จนกระทั่งเสียชีวิต. นอกจากนี้ หลายคนจากประชาคมบอยนี (ปัจจุบันเรียก มพอกอดีบา) ได้รับเอางานเผยแพร่ข่าวดีเต็มเวลา และบางคนยังคงอยู่ในงานรับใช้นี้. ปัจจุบัน มีสองประชาคมอยู่ในหมู่บ้านชนบทที่กระจายไปตามเขตพื้นที่อันกว้างใหญ่นี้ และยอดรวมของจำนวนผู้ประกาศทั้งหมดกว่า 70 คนขยันขันแข็งในงานประกาศ.
งานประจำชีวิตงานใหม่
เมื่อปี 1949 ผมเลิกสอนในโรงเรียนและได้มาเป็นผู้ประกาศประเภทไพโอเนียร์ประจำ. เขตมอบหมายแห่งแรกของผมก็คือให้ไปเยี่ยมชาวไร่ผิวดำซึ่งอาศัยอยู่ในไร่ที่เจ้าของเป็นคนผิวขาวอยู่รอบ ๆ วอลวอเตอร์ในทรานสวาล. เจ้าของไร่บางแห่งสนับสนุนนโยบายแบ่งแยกผิวซึ่งเป็นที่ยอมรับกันเมื่อเร็ว ๆ นี้และได้กำหนดว่าคนผิวดำควรรับรู้สภาพที่ถือกันว่าต่ำกว่าคนผิวขาวและควรรับใช้นายของเขาที่เป็นคนผิวขาว. ดังนั้น เมื่อผมประกาศกับคนงานผิวดำ ชาวผิวขาวบางคนเข้าใจผิดว่าผมเป็นผู้ประกาศการแข็งข้อ. บางคนถึงกับกล่าวหาผมว่าเป็นคอมมิวนิสต์และขู่จะยิงผมด้วยซ้ำ.
ผมได้รายงานสถานการณ์ไปยังสำนักงานสาขาสมาคมว็อชเทาเวอร์ และในไม่ช้าผมก็ถูกย้ายไปยังเขตมอบหมายอีกแห่งหนึ่งในเขตชนบทที่เรียกว่าเดเวลส์กลูฟ. ประมาณช่วงเวลานี้ภรรยาผมได้ลาออกจากงานครูเช่นกันและสมทบกับผมในงานรับใช้ประเภทไพโอเนียร์. บ่ายวันหนึ่งในปี 1950 เรากลับจากการประกาศ พบจดหมายซองใหญ่มาจากสมาคม. เรารู้สึกประหลาดใจ จดหมายนั้นบรรจุคำเชิญให้ผมไปรับการฝึกอบรมเป็นผู้ดูแลเดินทาง. เป็นเวลาถึงสามปีที่เราได้เยี่ยมประชาคมต่าง ๆ ในแอฟริกาใต้ และครั้นแล้วในปี 1953 เราถูกมอบหมายไปที่เลโซโท ประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลในใจกลางของทวีปแอฟริกาตอนใต้.
งานรับใช้ในเลโซโทและบอตสวานา
เมื่อเราเริ่มรับใช้ในเลโซโท มีข่าวลือมากมายว่าคนแปลกหน้ามักจะเป็นเป้าของการสังหารเพื่อพิธีกรรมทางศาสนา. ทั้งผมและภรรยารู้สึกเป็นห่วง แต่ความรักของบรรดาพี่น้องของเราชาวโซโทและน้ำใจต้อนรับแขกของเขาในไม่ช้าก็ช่วยเราลืมความหวาดกลัวดังกล่าว.
เพื่อจะรับใช้ประชาคมต่าง ๆ ตามแถบเทือกเขามาลุตีในเลโซโท ผมเคยนั่งเครื่องบิน ละภรรยาผมอยู่ในเขตพื้นที่ต่ำซึ่งเธอรับใช้เป็นไพโอเนียร์ต่อไปจนกระทั่งผมกลับมา. พี่น้องได้ไปเป็นเพื่อนผมจากประชาคมหนึ่งไปอีกประชาคมด้วยความกรุณาช่วยผมไม่ให้หลงทางในแถบเทือกเขา.
ครั้งหนึ่งผมทราบมาว่าที่จะไปถึงประชาคมต่อไปเราต้องขี่ม้าข้ามแม่น้ำโอเรนจ์. ผมได้รับการรับรองว่าม้าที่ผมนั่งนั้นเชื่อง แต่ต้องระมัดระวังว่าเมื่อใดที่น้ำเริ่มไหลเชี่ยว ม้าก็มักจะพยายามสลัดของที่บรรทุกออก. ผมรู้สึกวิตกเพราะว่าผมไม่ใช่ทั้งนักขี่ม้าและนักว่ายน้ำที่ดี. ในไม่ช้าเราก็มาอยู่ในแม่น้ำ และน้ำก็สูงขึ้นมาเท่าอานม้า. ผมตกใจมากจนปล่อยเชือกบังเหียนและจับแผงคอของม้าไว้แน่น. โล่งอกไปทีเมื่อเรามาถึงฝั่งตรงข้ามอย่างปลอดภัย!
คืนนั้นผมแทบจะไม่หลับเลยเพราะตัวผมปวดเมื่อยไปหมดจากการขี่ม้า. แต่ความลำบากทั้งหมดนี้นับว่าคุ้มค่า เพราะบรรดาพี่น้องได้แสดงความหยั่งรู้ค่าอย่างยิ่งสำหรับการเยี่ยม. ตอนที่ผมเริ่มงานดูแลหมวดในเลโซโท มียอดผู้ประกาศ 113 คน. ทุกวันนี้ ตัวเลขนั้นเพิ่มทวีขึ้นเป็น 1,649 คน.
ในปี 1956 เขตมอบหมายการประกาศของเราได้เปลี่ยนไปที่เบชูอานาแลนด์ โพรเทคโทเรต ปัจจุบันเรียกบอตสวานา. บอตสวานาเป็นประเทศที่ใหญ่กว่ามาก และต้องเดินทางไกลกว่ามากที่จะไปให้ทั่วถึงผู้ประกาศทั้งหมด. เราเดินทางโดยรถไฟหรือไม่ก็รถบรรทุกที่ไม่มีหลังคา. ไม่มีที่นั่ง ดังนั้น เราต้องนั่งบนพื้นรวมกับกระเป๋าเดินทางของเรา. บ่อยครั้งเรามาถึงจุดหมายปลายทางด้วยความเหนื่อยอ่อนและเปรอะเปื้อนด้วยฝุ่น. พี่น้องคริสเตียนของเราต้อนรับเราเสมอ และใบหน้าที่มีความสุขของเขาทำให้เราสดชื่น.
ในเวลานั้น สรรพหนังสือของสมาคมถูกสั่งห้ามในบอตสวานา ดังนั้น การไปประกาศตามบ้านต้องทำอย่างระมัดระวัง โดยไม่ใช้หนังสือของสมาคม. ครั้งหนึ่งเราถูกจับได้ขณะทำงานใกล้หมู่บ้านมาพาชาลาลาและถูกควบคุมตัว. ในการแก้คดีเราอ่านจากคัมภีร์ไบเบิล โดยอ้างถึงงานมอบหมายของเราดังบันทึกที่มัดธาย 28:19, 20. แม้ว่าที่ปรึกษาบางคนรู้สึกประทับใจ ผู้ใหญ่บ้านได้ออกคำสั่งว่าพวกพยานฯต้องถูกเฆี่ยน. ครั้นแล้ว เราต้องประหลาดใจ นักเทศน์ได้ขอร้องผู้ใหญ่บ้านให้แสดงความเมตตาและอภัยโทษพวกเรา. ผู้ใหญ่บ้านได้ยินยอม และเราถูกปล่อยตัว.
ทั้ง ๆ ที่มีการกดขี่ข่มเหงและการสั่งห้ามสรรพหนังสือของพวกเรา งานราชอาณาจักรยังคงรุดหน้าต่อไป. ครั้งที่ผมมาถึงบอตสวานา มียอดผู้ประกาศ 154 คน. สามปีต่อมาเมื่อคำสั่งห้ามถูกยกเลิก ตัวเลขนั้นได้ทวีขึ้นถึง 192 คน. ทุกวันนี้มีพยานพระยะโฮวา 777 คนประกาศในดินแดนนั้น.
การสอนและการแปล
ต่อมาผมถูกใช้ให้เป็นผู้สอนในโรงเรียนพระราชกิจสำหรับผู้ปกครองคริสเตียน. หลังจากนั้นผมได้ชื่นชมกับสิทธิพิเศษแห่งการเป็นผู้สอนในโรงเรียนไพโอเนียร์. ผมกับภรรยาได้รับใช้เป็นช่วง ๆ ในสาขาแอฟริกาใต้ด้วย. ในโอกาสเช่นนั้นผมช่วยเกี่ยวกับการแปล และคารอไลน์ช่วยในห้องครัว.
วันหนึ่งในปี 1969 ผู้ดูแลสาขา ฟรานซ์ มัลเลอร์ เข้ามาหาผมและพูดว่า “บราเดอร์ทองกวานา ผมต้องการพบคุณและภรรยาในห้องทำงานของผม.” ที่นั่นเขาได้อธิบายว่าเราอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นที่ถูกเลือกเป็นตัวแทนไปร่วมการประชุมใหญ่ปี 1969 “สันติภาพบนแผ่นดินโลก” ในลอนดอน. เราชื่นชมน้ำใจต้อนรับแขกที่เปี่ยมด้วยความรักของบรรดาพี่น้องในประเทศอังกฤษและสก็อตแลนด์ และนั่นได้เพิ่มความรู้ค่าของเรายิ่งขึ้นสำหรับภราดรภาพทั่วโลก.
สำหรับเวลาสี่สิบปีที่ผ่านไป คารอไลน์เป็นเพื่อนร่วมงานที่ภักดีในงานประจำชีพของเราฐานะผู้เผยแพร่ข่าวดีเต็มเวลา. เราร่วมความปีติยินดีมากมายมาด้วยกันและบางครั้งก็ทุกข์บ้าง. แม้ว่าเราได้สูญเสียลูกของเราสองคนในความตาย ลูกสาวของเรา ดาเมริส ได้เติบโตขึ้นเป็นพยานฯที่ดีและมีส่วนในงานแปลที่สาขาแอฟริกาใต้ด้วย.
สุขภาพของเราไม่เอื้ออำนวยให้เรามีส่วนในงานที่ต้องเดินทางอีกต่อไป ดังนั้น ช่วงสองสามปีที่ผ่านมาเราเป็นไพโอเนียร์พิเศษในประชาคมหนึ่งในเมืองเซเชกอ เขตที่อยู่อาศัยของคนผิวดำในแอฟริกาใกล้ปีเตอร์สเบอร์ก. ผมรับใช้ฐานะผู้ดูแลผู้เป็นประธาน. คัมภีร์ไบเบิลแถลงว่า “ความยินดีอันบริบูรณ์มีอยู่ตรงพระพักตร [พระยะโฮวา]” และผมได้พบความปีติยินดีและความอิ่มใจจริง ๆ ในการรับใช้พระเจ้าในทวีปแอฟริกาตอนใต้.—บทเพลงสรรเสริญ 16:11.
[รูปภาพหน้า 26]
การให้คำพยานในเมืองเซเชกอ แอฟริกาใต้