การเติบโตไปพร้อมกับองค์การของพระยะโฮวาในแอฟริกาใต้
เล่าโดยฟรานซ์ มุลเลอร์
เมื่อผมกับเดวิดพี่ชายของผมเดินเข้าไปใกล้รถไฟขบวนตอนเย็นที่เรามักขึ้นกันเพื่อออกจากสถานีชุมทางในเมืองเคปทาวน์ เราก็ประหลาดใจที่เห็นป้ายเขียนว่า “เฉพาะคนผิวขาว.” พรรคชาตินิยมชนะการเลือกตั้งในปี 1948 และนำเอานโยบายการแบ่งแยกผิวเข้ามา.
แน่นอน การแบ่งแยกเชื้อชาติผิวพรรณได้ถือปฏิบัติกันมานานแล้วในประเทศแอฟริกาใต้ เช่นกับประเทศส่วนใหญ่ในทวีปแอฟริกาในสมัยที่มีการล่าอาณานิคม. แต่บัดนี้เป็นการบังคับใช้โดยทางกฎหมาย และเราจะนั่งร่วมตู้โดยสารรถไฟกับชาวแอฟริกาใต้ซึ่งมีสีผิวคล้ำกว่าไม่ได้. สี่สิบสี่ปีต่อมา จึงได้ยกเลิกการแบ่งแยกผิว.
ตลอดระยะเวลาที่มีการแบ่งแยกผิวตามที่กฎหมายบังคับ ซึ่งเป็นข้อท้าทายในการทำงานรับใช้ของเราในวิธีที่เราพอใจนั้น ผมรับใช้ในฐานะผู้รับใช้เต็มเวลาของพยานพระยะโฮวา. ปัจจุบันนี้ ขณะที่มีอายุ 65 ปี ผมสามารถมองย้อนหลังไปถึงความเติบโตอันน่าพิศวงขององค์การของพระยะโฮวาในทวีปแอฟริกาทางตอนใต้ และผมรู้สึกปลื้มปีติสำหรับสิทธิพิเศษที่ได้เติบโตขึ้นมาพร้อมกับองค์การของพระยะโฮวา.
มรดกการเป็นคริสเตียน
ตอนที่คุณพ่อเป็นเด็กหนุ่ม ทุกเช้าท่านต้องอ่านพระคัมภีร์ให้คุณปู่ฟังด้วยออกเสียงดัง. ในที่สุด คุณพ่อพัฒนาความรักอย่างลึกซึ้งต่อพระวจนะของพระเจ้า. ตอนที่ผมเกิดในปี 1928 คุณพ่ออยู่ในคณะกรรมการของคริสต์จักรนิกายดัตช์รีฟอร์มด์เชิร์ชในเมืองพอตกีเตอร์สรัสต์. ปีนั้นคุณลุงให้หนังสือพิณของพระเจ้า แก่คุณพ่อเล่มหนึ่ง.
อย่างไรก็ตาม คุณพ่อบอกให้คุณแม่เผาหนังสือเล่มนั้นเสีย โดยบอกว่าเป็นหนังสือที่มาจากนิกายหนึ่ง. แต่คุณแม่เก็บไว้ และวันหนึ่งเมื่อคุณพ่อเผอิญหยิบมันขึ้นมา หนังสือเล่มนั้นเปิดอยู่ที่หัวเรื่อง “พระเจ้าทรงทรมานใครไหม?” แม้ท่านรู้สึกมั่นใจว่านักศึกษาพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้เรียกพยานพระยะโฮวาในตอนนั้น เป็นฝ่ายผิด แต่ความอยากรู้อยากเห็นนั้นมีมากกว่า ท่านจึงเริ่มอ่าน. ท่านวางหนังสือเล่มนั้นไม่ลง. ในตอนเช้าตรู่ ขณะที่คุณพ่อเข้านอน ท่านบอกว่า “แม่ พ่อคิดว่าพวกเขามีความจริง.”
วันรุ่งขึ้น คุณพ่อปั่นจักรยานไป 50 กิโลเมตรเพื่อรับหนังสือเพิ่มเติมจากพวกนักศึกษาพระคัมภีร์ที่อยู่ใกล้ที่สุด. บ่อยครั้ง ท่านจะอ่านจนดึก. ท่านถึงกับพยายามทำให้ศาสนาจารย์ของนิกายดัตช์รีฟอร์มด์เชื่อเกี่ยวกับความจริงในพระคัมภีร์ซึ่งท่านกำลังเรียนรู้อยู่ โดยหวังว่าทางคริสต์จักรจะทำการปรับเปลี่ยนต่าง ๆ. ความเพียรพยายามของท่านไร้ผล ดังนั้น ท่านจึงลาออกจากคริสต์จักรและเริ่มประกาศอย่างกระตือรือร้น. ความจริงในพระคัมภีร์กลายเป็นชีวิตจิตใจของท่าน และเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในบ้านของเรา. ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้แหละที่ผมเติบโตขึ้นมา.
ในเวลาต่อมา คุณพ่อได้มาเป็นไพโอเนียร์หรือผู้เผยแพร่เต็มเวลา. ท่านเดินทางไปประกาศเป็นระยะทางไกล ๆ ด้วยรถฟอร์ดรุ่นที. หลังจากนั้นสองสามปี ความต้องการของครอบครัวของเราซึ่งใหญ่ขึ้นทำให้ท่านต้องหยุดงานไพโอเนียร์ แต่ท่านยังคงขยันขันแข็งในงานประกาศ. ในวันอาทิตย์บางวันเราจะเดินทางไปไกลถึง 90 กิโลเมตรเพื่อประกาศกับท่านในเมืองพีเตอร์สเบิร์ก.
ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
ในที่สุด คุณพ่อเปิดร้านค้าเล็ก ๆ ขายสินค้าทั่วไปขึ้นร้านหนึ่ง. ในไม่ช้า ร้านนั้นก็ขยายขึ้นเป็นสองเท่าตัว และเปิดร้านที่สอง. ชาวนาที่มีฐานะบางคนมาเป็นหุ้นส่วนกับคุณพ่อ และต่อมา พวกเขาก็ร่วมกันดำเนินกิจการร้านค้าส่งร้านหนึ่งพร้อมกับร้านค้าปลีกในเครืออีกหกร้าน ตั้งกระจายไปตามพื้นที่กว้างไกล.
พี่ชายของผมบางคนร่วมอยู่ในธุรกิจเก็งกำไรนี้ด้วย และตอนนี้ดูท่าว่ามีทางที่จะร่ำรวยได้. อย่างไรก็ดี สภาพทางฝ่ายวิญญาณของเราเริ่มได้รับความเสียหาย. เราเป็นที่ยอมรับของเพื่อนและเพื่อนบ้านชาวโลกมากขึ้น ซึ่งเชิญเราไปยังงานเลี้ยงต่าง ๆ ของเขา. เมื่อเห็นถึงอันตราย คุณพ่อเรียกประชุมทั้งครอบครัว และตัดสินใจขายกิจการและย้ายไปที่เมืองพริทอเรีย เพื่อว่าเราจะทำได้มากขึ้นในงานรับใช้พระยะโฮวา. ท่านเหลือไว้เพียงร้านเดียว ซึ่งมีลูกจ้างคอยดูแลอยู่.
ควิสและเดวิด พี่ชายของผมเริ่มงานไพโอเนียร์ จึงได้ร่วมสมทบกับลีนาพี่สาว รวมทั้งพี่ชายคนโตด้วยซึ่งน่าเสียดายในเวลาต่อมาได้ละทิ้งการนมัสการแท้. ในช่วงหนึ่งเดือนในปี 1942 ครอบครัวของเราซึ่งมีสมาชิกสิบคนใช้เวลาทั้งสิ้น 1,000 ชั่วโมงในงานประกาศ. ปีนั้น ผมแสดงการอุทิศชีวิตของผมแด่พระยะโฮวาโดยรับการจุ่มตัวในน้ำ.
เหตุผลที่ออกจากโรงเรียนก่อนเวลากำหนด
ในปี 1944 ขณะที่สงครามโลกครั้งที่สองกำลังถึงจุดสุดยอด เกิร์ต เนล ผู้ดูแลเดินทางของพยานพระยะโฮวา ถามผมว่าผมกำลังวางแผนที่จะเข้าสู่งานไพโอเนียร์หรือไม่. ผมตอบว่า “ครับ อีกสองปี เมื่อผมจบชั้นมัธยมแล้ว.”
เป็นการสะท้อนให้เห็นทัศนคติของพยานพระยะโฮวาจำนวนมากในเวลานั้น เขาเตือนว่า “ระวังนะ อย่าปล่อยให้อาร์มาเก็ดดอนมาตอนที่เธอยังนั่งเรียนหนังสืออยู่ล่ะ.” เนื่องจากผมไม่อยากให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ผมจึงออกจากโรงเรียนและเข้าสู่งานไพโอเนียร์ในวันที่ 1 มกราคม 1945.
งานมอบหมายแรกของผมอยู่ในเมืองเฟอเรนิกิง ใกล้เมืองโจฮันเนสเบิร์ก และคู่ของผมคือ พีต เวนต์เซลและแดนี ออตโต. บ่อยครั้ง ผมจะใช้เวลามากกว่า 200 ชั่วโมงต่อเดือนในการประกาศ. ต่อมา พีตได้รับมอบหมายใหม่ให้ไปยังเมืองพริทอเรีย ส่วนแดนีต้องหยุดงานไพโอเนียร์เพื่อช่วยคุณพ่อซึ่งมีอายุมากแล้วทำงานในฟาร์ม. ทิ้งให้ผมดูแลรายศึกษาตามบ้าน 23 รายในฐานะพยานฯเพียงคนเดียวในเมืองเฟอเรนิกิง.
ไม่นานหลังจากนั้น ผมได้รับจดหมายจากสำนักงานสาขา ซึ่งมอบหมายให้ผมไปเมืองพริทอเรีย. ถึงแม้ผมไม่เข้าใจเหตุผลสำหรับการมอบหมายใหม่ในเวลานั้น ต่อมาผมตระหนักว่าไม่เป็นการฉลาดที่จะปล่อยให้เด็กอายุ 17 ปีซึ่งขาดประสบการณ์อยู่ที่นั่นตามลำพัง. ผมยังต้องได้รับการฝึกอบรมอีกมากและอาจท้อแท้ได้.
หลังจากที่รับใช้ในเมืองพริทอเรียและได้ประสบการณ์ที่จำเป็นแล้ว ผมได้รับเชิญให้เป็นไพโอเนียร์พิเศษ. ในตอนนั้นพีต เวนต์เซลและผมได้จัดให้มีการฝึกอบรมเพื่อการรับใช้ที่บังเกิดผลแก่คนหนุ่มสาวที่มาเมืองพริทอเรียเพื่อเป็นไพโอเนียร์. เวลานั้น พีตได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลเดินทางในแถบนั้น. ต่อมา เขาแต่งงานกับลีนาพี่สาวของผม และเวลานี้เขาทั้งสองรับใช้ร่วมกันที่สำนักงานสาขาประเทศแอฟริกาใต้.
หนึ่งในจำนวนผู้ที่มาเป็นไพโอเนียร์ในเมืองพริทอเรียนั้นคือมาร์ตี ฟอส สาวสวยที่เติบโตในครอบครัวพยาน. เราต่างต้องตาต้องใจกัน แต่เรายังเป็นวัยรุ่น อายุน้อยเกินกว่าที่จะแต่งงาน. อย่างไรก็ตาม เมื่อเราได้รับมอบหมายให้ไปที่อื่น เรายังคงติดต่อกันทางจดหมาย.
งานรับใช้ที่เบเธลและโรงเรียนกิเลียด
ในปี 1948 ผมได้รับเชิญให้ทำงานรับใช้ที่สำนักงานสาขาของสมาคมว็อชเทาเวอร์ในเมืองเคปทาวน์. ในเวลานั้น ไม่มีบ้านพักรวมสำหรับพวกเรา 17 คนซึ่งทำงานในสำนักงานที่ได้เช่าสามแห่งและโรงงานเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงหนึ่งแห่ง. พวกเราบางคนพักอยู่กับครอบครัวต่าง ๆ ส่วนคนอื่น ๆ อาศัยอยู่ในหอพัก.
ในวันทำงาน สมาชิก 17 คนของครอบครัวเบเธลมารวมกันสำหรับการนมัสการตอนเช้าในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของโรงงานเล็ก ๆ แห่งนั้น. พวกเราหลายคนต้องเตรียมอาหารกลางวันมาเอง. แล้วหลังจากที่ทำงานมาทั้งวัน เราจะเดินทางกลับที่พักของเราซึ่งอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของเมืองเคปทาวน์. ในระหว่างการเดินทางคราวหนึ่ง ตามที่ผมได้กล่าวมาแล้ว ที่ผมและเดวิดพี่ชายของผมรู้สึกแปลกใจที่เห็นป้ายเขียนว่า “เฉพาะคนผิวขาว.”
เมื่อมาถึงสำนักงานสาขาที่เคปทาวน์ครั้งแรก ผมสำนึกว่าผมยังต้องเรียนรู้อีกมาก ดังนั้น ผมจึงถามบราเดอร์ฟิลลิปส์ ผู้ดูแลสาขาของเราว่า “ผมต้องทำอะไรบ้างเพื่อจะตามให้ทัน?”
เขาตอบว่า “ฟรานซ์ ไม่ต้องห่วงเรื่องตามให้ทันหรอก. เพียงแค่ก้าวไปพร้อมกันก็พอ!” ผมพยายามทำเช่นนั้นเสมอมา และผมได้เรียนรู้ว่าโดยการก้าวไปพร้อมกับสิ่งที่องค์การของพระยะโฮวาจัดเตรียมให้ในด้านอาหารฝ่ายวิญญาณและการชี้นำนั้น คนเราจะเติบโตไปพร้อมกับองค์การ.
ในปี 1950 ผมได้รับเชิญให้เข้าร่วมชั้นเรียนที่ 16 ของโรงเรียนกิเลียดว็อชเทาเวอร์ไบเบิลสำหรับอบรมมิชชันนารี. ตอนนั้น โรงเรียนตั้งอยู่ที่เซาท์แลนซิง นิวยอร์ก ประมาณ 400 กิโลเมตรขึ้นไปทางเหนือของบรุกลิน นิวยอร์ก. ในระหว่างทำงานชั่วคราวที่สำนักงานกลางของพยานพระยะโฮวาในบรุกลิน ผมสังเกตเห็นใจกลางขององค์การที่เห็นได้ของพระยะโฮวาด้วยตนเอง. การอุทิศตนสิ้นสุดจิตวิญญาณของคนเหล่านั้นที่นำหน้าที่นั่นทำให้ผมเปี่ยมไปด้วยความหยั่งรู้ค่าอย่างลึกซึ้งต่อองค์การของพระยะโฮวา.
ทำงานรับใช้ต่อไป
หลังจากที่กลับมายังสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ผมถูกแต่งตั้งให้รับใช้ในฐานะผู้ดูแลเดินทางในทรานสวาลทางตอนเหนือซึ่งเป็นที่ที่ผมเติบโตมา. หลังจากที่ติดต่อกันทางจดหมายอยู่หกปี มาร์ตีกับผมก็แต่งงานกันในเดือนธันวาคมปี 1952 และเธอร่วมในงานเดินหมวดกับผม. ความหยั่งรู้ค่าที่พี่น้องคริสเตียนมีต่อการเยี่ยมของเรานั้นทำให้เราปลื้มปีติ.
ยกตัวอย่างเช่น คราวหนึ่งในขณะที่รับใช้ประชาคมหนึ่งในชุมชนที่ทำการเกษตร เราพักกับครอบครัวหนึ่ง ซึ่งขอโทษขอโพยที่ไม่มีนมสำหรับใส่ชาหรือกาแฟ. ต่อมา เราทราบว่าพวกเขาขายโคนมซึ่งมีอยู่เพียงตัวเดียว เพื่อจะได้มีเงินมาซื้อน้ำมันเบนซินเพื่อพาเราไปเยี่ยมในเขตซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป เพื่อให้คำพยานแก่พวกเกษตรกร. เรารักพี่น้องชนิดนั้นสักเพียงไร!
บางครั้ง ผมรู้สึกขาดคุณวุฒิสำหรับงานเดินหมวด โดยเฉพาะเมื่อต้องจัดการกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่มีอายุมากกว่า. ครั้งหนึ่ง ผมรู้สึกท้อใจถึงกับบอกมาร์ตีว่าไม่ต้องแปลกใจถ้าเราถูกมอบหมายไปทำงานไพโอเนียร์อีก เพราะการขาดประสบการณ์ของผม. เธอรับรองกับผมว่าเธอจะมีความสุขในการรับใช้ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไรก็ตาม ตราบใดที่เรายังคงอยู่ในงานรับใช้เต็มเวลา.
ลองคิดดูซิว่าเราประหลาดใจสักเพียงไร เมื่อเรามาถึงประชาคมถัดไปและได้รับจดหมายมอบหมายให้ทำงานรับใช้ในการดูแลภาค! เป็นเวลาเกือบสองปีที่เราเดินทางทั่วประเทศแอฟริกาใต้และนามิเบีย ซึ่งในเวลานั้นเรียกว่าแอฟริกาตะวันตกเฉียงใต้. อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระบบแบ่งแยกผิว งานของเรามักเป็นไปด้วยความยากลำบาก. บ่อยครั้ง เราไม่ได้รับใบอนุญาตให้เข้าไปในเขตที่อยู่อาศัยของคนผิวดำ และบางครั้งไม่ได้รับอนุญาตให้จัดการประชุมใหญ่.
ยกตัวอย่างเช่น ในปี 1960 เราได้รับอนุญาตให้จัดการประชุมภาคในเมืองโซเวโท. พี่น้องผิวดำจากประชาคมที่อยู่ห่างไกลซื้อตั๋วรถไฟและรถโดยสารไว้แล้วเพื่อจะมา แต่รัฐบาลทราบถึงแผนการของเรา จึงยกเลิกการอนุญาต. ด้วยความสุขุมรอบคอบ เราเข้าหาเจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งเป็นมิตร ในเมืองซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของโจฮันเนสเบิร์กออกไป 20 กิโลเมตร. ด้วยความกรุณา เขาจัดหาอาคารซึ่งดีกว่าอีก และเรามีการประชุมภาคที่ดีวิเศษ ซึ่งเป็นที่ชื่นชมของผู้เข้าร่วมกว่า 12,000 คน!
สภาพการณ์ช่างเปลี่ยนไปสักเพียงไรในช่วงไม่กี่ปีมานี้! ปัจจุบัน เมื่อการแบ่งแยกผิวถูกยกเลิก เราสามารถชุมนุมกันอย่างเป็นอิสระที่ใดก็ได้ในบริเวณของคนผิวดำ, ผิวขาว, พวกลูกครึ่งระหว่างคนผิวดำและผิวขาว, หรือแขกอินเดีย. ทุกคนไม่ว่าเชื้อชาติใดสามารถนั่งด้วยกันและชื่นชมกับมิตรภาพที่มีต่อกัน. มีเพียงความแตกต่างทางด้านภาษาเท่านั้นที่มีผลต่อที่ที่อยากจะนั่ง.
บทเรียนที่เจ็บปวด
ย้อนไปในปี 1947 คุณพ่อทำความผิดพลาดครั้งใหญ่. ร้านค้าของท่านซึ่งตั้งอยู่ห่างจากที่ที่ท่านและคุณแม่อาศัยอยู่กว่า 200 กิโลเมตรนั้นเกิดขาดทุนเพราะมีการบริหารที่ไม่ซื่อสัตย์ ดังนั้น ท่านจึงย้ายกลับไปที่นั่นเพียงคนเดียวเพื่อบริหารร้านนั้นด้วยตัวเอง. การแยกกันอยู่กับคุณแม่เป็นเวลานานทำให้ท่านตกเข้าสู่การล่อใจ. ผลก็คือท่านถูกตัดสัมพันธ์.
สิ่งนี้ฝังใจผมอย่างเจ็บปวดว่าลำพังความกระตือรือร้นต่อความจริงในพระคัมภีร์นั้นไม่เพียงพอ. ทุกคนต้องยึดมั่นกับหลักการต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิล. (1 โกรินโธ 7:5) หลังจากนั้นหลายปี คุณพ่อถูกรับกลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมคริสเตียน และรับใช้อย่างซื่อสัตย์จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1970. ส่วนคุณแม่อันเป็นที่รักของผมยังคงรักษาความซื่อสัตย์จนท่านเสียชีวิตในปี 1991.
พระพรอื่น ๆ อีก
ในปี 1958 มาร์ตีและผมได้เข้าร่วมการประชุมที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่พยานพระยะโฮวาเคยจัดมา ณ สนามกีฬาแยงกีและสนามโปโลในนิวยอร์ก. เราเปี่ยมล้นด้วยความปีติยินดีอย่างแท้จริงที่ได้เป็นส่วนขององค์การอันยอดเยี่ยมของพระยะโฮวา. การที่ได้อยู่กับชนกลุ่มใหญ่กว่า 253,000 คนในบ่ายวันอาทิตย์นั้นเป็นประสบการณ์ที่เราจะไม่มีวันลืม. สำหรับเราแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ปรากฏเห็นจริงของ ‘ชนฝูงใหญ่ . . . จากทุกประเทศ’ ซึ่งชุมนุมกันอย่างมีสันติสุข. (วิวรณ์ 7:9, 10, ล.ม.) มาร์ตียังคงอยู่ในนิวยอร์กเพื่อเข้าโรงเรียนกิเลียด ส่วนผมกลับไปยังงานดูแลภาคในประเทศแอฟริกาใต้.
ในปี 1959 หลังจากที่มาร์ตีกลับจากการเข้าเรียนในชั้นเรียนที่ 32 ของโรงเรียนกิเลียดแล้ว เราได้รับเชิญให้ไปทำงานรับใช้ที่สำนักงานสาขาประเทศแอฟริกาใต้ ซึ่งในเวลานั้นตั้งอยู่ใกล้กับอีลันด์สฟอนเทน ทางตะวันออกของโจฮันเนสเบิร์ก. ตลอดเวลาหลายปี ผมได้เห็นความก้าวหน้าขององค์การในหลายด้านด้วยกัน โดยเฉพาะความก้าวหน้าในด้านความรักและความร่วมรู้สึก. ผมได้เรียนรู้ว่าพระยะโฮวาทรงชี้นำองค์การของพระองค์ผ่านทางพระเยซูคริสต์ และจะทรงใช้คนเหล่านั้นที่เต็มใจรับเอาหน้าที่รับผิดชอบ.
ในปี 1962 ผมกลับไปที่บรุกลิน นิวยอร์กเพื่อเข้ารับการอบรมการดูแลสาขาเป็นเวลาสิบเดือน. สิ่งนี้ปรากฏว่ามีประโยชน์เมื่อผมถูกแต่งตั้งในปี 1967 ให้เป็นผู้ดูแลสาขาประเทศแอฟริกาใต้. ในปี 1976 มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสาขา ดังนั้น เวลานี้หน้าที่รับผิดชอบในการตัดสินใจสำคัญ ๆ ในประเทศแอฟริกาใต้จึงตกอยู่กับผู้ปกครองคริสเตียนที่มีประสบการณ์ห้าคน.
ชีวิตภายใต้การแบ่งแยกผิว
กฎหมายเกี่ยวกับการแบ่งแยกผิวมีผลกระทบต่อการดำเนินงานของสาขาของเรา. เมื่อมีการสร้างบ้านพักเบเธลในอีลันด์สฟอนเทนในปี 1952 กฎหมายกำหนดว่าต้องมีอาคารเพิ่มเติมทางด้านหลังสำหรับเป็นที่พักของพี่น้องผิวดำและพี่น้องที่เป็นลูกครึ่งระหว่างผิวดำและผิวขาว. กฎหมายยังกำหนดว่าพวกเขาต้องรับประทานอาหารในที่พักสำหรับคนแอฟริกา แยกต่างหากจากคนผิวขาว. ต่อมา ได้มีการจัดให้พวกเขารับประทานอาหารในห้องครัวเบเธล. นี่เป็นการจัดให้มีการรับประทานอาหารเมื่อเรามาถึงเบเธลในปี 1959. ผมไม่เห็นด้วยเลยกับการแบ่งแยกโดยอาศัยเชื้อชาติเป็นเกณฑ์เช่นนี้.
ต่อมา รัฐบาลได้ถอนใบอนุญาต ไม่ให้พี่น้องผิวดำของเราอยู่ในอาคารซึ่งอยู่ทางด้านหลังของบ้านพักเบเธลหลังใหญ่. พี่น้องเหล่านี้จึงต้องอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยสำหรับคนผิวดำ ซึ่งไกลออกไปประมาณ 20 กิโลเมตร. บางคนอยู่ในบ้านเช่า ส่วนคนอื่น ๆ อยู่ในหอพักสำหรับชายโสด. สภาพการณ์ที่ไม่ค่อยจะเหมาะเช่นนี้ยังคงดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายปี.
การขยายเบเธล
ในระหว่างเวลานั้น เบเธลที่อีลันด์สฟอนเทนต้องขยับขยาย. หลังจากที่ขยายมาสามครั้ง ไม่มีที่ให้ขยายอีกต่อไป. คณะกรรมการปกครองชี้แจงว่าเราควรมองหาที่ดินผืนใหม่ในที่ซึ่งหวังว่าเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นจะอนุญาตให้เราสร้างอาคารชุดของเบเธลซึ่งพี่น้องผิวดำของเราจะอยู่ด้วยได้. ทุกเช้าครอบครัวเบเธลจะอธิษฐานขอให้พระยะโฮวาทรงเปิดทางให้โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง.
ช่างเป็นวันแห่งความปีติยินดีอะไรเช่นนี้ที่ในที่สุดเราได้พบที่ดินผืนเหมาะที่ชานเมืองครูเกอร์สดอร์ป ทางตะวันตกของโจฮันเนสเบิร์ก! อย่างไรก็ดี เราต้องสร้างอาคารแยกต่างหากสำหรับพี่น้องผิวดำของเราอีก. เราปฏิบัติตามนั้น แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้พี่น้องผิวดำเกินกว่า 20 คนพักที่นั่น. ด้วยความรู้สึกขอบคุณ เมื่อถึงกลางทศวรรษของปี 1980 เหตุการณ์เริ่มเปลี่ยน. รัฐบาลผ่อนผันในเรื่องกฎหมายที่เคร่งครัดเกี่ยวกับการแบ่งแยกผิว และพี่น้องผิวดำ, พี่น้องที่เป็นลูกครึ่งระหว่างผิวดำและผิวขาว, และพี่น้องที่เป็นแขกอินเดียถูกเรียกให้ไปทำงานรับใช้กับเราในเบเธลมากขึ้น.
เวลานี้ เรามีครอบครัวเบเธลที่มีความสุขและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งผู้คนไม่ว่าเชื้อชาติหรือสีผิวอะไรก็สามารถอยู่ในอาคารที่ตนเลือกได้. นอกจากนี้ หลังจากที่ได้ต่อสู้อยู่หลายปี ในที่สุดเราเป็นที่ยอมรับถูกต้องตามกฎหมายในฐานะศาสนาหนึ่ง. สมาคมท้องถิ่นซึ่งถูกต้องตามกฎหมายได้รับการก่อตั้งขึ้น ซึ่งจดทะเบียนว่า “พยานพระยะโฮวาแห่งประเทศแอฟริกาใต้.” เวลานี้ เรามีเจ้าหน้าที่ของเราเองที่จะจดทะเบียนการสมรสได้ และในแถบที่อยู่อาศัยของชาวผิวดำ หอประชุมราชอาณาจักรผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด.
องค์การของพระยะโฮวาช่างก้าวหน้าอะไรเช่นนี้นับตั้งแต่สมัยแรกเริ่มเมื่อผมรับใช้ในสำนักงานสาขาที่เคปทาวน์! จากครอบครัวเล็ก ๆ 17 คนโดยไม่มีบ้านพักเบเธล เวลานี้เราเติบใหญ่เป็นครอบครัวเบเธลที่มีสมาชิกมากกว่า 400 คน มีอาคารชุดอันทันสมัยของเบเธลพร้อมด้วยคอมพิวเตอร์ที่สลับซับซ้อน, แท่นพิมพ์โรตารี, และบ้านพักเบเธลอันสวยงาม! ถูกแล้ว ผมมีสิทธิพิเศษที่ได้เติบโตไปพร้อมกับองค์การของพระยะโฮวาในประเทศแอฟริกาใต้. เรามีการเพิ่มทวีขึ้นจากผู้ประกาศราชอาณาจักรประมาณ 400 คนเมื่อผมเริ่มในงานรับใช้ประมาณ 50 ปีก่อนมาเป็นเกือบ 55,000 คนในทุกวันนี้!
ผมขอบคุณพระยะโฮวาที่ผมมีภรรยาที่ให้การสนับสนุนอยู่เคียงข้างผมตลอด 39 ปีที่ผ่านมา. “จอกดื่มของข้าพเจ้าเต็มล้นอยู่.” (บทเพลงสรรเสริญ 23:5) มาร์ตีและผมหยั่งรู้ค่าที่เป็นส่วนขององค์การของพระยะโฮวาที่มีพระวิญญาณชี้นำ และตั้งใจแน่วแน่ที่จะรับใช้พระยะโฮวาในเบเธล ราชสำนักของพระองค์ต่อ ๆ ไป และจะก้าวไปพร้อมกับองค์การที่รุดหน้าไปของพระองค์.
[แผนที่หน้า 19]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
อังโกลา
ซาอีร์
แซมเบีย
ซิมบับเว
บอตสวานา
นามิเบีย
สวาซิแลนด์
เลโซโท
แอฟริกาใต้
พริทอเรีย
โจฮันเนสเบิร์ก
เคปทาวน์
พอร์ตเอลิซาเบ็ต
มหาสมุทรแอตแลนติกใต้
มหาสมุทรอินเดีย
ช่องแคบโมซัมบิก
[รูปภาพหน้า 20]
พีต เวนต์เซลและฟรานซ์ มุลเลอร์ (ซ้าย) ในงานไพโอเนียร์ในปี 1945
[รูปภาพหน้า 23]
ฟรานซ์และมาร์ตี มุลเลอร์