อาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าควรฉลองบ่อยเพียงไร?
คริสต์มาส, อีสเตอร์, วัน “ของพวกนักบุญ.” คริสต์จักรต่าง ๆ ในคริสต์ศาสนจักรฉลองวันนักขัตฤกษ์และเทศกาลเลี้ยงหลายอย่าง. แต่คุณทราบไหมว่าพระเยซูคริสต์บัญชาให้เหล่าสาวกของพระองค์ถือการฉลองกี่อย่าง? คำตอบคือ เพียงอย่างเดียว! เทศกาลเลี้ยงฉลองอื่น ๆ ไม่ได้รับการอนุมัติจากท่านผู้ก่อตั้งศาสนาคริสเตียน.
ปรากฏชัดว่า หากพระเยซูทรงตั้งการฉลองเพียงอย่างเดียว การฉลองนั้นนับว่าสำคัญมาก. คริสเตียนควรถือการฉลองนั้นตรงตามที่พระเยซูทรงบัญชาไว้. การฉลองพิเศษเฉพาะนี้คืออะไร?
การฉลองอย่างเดียว
พระเยซูทรงตั้งการฉลองนี้ในวันที่พระองค์สิ้นพระชนม์. พระองค์ได้ฉลองเทศกาลเลี้ยงปัศคาของชาวยิวกับพวกอัครสาวกของพระองค์. ครั้นแล้ว พระองค์ทรงส่งขนมปังปัศคาที่ไม่มีเชื้อส่วนหนึ่งให้กับพวกเขา ตรัสว่า “นี้หมายถึงกายของเราซึ่งจะประทานให้เพื่อประโยชน์ของเจ้าทั้งหลาย.” ถัดจากนั้น พระเยซูทรงส่งถ้วยเหล้าองุ่น ตรัสว่า “ถ้วยนี้หมายถึงคำสัญญาไมตรีใหม่โดยอาศัยโลหิตของเรา ซึ่งจะต้องเทออกเพื่อประโยชน์ของเจ้าทั้งหลาย.” พระองค์ยังตรัสอีกด้วยว่า “จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา.” (ลูกา 22:19, 20, ล.ม.; 1 โกรินโธ 11:24-26) การฉลองนี้เรียกว่าอาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า หรือการฉลองอนุสรณ์. นั่นเป็นการฉลองเดียวเท่านั้นที่พระเยซูทรงบัญชาพวกสาวกของพระองค์ให้ถือรักษา.
หลายคริสต์จักรอ้างว่า พวกเขาจัดการฉลองนี้พร้อมกับเทศกาลเลี้ยงฉลองอื่น ๆ ทั้งหมดของพวกเขา แต่ส่วนใหญ่ฉลองต่างจากวิธีที่พระเยซูทรงบัญชาไว้. บางที ความแตกต่างที่โดดเด่นมากที่สุดคือความถี่ ในการฉลองนั้น. บางคริสต์จักรฉลองทุกเดือน, ทุกสัปดาห์, ทุกวันด้วยซ้ำ. นี้เป็นสิ่งที่พระเยซูทรงมุ่งหมายไหมเมื่อพระองค์รับสั่งกับพวกสาวกว่า “จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา”? เดอะ นิว อิงลิช ไบเบิล บอกว่า “จงกระทำอย่างนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงเรา.” (1 โกรินโธ 11:24, 25) มีการฉลองอนุสรณ์หรือวันครบรอบบ่อยเพียงไร? ตามปกติ เพียงปีละครั้ง.
พึงระลึกด้วยว่า พระเยซูทรงริเริ่มการฉลองนี้และครั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์ในวันที่ 14 เดือนไนซานตามปฏิทินของยิว.a นั่นเป็นวันปัศคา เทศกาลฉลองที่เตือนให้พวกยิวระลึกถึงการช่วยให้รอดอันใหญ่ยิ่งที่พวกเขาได้ประสบในอียิปต์ในศตวรรษที่ 16 ก่อนสากลศักราช. เวลานั้น การถวายแกะเป็นเครื่องบูชายังผลด้วยความรอดของบุตรหัวปีชาวยิว ขณะที่ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาประหารบุตรหัวปีทั้งหมดของชาวอียิปต์.—เอ็กโซโด 12:21, 24-27.
เรื่องนี้เป็นประโยชน์อย่างไรต่อความเข้าใจของเรา? เอาละ คริสเตียนอัครสาวกเปาโลได้เขียนว่า “พระคริสต์ผู้เป็นปัศคาของเราทั้งหลายได้ถูกฆ่าบูชาเสียแล้ว.” (1 โกรินโธ 5:7) การวายพระชนม์ของพระเยซูเป็นเครื่องบูชาปัศคาที่ล้ำเลิศกว่า ทำให้มนุษยชาติมีโอกาสในเรื่องความรอดอันเยี่ยมยอดกว่ามากนัก. เพราะฉะนั้น สำหรับคริสเตียนแล้ว การรำลึกถึงการวายพระชนม์ของพระคริสต์จึงเข้ามาแทนปัศคาของชาวยิว.—โยฮัน 3:16.
ปัศคาเป็นการฉลองประจำปี. ถ้าเช่นนั้น ตามเหตุผลแล้ว การฉลองอนุสรณ์ก็เป็นเช่นนั้น. วันปัศคา—วันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์—ตกในวันที่ 14 เดือนไนซานของยิวเสมอ. เนื่องจากเหตุนี้ จึงควรรำลึกถึงการวายพระชนม์ของพระคริสต์ปีละครั้งตามวันในปฏิทินที่ตรงกับวันที่ 14 เดือนไนซาน. ในปี 1994 วันนั้นคือวันเสาร์ที่ 26 มีนาคม ภายหลังดวงอาทิตย์ตก. ทว่าทำไมคริสต์จักรต่าง ๆ ในคริสต์ศาสนจักรจึงมิได้กำหนดวันนี้เป็นวันสำหรับการฉลองพิเศษนั้น? การพิจารณาประวัติศาสตร์แบบรวบรัดจะตอบคำถามนั้น.
ธรรมเนียมแบบอัครสาวกอยู่ระหว่างอันตราย
ไม่มีข้อสงสัยว่าระหว่างศตวรรษแรกสากลศักราช คนเหล่านั้นที่ได้รับการชี้นำโดยพวกอัครสาวกของพระเยซูนั้นฉลองอาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างถูกต้องตามที่พระองค์ทรงบัญชาไว้. อย่างไรก็ดี ระหว่างศตวรรษที่สอง บางคนเริ่มเปลี่ยนเวลาของการฉลองนั้น. พวกเขาจัดการฉลองอนุสรณ์นั้นในวันแรกของสัปดาห์ (ปัจจุบันเรียกว่าวันอาทิตย์) ไม่ใช่วันซึ่งตรงกับวันที่ 14 เดือนไนซาน. ทำไมจึงมีการทำเช่นนั้น?
สำหรับชาวยิวแล้ว วันเริ่มต้นราว ๆ หกโมงเย็นแล้วดำเนินต่อไปจนกระทั่งเวลาเดียวกันในวันต่อไป. พระเยซูสิ้นพระชนม์ในวันที่ 14 เดือนไนซาน ปีสากลศักราช 33 ซึ่งเริ่มจากตอนเย็นวันพฤหัสบดีไปจนถึงเย็นวันศุกร์. พระองค์ได้รับการปลุกให้คืนพระชนม์ในวันที่สาม ตอนเช้าตรู่วันอาทิตย์. บางคนต้องการให้การฉลองการระลึกถึงการวายพระชนม์ของพระเยซูตกในวันที่กำหนดแน่นอนในสัปดาห์ของทุกปี แทนที่จะเป็นวันซึ่งตรงกับวันที่ 14 เดือนไนซาน. พวกเขายังถือว่า วันแห่งการกลับคืนพระชนม์ของพระเยซูสำคัญยิ่งกว่าวันวายพระชนม์ของพระองค์. เนื่องจากเหตุนี้ พวกเขาจึงเลือกวันอาทิตย์.
พระเยซูทรงบัญชาให้ระลึกถึงการวายพระชนม์ ไม่ใช่การกลับคืนพระชนม์ของพระองค์. และเนื่องจากปัศคาของยิวตกในวันซึ่งต่างกันทุกปี ตามปฏิทินแบบเกรกอเรียนที่เราใช้ในปัจจุบัน จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่การฉลองอนุสรณ์ก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย. เพราะฉะนั้น หลายคนยึดมั่นกับการจัดเตรียมดั้งเดิมและฉลองอาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าในวันที่ 14 เดือนไนซานทุกปี. ในที่สุด พวกเขาถูกเรียกว่าควอร์โทเดสิมานส์ หมายความว่า “ผู้ถือวันที่สิบสี่.”
ผู้คงแก่เรียนบางคนยอมรับว่า “ผู้ถือวันที่สิบสี่” เหล่านี้ติดตามแบบอย่างดั้งเดิมของพวกอัครสาวก. นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า “เกี่ยวกับวันสำหรับฉลองปัศคา [อาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า] นั้น คริสต์จักรควอร์โทเดสิมานส์แห่งเอเชียถือปฏิบัติต่อเนื่องจากคริสต์จักรในกรุงยะรูซาเลม. ในศตวรรษที่สอง ณ ปัศคาของพวกเขาในวันที่ 14 เดือนไนซาน คริสต์จักรเหล่านี้ได้ระลึกถึงการไถ่ถอนที่บรรลุผลโดยการวายพระชนม์ของพระคริสต์.”—สทูเดีย พาทริสทิคา เล่ม 5, 1962, หน้า 8.
การโต้แย้งขยายตัว
ขณะที่หลายคนในเอเชียน้อยติดตามการปฏิบัติของอัครสาวก ก็ได้มีการจัดวันอาทิตย์ไว้สำหรับการฉลองในกรุงโรม. ราว ๆ ปีสากลศักราช 155 โพลีคาร์พแห่งซมือร์นา ตัวแทนคนหนึ่งของประชาคมในเอเชีย ได้ไปเยือนกรุงโรมเพื่อถกเรื่องนี้และปัญหาอื่น ๆ. น่าเสียดาย ไม่มีการบรรลุข้อตกลงในเรื่องนี้.
อิเรเนอุสแห่งลีอองส์ได้เขียนในจดหมายฉบับหนึ่งว่า “อานิเซทุส [แห่งกรุงโรม] ไม่สามารถโน้มน้าวโพลีคาร์พมิให้ฉลองสิ่งที่เขาเคยฉลองเสมอมาพร้อมกับโยฮัน สาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และกับอัครสาวกอื่น ๆ ซึ่งเขาได้คบหาด้วย และโพลีคาร์พก็มิได้เกลี้ยกล่อมอานิเซทุสให้ฉลองสิ่งนั้น เพราะอานิเซทุสกล่าวว่าเขาควรยึดมั่นกับธรรมเนียมของผู้ปกครองที่อยู่ก่อนหน้าเขา.” (ยูเซบิอุส, หนังสือเล่ม 5, บท 24) โปรดสังเกตว่า ตามรายงานนั้น โพลีคาร์พให้จุดยืนของตนอาศัยอำนาจของพวกอัครสาวก ส่วนอานิเซทุสอาศัยธรรมเนียมของผู้ปกครองแต่ก่อนที่อยู่ในกรุงโรม.
การโต้เถียงนี้รุนแรงขึ้นจนถึงตอนปลายศตวรรษที่สองสากลศักราช. ราว ๆ ปีสากลศักราช 190 วิกเตอร์ถูกเลือกเป็นบิชอปแห่งโรม. เขาเชื่อว่า ควรฉลองอาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าในวันอาทิตย์ และเขาแสวงหาการสนับสนุนจากผู้นำคนอื่น ๆ หลายคนเท่าที่เป็นไปได้. วิกเตอร์ได้บีบบังคับประชาคมทางเอเชียให้เปลี่ยนเป็นวันอาทิตย์.
ในการตอบโต้แทนคนเหล่านั้นในเอเชียน้อย โพลิกราทีสแห่งเอเฟโซไม่ยอมจำนนต่อการบีบบังคับนั้น. เขากล่าวว่า “เราถือรักษาวันนั้นโดยไม่มีการเปลี่ยน ไม่บวกหรือลบ.” แล้วเขายกรายชื่อผู้มีอำนาจหลายคน รวมทั้งอัครสาวกโยฮันด้วย. เขายืนยันว่า “คนเหล่านี้ทั้งหมดฉลองวันที่สิบสี่เป็นวันปัศคาตามกิตติคุณ ไม่ได้หันเหไปจากวันนั้นเลย.” โพลิกราทีสเสริมอีกว่า “พี่น้องทั้งหลาย สำหรับตัวข้าพเจ้า . . . ไม่กลัว การขู่เข็ญ. เพราะคนเหล่านั้นที่เหนือกว่าข้าพเจ้าก็ได้กล่าวว่า เราต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่ามนุษย์.”—ยูเซบิอุส, หนังสือเล่ม 5, บท 24.
วิกเตอร์ไม่พอใจกับคำตอบโต้นี้. หนังสือทางประวัติศาสตร์เล่มหนึ่งกล่าวว่าเขา “ได้คว่ำบาตรคริสต์จักรทางเอเชียทั้งหมด แล้วส่งจดหมายเวียนถึงคริสต์จักรทั้งหมดที่มีความคิดเห็นอย่างเดียวกันกับเขา แจ้งว่าคริสต์จักรเหล่านั้นไม่ควรมีความสัมพันธ์กับคริสต์จักรที่ถูกคว่ำบาตร.” อย่างไรก็ดี “การกระทำของเขาที่หุนหันพลันแล่นและบุ่มบ่ามเช่นนี้ทำให้คนที่ฉลาดและจริงใจในคณะพรรคของเขาเองขุ่นเคืองใจ ซึ่งหลายคนได้เขียนถึงเขาอย่างแรง แนะนำเขา . . . ให้รักษาไว้ซึ่งความรัก, เอกภาพ, และสันติสุข.”—ยุคโบราณของคริสต์จักรคริสเตียน ของบิงแฮม (ภาษาอังกฤษ), หนังสือเล่ม 20, บท 5.
การออกหากเป็นระบบขึ้นมา
แม้มีการไม่เห็นด้วยเช่นนั้น คริสเตียนในเอเชียน้อยได้ถูกปล่อยให้โดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ ในประเด็นที่ว่าจะฉลองอาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อไร. การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ค่อย ๆ เกิดขึ้นในที่อื่น. บางคนฉลองตลอดทั้งช่วงตั้งแต่วันที่ 14 เดือนไนซานไปจนถึงวันอาทิตย์ถัดไป. คนอื่น ๆ จัดเทศกาลนั้นบ่อยกว่า คือทุกสัปดาห์ในวันอาทิตย์.
ในปีสากลศักราช 314 สภาแห่งอาร์เลส์ (ฝรั่งเศส) พยายามบีบบังคับให้ทำตามการจัดเตรียมของโรมและกำจัดทางเลือกอื่น. พวกควอร์โทเดสิมานส์ที่เหลืออยู่ไม่ยอมเห็นด้วย. เพื่อที่จะจัดการกับเรื่องนี้และเรื่องอื่น ๆ ที่แบ่งแยกผู้อ้างตัวเป็นคริสเตียนในจักรวรรดิของเขา ในปีสากลศักราช 325 คอนสแตนติน จักรพรรดินอกรีตจึงได้เรียกประชุมสภาคริสต์ศาสนาทั้งมวล สภาแห่งไนเซีย. สภานั้นได้ออกคำสั่งให้ทุกคนในเอเชียน้อยทำตามวิธีปฏิบัติของโรม.
เป็นเรื่องน่าสนใจที่จะสังเกตหนึ่งในข้อโต้แย้งสำคัญ ๆ ที่ยกขึ้นมาเพื่อยกเลิกการฉลองอนุสรณ์เกี่ยวกับการวายพระชนม์ของพระคริสต์ตามวันที่ในปฏิทินของยิว. ประวัติศาสตร์ของสภาคริสเตียน, (ภาษาอังกฤษ) โดย เค. เจ. เฮเฟเละ แถลงว่า “มีการแถลงว่า ไม่เหมาะเลยที่เทศกาลบริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาเทศกาลทั้งหมดนี้จะติดตามธรรมเนียม (การคำนวณ) ของพวกยิวซึ่งได้ทำให้มือแปดเปื้อนด้วยอาชญากรรมที่น่าหวาดกลัวมากที่สุดและซึ่งจิตใจของพวกเขามืดไป.” (เล่ม 1, หน้า 322) ถือกันว่าการอยู่ในฐานะเช่นนั้นเป็น “‘การอยู่ใต้บังคับอย่างน่าอัปยศอดสู’ ของธรรมศาลาซึ่งทำให้ผู้มีอำนาจของคริสต์จักรเบื่อหน่าย” เจ. จัสเตอร์ได้พูดไว้ ดังที่ยกมากล่าวใน สทูเดีย พาทริสทิคา, เล่ม 4, 1961, หน้า 412.
นั่นเป็นลัทธิต่อต้านยิวจริง ๆ! คนเหล่านั้นซึ่งฉลองอนุสรณ์การวายพระชนม์ของพระเยซูในวันเดียวกันกับที่พระองค์สิ้นพระชนม์นั้นถูกมองว่าเป็นผู้ยอมรับศาสนายิว. ลืมกันไปว่าพระเยซูเองทรงเป็นคนยิวและพระองค์ทรงทำให้วันนั้นมีความหมายโดยการถวายชีวิตของพระองค์ในคราวนั้นเพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ. ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มีการประกาศว่าพวกควอร์โทเดสิมานส์เป็นคนนอกรีตและผู้แตกความสามัคคีและพวกเขาถูกข่มเหง. สภาแห่งแอนติออคในปีสากลศักราช 341 ได้ตัดสินให้คว่ำบาตรพวกเขา. ถึงอย่างไรก็ดี ยังคงมีพวกเขาหลายคนอยู่ในปีสากลศักราช 400 และพวกเขาได้ยืนหยัดอยู่ด้วยจำนวนเล็กน้อยหลังจากนั้นเป็นเวลานาน.
ตั้งแต่ยุคนั้นเป็นต้นมา คริสต์ศาสนจักรไม่กลับคืนสู่การจัดเตรียมดั้งเดิมของพระเยซู. ศาสตราจารย์วิลเลียม ไบรต์ยอมรับว่า “เมื่อมีการอุทิศวันพิเศษ วันศุกร์ก่อนการคืนพระชนม์ เพื่อระลึกถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ในคืนสุดท้ายของพระองค์เช่นนั้นแล้ว ก็สายเกินไปที่จะจำกัดความเกี่ยวพันของ ‘ปัศคา’ ไว้กับวันนั้นซึ่งนักบุญเปาโลได้เชื่อมโยงเข้ากับการวายพระชนม์ที่เป็นการเสียสละ: ได้มีการนำความเกี่ยวพันของปัศคานั้นมาใช้ตามอำเภอใจกับเทศกาลฉลองการคืนพระชนม์นั้นเอง และความสับสนของความคิดก็ได้ก่อตัวขึ้นในคริสต์ศาสนจักรที่ใช้ภาษากรีกและลาตินตามพิธีกรรม.”—ยุคของผู้เขียนคริสเตียนในศตวรรษที่สาม (ภาษาอังกฤษ) เล่ม 1, หน้า 102.
จะว่าอย่างไรในทุกวันนี้?
คุณอาจถามว่า ‘หลังจากเวลาอันยาวนานทั้งหมดนี้แล้ว เป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ ไหมที่ว่าจะฉลองอนุสรณ์เมื่อไร?’ ใช่ เป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ. การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นโดยคนที่มีความคิดเป็นเอกเทศซึ่งแสวงอำนาจ. ผู้คนติดตามความคิดเห็นของตนเองแทนที่จะเชื่อฟังพระเยซูคริสต์. คำเตือนของอัครสาวกเปาโลสำเร็จเป็นจริงอย่างชัดแจ้งที่ว่า “ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่า เมื่อข้าพเจ้าไปแล้ว ฝูงสุนัขป่าที่กดขี่จะเข้ามาปะปนในพวกท่าน และจะไม่ปฏิบัติต่อฝูงแกะด้วยความอ่อนโยน และจากท่ามกลางพวกท่านจะมีบางคนตั้งตัวขึ้นพูดบิดเบือนชักนำเหล่าสาวกให้หลงตามเขาไป.”—กิจการ 20:29, 30, ล.ม.
ประเด็นอยู่ที่การเชื่อฟัง. พระเยซูได้ทรงตั้งเพียงการฉลองอย่างเดียวให้คริสเตียนถือ. คัมภีร์ไบเบิลอธิบายอย่างชัดเจนว่า ควรฉลองวันนั้นเมื่อไรและโดยวิธีใด. ถ้าเช่นนั้น ใครมีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนเรื่องนั้น? พวกควอร์โทเดสิมานส์สมัยแรกทนรับการข่มเหงและการคว่ำบาตรแทนที่จะอะลุ้มอล่วยในเรื่องนี้.
คุณอาจสนใจที่ทราบว่า ยังมีคริสเตียนบนแผ่นดินโลกผู้ซึ่งนับถือความประสงค์ของพระเยซูและฉลองอนุสรณ์เกี่ยวกับการวายพระชนม์ของพระองค์ในวันเวลาที่พระองค์ทรงกำหนดไว้. ปีนี้ พยานพระยะโฮวาจะประชุมกันในหอประชุมของพวกเขาตลอดทั่วแผ่นดินโลกหลังเวลา 18:00 น. ในวันเสาร์ที่ 26 มีนาคม—เมื่อวันที่ 14 เดือนไนซานเริ่มต้น. ครั้นแล้ว พวกเขาจะทำสิ่งที่พระเยซูตรัสว่าควรทำในโอกาสที่มีความหมายมากที่สุดนี้. เชิญร่วมฉลองอาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าพร้อมกับพวกเขา. โดยการเข้าร่วม คุณก็เช่นกันสามารถแสดงความนับถือต่อความประสงค์ของพระเยซูคริสต์.
[เชิงอรรถ]
a ไนซาน เดือนแรกแห่งปีของพวกยิว เริ่มต้นด้วยการปรากฏครั้งแรกของดวงจันทร์ข้างขึ้น. ด้วยเหตุนี้ วันที่ 14 ไนซานจึงตกในคราวดวงจันทร์เต็มดวงเสมอ.
[กรอบหน้า 6]
“ค่าไถ่อันล้ำค่านั้น”
เครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูคริสต์เป็นมากยิ่งกว่าหลักคำสอน. พระเยซูตรัสถึงพระองค์เองว่า “บุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อจะให้เขาปรนนิบัติ, แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา, และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก.” (มาระโก 10:45) พระองค์ยังอธิบายด้วยว่า “พระเจ้าทรงรักโลกมากจนถึงกับได้ประทานพระบุตรผู้ได้รับกำเนิดองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่แสดงความเชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์.” (โยฮัน 3:16, ล.ม.) สำหรับคนตาย ค่าไถ่เปิดทางไว้เพื่อการกลับเป็นขึ้นจากตายและความหวังในการมีชีวิตถาวร.—โยฮัน 5:28, 29.
การวายพระชนม์ที่สำคัญยิ่งของพระเยซูคริสต์นั่นเองที่มีการรำลึกถึง ณ การฉลองอาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า. การเสียสละของพระองค์สัมฤทธิผลมากจริง ๆ! สตรีคนหนึ่งซึ่งได้รับการอบรมจากบิดามารดาที่เลื่อมใสพระเจ้าและเป็นผู้ที่ได้ดำเนินอยู่ในความจริงเป็นเวลาหลายสิบปีได้แสดงความรู้สึกขอบคุณด้วยถ้อยคำเหล่านี้:
“พวกเราเฝ้ารอคอยการประชุมอนุสรณ์. นั่นเป็นโอกาสที่พิเศษยิ่งขึ้นทุกปี. ดิฉันจำได้ตอนที่ยืนอยู่ในศาลาที่ตั้งศพเมื่อ 20 ปีมาแล้ว มองดูศพคุณพ่อที่รักของดิฉันแล้วก็เกิดความหยั่งรู้ค่าด้วยเต็มหัวใจอย่างแท้จริงต่อค่าไถ่. ก่อนหน้านั้น เรื่องนี้เป็นเพียงความรู้ในสมองเท่านั้น. ดิฉันรู้ข้อคัมภีร์ทุกข้อและรู้วิธีอธิบายข้อเหล่านั้น! แต่เฉพาะเมื่อดิฉันรู้สึกถึงความเป็นจริงอันโหดเหี้ยมของความตายแล้วเท่านั้น หัวใจของดิฉันโลดเต้นด้วยความยินดีอย่างยิ่งเกี่ยวกับสิ่งที่จะสัมฤทธิผลสำหรับพวกเราโดยทางค่าไถ่อันล้ำค่านั้น.”