ดินแดนที่กันดารกลับอุดมสมบูรณ์
เล่าโดย อาร์เทอร์ เมลิน
วันนั้นเป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสในฤดูใบไม้ผลิปี 1930 และผมกำลังยืนอยู่ที่ท่าเรือแห่งหนึ่งในเมืองพรินซ์ รูเพิร์ต รัฐบริติช โคลัมเบีย. เมื่อมองลงไปที่เรือซึ่งนอนอยู่ที่ก้นทะเล ผมนึกสงสัยว่า ‘น้ำหายไปไหนหมด?’ นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของผมเกี่ยวกับน้ำขึ้นน้ำลงทางชายฝั่งตะวันตกด้านมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งระดับน้ำทะเลอาจลดลงถึง 7 เมตรในเวลาเพียงหกชั่วโมง. แต่เด็กชาวนาในแถบทุ่งหญ้าแพรรีมาอยู่บนชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกได้อย่างไร?
ผมได้รับเชิญให้ขยายสิทธิพิเศษในงานรับใช้พระยะโฮวาเต็มเวลา โดยร่วมกับลูกเรือประจำเรือชาร์เมียน. งานที่เราได้รับมอบหมายก็คือบุกเบิกงานประกาศตามชายฝั่งตะวันตกที่ห่างไกลตั้งแต่แวนคูเวอร์ไปจนถึงอะแลสกา. บริเวณที่เป็นแนวยาวนี้ประกอบด้วยชายฝั่งส่วนใหญ่ซึ่งยาวหลายกิโลเมตรของรัฐบริติช โคลัมเบีย ซึ่งขาดแคลนผู้ที่ขันแข็งในการสรรเสริญพระยะโฮวา ยกเว้นผู้ประกาศราชอาณาจักรกลุ่มเล็ก ๆ ในเมืองพรินซ์ รูเพิร์ต.
ผมใจจดใจจ่อที่จะเริ่มงานประกาศ ดังนั้น เมื่อก้าวลงจากรถไฟ ผมมุ่งตรงไปที่ท่าเรือทันทีเพื่อดูเรือชาร์เมียน และพบลูกเรือ คือ อาร์นี และคริสตินา บาร์สตัด. ไม่มีใครอยู่บนเรือ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงไปที่อื่น. เมื่อผมกลับมาอีกในวันนั้น ผมถึงกับตกใจ. ดูราวกับว่า มหาสมุทรกำลังจะเหือดแห้งไป!
แต่อะไรนำไปสู่งานมอบหมายที่น่าสนใจนี้?
มรดกฝ่ายวิญญาณ
ความหยั่งรู้ค่าของผมในสิ่งฝ่ายวิญญาณเริ่มต้นที่บ้าน ในที่ราบของรัฐอัลเบอร์ตา แคนาดา. คุณพ่อของผมพบแผ่นพับซึ่งเขียนโดยชาร์ลส์ เทซ รัสเซลล์แห่งสมาคมไซโอนส์ ว็อช เทาเวอร์ แทร็กต์ ซึ่งได้เปลี่ยนชีวิตของท่านอย่างแท้จริง. คุณพ่อเริ่มประกาศกับเพื่อนบ้าน แม้ว่าต้องใช้เวลามากในการทำการเกษตรในเมืองคาลมาร์ รัฐอัลเบอร์ตาก็ตาม. นั่นเป็นเวลาร้อยปีมาแล้ว ในระหว่างช่วงต้นทศวรรษปี 1890.
ในครอบครัวที่เกรงกลัวพระเจ้านี้เองที่ผมเกิดมาในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 1905 เป็นลูกคนที่แปดของพี่น้องชายหญิงซึ่งในที่สุดมีสิบคน. คุณพ่อรวมทั้งคนอื่น ๆ ในชุมชนชาวสวีเดนนี้ได้เข้ามาสมทบกับนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลนานาชาติ. ในเวลาต่อมา พวกเขาสร้างสถานที่ประชุม ซึ่งเรียกกันในภายหลังว่าหอประชุมราชอาณาจักร. นับเป็นหนึ่งในหอประชุมแรก ๆ ของแคนาดา.
งานในไร่นาไม่เคยกีดกันเราจากการเข้าร่วมประชุมคริสเตียน ซึ่งบางครั้งมีคำบรรยายเป็นพิเศษจากผู้บรรยายที่สมาคมว็อชเทาเวอร์ส่งมา. คำบรรยายเหล่านี้ก่อความปรารถนาจากใจจริงไว้ในตัวเราที่จะมีส่วนในงานประกาศ. ผลก็คือ เกือบทุกคนในครอบครัวของเราดำเนินอย่างแน่วแน่ในความสว่างแห่งความจริงของคัมภีร์ไบเบิล.
มีส่วนในงานประกาศ
ต้นทศวรรษปี 1920 ผมได้รับงานมอบหมายเป็นครั้งแรกในการให้คำพยาน. ผมมีหน้าที่แจกใบเชิญฟังคำบรรยายสาธารณะไปตามบ้านในเมืองเอ็ดมันตัน. ขณะที่ผมยืนที่นั่นคนเดียวในวันนั้น ผมได้บทเรียนอันมีค่า นั่นคือ จงวางใจในพระยะโฮวา. (สุภาษิต 3:5, 6) ผมสุขใจจริง ๆ ที่ได้ปฏิบัติงานมอบหมายแรกนี้ให้ลุล่วงด้วยความช่วยเหลือของพระยะโฮวา!
ความมั่นใจของผมในองค์การที่เห็นได้ของพระยะโฮวาและในชนชั้นทาสสัตย์ซื่อและสุขุมของพระองค์นั้นมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่มีความเข้าใจยิ่งขึ้นในพระคำแห่งความจริง. มีการเลิกกิจปฏิบัติหลายอย่างที่ทำกันในคริสต์ศาสนจักร เช่น การฉลองคริสต์มาสและวันเกิด. ความรอดเป็นส่วนตัวไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อีกต่อไป การประกาศราชอาณาจักรเริ่มเข้ามามีความสำคัญแทนที่. สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมีผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตของผม. ดังนั้น ไม่นานหลังจากผมอุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวาในวันที่ 23 เมษายน 1923 ผมเอางานรับใช้เต็มเวลาเป็นเป้าหมายของผม.
ในช่วงฤดูหนาวแถบทุ่งหญ้าแพรรีซึ่งอุณหภูมิลดลงเหลือ -18 องศาเซลเซียส เราให้คำพยานในชนบทโดยใช้ม้าและเลื่อน. ครั้งหนึ่ง ผมใช้เวลาสองสัปดาห์กับพี่น้องกลุ่มหนึ่งในรถยนต์ซึ่งมีที่พักนอน. รถยนต์พิเศษแบบนี้ปรากฏว่ามีประโยชน์ในการให้คำพยานในพื้นที่โล่งกว้างแถบทุ่งหญ้าแพรรีในแคนาดา. แม้ว่าจะต้องเผชิญปัญหาทางการเงิน, สภาพอากาศที่เลวร้าย, และการเดินทางที่แสนไกล, ผมก็บากบั่นอยู่ในงานรับใช้เป็นไพโอเนียร์ในอัลเบอร์ตาอยู่ประมาณสามปีแม้จะทำไม่ต่อเนื่อง จนกระทั่งวันนั้นที่น่าจดจำในปี 1930 เมื่อผมได้รับเชิญให้ไปรับใช้ทางชายฝั่งตะวันตกด้านมหาสมุทรแปซิฟิก. เนื่องจากผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับทะเลหรือเรือ การเชิญในครั้งนั้นจึงทำให้ผมรู้สึกงงงวย.
ไม่นานหลังจากที่ผมไปถึงเมืองพรินซ์ รูเพิร์ต ผมก็รู้สึกเหมือนอยู่บ้านพร้อมด้วยเพื่อนร่วมงานใหม่บนเรือ. บราเดอร์บาร์สตัดเป็นนักเดินเรือที่เชี่ยวชาญ ทำอาชีพประมงมาเป็นเวลาหลายปี. หกปีถัดจากนั้นเป็นระยะเวลาของการประกาศอย่างเอาจริงเอาจัง ขึ้นล่องตามชายฝั่งของรัฐบริติช โคลัมเบียตั้งแต่แวนคูเวอร์ไปจนถึงอะแลสกา. อีกบทเรียนหนึ่งที่ได้ก็คือ จงยอมรับงานมอบหมายจากพระยะโฮวาเสมอ และอย่ารีรอเป็นอันขาด.
หว่านเมล็ดริมทะเล
ท่าแรกที่เราแวะเยี่ยมในฤดูใบไม้ผลิปี 1930 ก็คือเมืองเคตชิแคน รัฐอะแลสกา ที่ซึ่งเราขนสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลลงจากเรือ 60 กล่อง. เป็นเวลาหลายสัปดาห์ เราไปเยี่ยมบ้านทุกหลังในเมืองเคตชิแคน, แรงเกล, ปีเตอร์สเบิร์ก, จูโน, สแกกเวย์, เฮนส์, ซิทคา, และหมู่บ้านอื่น ๆ ซึ่งอยู่กระจัดกระจาย. จากนั้น เราก็ประกาศทั่วชายฝั่งของรัฐบริติช โคลัมเบียก่อนสิ้นฤดูร้อน. มีการเยี่ยมตามที่ต่าง ๆ ที่อยู่ห่างไกล เช่น นิคมตัดไม้, นิคมทำปลากระป๋อง, หมู่บ้านอินเดียนแดง, เมืองเล็ก ๆ, รวมทั้งผู้ที่ตั้งหลักแหล่งและนายพรานที่อยู่โดดเดี่ยว. บางครั้งเป็นการยากที่จะปลีกตัวจากคนเฝ้าประภาคารผู้หงอยเหงา ซึ่งยินดีที่มีคนคุยด้วย.
ในที่สุด สมาคมฯได้ตระเตรียมเครื่องเล่นจานเสียงกระเป๋าหิ้วให้เรา พร้อมแผ่นเสียงคำบรรยายเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล. เราหิ้วอุปกรณ์เหล่านี้ไป, พร้อมกับหนังสือ, คัมภีร์ไบเบิล, และวารสาร. บ่อยครั้ง เราต้องหอบหิ้วสิ่งเหล่านี้ขณะที่เราปีนป่ายหินตามชายฝั่ง. ในช่วงน้ำลง บางครั้งเราต้องลากมันขึ้นบันไดที่โยกเยกไปยังท่าเทียบเรือที่อยู่สูง. ผมดีใจที่ได้รับการฝึกทางกายมาก่อนในวัยหนุ่มตอนที่เป็นชาวนาในแถบทุ่งหญ้าแพรรี.
ระบบขยายเสียงบนเรือของเราเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการเผยแพร่ข่าวราชอาณาจักร. เสียงคำบรรยายจากแผ่นเสียงเมื่อสะท้อนจากผิวน้ำมักได้ยินไปไกลหลายกิโลเมตร. ครั้งหนึ่ง ขณะที่ทอดสมอในอ่าวเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลของเกาะแวนคูเวอร์ เราเปิดคำบรรยายหนึ่งเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล. วันรุ่งขึ้น ผู้คนที่อาศัยอยู่บนเกาะบอกเราอย่างตื่นเต้นว่า “เมื่อวานนี้ เราได้ยินคำเทศน์ตรงจากสวรรค์!”
อีกโอกาสหนึ่ง คู่สมรสสูงอายุคู่หนึ่งบอกว่า เขาได้ยินดนตรีลงมาทางปล่องไฟ แต่เมื่อเขาออกไปนอกบ้าน กลับไม่ได้ยินอะไร. เมื่อกลับเข้าไปในบ้าน เขาได้ยินเสียงพูด. เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? ก็เพราะว่าขณะที่เขาออกไปนอกบ้าน เรากำลังเปลี่ยนแผ่นเสียงอยู่. เราจะเปิดดนตรีก่อนเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คน แล้วจึงเปิดคำบรรยายเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล.
ยังมีอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเราทอดสมอใกล้เกาะที่มีหมู่บ้านชาวอินเดียนแดง มีเด็กหนุ่มพื้นเมืองสองคนพายเรือออกมาดูว่า เสียงคนพูดนั้นมาจากไหน. บางคนบนเกาะคิดว่าเป็นเสียงของคนตายของเขาที่กลับมีชีวิตอีก!
ไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติที่จำหน่ายหนังสือได้วันละร้อยเล่มให้ผู้ที่ทำงานอยู่ในโรงงานทำปลากระป๋องที่อยู่ห่างไกล. เนื่องจากมีสิ่งบันเทิงใจอยู่ไม่กี่อย่าง พวกเขาจึงมีเวลาที่จะคิดถึงสิ่งฝ่ายวิญญาณ. ในที่สุด ผู้ที่อยู่โดดเดี่ยวเหล่านี้หลายคนได้เข้ามาเป็นพยานฯ. ในการเดินทางคราวต่อ ๆ มา เราตั้งตาคอยที่จะเยี่ยมผู้คนเหล่านี้เพื่อ “หนุนใจซึ่งกันและกัน.”—โรม 1:12.
รับใช้ต่อไปพร้อมด้วยคู่เคียง
ในปี 1931 ผมแต่งงานกับแอนนา น้องสาวของคริสตินา บาร์สตัด. จากนั้น เรารับใช้เป็นไพโอเนียร์ร่วมกันต่อไปบนเรือนั้น และชื่นชมกับประสบการณ์อันมีค่ามากมายในช่วงปีเหล่านั้น. ปลาวาฬ, สิงโตทะเล, แมวน้ำ, ปลาโลมา, กวาง, หมี, และนกอินทรีเป็นเพื่อนเดินทางของเรา โดยมีฉากหลังเป็นขุนเขาอันงามสง่า, เวิ้งน้ำและอ่าวที่เงียบสงบ, มีสนซีดาร์, สนไพน์, และสนดักลาสขึ้นเต็มไปหมด. หลายครั้ง เราช่วยกวางที่อ่อนแรงพร้อมด้วยลูกน้อยขณะที่มันพยายามว่ายน้ำข้ามทางน้ำที่ไหลเชี่ยว เพื่อหลบหนีสัตว์ที่ล่ามัน.
บ่ายวันหนึ่ง เราสังเกตเห็นนกอินทรีหัวล้านตัวหนึ่งบินโฉบลงมาเหนือพื้นน้ำ แล้วใช้กรงเล็บของมันขยุ้มปลาชินุก แซล์มอนตัวใหญ่ไว้แน่น. ปลาตัวนั้นใหญ่เกินกว่าที่จะยกให้พ้นน้ำได้ ด้วยเหตุนี้ นกอินทรีตัวนั้นจึงมุ่งหน้าเข้าสู่ฝั่ง พร้อมกับลากปลาแซล์มอนไปด้วย. แฟรงก์ แฟรนสกี ลูกเรือคนหนึ่ง เห็นโอกาสอันดีและวิ่งไปตามชายฝั่งเพื่อไปให้ถึงเจ้านกอินทรีที่เหนื่อยล้า และหลอกล่อให้มันปล่อยปลาตัวนั้น. เป็นอันว่าคณะไพโอเนียร์ของเราได้กินปลาแซล์มอนที่อร่อยเป็นอาหารมื้อเย็นในวันนั้น และเจ้านกอินทรีเรียนรู้ที่จะแบ่งปัน แม้จะไม่สู้เต็มใจนัก.
บนเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งทางเหนือสุดของเกาะแวนคูเวอร์ สามีภรรยาคู่หนึ่งในตระกูลทีออต ยอมรับความจริงในคัมภีร์ไบเบิล. สามีนั้นอ่านหนังสือไม่ออก, แต่มีความตั้งใจแน่วแน่, และเป็นตัวของตัวเอง อยู่ในวัย 90 ปีเศษ ฝ่ายภรรยานั้นอยู่ในวัย 80 ปีเศษ. อย่างไรก็ตาม เขาสนใจความจริงมากจนยอมถ่อมตัวลงขอให้ภรรยาสอนเขาอ่านหนังสือ. ไม่ช้า เขาก็ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและสรรพหนังสือของสมาคมฯได้เอง. ไม่ถึงสามปีต่อมา ผมยินดีที่ได้บัพติสมาให้เขาทั้งสองที่บ้านซึ่งอยู่บนเกาะที่ห่างไกล โดยใช้เรือพายของเราเป็นอ่างน้ำบัพติสมา!
เรายังมีความยินดีที่ได้เห็นครอบครัวแซลลิสในเมืองเพาเวลล์ ริเวอร์ ตอบรับข่าวสารราชอาณาจักร. วอลเตอร์อ่านหนังสือเล่มเล็กสงครามหรือสันติภาพ—อย่างไหนกัน? และตระหนักทันทีว่าเนื้อหานั้นเป็นความจริง. ไม่นาน ทั้งครอบครัวก็เข้าร่วมกับวอลเตอร์ในงานไพโอเนียร์ในแวนคูเวอร์ ที่ซึ่งเราจะจอดเรือชาร์เมียน ไว้ในฤดูหนาว. ปรากฏว่าเขาเป็นคนที่กระตือรือร้นมาก และในช่วงปีเหล่านั้น เขาทำตัวเป็นที่รักใคร่ของสังคมพี่น้องทั้งหมดในแถบแวนคูเวอร์. เขาจบชีวิตทางแผ่นดินโลกในปี 1976 ทิ้งพยานฯครอบครัวใหญ่ไว้เบื้องหลัง.
เอาชนะการต่อต้าน
พวกนักเทศน์ในหมู่บ้านอินเดียนแดงมักไม่พอใจงานของเรา ถือว่าเราลักลอบเข้ามาในอาณาเขตทางศาสนาของพวกเขา. ที่หมู่บ้านพอร์ต ซิมป์สัน นักเทศน์ในท้องถิ่นต้องการให้ผู้ใหญ่บ้านสั่งห้ามพวกเราไม่ให้ออกไปเยี่ยมตามบ้าน. เราติดต่อผู้ใหญ่บ้านและถามว่า เขาคิดว่านักเทศน์คนนั้นทำถูกต้องแล้วหรือที่ถือว่าชาวบ้านเขลาเกินกว่าที่จะคิดเองได้. เราแนะนำว่าให้ลูกบ้านของเขามีโอกาสได้ฟังการพิจารณาพระคำของพระเจ้า และตัดสินใจเองว่าเขาต้องการเชื่ออย่างไหน. ผลก็คือ เขาอนุญาตให้เราประกาศต่อไปในหมู่บ้านนั้น.
เป็นเวลาหลายสิบปีที่ผู้ใหญ่บ้านอีกคนหนึ่งได้ขัดขวางความพยายามทุกอย่างโดยสมาชิกคณะมนตรีและกลุ่มศาสนาต่าง ๆ ที่จะกีดกันพวกพยานฯจากการพบปะกับลูกบ้านของเขา. เขากล่าวว่า “ตราบใดที่ผมยังเป็นผู้ใหญ่บ้าน ที่นี่ยินดีต้อนรับพยานพระยะโฮวา.” จริงอยู่ เราไม่ได้รับการต้อนรับทุกแห่งเสมอไป แต่แม้จะเผชิญการต่อต้าน เราไม่เคยถูกบังคับให้ออกจากบริเวณใดบริเวณหนึ่ง. โดยวิธีนี้ เราสามารถทำงานรับใช้ของเราให้สำเร็จแต่ละครั้งที่เราเทียบท่า.
ทนความลำบากในท้องทะเล
ในช่วงปีเหล่านั้น เราผจญความลำบากเนื่องจากพายุ, น้ำขึ้นน้ำลง, หินโสโครกที่ไม่ได้แสดงไว้ในแผนที่, และบางครั้งเครื่องยนต์ขัดข้อง. ครั้งหนึ่ง เราลอยเข้าใกล้เกาะลาสเคทีเกินไป ซึ่งอยู่ห่างขึ้นไปทางเหนือของเกาะแวนคูเวอร์ 160 กิโลเมตร. เราเสียเวลาอยู่บนพืดหินใต้น้ำ เพราะไปติดอยู่ที่นั่นตอนน้ำลง และความปลอดภัยของเราขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศ. หากมีพายุ เรือคงจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ อยู่บนหินโสโครกนั้น. เราทุกคนปีนขึ้นไปอยู่บนก้อนหินและใช้เวลาให้เป็นประโยชน์มากที่สุดจากสภาพการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยเช่นนี้. เรารับประทานอาหารกลางวัน, ใช้เวลาศึกษา, และคอยให้น้ำขึ้นอีกครั้งหนึ่ง.
แม้ต้องเสี่ยงภัยและมีความไม่สะดวกหลายอย่าง แต่ก็เป็นชีวิตที่มีความสุขและมีสุขภาพดี. อย่างไรก็ตาม ลูกชายสองคนของเราที่เกิดมาทำให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่. เรายังคงอาศัยอยู่ในเรือ แต่เมื่อไรก็ตามที่เราเดินเรือขึ้นเหนือไปไกลถึงแม่น้ำอูนา แอนนากับลูก ๆ จะพักอยู่ที่นั่นกับคุณพ่อคุณแม่ของเธอ ในขณะที่พวกเราที่เหลือเดินทางต่อขึ้นไปทางเหนือจนถึงอะแลสกา. จากนั้น เมื่อเรากลับลงมาทางใต้ แอนนากับลูก ๆ ก็สมทบกับเราอีก.
ผมจำได้ว่าลูก ๆ ไม่เคยบ่นหรือป่วย. พวกเขาจะใส่ชูชีพตลอดเวลา และบางครั้งเราถึงกับเอาเชือกผูกพวกเขาไว้. ใช่แล้ว มีบางช่วงที่ตึงเครียด.
ปรับตัวต่อไป
ในปี 1936 เราต้องจากเรือชาร์เมียน และผมทำงานอาชีพ. ต่อมา เรามีลูกชายคนที่สาม. ในที่สุด ผมซื้อเรือหาปลาลำหนึ่ง ซึ่งไม่เพียงแต่ใช้เป็นเครื่องมือหาเลี้ยงชีพเท่านั้น แต่ยังทำให้เรามีโอกาสประกาศตามชายฝั่งต่อไปได้.
เราตั้งรกรากบนเกาะดิกบี อีกฟากหนึ่งของอ่าวที่พรินซ์ รูเพิร์ต และไม่นานก็มีการตั้งประชาคมเล็ก ๆ ขึ้นที่นั่น. ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่องานประกาศของพยานพระยะโฮวาถูกสั่งห้ามในแคนาดา เราจะนำเรือข้ามไปที่พรินซ์ รูเพิร์ตหลังเที่ยงคืน และปฏิบัติการ “แบบสายฟ้าแลบ” โดยแจกหนังสือไว้ทุกบ้าน. ไม่เคยมีใครคิดว่าการข้ามไปมาของเราตอนเที่ยงคืนเกี่ยวข้องกับการแจกหนังสือที่ถูกสั่งห้าม!
ดินแดนนั้นกลับอุดมสมบูรณ์
ผู้คนค่อย ๆ เริ่มสมทบกับพยานพระยะโฮวามากขึ้น และในปี 1948 เห็นชัดว่าจำต้องมีหอประชุมในพรินซ์ รูเพิร์ต. หลังจากที่ซื้ออาคารกองทัพหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ทางอีกฟากหนึ่งของท่าเรือ เรารื้อถอนอาคารนั้น, แล้วผูกเป็นแพขนข้ามมา, และลำเลียงต่อด้วยรถบรรทุกไปถึงสถานที่ก่อสร้าง. พระยะโฮวาทรงอวยพระพรงานหนักของเรา และเรามีหอประชุมของเราเอง.
ในปี 1956 ผมกลับเข้าสู่งานไพโอเนียร์อีก และแอนนาสมทบผมในปี 1964. เราทำงานอีกครั้งหนึ่งตามชายฝั่งแปซิฟิกโดยทางเรือ. ระยะเวลาหนึ่ง เรามีส่วนในงานหมวดด้วย โดยเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ ตั้งแต่หมู่เกาะควีน ชาร์ล็อต ไปทางตะวันออก ข้ามเทือกเขาไปถึงทะเลสาบเฟรเซอร์ และต่อมาก็ไปไกลถึงเมืองพรินซ์ จอร์จและแมกเคนซี. ตลอดช่วงปีเหล่านั้น เราเดินทางทั่วชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือด้านมหาสมุทรแปซิฟิกหลายพันกิโลเมตรโดยทางรถยนต์, เรือ, และเครื่องบิน.
ในพรินซ์ รูเพิร์ต เรายังคงชื่นชมกับประสบการณ์ดี ๆ ในงานรับใช้. ทั้งแอนนาและผมได้ศึกษากับบางคนซึ่งต่อมาได้เข้าโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียดและหลังจากนั้นได้รับใช้เป็นมิชชันนารีในต่างแดน. ช่างเป็นความยินดีสักเพียงไรที่ได้เห็นลูกฝ่ายวิญญาณของเรานำข่าวสารราชอาณาจักรอันมีค่าไปยังดินแดนที่ห่างไกล!
เวลานี้ เราทั้งสองมีอายุเกิน 80 ปีแล้วและกำลังรับมือกับสุขภาพที่ทรุดโทรมลง แต่เรายังคงมีความสุขในงานรับใช้พระยะโฮวา. ความงดงามตามธรรมชาติที่เราได้เห็นในอะแลสกาและบริติช โคลัมเบีย เรียกความทรงจำอันมีค่ากลับคืนมา. กระนั้น เป็นการนำความชื่นชมยินดีมาให้มากยิ่งกว่าที่ได้เห็นพื้นที่อันกว้างใหญ่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นป่ากันดารฝ่ายวิญญาณ แต่เวลานี้เบ่งบานไปด้วยประชาคมมากมายของผู้สรรเสริญพระยะโฮวา.
หัวใจของเราเบิกบานยินดีเป็นพิเศษที่ได้เห็นลูกของเราเองและลูกฝ่ายวิญญาณเติบโตขึ้นและสรรเสริญพระยะโฮวา. เราปีติยินดีที่มีส่วนบ้างเล็กน้อยในความเติบโตฝ่ายวิญญาณในแถบนี้ของแผ่นดินโลก. ยกตัวอย่าง อะแลสกาเวลานี้มีสำนักงานสาขาของตนเอง ซึ่งประสานงานของประชาคมต่าง ๆ กว่า 25 ประชาคม.
ที่พรินซ์ รูเพิร์ตนี่เอง ในปี 1988 เรามีสิทธิพิเศษได้อุทิศหอประชุมใหม่ที่สวยงามซึ่งตั้งอยู่ที่ใจกลางเมืองพอดี. ใช่แล้ว เราปีติยินดีเช่นเดียวกับยะซายาในการกล่าวว่า “โอ้พระยะโฮวา, พระองค์ได้ทรงกระทำให้ประชาชาติเจริญทวีขึ้น, พระองค์ได้ทรงสำแดงสง่าราศีของพระองค์ให้ปรากฏ; พระองค์ได้ทรงขยายอาณาเขตให้กว้างขวางออกไป.”—ยะซายา 26:15.
[รูปภาพหน้า 21]
รับใช้ในงานหมวด 1964-1967
[รูปภาพหน้า 24]
เรือชนิดที่เราเคยใช้ในการให้คำพยานตามชายฝั่ง