การชุมนุมกับคนเหล่านั้นที่เกรงกลัวพระเจ้า
“ผู้คนทุกหนแห่งต่างคอยท่าเสรีภาพพ้นจากความกลัว คือความกลัวความรุนแรง, กลัวตกงาน, และกลัวความเจ็บป่วยร้ายแรง. เราก็คอยท่าเช่นนั้น . . . แล้วทำไมเราจึงพิจารณาวิธีปลูกฝังความกลัวล่ะ?” ผู้บรรยายในคำบรรยายสำคัญยกคำถามนี้ที่ก่อความสนใจขึ้นมา ณ การประชุมภาค “ความเกรงกลัวพระเจ้า” ซึ่งเริ่มในเดือนมิถุนายน 1994.
หลายล้านคนที่เข้าร่วมการประชุมนี้ ทีแรกในทวีปอเมริกาเหนือ, หลังจากนั้นก็ในทวีปยุโรป, อเมริกากลางและอเมริกาใต้, แอฟริกา, เอเชีย, และหมู่เกาะต่าง ๆ ต่างมีความปรารถนาจะเรียนรู้และปลูกฝังความกลัวเช่นนั้น. เพราะเหตุใด? ก็เพราะการที่เรามีส่วนร่วมในพระพรที่พระยะโฮวาทรงมีไว้สำหรับไพร่พลของพระองค์นั้นขึ้นอยู่กับการที่เรามีความเกรงกลัวพระเจ้า. ที่ผู้เข้าร่วมการประชุมภาคมาชุมนุมกันก็เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับความเกรงกลัวพระเจ้า และในช่วงระเบียบวาระสามวันนั้น พวกเขาเรียนรู้มากมายเกี่ยวกับคุณลักษณะแบบคริสเตียนอันสำคัญนี้.
‘จงเกรงกลัวพระเจ้าและรักษาพระบัญชาของพระองค์’
นี่คืออรรถบทของวันแรกแห่งการประชุมภาค อาศัยท่านผู้ประกาศ 12:13. การเกรงกลัวพระเจ้าหมายความอย่างไร? ในส่วนแรกสุดของระเบียบวาระ ประธานการประชุมภาคชี้แจงว่า ความเกรงกลัวพระเจ้าสะท้อนถึงความเกรงขามและความเคารพอย่างสุดซึ้งต่อพระยะโฮวา รวมทั้งความกลัวอย่างสมควรที่จะทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย. ความเกรงกลัวเช่นนั้นต่อพระเจ้าไม่ใช่ความกลัวแบบขนพองสยองเกล้า แต่เป็นความกลัวที่เป็นประโยชน์และถูกต้อง.
ความเกรงกลัวที่เป็นประโยชน์นี้มีผลดีต่อเราอย่างไร? คำบรรยายถัดจากนั้น “อย่าระอาใจและยอมแพ้” อธิบายว่า ความเกรงกลัวพระเจ้าจะกระตุ้นเราให้รักษาพระบัญชาของพระเจ้าด้วยความยินดี. พร้อมกับความรักต่อพระเจ้า และต่อเพื่อนบ้าน ความเกรงกลัวเช่นนั้นจะทำให้เราเปี่ยมด้วยพลังฝ่ายวิญญาณ. ถูกแล้ว ความเกรงกลัวพระเจ้าสามารถช่วยเราให้หลีกเลี่ยงการลดฝีเท้าลงในการวิ่งแข่งเพื่อชีวิตนิรันดร์.
ระเบียบวาระถัดไปเป็นการสัมภาษณ์ซึ่งให้ข้อพิสูจน์จากชีวิตจริงว่า ความเกรงกลัวพระเจ้าสามารถค้ำจุนเราไว้. ผู้ที่ถูกสัมภาษณ์บอกว่าความเคารพยำเกรงพระเจ้าชักจูงเขาอย่างไรให้อยู่ในงานรับใช้ต่อไปทั้ง ๆ ที่มีความเฉยเมย, ไม่แยแส, หรือการกดขี่ข่มเหง และช่วยเขาอย่างไรให้เพียรอดทนแม้เผชิญการทดลองที่ยุ่งยากเป็นส่วนตัว.
แต่ทำไมบางคนมีความเกรงกลัวพระเจ้าขณะที่คนอื่น ๆ ไม่มี? ในคำบรรยายเรื่อง “การปลูกฝังและการได้รับประโยชน์จากความเกรงกลัวพระเจ้า” ผู้กล่าวคำปราศรัยสำคัญนี้ชี้แจงว่า ที่ยิระมะยา 32:37-39 พระยะโฮวาทรงสัญญาว่าพระองค์จะทรงประทานหัวใจที่เกรงกลัวพระเจ้าแก่ไพร่พลของพระองค์. พระยะโฮวาทรงปลูกฝังความเกรงกลัวพระเจ้าไว้ในหัวใจเรา. โดยวิธีใด? โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์และพระคำที่พระองค์ทรงดลใจให้มีขึ้น คือคัมภีร์ไบเบิล. แต่ก็เห็นชัดว่า เราต้องพยายามอย่างจริงจังเพื่อศึกษาพระคำของพระเจ้าและเพื่อรับเอาประโยชน์เต็มที่จากสิ่งจัดเตรียมฝ่ายวิญญาณอันบริบูรณ์ที่พระองค์ได้ทรงจัดให้. การจัดเตรียมเหล่านั้นรวมถึงการประชุมภาคของเราและการประชุมประจำประชาคมด้วย ซึ่งช่วยเราให้เรียนรู้ที่จะเกรงกลัวพระองค์.
ระเบียบวาระภาคบ่ายเริ่มด้วยคำเตือนให้วางใจในพระยะโฮวาและพระคำของพระองค์. ส่วนนี้ตามด้วยการพิจารณาถึงแนวทางสำคัญ ๆ ที่ราชอาณาจักรควรมีผลกระทบชีวิตของเราในฐานะคริสเตียน.
แล้วก็มาถึงคำบรรยายชุดชุดแรกในสามชุดที่เสนอ ณ การประชุมภาค. “ความเกรงกลัวพระเจ้ากระตุ้นเราให้เชื่อฟังข้อเรียกร้องจากพระองค์” คืออรรถบทของคำบรรยายชุดนี้ซึ่งมุ่งความสนใจที่ครอบครัว. ต่อไปนี้คือตัวอย่างที่อาศัยหลักพระคัมภีร์และที่ใช้ได้ผลจริงซึ่งให้ไว้.
◻ สำหรับสามี: ความเกรงกลัวพระเจ้าควรกระตุ้นผู้ชายให้รักภรรยาของเขาเหมือนรักร่างกายของเขาเอง. (เอเฟโซ 5:28, 29) คนเราย่อมไม่เจตนาทำให้ร่างกายของตนบาดเจ็บ, หรือทำให้ตัวเขาเองอับอายต่อหน้าเพื่อน ๆ, หรือซุบซิบเรื่องความผิดพลาดของตนเอง. ถ้าเช่นนั้น เขาก็ควรปฏิบัติกับภรรยาด้วยการให้เกียรติและความนับถือดังที่เขาทำกับตนเอง.
◻ สำหรับภรรยา: ความเกรงกลัวพระเจ้าที่พระเยซูทรงมีกระตุ้นพระองค์ให้ ‘ทำสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยอยู่เสมอ.’ (โยฮัน 8:29) นี่คือน้ำใจอันดีที่ภรรยาพึงเลียนแบบเมื่อปฏิบัติกับสามีของตน.
◻ สำหรับบิดามารดา: บิดามารดาคริสเตียนสามารถแสดงความเกรงกลัวพระเจ้าได้โดยการถือว่า ความรับผิดชอบในฐานะบิดามารดาเป็นเรื่องสำคัญ โดยมองดูว่าลูก ๆ ของตนเป็นมรดกจากพระยะโฮวา. (บทเพลงสรรเสริญ 127:3) เป้าหมายอันดับแรกของบิดามารดาควรเป็นการเลี้ยงดูลูกให้เป็นคริสเตียนแท้.
◻ สำหรับบุตร: พระยะโฮวาทรงสั่งบุตรให้เชื่อฟัง “บิดามารดาของตนร่วมสามัคคีกันกับองค์พระผู้เป็นเจ้า.” (เอเฟโซ 6:1, ล.ม.) ฉะนั้น การที่เขาเชื่อฟังบิดามารดาก็คือการเชื่อฟังพระเจ้า.
คำบรรยายสุดท้ายของวันแรกมีผลกระทบต่ออารมณ์ของเรา เพราะคำบรรยายนี้พิจารณาความรู้สึกอันลึกซึ้งที่เราทั้งหลายมีเมื่อเราสูญเสียคนที่เรารักไปเพราะความตาย. กระนั้น มีเรื่องน่าตื่นเต้นประมาณตอนกลางคำบรรยาย. ผู้บรรยายทำให้ผู้ฟังปีติยินดีโดยประกาศการออกจุลสารใหม่ชื่อ เมื่อคนที่คุณรักเสียชีวิต. จุลสาร 32 หน้าพิมพ์สี่สีนี้บอกถึงหลายสิ่งที่สามารถช่วยผู้ที่กำลังเศร้าโศกให้เข้าใจและจัดการกับความรู้สึกและอารมณ์ซึ่งมีขึ้นหลังจากคนที่เขารักเสียชีวิต. คุณเคยรู้สึกว่าไม่รู้จะพูดอะไรกับคนที่สูญเสียคนที่เขารักไหม? ตอนหนึ่งในจุลสารนี้ชี้แจงวิธีที่เราอาจช่วยผู้ที่กำลังเศร้าโศกได้. ขณะที่ฟังผู้บรรยายอยู่นั้น ผู้ฟังหลายคนคิดถึงบางคนซึ่งอาจได้รับประโยชน์จากจุลสารใหม่นี้.
‘จงถวายการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ด้วยความกลัวพระเจ้าและด้วยความเกรงขาม’
นี่คืออรรถบทของวันที่สอง อาศัยเฮ็บราย 12:28. ระหว่างระเบียบวาระภาคเช้า มีคำบรรยายชุดชุดที่สอง “ประชาคมทั้งหลายซึ่งดำเนินไปด้วยความเกรงกลัวพระยะโฮวา.” ส่วนแรกพูดถึงการเข้าร่วมการประชุมต่าง ๆ. การที่เราอยู่ที่การประชุมต่าง ๆ แสดงถึงความเคารพที่เรามีต่อพระเจ้าและการจัดเตรียมฝ่ายวิญญาณของพระองค์. โดยการเข้าร่วมประชุม เราแสดงว่าเราเกรงกลัวพระนามของพระองค์และปรารถนาจะทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์. (เฮ็บราย 10:24, 25) ผู้บรรยายส่วนที่สองอธิบายว่า เพื่อทั้งประชาคมจะดำเนินด้วยความเกรงกลัวพระยะโฮวา แต่ละคนต้องทำส่วนของเขาในการรักษาความประพฤติที่ดี. ผู้บรรยายในส่วนสุดท้ายพูดถึงสิทธิพิเศษและหน้าที่ซึ่งคริสเตียนทั้งปวงมี คือการประกาศข่าวดีอย่างไม่หยุดหย่อน. เราจะประกาศต่อไปนานแค่ไหน? ก็จนกว่าพระยะโฮวาจะตรัสว่าพอแล้ว.—ยะซายา 6:11.
“ความยินดีในพระยะโฮวาเป็นป้อมอันแข็งแรงของคุณ” คืออรรถบทของคำบรรยายต่อจากนั้น ดังที่มีการพิจารณาในบทความศึกษาในวารสารนี้. (นะเฮมยา 8:10) ทำไมไพร่พลของพระยะโฮวาจึงชื่นชมยินดี? ผู้บรรยายชี้แจงเหตุผลหลายประการ. เหตุผลสำคัญมากประการหนึ่งคือว่า สัมพันธภาพใกล้ชิดกับพระเจ้าทำให้เราเป็นผู้ที่มีความยินดีที่สุดบนแผ่นดินโลก. ผู้บรรยายเตือนใจผู้เข้าร่วมการประชุมภาคให้คิดว่า เรามีสิทธิพิเศษที่ได้อยู่ท่ามกลางผู้คนซึ่งพระยะโฮวาทรงชักนำมาหาพระเยซูคริสต์. (โยฮัน 6:44) นับเป็นเหตุผลอันทรงพลังจริง ๆ ที่ทำให้ปีติยินดี!
จุดเด่นของการประชุมภาคทุกครั้งคือการรับบัพติสมา และก็เป็นเช่นนั้นกับการประชุมภาค “ความเกรงกลัวพระเจ้า.” ผู้บรรยายชี้แจงว่า พันธะส่วนตัวของผู้ได้รับบัพติสมาทุกคนมีสี่ประการ: (1) เราต้องศึกษาพระคำของพระเจ้าด้วยสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ซึ่งช่วยเราให้เข้าใจและนำไปใช้; (2) เราต้องอธิษฐาน; (3) เราต้องคบหากับเพื่อนร่วมความเชื่อ ณ การประชุมต่าง ๆ; และ (4) เราต้องเป็นพยานถึงพระนามของพระยะโฮวาและราชอาณาจักร.
ระเบียบวาระภาคบ่ายวันเสาร์เริ่มด้วยเรื่องที่ให้คำรับรองที่ว่า “ผู้คนที่พระยะโฮวาไม่ทรงละทิ้ง.” สามสิบห้าศตวรรษมาแล้ว เมื่อชาติยิศราเอลเผชิญความยุ่งยาก พระยะโฮวาทรงให้คำรับประกันผ่านทางโมเซว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า . . . ไม่ละทิ้งเจ้าทั้งหลายเลย.” (พระบัญญัติ 31:6) พระยะโฮวาทรงพิสูจน์ว่าคำรับประกันนั้นเป็นความจริงโดยที่ทรงปกป้องชาวยิศราเอลเมื่อพวกเขาเข้าสู่แผ่นดินแห่งคำสัญญาและยึดเอาแผ่นดินนั้น. ปัจจุบัน เมื่อเผชิญการทดลองที่ยุ่งยาก เราก็เช่นกันสามารถมีความมั่นใจเต็มที่ได้ว่า พระยะโฮวาจะไม่ทรงละทิ้งเรา ถ้าหากเราติดสนิทกับพระองค์และเอาใจใส่คำแนะนำจากพระคำของพระองค์.
คุณจะพบความยินดีจากการอ่านคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างไร? ในคำบรรยาย “จงอ่านคัมภีร์ไบเบิลบริสุทธิ์พระคำของพระเจ้าทุกวัน” ผู้บรรยายได้แนะการอ่านด้วยความสนใจใคร่รู้และด้วยการถามคำถามเหล่านี้เช่น: เรื่องนี้สอนฉันเกี่ยวกับคุณลักษณะและแนวทางของพระยะโฮวาอย่างไร? ฉันจะเป็นอย่างพระยะโฮวามากขึ้นในด้านเหล่านี้ได้อย่างไร? การอ่านคัมภีร์ไบเบิลด้วยวิธีนี้เป็นประสบการณ์ที่น่ายินดีและมีผลตอบแทน.
ต่อจากนั้นความสนใจก็มุ่งอยู่ที่คำบรรยายชุดที่สามของระเบียบวาระ “การจัดเตรียมเพื่อช่วยคนที่เกรงกลัวพระยะโฮวา.” แม้ในทุกวันนี้พระยะโฮวาจะไม่ทรงทำการอัศจรรย์เพื่อเหล่าผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงให้ความช่วยเหลือผู้ที่เกรงกลัวพระองค์อย่างแน่นอน. (2 เปโตร 2:9) คำบรรยายชุดนี้พิจารณาถึงการจัดเตรียมสี่ประการจากพระยะโฮวาเพื่อช่วยเราในสมัยวิกฤตนี้ คือ (1) โดยพระวิญญาณ ของพระองค์ พระยะโฮวาทรงให้เรามีกำลังเพื่อทำงานให้สำเร็จเกินกว่าที่กำลังของเราทำได้. (2) โดยพระคำ ของพระองค์ พระองค์ทรงจัดให้มีคำแนะนำและคำชี้แนะแก่เรา. (3) โดยทางค่าไถ่ พระองค์ทรงประทานให้เรามีสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาด. (4) โดยทางองค์การ ของพระองค์ รวมทั้งพวกผู้ปกครอง พระองค์ทรงจัดให้มีการชี้นำและการปกป้องแก่เรา. (ลูกา 11:13; เอเฟโซ 1:7; 2 ติโมเธียว 3:16; เฮ็บราย 13:17) โดยการรับประโยชน์เต็มที่จากการจัดเตรียมเหล่านี้ เราจะอดทนได้และด้วยเหตุนั้นจึงได้รับความพอพระทัยจากพระยะโฮวา.
คำบรรยายสุดท้ายในบ่ายวันเสาร์มีชื่อเรื่องว่า “วันอันน่าสะพรึงกลัวของพระยะโฮวามาใกล้แล้ว” ซึ่งอาศัยคำพยากรณ์ของมาลาคี. เคยมีวันอันน่าสะพรึงกลัวมาแล้วในประวัติศาสตร์ เช่น เมื่อมีการลงโทษตามคำพิพากษาแก่ยะรูซาเลมในปีสากลศักราช 70. แต่วันอันน่าสะพรึงกลัวที่สุดเท่าที่มนุษย์ประสบจะเป็นวันของพระยะโฮวาที่จะมาเมื่อ ‘ทรงสนองโทษแก่คนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักพระเจ้า, และไม่เชื่อฟังกิตติคุณของพระเยซูเจ้าของเรา.’ (2 เธซะโลนิเก 1:6-8) วันนั้นจะมาเร็วแค่ไหน? ผู้บรรยายกล่าวว่า “อวสานอยู่ใกล้แล้ว! พระยะโฮวาทรงทราบวันและเวลานั้น. พระองค์จะไม่ทรงเปลี่ยนกำหนดเวลาของพระองค์. เราได้รับคำสั่งให้เพียรอดทน.”
แทบไม่น่าเชื่อว่าสองวันได้ผ่านไปแล้ว. ระเบียบวาระในวันสุดท้ายจะเป็นอย่างไรบ้าง?
“จงเกรงกลัวพระเจ้าและถวายสง่าราศีแด่พระองค์”
อรรถบทของวันที่สามอาศัยวิวรณ์ 14:7. ในระเบียบวาระช่วงเช้า ชุดคำบรรยายได้เน้นหลักคำสอนบางประการซึ่งแยกพยานพระยะโฮวาไว้ต่างหากจากองค์การศาสนาอื่น ๆ ทั้งปวง.
ในคำบรรยาย “จะมีการกลับเป็นขึ้นจากตายของคนชอบธรรม” ผู้บรรยายได้ยกคำถามที่น่าสนใจขึ้นมาที่ว่า “ระหว่างวันพิพากษาหนึ่งพันปีนั้น เหล่าคนที่ตายอย่างซื่อสัตย์ในช่วงปีท้าย ๆ แห่งระบบของซาตานจะได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นจากตายเมื่อไร?” คำตอบคืออย่างไร? ผู้บรรยายชี้แจงว่า “คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้บอก แต่ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลมิใช่หรือที่คนเหล่านั้นซึ่งตายในสมัยของเราจะถูกปลุกให้เป็นขึ้นจากตายก่อนเพื่อจะมีส่วนร่วมกับชนฝูงใหญ่ที่รอดจากอาร์มาเก็ดดอนในงานสอนอันใหญ่โตซึ่งจะมีขึ้นตลอดวันพิพากษา? ใช่ เป็นเช่นนั้นจริง ๆ! จะมีผู้รอดชีวิตไหม? จะมีแน่. คำสอนและตัวอย่างในคัมภีร์ไบเบิลที่ให้คำรับรองแก่เราในเรื่องนี้มีอธิบายชัดเจนในคำบรรยายต่อไป คือ “ได้รับการช่วยให้รอดชีวิตผ่านความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่.”
พยานพระยะโฮวาเข้าใจมานานแล้วว่า คัมภีร์ไบเบิลเสนอจุดหมายสองอย่าง คือชีวิตนิรันดร์บนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยานสำหรับผู้คนหลายล้านจนนับไม่ถ้วน กับชีวิตอมตะในสวรรค์สำหรับคนจำนวนจำกัดซึ่งจะปกครองร่วมกับพระคริสต์ในราชอาณาจักรของพระองค์. ความหวังภาคสวรรค์มีการอธิบายในคำบรรยาย “ฝูงแกะเล็กน้อยเอ๋ย อย่ากลัวเลย.” (ลูกา 12:32) เมื่อคำนึงถึงสภาพการณ์ปัจจุบัน ฝูงแกะเล็กน้อยต้องไม่กลัว พวกเขาแต่ละคนต้องเพียรอดทนตราบอวสาน. (ลูกา 21:19) ผู้บรรยายกล่าวว่า “การที่พวกเขาไม่กลัวนั้นจึงช่วยหนุนกำลังใจคนเหล่านั้นแห่งชนฝูงใหญ่. พวกเขาเช่นกันควรปลูกฝังเจตคติแห่งความไม่หวาดกลัวขณะที่พวกเขาคาดหมายล่วงหน้าถึงการช่วยให้รอดระหว่างช่วงเวลาแห่งความลำบากใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยรู้จัก.”
ณ ช่วงสุดท้ายของระเบียบวาระภาคเช้า ผู้ฟังชมละครเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการเลือกที่คุณเผชิญ ด้วยความปีติยินดี. ในสมัยยะโฮซูอะ และในสมัยผู้พยากรณ์เอลียา ชาวยิศราเอลจำต้องตัดสินใจ. ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง. เอลียากล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจะรวมกันอยู่ท่ามกลางลัทธิทั้งสองฝ่ายนานสักเท่าใด? ถ้าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้า จงตามพระองค์; หรือถ้าบาละเป็นพระเจ้า จงตามบาละเถิด.” (1 กษัตริย์ 18:21) ทุกวันนี้ก็เช่นกัน มนุษยชาติต้องตัดสินใจ. เวลานี้ไม่ใช่เวลาจะมัวโลเลกับความคิดสองฝักสองฝ่าย. อะไรคือการเลือกที่ถูก? การเลือกเหมือนที่ยะโฮซูอะได้ทำนั่นแหละ. ท่านกล่าวว่า “ฝ่ายเราทั้งครอบครัวจะปฏิบัติพระยะโฮวา.”—ยะโฮซูอะ 24:15.
เหมือนไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็มาถึงบ่ายวันอาทิตย์และเป็นเวลาสำหรับคำบรรยายสาธารณะที่มีชื่อเรื่องว่า “เหตุที่พึงเกรงกลัวพระเจ้าเสียแต่บัดนี้.” ที่วิวรณ์ 14:6, 7 มนุษยชาติทั้งปวงได้รับคำบัญชาว่า “จงเกรงกลัวพระเจ้าและถวายสง่าราศีแด่พระองค์.” ทำไมจึงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะเกรงกลัวพระเจ้าเสียแต่บัดนี้? ดังที่พระคัมภีร์กล่าวต่อไป ก็เพราะ “ชั่วโมงแห่งการพิพากษาโดยพระองค์มาถึงแล้ว.” โดยทางพระบุตรของพระองค์ซึ่งบัดนี้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรภาคสวรรค์แล้ว พระยะโฮวาจะทรงทำให้ระบบปัจจุบันอันโสโครกและขืนอำนาจไปสู่อวสาน. ผู้บรรยายชี้แจงว่า นี้คือวิธีเดียวที่นำความปลดเปลื้องมาสู่ผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้า รวมทั้งเพื่อกู้และรักษาแผ่นดินโลกอันเป็นบ้านของเราไว้. เนื่องจากช่วงเวลานี้คือสมัยสุดท้ายแห่งระบบนี้ เป็นการเร่งด่วนที่เราพึงเกรงกลัวพระเจ้าเที่ยงแท้เสียแต่บัดนี้!
ต่อจากการสรุปบทเรียนในหอสังเกตการณ์ สำหรับสัปดาห์นั้น ผู้บรรยายคนสุดท้ายก็ขึ้นมาบรรยาย. เขาชี้แจงว่า ระเบียบวาระการประชุมภาคทำให้ความเกรงกลัวพระเจ้ามีความหมายมากขึ้นสำหรับผู้เข้าร่วมการประชุมภาค. เขาเน้นผลประโยชน์มากมายที่มีแก่คนที่เกรงกลัวพระเจ้า. ผู้บรรยายประกาศการออกวีดิทัศน์ใหม่—เป็นเอกภาพโดยการสอนจากพระเจ้า. วีดิทัศน์นี้เน้นแง่มุมที่โดดเด่นของการประชุมนานาชาติ “การสอนจากพระเจ้า” ซึ่งจัดขึ้นในปี 1993-1994. ขณะที่คำบรรยายจบลง หลายคนนึกสงสัยว่า ‘เราจะตั้งตาคอยอะไรนะในปีหน้า?’ ก็คงเป็นการประชุมภาคสามวันในหลายแห่งนั่นแหละ.
ในตอนท้าย ผู้บรรยายกล่าวถึงมาลาคี 3:16 ซึ่งกล่าวว่า “ในครั้งนั้นคนทั้งหลายที่ได้กลัวเกรงพระยะโฮวาก็ได้พลอยพูดเช่นนั้นด้วย และพระยะโฮวาได้ทรงสดับ แล้วจึงมีหนังสือบันทึกความจำ มีนามคนทั้งหลายที่ได้ยำเกรงพระยะโฮวา และที่ได้ระลึกถึงพระนามของพระองค์นั้นบันทึกลงต่อพักตร์พระองค์.” ผู้เข้าร่วมการประชุมภาคจากไปด้วยความแน่วแน่จะคิดถึงพระนามของพระยะโฮวาและรับใช้พระองค์ด้วยความเกรงกลัวพระเจ้า.
[รูปภาพหน้า 24]
ผู้ที่กำลังจะรับบัพติสมาจำเป็นต้องแสดงความเกรงกลัวพระเจ้าต่อ ๆ ไป
[รูปภาพหน้า 25]
ละคร “การเลือกที่คุณเผชิญ”ทำให้ผู้ฟังประทับใจในเรื่องความจำเป็นต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการรับใช้พระยะโฮวา
[รูปภาพหน้า 26]
ผู้เข้าร่วมการประชุมภาคมีความปีติยินดีที่ได้รับจุลสารใหม่ “เมื่อคนที่คุณรักเสียชีวิต”