แกะของพระยะโฮวาจำต้องได้รับการดูแลอย่างอ่อนโยน
“จงรู้ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้า. . . . เราเป็นไพร่พลของพระองค์, และเป็นฝูงแกะที่พระองค์ทรงบำรุงเลี้ยง.”—บทเพลงสรรเสริญ 100:3
1. พระยะโฮวาทรงปฏิบัติต่อไพร่พลของพระองค์อย่างไร?
พระยะโฮวาทรงเป็นผู้บำรุงเลี้ยงองค์ใหญ่ยิ่ง. ถ้าเราเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ทรงมองเราเสมือนแกะของพระองค์ และทรงใฝ่พระทัยดูแลเราด้วยความอ่อนโยน. พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงชูใจและยังความสดชื่นแก่เรา และทรงพาเรา “ไปตามทางชอบธรรมเพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 23:1-4) พระเยซูคริสต์ผู้บำรุงเลี้ยงที่ดีทรงรักเรามาก ถึงกับทรงสละจิตวิญญาณของพระองค์เพื่อพวกเรา.—โยฮัน 10:7-15.
2. ไพร่พลของพระเจ้าพบตัวเองอยู่ในสภาพเช่นไร?
2 เพราะเหตุที่เราได้รับการดูแลอย่างอ่อนโยน เราอาจกล่าวได้อย่างผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญว่า “จงปฏิบัติพระยะโฮวาด้วยใจชื่นชม: จงเข้ามาเฝ้าพระองค์ด้วยร้องเพลง. ท่านทั้งหลายจงรู้ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้า: พระองค์ได้ทรงสร้างเรา, เราจึงเป็นพรรคพวกของพระองค์; เราเป็นไพร่พลของพระองค์, และเป็นฝูงแกะที่พระองค์ทรงบำรุงเลี้ยง.” (บทเพลงสรรเสริญ 100:2, 3, ล.ม.) ใช่แล้ว เราเบิกบานยินดีและปลอดภัย. ประหนึ่งเราได้รับการคุ้มครองไว้ในคอกที่มีกำแพงหินล้อมแน่นหนาพ้นจากคนล่าเหยื่อที่ชั่วร้าย.—อาฤธโม 32:16; 1 ซามูเอล 24:3; ซะฟันยา 2:6.
ผู้บำรุงเลี้ยงฝูงแกะที่เต็มใจ
3. คริสเตียนผู้ปกครองที่รับการแต่งตั้งปฏิบัติต่อฝูงแกะของพระเจ้าอย่างไร?
3 ไม่แปลกเลยที่พวกเราชื่นชมยินดีฐานะเป็นแกะของพระเจ้า! ผู้ปกครองที่รับการแต่งตั้งนำหน้าพวกเรา. เขาไม่ “ตั้งตัวขึ้นเป็นนาย” บังคับเรา หรือพยายามจะควบคุมความเชื่อของเรา. (อาฤธโม 16:13; มัดธาย 20:25-28; 2 โกรินโธ 1:24; เฮ็บราย 13:7) ตรงกันข้าม เขาเป็นผู้บำรุงเลี้ยงที่เปี่ยมด้วยความรัก เขาปฏิบัติตามคำแนะนำของอัครสาวกเปโตรที่ว่า “จงบำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าในความอารักขาของท่านทั้งหลาย มิใช่เพราะถูกบังคับ แต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เพราะรักผลกำไรโดยมิชอบ แต่ด้วยใจจดจ่อ ไม่ใช่เหมือนเจ้านายกดขี่คนเหล่านั้นซึ่งเป็นมรดกของพระเจ้า แต่เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะนั้น.” (1 เปโตร 5:2, 3, ล.ม.) อัครสาวกเปาโลได้กำชับเพื่อนผู้ปกครองดังนี้: “จงเอาใจใส่ตัวของท่านและฝูงแกะทั้งสิ้นที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงแต่งตั้งท่านไว้เป็นผู้ดูแล เพื่อบำรุงเลี้ยงประชาคมของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงซื้อไว้ด้วยพระโลหิตแห่งพระบุตรของพระองค์เอง.” และฝูงแกะต่างก็สำนึกบุญคุณเพียงใดที่พวกผู้ปกครองซึ่งรับการแต่งตั้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ “ปฏิบัติต่อฝูงแกะด้วยความอ่อนโยน”!—กิจการ 20:28-30, ล.ม.
4. ชาร์ลส์ ที. รัสเซลล์ เป็นที่รู้จักดีว่ามีสัมพันธภาพเช่นไรกับฝูงแกะ?
4 พระเยซูทรงให้ “ของประทานในลักษณะมนุษย์” แก่ประชาคม บางคนเป็น “ศิษยาภิบาล” หรือผู้บำรุงเลี้ยง ซึ่งปฏิบัติต่อฝูงแกะของพระยะโฮวาอย่างอ่อนโยน. (เอเฟโซ 4:8, 11) หนึ่งในบรรดาคนเหล่านี้ได้แก่ชาร์ลส์ ที. รัสเซลล์ นายกคนแรกของสมาคมว็อชเทาเวอร์. มีคนเรียกท่านว่าศิษยาภิบาลรัสเซลล์ก็เนื่องมาจากกิจกรรมที่ท่านได้บำรุงเลี้ยงฝูงแกะด้วยความรักและเห็นอกเห็นใจภายใต้พระเยซูคริสต์ หัวหน้าผู้บำรุงเลี้ยง. สมัยนี้ คริสเตียนผู้ปกครองได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการปกครองแห่งพยานพระยะโฮวา และมีการระวังที่จะไม่ใช้คำต่าง ๆ เช่น “ศิษยาภิบาล,” “ผู้ปกครอง,” หรือ “อาจารย์” เป็นบรรดาศักดิ์. (มัดธาย 23:8-12) กระนั้นก็ตาม ผู้ปกครองสมัยปัจจุบันก็คงทำงานให้การดูแล หรือบำรุงเลี้ยง เพื่อประโยชน์ของฝูงแกะภายใต้การบำรุงเลี้ยงของพระยะโฮวา.
5. เหตุใดคนใหม่จึงควรทำความรู้จักกับพวกผู้ปกครองที่รับการแต่งตั้งในประชาคมคริสเตียน?
5 ในฐานะเป็นผู้บำรุงเลี้ยง ผู้ปกครองย่อมมีส่วนสำคัญต่อความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณของคนใหม่. ดังนั้น หนังสือใหม่ชื่อความรู้ซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ หน้า 168 กล่าวดังนี้: “จงทำความรู้จักคุ้นเคยกับผู้ปกครองที่ได้รับการแต่งตั้งในประชาคม. พวกเขามีประสบการณ์มากในการนำความรู้ของพระเจ้าไปใช้ เพราะเขาบรรลุคุณวุฒิสำหรับผู้ดูแลตามที่ชี้แจงในคัมภีร์ไบเบิล. (1 ติโมเธียว 3:1-7; ติโต 1:5-9) อย่าลังเลที่จะเข้าหาคนใดคนหนึ่งในพวกเขาหากคุณต้องการความช่วยเหลือฝ่ายวิญญาณเพื่อเอาชนะนิสัยหรือลักษณะที่ขัดกับข้อเรียกร้องของพระเจ้า. คุณจะพบว่า ผู้ปกครองปฏิบัติตามคำตักเตือนของเปาโลที่ให้ ‘พูดปลอบโยนผู้ที่หดหู่ใจ เกื้อหนุนคนที่อ่อนแอ อดกลั้นทนนานต่อคนทั้งปวง.’—1 เธซะโลนิเก 2:7, 8; 5:14, ล.ม.”
เมื่อคนใหม่มีความประสงค์จะทำการประกาศ
6. ถ้านักศึกษาพระคัมภีร์ประสงค์จะเป็นผู้ประกาศราชอาณาจักร จะปฏิบัติตามขั้นตอนอะไรบ้าง?
6 หลังจากนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลได้รับความรู้และเข้าร่วมการประชุมต่าง ๆ สักระยะหนึ่ง เขาอาจต้องการเป็นผู้ประกาศราชอาณาจักร เป็นผู้เผยแพร่ข่าวดี. (มาระโก 13:10) ถ้าเช่นนั้น พยานฯที่นำการศึกษากับเขาควรเข้าพบผู้ดูแลผู้เป็นประธาน แล้วผู้ดูแลผู้เป็นประธานจะจัดให้ผู้ปกครองคนหนึ่งจากคณะกรรมการการรับใช้ของประชาคมพร้อมกับผู้ปกครองอีกคนหนึ่งพบกับนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและผู้ที่สอนเขา. การสนทนากันจะอาศัยหนังสือจัดให้เป็นระเบียบเพื่อสัมฤทธิ์ผลในงานรับใช้ของเรา หน้า 128 ถึง 130. ถ้าผู้ปกครองทั้งสองคนเห็นว่าคนใหม่นี้เชื่อคำสอนพื้นฐานในคัมภีร์ไบเบิลและได้ปรับตัวให้เข้ากับหลักการของพระเจ้า จะมีการแจ้งให้เขาทราบว่าเขามีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ประกาศตามบ้านได้.a เมื่อเขารายงานการรับใช้ด้วยการส่งรายงานการประกาศแล้ว จะมีการลงรายงานในบันทึกผู้ประกาศของประชาคมในชื่อของเขา. ตอนนี้ คนใหม่ก็สามารถส่งรายงานการให้คำพยานของตนร่วมกับคนอื่นอีกหลายล้านคนที่ ‘ประกาศพระคำของพระเจ้า’ ด้วยความยินดี. (กิจการ 13:5) จะมีคำประกาศต่อประชาคมว่าเขาเป็นผู้ประกาศที่ยังไม่รับบัพติสมา.
7, 8. อาจให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นในทางใดแก่ผู้ประกาศซึ่งยังไม่รับบัพติสมาในเรื่องการประกาศ?
7 ผู้ประกาศที่ยังไม่รับบัพติสมาจำต้องได้รับการช่วยเหลือจากพวกผู้ปกครองและคริสเตียนอาวุโสคนอื่น ๆ. ตัวอย่างเช่น ความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณของผู้ประกาศใหม่เป็นสิ่งที่ผู้นำการศึกษาหนังสือประจำประชาคมในกลุ่มซึ่งเขาร่วมด้วยพึงเอาใจใส่. ผู้ประกาศใหม่อาจรู้สึกว่ายากที่จะพูดอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อให้คำพยานตามบ้าน. (กิจการ 20:20) ดังนั้น เขาคงยินดีตอบรับการช่วยเหลือ โดยเฉพาะจากผู้ที่นำการศึกษาเขาโดยใช้หนังสือความรู้. การช่วยเหลือที่นำไปปฏิบัติได้จริงเป็นสิ่งสมควร เพราะพระเยซูคริสต์ได้เตรียมสาวกของพระองค์เพื่องานรับใช้.—มาระโก 6:7-13; ลูกา 10:1-22.
8 หากจะให้งานของเราบังเกิดผล การเตรียมตัวล่วงหน้าเป็นสิ่งจำเป็น. ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกาศสองคนอาจจะพบกันก่อนเพื่อฝึกซ้อมการเสนอตามที่แนะนำไว้ในพระราชกิจของเรา ซึ่งออกทุกเดือน. เมื่อเขาเริ่มประกาศในเขตงาน ผู้มีประสบการณ์มากกว่าอาจเป็นฝ่ายให้คำพยานที่บ้านแรกหรือสองบ้านแรกไปก่อน. ภายหลังการแนะนำตัวด้วยท่าทีเป็นมิตรแล้ว ผู้ประกาศทั้งสองอาจมีส่วนร่วมกันให้คำพยานก็ได้. การทำงานประกาศด้วยกันสักสองสามสัปดาห์อาจนำไปสู่การกลับเยี่ยมเยียนที่ดี และถึงกับจัดการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลตามบ้านได้ โดยใช้หนังสือความรู้ซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์. ผู้ประกาศที่มีประสบการณ์มากกว่าอาจนำการศึกษาชั่วระยะหนึ่ง แล้วมอบรายศึกษาให้ผู้ประกาศราชอาณาจักรคนใหม่นำต่อไป. ผู้ประกาศทั้งสองจะสุขใจเพียงใดถ้านักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลแสดงความหยั่งรู้ค่าความรู้ของพระเจ้า!
9. มีการจัดเตรียมอะไรเมื่อผู้ประกาศต้องการรับบัพติสมา?
9 ขณะที่ผู้ประกาศซึ่งยังไม่รับบัพติสมาก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ เขาอาจมาถึงขั้นตัดสินใจอุทิศตัวแด่พระเจ้าด้วยการอธิษฐานและต้องการรับบัพติสมา. (เทียบกับมาระโก 1:9-11.) เขาควรแจ้งความประสงค์จะรับบัพติสมากับผู้ดูแลผู้เป็นประธานในประชาคม ผู้ซึ่งจะจัดผู้ปกครองให้ทบทวนคำถามต่าง ๆ กับผู้ประกาศ จากหนังสือจัดให้เป็นระเบียบเพื่อสัมฤทธิ์ผลในงานรับใช้ของเรา หน้า 227-285. คำถามต่าง ๆ ซึ่งแบ่งเป็นสี่ตอนนั้น ถ้าเป็นได้อาจแบ่งเป็นสามช่วงสำหรับการทบทวนโดยผู้ปกครองสามคน. ถ้าผู้ปกครองเห็นพ้องกันว่าผู้ประกาศคนนี้ที่ยังไม่รับบัพติสมามีความเข้าใจเกี่ยวกับคำสอนต่าง ๆ แห่งคัมภีร์ไบเบิลพอสมควร และบรรลุข้อเรียกร้องด้านอื่น ๆ ผู้ปกครองจะบอกเขาว่าเขาจะรับบัพติสมาได้. เนื่องจากการอุทิศตัวของเขาและการรับบัพติสมา เขาจึง ‘ถูกประทับตรา’ เพื่อความรอด.—ยะเอศเคล 9:4-6.
การจัดการกับความจำเป็นเฉพาะอย่าง
10. หลังจากศึกษาหนังสือความรู้ จบและได้รับบัพติสมาแล้ว คนเราจะเพิ่มพูนความรู้ด้านคัมภีร์ไบเบิลโดยวิธีใด?
10 หลังจากผู้ประกาศใหม่ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลจนจบหนังสือความรู้ และรับบัพติสมาแล้ว อาจไม่จำเป็นที่จะนำการศึกษาเป็นทางการกับเขาโดยใช้หนังสือเล่มที่สอง เช่น พร้อมเพรียงกันนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว.b แน่นอน คนใหม่ที่เพิ่งรับบัพติสมาจะเรียนรู้มากขึ้นขณะที่เขาเตรียมสำหรับการประชุมคริสเตียนและเข้าร่วมประชุมเป็นประจำ. อนึ่ง เขาย่อมจะได้ความรู้เพิ่มเติมขณะที่ความกระหายต่อความจริงกระตุ้นเขาให้อ่านและศึกษาสรรพหนังสือของคริสเตียนเป็นส่วนตัว และพูดคุยถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในพระคัมภีร์กับเพื่อนร่วมความเชื่อ. แต่ถ้ามีความจำเป็นเฉพาะอย่างเกิดขึ้นล่ะ?
11. (ก) อะโปโลได้รับการช่วยเหลือจากปริศกิลาและอะกูลาอย่างไร? (ข) อาจเสนอการช่วยเหลืออะไรแก่คนหนุ่มที่เพิ่งรับบัพติสมาซึ่งกำลังคิดจะแต่งงาน?
11 แม้แต่อะโปโลซึ่ง “ชำนาญมากในทางพระคัมภีร์” และสั่งสอนเรื่องพระเยซูได้อย่างถูกต้อง ยังได้ประโยชน์เมื่อปริศกิลาและอะกูลา “รับท่านมาสั่งสอนให้รู้ทางของพระเจ้าให้ละเอียดขึ้น.” (กิจการ 18:24-26; เทียบกับกิจการ 19:1-7.) ฉะนั้น สมมุติว่าชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเพิ่งรับบัพติสมาได้ไม่นานคิดจะมีคู่รักและแต่งงาน. คริสเตียนที่มีประสบการณ์มากกว่าอาจช่วยเขาค้นหาคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้จากสรรพหนังสือของสมาคมฯ. ยกตัวอย่าง เรื่องราวที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องนี้มีอยู่ในหนังสือการได้ประโยชน์มากที่สุดจากวัยหนุ่มสาว บท 19.c ผู้ประกาศที่เคยนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเขาอาจพิจารณาเรื่องนี้กับคนใหม่ ถึงแม้จะไม่เป็นการศึกษาเป็นประจำ.
12. อาจจัดการให้ความช่วยเหลือเช่นไรแก่คู่สมรสซึ่งเพิ่งรับบัพติสมาที่มีปัญหา?
12 ขอให้พิจารณาอีกตัวอย่างหนึ่ง. บางทีคู่สมรสที่เพิ่งรับบัพติสมาได้ไม่นานมีปัญหาเกี่ยวกับการนำเอาหลักการต่าง ๆ ของพระเจ้าไปใช้. คู่สมรสอาจปรึกษาผู้ปกครองผู้ซึ่งสามารถแบ่งเวลาตอนเย็นสักสองหรือสามวันให้คำชี้แจงเรื่องหลักการในพระคัมภีร์แก่คนทั้งสอง และนำความสนใจของเขาไปที่คำแนะนำซึ่งพบได้ในหนังสือของสมาคมฯ. อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองจะไม่จัดการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำกับคู่สมรสนั้นอีก.
ถ้าคนใหม่พลาดพลั้งทำผิด
13. เหตุใดผู้ปกครองในประชาคมควรแสดงความเมตตาต่อผู้ที่เพิ่งรับบัพติสมาซึ่งกระทำผิดแต่ได้กลับใจ?
13 พวกผู้ปกครองเลียนแบบพระยะโฮวา ผู้บำรุงเลี้ยงองค์ใหญ่ยิ่งซึ่งได้ตรัสดังนี้: “เราเองจะเลี้ยงฝูงแกะของเรา . . . ที่หักนั้นเราจะผูกพันรักษา, และที่อ่อนหิวนั้นเราจะบำรุงให้มีกำลังขึ้น.” (ยะเอศเคล 34:15, 16; เอเฟโซ 5:1) ด้วยน้ำใจอย่างเดียวกันนั้น สาวกยูดาได้กระตุ้นเตือนให้สำแดงความเมตตาต่อคริสเตียนผู้ถูกเจิมซึ่งมีใจสงสัยหรือพลาดพลั้งกระทำผิด. (ยูดา 22, 23) เนื่องจากเรามีเหตุผลที่จะคาดหมายมากกว่าจากคริสเตียนผู้มีประสบการณ์ แน่นอน จึงเป็นการสมควรจะแสดงความเมตตาต่อผู้ที่เพิ่งรับบัพติสมา—ซึ่งก็เป็นเพียงลูกแกะ—ที่ได้พลั้งพลาดไป แต่ก็กลับใจ. (ลูกา 12:48; 15:1-7) ดังนั้น ผู้ปกครองที่ ‘พิพากษาแทนพระยะโฮวา’ ย่อมดูแลเอาใจใส่แกะด้วยความอ่อนโยนและปรับเขาให้เข้าที่ด้วยน้ำใจอ่อนสุภาพ.—2 โครนิกา 19:6; กิจการ 20:28, 29; ฆะลาเตีย 6:1.d
14. ควรจะดำเนินการเช่นไรเมื่อผู้ประกาศที่เพิ่งรับบัพติสมาทำบาปร้ายแรง และจะช่วยเขาได้อย่างไร?
14 สมมุติว่า ผู้ประกาศที่เพิ่งรับบัพติสมาเคยมีปัญหาเกี่ยวกับการดื่มจัดมาก่อน แล้วกลับไปปล่อยตัวดื่มจัดอีกหนึ่งหรือสองครั้ง. หรือบางทีเขาเอาชนะนิสัยสูบบุหรี่ซึ่งเคยสูบอยู่นาน แต่แล้วยอมแพ้ต่อการล่อใจและสูบอีกครั้งสองครั้งที่บ้านของเขา. แม้พี่น้องใหม่ของเราได้ทูลอธิษฐานขอพระเจ้าให้อภัยแล้วก็ตาม เขาควรแสวงการช่วยเหลือจากผู้ปกครอง เพื่อว่าบาปนั้นจะไม่กลายเป็นสิ่งที่ทำเป็นประจำ. (บทเพลงสรรเสริญ 32:1-5; ยาโกโบ 5:14, 15) เมื่อเขาบอกความผิดของตนต่อผู้ปกครองคนหนึ่ง ผู้ปกครองคนนั้นควรพยายามปรับคนใหม่ให้เข้าที่ด้วยความเมตตา. (บทเพลงสรรเสริญ 130:3) คำแนะนำในพระคัมภีร์ก็อาจเพียงพอที่จะช่วยเขาจัดทางเดินของตัวเองให้ตรงได้ในภายหลัง. (เฮ็บราย 12:12, 13) ผู้ปกครองคนนี้จะพิจารณาสภาพการณ์นั้นกับผู้ดูแลผู้เป็นประธานของประชาคมเพื่อดูว่าควรให้ความช่วยเหลืออะไรต่อไป.
15. ในบางกรณี อะไรอาจเป็นสิ่งจำเป็นเมื่อผู้ที่รับบัพติสมาไม่นานกระทำบาป?
15 ในบางกรณีอาจจะต้องทำมากกว่านั้น. หากพัวพันกับเรื่องอื้อฉาว, อันตรายต่อฝูงแกะ, หรือปัญหาร้ายแรงอื่น ๆ คณะผู้ปกครองจะมอบหมายผู้ปกครองสองคนให้สืบสวนเรื่องราว. หากผู้ปกครองสองคนนี้พบว่า เรื่องราวนั้นร้ายแรงถึงขั้นที่จำเป็นต้องมีคณะกรรมการตัดสินความ เขาทั้งสองควรรายงานเรื่องนี้ให้คณะผู้ปกครอง. จากนั้น คณะผู้ปกครองจะแต่งตั้งคณะกรรมการตัดสินความเพื่อช่วยผู้ที่พลาดพลั้งกระทำผิด. คณะกรรมการตัดสินความควรปฏิบัติกับเขาอย่างอ่อนโยน. พวกเขาควรพยายามปรับเขาให้เข้าที่อีกครั้งหนึ่งโดยใช้พระคัมภีร์. หากเขาตอบรับต่อความพยายามที่กรุณาของคณะกรรมการตัดสินความ พวกเขาอาจตัดสินได้ว่า จะมีประโยชน์อะไรไหมที่จะไม่ให้เขาทำส่วนบนเวทีในการประชุมที่หอประชุม หรือตัดสินได้ว่า เขาจะได้รับอนุญาตให้ออกความคิดเห็นในการประชุมหรือไม่.
16. ผู้ปกครองสามารถทำอะไรเพื่อช่วยผู้กระทำผิด?
16 หากผู้ที่พลาดพลั้งกระทำผิดตอบรับ ผู้ปกครองหนึ่งหรือสองคนในคณะกรรมการตัดสินความอาจจัดให้มีการบำรุงเลี้ยงด้วยมุ่งจะค้ำจุนเขาให้คงอยู่ในความเชื่อและเสริมสร้างการหยั่งรู้ค่าต่อมาตรฐานที่ชอบธรรมของพระเจ้า. ผู้ปกครองแต่ละคนอาจออกไปในงานประกาศกับเขาเป็นครั้งคราว. ผู้ปกครองอาจพิจารณาพระคัมภีร์สักสองสามครั้งกับเขา อาจใช้เรื่องที่เหมาะสมซึ่งมีอยู่ในหอสังเกตการณ์ หรือตื่นเถิด! แต่ไม่ใช่เริ่มการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำกับเขาอีก. ด้วยการเอาใจใส่อย่างอ่อนโยนเช่นนั้น ผู้กระทำผิดอาจได้รับการเสริมกำลังเพื่อต้านทานความอ่อนแอของเนื้อหนังในวันข้างหน้า.
17. จะดำเนินตามขั้นตอนอะไรบ้างถ้าผู้ที่รับบัพติสมาแล้วทำผิดไม่กลับใจ หรือไม่เลิกแนวทางที่ผิดบาปของตน?
17 แน่ล่ะ การที่เพิ่งรับบัพติสมาหาใช่ข้อแก้ตัวสำหรับการทำบาปเป็นอาจิณโดยไม่กลับใจ. (เฮ็บราย 10:26, 27; ยูดา 4) ถ้าคนใดที่รับบัพติสมาแล้วกระทำผิดไม่กลับใจและไม่เลิกแนวทางที่ผิดบาปของตน เขาจะถูกขับออกจากประชาคม. (1 โกรินโธ 5:6, 11-13; 2 เธซะโลนิเก 2:11, 12; 2 โยฮัน 9-11) เมื่อเห็นว่าจำเป็นต้องดำเนินการขั้นนี้ คณะผู้ปกครองจะเลือกกรรมการตัดสินความขึ้นมา. ถ้าถึงขั้นขับออก ก็จะมีคำประกาศสั้น ๆ ว่า “ . . . ถูกตัดสัมพันธ์แล้ว.”e
ช่วยเขา “รุดหน้าสู่ความอาวุโส”
18. ทำไมเราจึงสามารถแน่ใจได้ว่า คริสเตียนที่เพิ่งรับบัพติสมาและคนอื่นด้วยยังมีสิ่งซึ่งต้องเรียนรู้อีกมากเสมอเกี่ยวกับพระยะโฮวาและพระทัยประสงค์ของพระองค์?
18 ไพร่พลของพระเจ้าส่วนใหญ่จะคงอยู่ร่วมกันเป็นฝูง. น่าชื่นใจเช่นกัน พวกเราทุกคนจะสามารถเข้าใกล้ชิดมากขึ้นกับพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ เพราะเราสามารถจะเรียนรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับพระองค์และพระทัยประสงค์ของพระองค์. (ท่านผู้ประกาศ 3:11; ยาโกโบ 4:8) หลายพันคนที่รับบัพติสมาเมื่อวันเพนเตคอสเต ปีสากลศักราช 33 มีสิ่งที่ต้องเรียนรู้อีกมากอย่างแน่นอน. (กิจการ 2:5, 37-41; 4:4) เป็นอย่างนั้นกับคนต่างชาติซึ่งไม่มีภูมิหลังด้านคัมภีร์ไบเบิล. ยกตัวอย่าง ข้อนี้เป็นจริงในกรณีของคนเหล่านั้นที่รับบัพติสมาหลังจากได้ฟังการบรรยายของเปาโลบนภูเขาเอเรียวปากัสในนครเอเธนส์. (กิจการ 17:33, 34) สมัยนี้ก็เช่นกัน คนใหม่ ๆ ที่เพิ่งรับบัพติสมาต้องเรียนรู้อีกมาก และต้องการเวลาและการช่วยเหลือเพื่อรับการเสริมกำลังความตั้งใจที่จะกระทำสิ่งถูกต้องในสายพระเนตรพระเจ้า.—ฆะลาเตีย 6:9; 2 เธซะโลนิเก 3:13.
19. จะให้การช่วยเหลืออย่างไรแก่คนเหล่านั้นซึ่งรับบัพติสมา เพื่อเขาจะ “รุดหน้าสู่ความอาวุโส”?
19 แต่ละปี ผู้คนนับหมื่นนับแสนรับบัพติสมา และจำต้องได้รับความช่วยเหลือเพื่อว่าพวกเขาจะ “รุดหน้าสู่ความอาวุโส.” (เฮ็บราย 6:1-3, ล.ม.) โดยคำพูด, ตัวอย่าง, และการช่วยที่ใช้ได้ผลในงานรับใช้ คุณอาจสามารถช่วยบางคนสวมใส่บุคลิกใหม่ และ “ดำเนินอยู่ในความจริงต่อ ๆ ไป.” (3 โยฮัน 4; โกโลซาย 3:9, 10, ล.ม.) หากคุณเป็นผู้ประกาศที่ช่ำชอง ผู้ปกครองอาจจะขอให้คุณช่วยเพื่อนร่วมความเชื่อคนใหม่ ๆ เมื่อออกทำงานประกาศ หรือให้พิจารณาจุดสำคัญบางจุดในพระคัมภีร์กับเขาสักสองสามสัปดาห์ ทั้งนี้ก็เพื่อเสริมความเชื่อของเขาในพระเจ้าให้มั่นคงยิ่งขึ้น รวมทั้งการหยั่งรู้ค่าต่อการประชุมคริสเตียนและสิ่งอื่น ๆ. สัมพันธภาพของผู้บำรุงเลี้ยงที่มีต่อฝูงแกะเป็นเหมือนสัมพันธภาพของบิดาในด้านการเตือนสอนและเหมือนของมารดาในด้านความอ่อนโยน. (1 เธซะโลนิเก 2:7, 8, 11) ทว่า ผู้ปกครองและผู้รับใช้เพียงไม่กี่คนย่อมไม่สามารถดูแลทุกสิ่งที่จำเป็นในประชาคมได้. พวกเราทุกคนเป็นเหมือนครอบครัวซึ่งสมาชิกช่วยเหลือกันและกัน. พวกเราแต่ละคนสามารถจะทำสิ่งที่ช่วยเพื่อนร่วมการนมัสการได้. คุณเองอาจสามารถให้การหนุนกำลังใจ, ปลอบประโลมคนท้อแท้, และเกื้อหนุนคนอ่อนแอได้.—1 เธซะโลนิเก 5:14, 15.
20. คุณจะทำประการใดเพื่อแพร่ความรู้ของพระเจ้า และให้การดูแลอย่างอ่อนโยนต่อแกะที่พระยะโฮวาทรงบำรุงเลี้ยง?
20 มนุษยชาติจำต้องได้รับความรู้ของพระเจ้า และในฐานะพยานของพระยะโฮวา คุณสามารถมีส่วนร่วมที่น่ายินดีในการเผยแพร่ความรู้นี้. แกะของพระยะโฮวาจำต้องได้รับการดูแลอย่างอ่อนโยน และคุณสามารถแสดงบทบาทที่เปี่ยมด้วยความรักโดยช่วยงานด้านนี้. ขอพระยะโฮวาโปรดอวยพระพรงานรับใช้ที่คุณทำอยู่ขณะนี้ และขอพระองค์ประทานบำเหน็จแก่คุณเนื่องจากคุณพยายามบากบั่นอย่างจริงจังเพื่อช่วยแกะที่พระองค์ทรงบำรุงเลี้ยง.
[เชิงอรรถ]
a เมื่อถึงขั้นนี้ คนใหม่อาจรับหนังสือจัดให้เป็นระเบียบเพื่อสัมฤทธิ์ผลในงานรับใช้ของเรา ได้.
b จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
c จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
d วิธีดำเนินการดังกล่าวกับผู้ประกาศที่ยังไม่รับบัพติสมามีวางเค้าโครงไว้ในเรื่อง “ช่วยคนอื่นให้นมัสการพระเจ้า” ในหอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 พฤศจิกายน 1988 หน้า 17-23.
e ถ้ามีการตัดสินให้ตัดสัมพันธ์และมีการอุทธรณ์ ต้องระงับคำประกาศไว้ก่อน. ดูหนังสือจัดให้เป็นระเบียบเพื่อสัมฤทธิ์ผลในงานรับใช้ของเรา หน้า 191.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ พระยะโฮวาทรงปฏิบัติต่อฝูงแกะของพระองค์อย่างไร?
▫ จะทำประการใดเมื่อคนใหม่ประสงค์จะออกประกาศ?
▫ เพื่อนร่วมความเชื่อสามารถช่วยคนใหม่ที่มีความจำเป็นเฉพาะอย่างได้อย่างไร?
▫ ผู้ปกครองจะให้การช่วยเหลือเช่นไรแก่คนที่ทำผิดแต่กลับใจ?
▫ คุณอาจจะช่วยคนที่เพิ่งรับบัพติสมาให้ “รุดหน้าสู่ความอาวุโส” ได้อย่างไร?
[รูปหน้า 16]
ชาร์ลส์ ที. รัสเซลล์เป็นที่รู้จักดีว่าเป็นผู้บำรุงเลี้ยงฝูงแกะด้วยความรัก
[รูปหน้า 18]
ผู้บำรุงเลี้ยงที่มีความเห็นอกเห็นใจปฏิบัติต่อฝูงแกะของพระเจ้าด้วยความอ่อนโยน