บท 8
ผู้ประกาศข่าวดี
พระยะโฮวาได้ให้พระเยซูคริสต์ ลูกชายของพระองค์เป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยมแก่เรา (1 ปต. 2:21) เมื่อใครก็ตามเข้ามาเป็นสาวกของพระเยซู คนนั้นจะประกาศข่าวดีในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้า พระเยซูแสดงให้เห็นว่าการเป็นสาวกของท่านทำให้หัวใจสดชื่น โดยบอกว่า “ทุกคนที่ทำงานหนักเหน็ดเหนื่อยและมีภาระมาก มาหาผมสิ แล้วผมจะทำให้คุณสดชื่นหายเหนื่อย มารับแอกของผมแบกไว้และเรียนจากผม แล้วคุณจะสดชื่น เพราะผมเป็นคนอ่อนโยนและถ่อมตัว” (มธ. 11:28, 29) คำสัญญาของพระองค์ไม่ทำให้คนที่ตอบรับคำเชิญนั้นผิดหวัง
2 ในฐานะผู้รับใช้คนสำคัญของพระเจ้า พระเยซูเรียกบางคนให้เข้ามาเป็นสาวกของท่าน (มธ. 9:9; ยน. 1:43) ท่านฝึกอบรมพวกเขาในงานประกาศและส่งพวกเขาไปทำงานอย่างเดียวกับที่ท่านทำ (มธ. 10:1-11:1; 20:28; ลก. 4:43) หลังจากนั้น ท่านได้ส่งคนอื่น ๆ อีก 70 คนออกไปประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า (ลก. 10:1, 8-11) เมื่อพระเยซูส่งสาวกออกไป ท่านบอกพวกเขาว่า “คนที่ฟังคุณก็เท่ากับฟังผม คนที่ปฏิเสธคุณก็เท่ากับปฏิเสธผม และคนที่ปฏิเสธผมก็เท่ากับปฏิเสธพระองค์ผู้ที่ใช้ผมมา” (ลก. 10:16) โดยวิธีนี้ พระเยซูเน้นหน้าที่รับผิดชอบสำคัญที่ท่านมอบไว้กับพวกสาวก พวกเขาจะเป็นตัวแทนของพระเยซูและพระเจ้าองค์สูงสุด ทุกวันนี้ ทุกคนที่ตอบรับคำเชิญของพระเยซูที่ให้ “ตามผมมา” ก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย (ลก. 18:22; 2 คร. 2:17) ทุกคนที่ตอบรับคำเชิญได้รับหน้าที่มอบหมายจากพระเจ้าให้ประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าและสอนคนให้เป็นสาวก—มธ. 24:14; 28:19, 20
3 การตอบรับคำเชิญที่ให้ติดตามพระเยซูทำให้เราได้รับการอวยพรให้ “รู้จัก” พระยะโฮวาพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ (ยน. 17:3) เราได้รับการสอนเรื่องแนวทางของพระยะโฮวา และด้วยความช่วยเหลือจากพระองค์ เราจึงสามารถเปลี่ยนความคิดจิตใจ ปลูกฝังลักษณะนิสัยใหม่ และปรับเปลี่ยนความประพฤติให้เป็นไปตามมาตรฐานที่ถูกต้องของพระยะโฮวา (รม. 12:1, 2; อฟ. 4:22-24; คส. 3:9, 10) ความรู้สึกขอบคุณจากใจจริงกระตุ้นเราให้อุทิศตัวกับพระยะโฮวาและแสดงสัญลักษณ์การอุทิศตัวด้วยการรับบัพติศมาในน้ำ การรับบัพติศมาเป็นการแต่งตั้งเราให้เป็นผู้รับใช้พระเจ้า
4 ขอให้จำไว้เสมอว่า คนที่รับใช้พระเจ้าต้องไม่ทำผิดและต้องมีใจบริสุทธิ์ (สด. 24:3, 4; อสย. 52:11; 2 คร. 6:14-7:1) ถ้าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราจะไม่รู้สึกผิดอีกต่อไป (ฮบ. 10:19-23, 35, 36; วว. 7:9, 10, 14) อัครสาวกเปาโลเตือนคริสเตียนให้ทำทุกสิ่งแบบที่ทำให้พระเจ้าได้รับการยกย่องสรรเสริญเพื่อจะไม่เป็นเหตุให้คนอื่นไม่สบายใจ อัครสาวกเปโตรบอกว่าการวางตัวอย่างที่ดีมีคุณค่ามากเพราะจะทำให้คนที่ไม่เชื่อตอบรับความจริง (1 คร. 10:31, 33; 1 ปต. 3:1) คุณจะช่วยคนอื่นให้บรรลุข้อเรียกร้องของการเป็นผู้ประกาศข่าวดีได้อย่างไร?
ผู้ประกาศใหม่
5 ตั้งแต่ที่คุณเริ่มนำการศึกษาพระคัมภีร์กับผู้สนใจ พยายามสนับสนุนเขาให้พูดกับคนอื่นเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ เขาอาจบอกญาติ เพื่อน คนในที่ทำงาน และคนอื่น ๆ แบบไม่เป็นทางการ นี่เป็นขั้นตอนสำคัญในการสอนคนใหม่ให้เป็นผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ฐานะผู้ประกาศข่าวดี (มธ. 9:9; ลก. 6:40) เมื่อคนใหม่ก้าวหน้าในความจริงและประกาศแบบไม่เป็นทางการเก่งขึ้น เขาจะอยากออกประกาศแน่นอน
การบรรลุข้อเรียกร้อง
6 ก่อนที่จะชวนใครไปประกาศตามบ้านกับคุณเป็นครั้งแรก คุณต้องทำให้แน่ใจว่าเขาบรรลุข้อเรียกร้อง เมื่อคนหนึ่งออกไปประกาศกับเรา เขาก็แสดงตัวว่าเป็นพยานพระยะโฮวา เขาจึงต้องแสดงอย่างชัดเจนว่าใช้ชีวิตตามมาตรฐานที่ถูกต้องชอบธรรมของพระยะโฮวา และสามารถเป็นผู้ประกาศที่ยังไม่ได้รับบัพติศมา
7 เมื่อคุณศึกษากับใครคนหนึ่งและพิจารณาหลักการในคัมภีร์ไบเบิลกับเขา คุณอาจรู้เกี่ยวกับสภาพการณ์ของเขาอยู่บ้าง คุณอาจสังเกตว่าเขากำลังใช้ชีวิตตามสิ่งที่ได้เรียนรู้มาหรือไม่ แต่อาจมีบางแง่มุมในชีวิตของนักศึกษาที่ผู้ดูแลอยากพูดคุยกับเขาโดยที่คุณอยู่ด้วย
8 ผู้ประสานงานคณะผู้ดูแลจะมอบหมายผู้ดูแล 2 คน (คนหนึ่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการการรับใช้) ให้พิจารณาเรื่องนี้กับคุณและนักศึกษา ในประชาคมที่มีผู้ดูแลน้อย ผู้ดูแลคนหนึ่งกับผู้ช่วยงานรับใช้อีกคนหนึ่งอาจทำหน้าที่นี้ ทั้งสองคนควรรีบพูดคุยกับนักศึกษาทันที ที่จริง ในวันที่มีการประชุมประชาคม ถ้าพวกเขารู้ว่านักศึกษาอยากเป็นผู้ประกาศ พวกเขาอาจคุยกับคุณและนักศึกษาหลังจากการประชุม บรรยากาศควรเป็นกันเอง ก่อนที่นักศึกษาได้รับอนุมัติให้เป็นผู้ประกาศที่ยังไม่รับบัพติศมา ผู้ดูแลจะตรวจสอบว่านักศึกษาบรรลุข้อเรียกร้องต่าง ๆ ต่อไปนี้ไหม
(1) เขาเชื่อว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นถ้อยคำที่มีขึ้นโดยการดลใจจากพระเจ้า—2 ทธ. 3:16
(2) เขารู้และเชื่อคำสอนพื้นฐานของพระคัมภีร์จริง ๆ เมื่อมีใครถาม เขาจะตอบตามคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่ตามคำสอนของศาสนาเท็จหรือตามความคิดของเขาเอง—มธ. 7:21-23; 2 ทธ. 2:15
(3) เขาทำตามคำสั่งของคัมภีร์ไบเบิลที่ให้เข้าร่วมการประชุมกับประชาชนของพระยะโฮวาที่หอประชุมถ้าเขาทำได้—สด. 122:1; ฮบ. 10:24, 25
(4) เขารู้คำสอนของคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการผิดศีลธรรมทางเพศ การมีชู้ การมีสามีหรือภรรยาหลายคน การรักร่วมเพศ และเขาใช้ชีวิตตามคำสอนเหล่านั้น ถ้าเขาอยู่ด้วยกันกับอีกคนหนึ่งที่เป็นเพศตรงข้ามซึ่งไม่ใช่ญาติ พวกเขาต้องแต่งงานกันให้ถูกต้องตามกฎหมาย—มธ. 19:9; 1 คร. 6:9, 10; 1 ทธ. 3:2, 12; ฮบ. 13:4
(5) เขาเชื่อฟังคำสั่งที่คัมภีร์ไบเบิลห้ามเรื่องการเมาเหล้าและไม่ใช้ยาเสพติดหรือสารเสพติดอื่น ๆ—2 คร. 7:1; อฟ. 5:18; 1 ปต. 4:3, 4
(6) เขาไม่คบหากับคนที่ไม่ดี—1 คร. 15:33
(7) เขาลาออกจากองค์การศาสนาเท็จทั้งหมดที่เคยเข้าร่วม เลิกทำกิจกรรม ไม่เข้าร่วม และไม่สนับสนุนองค์การเหล่านั้นอีกต่อไป—2 คร. 6:14-18; วว. 18:4
(8) เขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองทุกรูปแบบ—ยน. 6:15; 15:19; ยก. 1:27
(9) เขาเชื่อและใช้ชีวิตตามที่บอกไว้ในอิสยาห์ 2:4
(10) เขาอยากเป็นพยานพระยะโฮวาจริง ๆ—สด. 110:3
9 ถ้าผู้ดูแลไม่แน่ใจว่านักศึกษาคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ผู้ดูแลอาจใช้ข้อคัมภีร์ที่อ้างถึงเพื่อถามความคิดเห็นเขา เป็นเรื่องสำคัญที่เขาจะเข้าใจว่าคนที่จะออกไปประกาศกับพยานพระยะโฮวาจะต้องใช้ชีวิตตามข้อเรียกร้องในพระคัมภีร์ ความคิดเห็นของเขาจะช่วยผู้ดูแลให้ตัดสินได้ว่าเขามีคุณสมบัติพอที่จะเริ่มเข้าร่วมในงานประกาศได้หรือไม่
10 ผู้ดูแลควรแจ้งให้นักศึกษาทราบทันทีว่าเขามีคุณสมบัติหรือไม่ ส่วนใหญ่แล้วควรแจ้งหลังการพูดคุยกัน ถ้าเขามีคุณสมบัติ ผู้ดูแลจะต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นในฐานะผู้ประกาศ (รม. 15:7) ผู้ดูแลควรสนับสนุนให้เขาเริ่มออกประกาศเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และส่งรายงานการรับใช้ในตอนสิ้นเดือน ผู้ดูแลจะอธิบายว่า เมื่อนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลมีคุณสมบัติเป็นผู้ประกาศที่ยังไม่รับบัพติศมาและส่งรายงานการประกาศครั้งแรก จะมีการทำบันทึกผู้ประกาศของประชาคม ในชื่อของเขาและเก็บไว้ในแฟ้มของประชาคม ผู้ดูแลจะรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของผู้ประกาศเพื่อที่องค์การจะสามารถดูแลกิจกรรมทางศาสนาของพยานพระยะโฮวาทั่วโลก และเพื่อที่ผู้ประกาศจะสามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ของคริสเตียนและสามารถรับความช่วยเหลือด้านความเชื่อ นอกจากนั้น ผู้ดูแลอาจบอกผู้ประกาศใหม่ว่าจะมีการจัดการข้อมูลส่วนตัวของเขาตามนโยบายทั่วโลกเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของพยานพระยะโฮวาซึ่งบอกไว้ในเว็บไซต์ jw.org
11 การที่เราคุ้นเคยกับผู้ประกาศใหม่และสนใจความก้าวหน้าของเขาเป็นส่วนตัวอาจส่งผลดีต่อเขา นั่นอาจถึงกับกระตุ้นเขาให้ส่งรายงานการประกาศเป็นประจำทุกเดือนและพยายามมากขึ้นที่จะรับใช้พระยะโฮวา—ฟป. 2:4; ฮบ. 13:2
12 เมื่อผู้ดูแลตัดสินว่านักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคนนั้นมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมในงานประกาศ เขามีสิทธิ์ได้รับหนังสือรวบรวมเป็นองค์การเพื่อทำตามความประสงค์ของพระยะโฮวา หลังจากเขาส่งรายงานการประกาศครั้งแรก ควรมีคำประกาศสั้น ๆ แก่ประชาคมว่า เขาเป็นผู้ประกาศที่ยังไม่รับบัพติศมา
การช่วยเหลือเด็ก ๆ
13 เด็ก ๆ อาจมีคุณสมบัติเป็นผู้ประกาศข่าวดีได้ พระเยซูต้อนรับเด็ก ๆ และอวยพรพวกเขา (มธ. 19:13-15; 21:15, 16) ถึงแม้พ่อแม่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อลูกเป็นอันดับแรก แต่คนอื่นในประชาคมก็อาจอยากช่วยเด็ก ๆ ให้เข้าร่วมงานประกาศ ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ ตัวอย่างที่ดีในการประกาศจะช่วยสนับสนุนลูกของคุณได้มากให้รับใช้พระเจ้าอย่างกระตือรือร้น เมื่อเด็กที่มีความประพฤติดีคนหนึ่งอยากบอกคนอื่นเรื่องความเชื่อของตัวเอง มีอะไรที่จะช่วยเขาได้?
14 นับว่าเหมาะสมที่พ่อแม่จะคุยกับผู้ดูแลคนหนึ่งในคณะกรรมการการรับใช้ของประชาคมเพื่อปรึกษากันว่าลูกมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นผู้ประกาศได้หรือไม่ ผู้ประสานงานคณะผู้ดูแลจะมอบหมายผู้ดูแล 2 คน (คนหนึ่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการการรับใช้) ให้คุยกับเด็กและพ่อแม่หรือผู้ปกครองเด็กที่เป็นพยานฯ ถ้าเด็กมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิล และให้หลักฐานว่าเขาอยากจะออกประกาศจริง ๆ นั่นแสดงว่าเขากำลังก้าวหน้าอย่างดี หลังจากพิจารณาเรื่องเหล่านี้และปัจจัยอื่น ๆ ที่คล้ายกับการพิจารณากับผู้ใหญ่ ผู้ดูแล 2 คนจะตัดสินว่าเด็กคนนั้นจะเป็นผู้ประกาศที่ยังไม่รับบัพติศมาได้หรือไม่ (ลก. 6:45; รม. 10:10) เมื่อพูดคุยกับเด็ก ไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องที่ปกติจะพูดกับผู้ใหญ่เท่านั้น
15 ช่วงที่คุยกัน ผู้ดูแลควรชมเชยเด็กที่ก้าวหน้าอย่างดีและสนับสนุนเขาให้ตั้งเป้าหมายที่จะรับบัพติศมา เนื่องจากพ่อแม่ต้องพยายามมากเพื่อปลูกฝังความจริงให้กับลูก พวกเขาก็สมควรได้รับคำชมเชยด้วย เพื่อช่วยพ่อแม่ให้ช่วยลูกของตัวเองมากขึ้น ผู้ดูแลควรบอกให้พวกเขาอ่าน “สำหรับพ่อแม่คริสเตียน” ในหน้า 179-181
การอุทิศตัวและการรับบัพติศมา
16 ถ้าคุณได้รับความรู้ที่ถูกต้องและแสดงความรักต่อพระเจ้าโดยบรรลุข้อเรียกร้องของพระองค์และเข้าร่วมงานประกาศ คุณต้องทำให้ความสัมพันธ์กับพระองค์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยวิธีใด? โดยการอุทิศตัวให้พระเจ้าและแสดงสัญลักษณ์การอุทิศตัวโดยรับบัพติศมาในน้ำ—มธ. 28:19, 20
17 การอุทิศตัวหมายถึงการแยกไว้ต่างหากเพื่อวัตถุประสงค์ที่ศักดิ์สิทธิ์ การอุทิศตัวให้พระเจ้าหมายถึงการอธิษฐานถึงพระองค์และสัญญาอย่างจริงจังว่าคุณจะใช้ชีวิตเพื่อรับใช้พระองค์และทำตามแนวทางของพระองค์ นั่นหมายถึงการแสดงความเลื่อมใสในพระองค์ตลอดไป (ฉธบ. 5:9) การอุทิศตัวเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่มีใครทำแทนคุณได้
18 อย่างไรก็ตาม คุณต้องไม่เพียงแค่บอกพระยะโฮวาผู้เดียวว่าคุณต้องการเป็นคนของพระองค์ คุณต้องแสดงให้คนอื่นเห็นด้วยว่าคุณได้อุทิศตัวให้พระเจ้าแล้ว คุณทำได้โดยการรับบัพติศมาในน้ำเหมือนที่พระเยซูเคยทำ (1 ปต. 2:21; 3:21) ถ้าคุณตัดสินใจว่าจะรับใช้พระยะโฮวาและต้องการรับบัพติศมา คุณควรทำอย่างไร? คุณควรบอกผู้ประสานงานคณะผู้ดูแล เขาจะมอบหมายผู้ดูแลบางคนให้คุยกับคุณเพื่อจะแน่ใจว่าคุณบรรลุข้อเรียกร้องของพระเจ้าสำหรับการรับบัพติศมา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดู “ถึงผู้ประกาศที่ยังไม่ได้รับบัพติศมา” หน้า 182-184 และ “คำถามสำหรับผู้ที่ต้องการจะรับบัพติศมา” หน้า 185-207
การรายงานเรื่องความก้าวหน้าในงานรับใช้
19 ตลอดเวลาหลายปี รายงานเกี่ยวกับการแผ่ขยายของการนมัสการบริสุทธิ์ทั่วโลกทำให้ประชาชนของพระยะโฮวาได้กำลังใจจริง ๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่พระเยซูคริสต์บอกสาวกว่าจะต้องมีการประกาศข่าวดีไปทั่วโลก คริสเตียนแท้ก็สนใจว่าเรื่องนี้จะเป็นจริงได้อย่างไร—มธ. 28:19, 20; มก. 13:10; กจ. 1:8
20 สาวกรุ่นแรก ๆ ของพระเยซูสนใจรายงานความก้าวหน้าของงานประกาศ (มก. 6:30) หนังสือกิจการบอกเราว่า ตอนที่พระเจ้าเทพลังบริสุทธิ์ลงเหนือพวกสาวกในวันเพ็นเทคอสต์ปี ค.ศ. 33 มีสาวกประมาณ 120 คนอยู่ที่นั่น ไม่นานจำนวนสาวกก็เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 3,000 คน แล้วก็เพิ่มเป็นประมาณ 5,000 คน มีการรายงานว่า “พระยะโฮวาทำให้มีคนเข้ามาเชื่อและรับความรอดเพิ่มขึ้นทุกวัน” และ “มีปุโรหิตกลุ่มใหญ่เข้ามาเชื่อด้วย” (กจ. 1:15; 2:5-11, 41, 47; 4:4; 6:7) ข่าวเรื่องการเพิ่มขึ้นทำให้พวกสาวกมีกำลังใจมาก รายงานที่น่าตื่นเต้นนี้คงต้องกระตุ้นพวกเขาให้ทำงานมอบหมายที่ได้รับจากพระเจ้าต่อไปแน่ ๆ แม้จะถูกพวกหัวหน้าศาสนาชาวยิวข่มเหงอย่างหนัก
21 ประมาณปี ค.ศ. 60-61 เปาโลได้รายงานในจดหมายที่เขาเขียนไปถึงชาวโคโลสีว่าข่าวดี “กำลังเกิดผลและแพร่กระจายไปทั่วโลก” และกำลังได้รับการ “ประกาศไปทุกแห่งทั่วใต้ฟ้า” (คส. 1:5, 6, 23) คริสเตียนรุ่นแรกเชื่อฟังคำสอนของพระเจ้า และพลังบริสุทธิ์ได้ช่วยพวกเขาให้มีกำลังความสามารถที่จะประกาศไปทั่วโลกก่อนการทำลายกรุงเยรูซาเล็มในปี ค.ศ. 70 คริสเตียนที่ซื่อสัตย์คงต้องได้กำลังใจมากที่ได้ยินรายงานเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ทำสำเร็จไปแล้ว
คุณสนใจที่จะทำงานรับใช้อย่างทั่วถึงก่อนที่จุดจบจะมาถึงไหม?
22 คล้ายกัน องค์การของพระยะโฮวาในปัจจุบันก็พยายามเก็บบันทึกเกี่ยวกับงานที่กำลังทำกันอยู่ซึ่งเกิดขึ้นจริงตามมัทธิว 24:14 ที่ว่า “จะมีการประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าไปทั่วโลก เพื่อให้คนทุกชาติมีโอกาสได้ยิน แล้วจุดจบก็จะมาถึง” ในฐานะผู้รับใช้ที่อุทิศตัวแล้ว เรามีงานเร่งด่วนที่ต้องทำ เราต้องสนใจที่จะทำงานรับใช้อย่างทั่วถึงก่อนที่จุดจบจะมาถึง พระยะโฮวาจะดูแลให้งานนี้สำเร็จ และถ้าเรามีส่วนร่วม พระยะโฮวาจะพอใจเรา—อสค. 3:18-21
รายงานการประกาศของคุณ
23 มีอะไรบ้างที่เราต้องรายงาน? ใบรายงานการประกาศ ที่องค์การเตรียมขึ้นมีบอกอยู่แล้วว่าต้องกรอกข้อมูลอะไรบ้าง คำอธิบายข้างล่างนี้อาจเป็นประโยชน์
24 ในช่อง “สิ่งพิมพ์ ไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ ลิงก์” ให้เขียนจำนวนรวมทั้งหมดของสิ่งพิมพ์ที่คุณให้กับคนที่ยังไม่รับบัพติศมาไม่ว่าจะเป็นเล่ม เป็นลิงก์ หรือเป็นไฟล์ ส่วนในช่อง “เปิดวีดีโอ” ให้รวมจำนวนครั้งของการเปิดวีดีโอ
25 ในช่อง “การกลับเยี่ยม” ให้นับจำนวนครั้งทั้งหมดที่ได้กลับเยี่ยมเพื่อกระตุ้นความสนใจของคนที่ยังไม่รับบัพติศมาซึ่งแสดงความสนใจในการประกาศครั้งก่อน การกลับเยี่ยมทำได้โดยไปเจอกับคนนั้น เขียนจดหมาย โทรศัพท์ ส่งข้อความ อีเมล หรือส่งหนังสือ ทุกครั้งที่คุณนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลก็นับเป็นการกลับเยี่ยมได้ด้วย ถ้าพ่อหรือแม่นำการนมัสการประจำครอบครัวโดยมีลูกหนึ่งคนที่ยังไม่รับบัพติศมาอยู่ด้วยก็จะนับรายเยี่ยมได้ 1 รายต่อสัปดาห์
26 ในแต่ละเดือน ถึงแม้ศึกษากับคนหนึ่งทุกสัปดาห์คุณจะลงรายงานการศึกษาแค่ 1 ราย ผู้ประกาศควรเขียนจำนวนรายศึกษาทั้งหมดที่นำในเดือนนั้นลงในใบรายงานการประกาศ เขาควรกรอกจำนวนรายศึกษาเฉพาะคนที่ยังไม่รับบัพติศมา เมื่อสมาชิกคณะกรรมการการรับใช้ขอให้คุณศึกษากับคนที่เลิกประกาศ คุณอาจนับเป็นรายศึกษาได้ หรือเมื่อคุณศึกษากับคนที่เพิ่งรับบัพติศมาแต่ศึกษาหนังสือชีวิตที่มีความสุขตลอดไป ยังไม่จบ คุณก็นับเป็นรายศึกษาได้ด้วย
27 นับว่าสำคัญที่จะกรอกช่อง “ชั่วโมง” ให้ถูกต้อง โดยทั่วไปแล้ว นั่นคือเวลาที่คุณใช้ในการประกาศตามบ้าน การกลับเยี่ยม การนำการศึกษาพระคัมภีร์ หรือการประกาศแบบเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการกับคนที่ยังไม่รับบัพติศมา ถ้าผู้ประกาศ 2 คนทำงานด้วยกัน ทั้งสองคนสามารถนับเวลาได้ แต่มีคนเดียวเท่านั้นที่นับรายเยี่ยมและรายศึกษาได้ ทั้งพ่อและแม่ที่มีส่วนร่วมในการสอนลูก ๆ ในการนมัสการครอบครัวตอนเย็นอาจนับเวลาได้สูงสุด 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ พี่น้องชายอาจนับเวลาที่บรรยายสาธารณะได้ พี่น้องที่เป็นล่ามให้การบรรยายสาธารณะอาจนับเวลาได้ด้วย มีกิจกรรมที่สำคัญอื่น ๆ ที่นับเวลาไม่ได้ เช่น การเตรียมตัวเพื่อการประกาศ การร่วมประชุมเพื่อการประกาศ การทำธุระส่วนตัว และอื่น ๆ
28 ผู้ประกาศทุกคนต้องทำตามความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเองที่ได้รับการฝึกจากคัมภีร์ไบเบิลพร้อมกับการอธิษฐานเมื่อคิดถึงการนับเวลา ผู้ประกาศบางคนประกาศในเขตที่ผู้คนหนาแน่น ขณะเดียวกันบางคนทำงานในเขตที่มีประชากรน้อยและต้องเดินทางไกล เนื่องจากเขตทำงานต่างกัน ผู้ประกาศจึงอาจมองต่างกันในเรื่องงานรับใช้ คณะกรรมการปกครองไม่ได้กำหนดว่าพี่น้องทั่วโลกจะใช้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอย่างไรในการนับเวลาประกาศ และไม่ได้ตั้งใครให้ตัดสินในเรื่องนี้—มธ. 6:1; 7:1; 1 ทธ. 1:5
29 เวลาที่ใช้ในการประกาศควรรายงานเต็มชั่วโมง ยกเว้นกรณีที่ผู้ประกาศมีข้อจำกัดอย่างมากเนื่องจากอายุมาก ออกไปไหนไม่ได้ ต้องอยู่ในสถานดูแลผู้ป่วย หรือมีความพิการทางกายอื่น ๆ ผู้ประกาศที่อยู่ในสภาพดังกล่าวอาจส่งรายงานการประกาศ 15 นาทีขึ้นไป ถ้าเขาประกาศเพียง 15 นาทีในเดือนนั้นเขาควรส่งรายงานด้วย ควรนับเขาเป็นผู้ประกาศที่ส่งรายงานสม่ำเสมอ การจัดเตรียมนี้ยังใช้กับผู้ประกาศที่มีข้อจำกัดแบบชั่วคราวด้วย บางทีเขาอาจจะไปไหนไม่ได้ราว ๆ หนึ่งเดือนหรือมากกว่านั้นเพราะป่วยหนักหรือได้รับบาดเจ็บ การจัดเตรียมนี้ใช้กับคนที่มีข้อจำกัดอย่างมากเท่านั้น คณะกรรมการการรับใช้ของประชาคมจะตัดสินว่าการจัดเตรียมนี้จะใช้กับผู้ประกาศคนไหนบ้าง
บันทึกผู้ประกาศของประชาคม
30 มีบันทึกรายงานการประกาศแต่ละเดือนของคุณลงในบันทึกผู้ประกาศของประชาคม บันทึกเหล่านี้ไม่ใช่สมบัติส่วนตัว ถ้าคุณวางแผนจะย้ายไปประชาคมอื่น อย่าลืมแจ้งผู้ดูแลในประชาคมของคุณ เลขาธิการจะทำให้แน่ใจว่าบันทึกของคุณถูกส่งไปยังประชาคมใหม่ โดยวิธีนี้ ผู้ดูแลจึงพร้อมต้อนรับและช่วยให้คุณมีความเชื่อที่เข้มแข็งต่อไป ถ้าคุณจะไม่อยู่ในประชาคมน้อยกว่า 3 เดือน ขอให้ส่งรายงานการประกาศไปยังประชาคมเดิมของคุณ
เหตุผลที่เรารายงานการประกาศ
31 บางครั้งคุณลืมส่งรายงานการประกาศของคุณไหม? เราทุกคนจำเป็นต้องได้รับการเตือนเป็นครั้งคราว แต่ถ้าเราปลูกฝังความคิดที่ถูกต้องเรื่องรายงานการประกาศและเข้าใจว่าทำไมการส่งรายงานจึงสำคัญ เราก็จะไม่ลืมส่งรายงานการประกาศ
32 บางคนถามว่า “ถ้าพระยะโฮวารู้ว่าฉันทำงานรับใช้พระองค์อย่างไรบ้าง แล้วทำไมฉันต้องส่งรายงานล่ะ?” จริงอยู่ พระยะโฮวารู้ว่าคุณกำลังทำอะไรและรู้ว่าคุณทำสุดความสามารถหรือทำพอเป็นพิธี แต่ขอให้จำไว้ว่าพระยะโฮวาให้มีการบันทึกจำนวนวันที่โนอาห์อยู่ในเรือและจำนวนปีที่ชาวอิสราเอลร่อนเร่ในที่กันดาร พระเจ้าบันทึกจำนวนคนที่ซื่อสัตย์และคนที่ไม่เชื่อฟังด้วย พระองค์บันทึกเรื่องการพิชิตแผ่นดินคานาอันในแต่ละครั้งรวมทั้งความสำเร็จของพวกผู้วินิจฉัยที่ซื่อสัตย์ของอิสราเอล ใช่แล้ว พระองค์บันทึกรายละเอียดหลายอย่างเกี่ยวกับการกระทำของผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ดลใจให้มีการบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้เราเข้าใจชัดเจนว่าพระองค์คิดอย่างไรในเรื่องการจดบันทึกอย่างถูกต้องเสมอ
33 เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นว่า ประชาชนของพระยะโฮวารายงานและจดบันทึกเรื่องต่าง ๆ อย่างถูกต้องแม่นยำ ในหลายกรณี เรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลจะขาดพลังถ้าไม่มีการบอกจำนวนที่แน่ชัด ขอให้พิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้ ปฐมกาล 46:27; อพยพ 12:37; ผู้วินิจฉัย 7:7; 2 พงศ์กษัตริย์ 19:35; 2 พงศาวดาร 14:9-13; ยอห์น 6:10; 21:11; กิจการ 2:41; 19:19
34 แม้ว่ารายงานการประกาศของเราจะไม่ได้บอกทุกอย่างว่าเราทำอะไรบ้างในการรับใช้พระยะโฮวา แต่ก็เป็นประโยชน์ต่อองค์การของพระองค์ ในสมัยศตวรรษแรก เมื่ออัครสาวกกลับมาจากการประกาศ พวกเขา “รายงานทุกเรื่องที่พวกเขาได้ทำและได้สอน” (มก. 6:30) บางครั้ง รายงานอาจชี้ว่าเราจำเป็นต้องปรับปรุงงานรับใช้บางด้านโดยเฉพาะ ตัวเลขอาจแสดงให้เห็นว่ามีความก้าวหน้าในกิจกรรมบางอย่าง แต่ในด้านอื่น ๆ เช่น การเพิ่มจำนวนผู้ประกาศหรือการเติบโตอาจชะลอลง เป็นไปได้ว่า จำเป็นต้องมีการให้กำลังใจหรืออาจมีปัญหาบางอย่างที่ต้องแก้ไข ผู้ดูแลที่มีหน้าที่รับผิดชอบจะสังเกตดูรายงานและพยายามจะแก้ไขปัญหาที่ขัดขวางความก้าวหน้าของบางคนหรือทั้งประชาคม
35 นอกจากนี้ รายงานยังมีประโยชน์ต่อองค์การในการตัดสินว่าที่ไหนมีความต้องการผู้ประกาศมากขึ้น เขตไหนที่เกิดผลมากกว่า? ที่ไหนไม่ค่อยก้าวหน้า? หนังสือหรือสิ่งพิมพ์แบบไหนบ้างที่ช่วยผู้คนให้เรียนรู้ความจริง? รายงานสามารถช่วยองค์การให้กำหนดแผนการจัดพิมพ์หนังสือที่จำเป็นต่องานประกาศในส่วนต่าง ๆ ของโลก และเตรียมการล่วงหน้าเพื่อจะมีหนังสือที่ใช้ในงานประกาศอย่างเพียงพอ
36 รายงานต่าง ๆ ทำให้เราได้กำลังใจ เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ยินเกี่ยวกับงานประกาศข่าวดีที่พี่น้องกำลังทำอยู่ทั่วโลก รายงานที่แสดงให้เห็นการเพิ่มขึ้นช่วยเราให้เห็นภาพรวมเกี่ยวกับการขยายตัวขององค์การพระยะโฮวา ประสบการณ์ต่าง ๆ ช่วยให้เรามีกำลังใจ มีความกระตือรือร้นมากขึ้น และกระตุ้นเราให้เข้าร่วมในงานประกาศอย่างเต็มที่ยิ่งขึ้น (กจ. 15:3) การที่เราให้ความร่วมมือโดยส่งรายงานการประกาศจึงเป็นเรื่องสำคัญและแสดงให้เห็นว่าเราคำนึงถึงพี่น้องทั่วโลก การทำสิ่งเล็กน้อยนี้แสดงว่าเรายอมรับการจัดเตรียมจากองค์การของพระยะโฮวา—ลก. 16:10; ฮบ. 13:17
การตั้งเป้าหมายส่วนตัว
37 ไม่มีเหตุผลถ้าเราจะเปรียบเทียบงานประกาศของเรากับของคนอื่น (กท. 5:26; 6:4) สภาพการณ์ของแต่ละคนแตกต่างกันมาก ในอีกด้านหนึ่ง เราอาจได้รับประโยชน์มากถ้าเราตั้งเป้าหมายส่วนตัวที่ตรงกับความเป็นจริงซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยวัดความก้าวหน้าในงานรับใช้ของเราเอง การบรรลุเป้าหมายเหล่านี้จะทำให้เรามีความสุขเพราะเราทำงานรับใช้ได้สำเร็จครบถ้วน
38 เห็นได้ชัดว่า พระยะโฮวากำลังเร่งรวบรวมคนที่พระองค์จะปกป้องให้ผ่าน “ความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่” ไปได้ เรามีชีวิตอยู่ในสมัยที่คำพยากรณ์ของอิสยาห์เป็นจริงที่ว่า “คนจำนวนน้อยจะเพิ่มเป็นจำนวนพัน คนตัวเล็กจะกลายเป็นชาติใหญ่ เรายะโฮวาจะเร่งให้สิ่งนี้เกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม” (วว. 7:9, 14; อสย. 60:22) เป็นสิทธิพิเศษจริง ๆ ที่ได้เป็นผู้ประกาศข่าวดีในสมัยสุดท้ายที่วิกฤตินี้—มธ. 24:14