รับใช้อยู่ภายใต้พระหัตถ์ที่เปี่ยมด้วยความรักของพระยะโฮวา
เล่าโดย ลัมโพรส ซูมโพส
ผมเผชิญทางเลือกอันสำคัญยิ่งคือ จะยอมรับข้อเสนอของคุณอาที่ร่ำรวยเพื่อจะเป็นผู้จัดการกิจการอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่โตของเขา—ด้วยวิธีนี้จึงเป็นการแก้ปัญหาการเงินของครอบครัวผม—หรือจะเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาของพระยะโฮวาพระเจ้า. ขอผมอธิบายว่า มีองค์ประกอบอะไรบ้างที่โน้มน้าวให้มีการตัดสินใจอย่างที่ผมได้ทำไปในที่สุด.
ผมเกิดในเมืองโวโลส ประเทศกรีซ ในปี 1919. คุณพ่อผมขายเครื่องแต่งกายชาย และเรามีความมั่งคั่งทางวัตถุ. แต่เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในช่วงปลายทศวรรษปี 1920 คุณพ่อถูกบีบให้ล้มละลายและสูญเสียธุรกิจเครื่องแต่งกายชาย. ผมรู้สึกเสียใจทุกครั้งที่เห็นสีหน้าที่แสดงถึงความสิ้นหวังของคุณพ่อ.
ครอบครัวผมอยู่ด้วยความแร้นแค้นสาหัสระยะหนึ่ง. ทุกวันผมจะเลิกเรียนก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมงเพื่อเข้าคิวรับอาหารปันส่วน. กระนั้น ทั้ง ๆ ที่แร้นแค้น เราก็มีชีวิตครอบครัวที่สงบ. ผมเคยคิดฝันอยากจะเป็นหมอ แต่พออายุสิบห้าก็ต้องเลิกเรียนหนังสือและเริ่มทำงานเพื่อช่วยครอบครัวให้อยู่รอด.
ครั้นแล้ว ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเยอรมันกับอิตาลีเข้ายึดกรีซ และเกิดการขาดแคลนอาหารรุนแรง. ผมมักเห็นเพื่อน ๆ กับคนที่รู้จักมักคุ้นตายอยู่ตามถนนเพราะความหิวโหย—ภาพอันน่าสยดสยองที่ผมจะไม่มีวันลืมเลย! คราวหนึ่ง ครอบครัวเราทนอยู่ถึง 40 วันโดยไม่มีขนมปังซึ่งเป็นอาหารหลักในกรีซ. เพื่อจะอยู่รอด ผมกับพี่ชายไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงและได้มันฝรั่งจากเพื่อนและญาติ ๆ.
การป่วยกลายเป็นพระพร
ตอนต้นปี 1944 ผมป่วยหนักด้วยโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ. ระหว่างสามเดือนที่อยู่ในโรงพยาบาล ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งเอาหนังสือเล่มเล็กสองเล่มมาให้และบอกว่า “อ่านดูสิ ผมแน่ใจว่าคุณจะชอบหนังสือพวกนี้นะ.” หนังสือเล่มเล็กชื่อ ใครเป็นพระเจ้า? และ การคุ้มครอง พิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์. หลังจากอ่าน ผมบอกเรื่องที่มีอยู่ในหนังสือสองเล่มนี้กับผู้ป่วยด้วยกัน.
พอออกจากโรงพยาบาล ผมเริ่มสมทบกับประชาคมโวโลสของพยานพระยะโฮวา. แต่ผมถูกจำกัดให้อยู่แต่ในบ้านในฐานะคนไข้นอกเป็นเวลาหนึ่งเดือน และผมใช้เวลาหกถึงแปดชั่วโมงในวันหนึ่ง ๆ อ่านหอสังเกตการณ์ ฉบับเก่า ๆ รวมทั้งสิ่งพิมพ์อื่น ๆ ที่พิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์. ผลก็คือ ความเติบโตฝ่ายวิญญาณของผมค่อนข้างเร็ว.
รอดตายหวุดหวิด
วันหนึ่งตอนกลางปี 1944 ผมกำลังนั่งบนม้านั่งในสวนสาธารณะในโวโลส. ทันใดนั้น หน่วยรบกึ่งทหารกลุ่มหนึ่งซึ่งสนับสนุนการเข้ายึดของกองทัพเยอรมันได้เข้าล้อมสถานที่นั้นและจับทุกคนที่อยู่ที่นั่น. พวกเราราว 24 คนถูกนำตัวผ่านถนนต่าง ๆ ไปสู่สำนักงานใหญ่ของเกสตาโปซึ่งตั้งอยู่ที่โกดังยาสูบ.
หลังจากไม่กี่นาที ผมได้ยินคนหนึ่งเรียกชื่อผมกับชื่อคนที่ผมคุยกับเขาในสวนสาธารณะ. นายทหารกรีกคนหนึ่งเรียกเราไปพบและบอกเราว่า ตอนที่ญาติผมคนหนึ่งเห็นพวกเราถูกทหารคุมตัวไป ญาติคนนั้นบอกเขาว่าเราเป็นพยานพระยะโฮวา. แล้วนายทหารกรีกบอกว่าเราได้รับการปล่อยให้กลับบ้านได้ และเขาให้บัตรเจ้าหน้าที่ของเขาแก่เราเพื่อจะใช้ในกรณีที่ถูกจับอีก.
วันต่อมาเรารู้ว่าพวกเยอรมันได้ประหารชีวิตคนที่ถูกจับส่วนใหญ่เพื่อเป็นการแก้เผ็ดที่ทหารเยอรมันสองคนถูกฆ่าโดยหน่วยรบองค์การใต้ดินของกรีก. นอกจากความเป็นไปได้ในการถูกช่วยให้รอดตายแล้ว ผมยังเรียนรู้คุณค่าของความเป็นกลางแบบคริสเตียนด้วยในโอกาสนั้น.
ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1944 ผมแสดงเครื่องหมายการอุทิศตัวของผมแด่พระยะโฮวาด้วยการรับบัพติสมาในน้ำ. ระหว่างฤดูร้อนหลังจากนั้น พวกพยานฯได้เตรียมการให้ผมไปสมทบกับประชาคมสกลิโทรบนภูเขา ที่ที่ผมอาจฟื้นสุขภาพได้เต็มที่. เวลานั้นสงครามกลางเมืองซึ่งเกิดขึ้นตามมาหลังสิ้นสุดการยึดครองของเยอรมันก็แพร่ในกรีซอย่างไม่อาจควบคุมได้. บังเอิญหมู่บ้านที่ผมอยู่ถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการแห่งหนึ่งของกำลังรบแบบกองโจร. บาทหลวงคนหนึ่งกับคนชั่วช้าอีกคนหนึ่งกล่าวหาผมว่าเป็นสายลับกองทัพรัฐบาลและให้ผมถูกสอบสวนโดยศาลทหารที่กำลังรบแบบกองโจรตั้งขึ้นเอง.
เมื่อมีการทำทีเป็นพิจารณาคดีหัวหน้ากำลังรบแบบกองโจรในเขตนั้นก็อยู่ที่นั่น. พอผมอธิบายเหตุผลที่ผมอยู่ในหมู่บ้านนี้จบและแสดงให้เห็นว่า ในฐานะคริสเตียน ผมเป็นกลางอย่างเด็ดขาดในสงครามกลางเมือง หัวหน้าคนนั้นได้บอกคนอื่น ๆ ว่า “ถ้าใครทำร้ายคน ๆ นี้ ฉันจะเอาเรื่อง.”
ต่อมา ผมกลับไปบ้านเกิดที่โวโลสด้วยความเชื่อที่เข้มแข็งยิ่งกว่าสุขภาพร่างกายเสียอีก.
ความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ
ไม่นานหลังจากนั้นผมได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้รับใช้แผนกบัญชีในประชาคมท้องถิ่น. แม้มีความลำบากที่สงครามกลางเมืองก่อขึ้น—ซึ่งรวมถึงการจับกุมบ่อยครั้งด้วยข้อกล่าวหาว่าชักชวนให้เปลี่ยนศาสนาซึ่งพวกนักเทศน์นักบวชเป็นผู้ยุยง—การเข้าร่วมในงานรับใช้ฝ่ายคริสเตียนทำให้ผมและคนอื่นในประชาคมของเราเกิดความชื่นชมยินดีมากมาย.
ครั้นแล้ว พอต้นปี 1947 ผู้ดูแลเดินทางของพยานพระยะโฮวาได้มาเยี่ยมเรา. นี่เป็นการเยี่ยมครั้งแรกภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง. คราวนั้นเอง ประชาคมที่เจริญก้าวหน้าของเราในโวโลสได้ถูกแบ่งเป็นสองประชาคม และผมได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลผู้เป็นประธานของหนึ่งในสองประชาคมนั้น. ช่วงเวลานั้นองค์การกำลังรบกึ่งทหารและองค์การชาตินิยมกำลังแพร่ความกลัวท่ามกลางประชาชน. นักเทศน์นักบวชฉวยโอกาสจากสภาพการณ์นั้น. พวกเขาทำให้พวกเจ้าหน้าที่หันมาต่อต้านพยานพระยะโฮวาโดยการแพร่ข่าวลือเท็จว่าเราเป็นคอมมิวนิสต์หรือพวกสนับสนุนกลุ่มซ้ายจัด.
การจับกุมและจำคุก
ระหว่างปี 1947 ผมถูกจับราวสิบครั้งและถูกพิจารณาคดีในศาลสามครั้ง. แต่ละครั้งผมถูกตัดสินให้พ้นโทษ. ในฤดูใบไม้ผลิปี 1948 ผมถูกตัดสินให้จำคุกสี่เดือนเนื่องจากการชักชวนให้เปลี่ยนศาสนา. ผมถูกขังในเรือนจำโวโลส. ระหว่างนั้น จำนวนผู้ประกาศราชอาณาจักรในประชาคมเราเพิ่มเป็นสองเท่า และหัวใจพี่น้องก็เปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดีและความสุข.
ในเดือนตุลาคมปี 1948 ขณะที่ผมกำลังประชุมกับอีกหกคนซึ่งนำหน้าอยู่ในประชาคม ตำรวจห้าคนบุกเข้ามาในบ้านและใช้ปืนจี้จับเราไป. พวกเขานำตัวเราไปสถานีตำรวจโดยไม่ชี้แจงเหตุผลสำหรับการจับกุมนั้น และที่นั่นเราถูกตี. ผมถูกตำรวจคนหนึ่งที่เคยเป็นนักมวยชกซ้ำ ๆ ที่หน้า. แล้วเราก็ถูกโยนเข้าห้องขัง.
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบได้เรียกผมไปที่ห้องทำงานของเขา. พอผมเปิดประตู เขาขว้างขวดหมึกใส่ผม ซึ่งได้พลาดไปโดนผนังทำให้ขวดหมึกแตก. เขาทำอย่างนี้เพื่อพยายามจะขู่ผมให้กลัว. เขายื่นกระดาษกับปากกาให้ผมและสั่งว่า “เขียนชื่อพวกพยานพระยะโฮวาในโวโลสลงไปให้หมด และเอารายชื่อมาให้ฉันตอนเช้า. ถ้าแกไม่เขียน แกก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแก!”
ผมไม่ตอบ แต่เมื่อกลับไปห้องขัง ผมกับพี่น้องคนอื่น ๆ อธิษฐานถึงพระยะโฮวา. ผมเขียนแต่ชื่อผมเท่านั้นบนกระดาษและรอให้เรียกตัว. แต่ผมไม่ได้ยินอะไรอีกจากเจ้าหน้าที่คนนั้น. ระหว่างคืนนั้น กองทหารฝ่ายต่อต้านยกมา และเจ้าหน้าที่คนนั้นนำคนของเขาเข้าต่อสู้. ในการปะทะที่ติดตามมานั้น เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และต้องถูกตัดขาออกข้างหนึ่ง. ในที่สุด มีการพิจารณาคดีของเรา และเราถูกฟ้องด้วยข้อหาจัดการชุมนุมอย่างไม่ถูกกฎหมาย. เราทั้งเจ็ดคนถูกตัดสินให้จำคุกห้าปี.
เนื่องจากผมไม่ยอมเข้าร่วมพิธีมิสซาวันอาทิตย์ในเรือนจำ ผมจึงถูกส่งไปขังเดี่ยว. ในวันที่สาม ผมขอพูดกับพัศดีเรือนจำ. ผมพูดกับเขาว่า “ผมขออนุญาตพูดหน่อยนะครับ ดูเหมือนไม่มีเหตุผลเลยนะครับที่จะลงโทษคนที่เต็มใจถูกจำคุกห้าปีเพราะความเชื่อของเขา.” เขาคิดอย่างจริงจังในเรื่องนี้ และในที่สุดเขาบอกว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้ คุณจะทำงานที่นี่ เคียงข้างผมในห้องทำงานของผม.”
ในที่สุด ผมได้ทำงานเป็นผู้ช่วยแพทย์ในเรือนจำ. ผลก็คือ ผมได้เรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ สิ่งที่เป็นประโยชน์มากทีเดียวในอีกหลายปีให้หลัง. ขณะอยู่ในเรือนจำ ผมมีหลายโอกาสที่จะประกาศ และสามคนได้ตอบรับและได้มาเป็นพยานพระยะโฮวา.
หลังจากถูกจำคุกเกือบสี่ปี ในที่สุดผมก็ถูกปล่อยตัวในปี 1952 โดยมีการคุมประพฤติ. ต่อมา ผมต้องขึ้นศาลในโครินท์ด้วยประเด็นความเป็นกลาง. (ยะซายา 2:4) ที่นั่น ผมถูกคุมขังในเรือนจำทหารไม่นานเท่าไร และการทารุณก็เริ่มอีกรอบ. เจ้าหน้าที่บางคนใช้วิธีขู่แบบใหม่ ๆ โดยพูดว่า “ฉันจะแยกหัวใจแกเป็นชิ้น ๆ ด้วยมีดสั้นนี่” หรือไม่ก็ “อย่าหวังนะว่าจะตายง่าย ๆ ด้วยกระสุนแค่หกนัด.”
การทดลองอีกชนิดหนึ่งที่ต่างออกไป
แต่ไม่นานผมก็ได้กลับบ้าน รับใช้กับประชาคมโวโลสอีกครั้งและทำงานอาชีพแบบไม่เต็มเวลา. วันหนึ่งผมได้รับจดหมายจากสำนักงานสาขาของสมาคมว็อชเทาเวอร์ในเอเธนส์ เชิญผมให้รับการอบรมเป็นเวลาสองสัปดาห์แล้วเริ่มเยี่ยมตามประชาคมต่าง ๆ ของพยานพระยะโฮวาในฐานะผู้ดูแลหมวด. ขณะเดียวกัน คุณอาคนหนึ่งซึ่งไม่มีบุตรและมีกิจการอสังหาริมทรัพย์ใหญ่โตก็ได้ขอผมให้จัดการทรัพย์สินของเขา. ครอบครัวผมยังคงอยู่อย่างฝืดเคืองและงานนี้คงจะแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจของพวกเขาได้.
ผมไปหาคุณอาเพื่อแสดงความขอบคุณสำหรับข้อเสนอของท่าน แต่ผมบอกท่านว่าผมได้ตัดสินใจรับงานมอบหมายพิเศษในงานเผยแพร่ของคริสเตียนแล้ว. ตอนนั้นเองท่านผุดลุกขึ้น จ้องผมอย่างเคร่งขรึมครู่หนึ่ง แล้วจู่ ๆ ก็ออกจากห้องไป. ท่านกลับมาพร้อมกับของกำนัลด้วยใจเอื้อเฟื้อเป็นเงินที่พอจะจุนเจือครอบครัวผมได้หลายเดือนทีเดียว. ท่านบอกว่า “เอาเงินนี้ไป และใช้มันตามที่เธอต้องการ.” จนวันนี้ ผมก็ยังไม่อาจพรรณนาความรู้สึกของผมในตอนนั้นได้. ผมรู้สึกราวกับได้ยินพระสุรเสียงพระยะโฮวาตรัสแก่ผมว่า ‘เจ้าเลือกถูกแล้ว. เราอยู่กับเจ้า.’
ด้วยความเห็นชอบจากครอบครัว ผมจากไปเอเธนส์ในเดือนธันวาคม 1953. ถึงแม้มีแต่คุณแม่เท่านั้นได้มาเป็นพยานฯแต่สมาชิกคนอื่นในครอบครัวผมก็ไม่ได้ต่อต้านการที่ผมทำกิจกรรมคริสเตียน. พอผมไปถึงสำนักงานสาขาในเอเธนส์ สิ่งน่าประหลาดใจอีกสิ่งหนึ่งคอยผมอยู่. มีโทรเลขจากน้องสาวผมบอกว่า การที่คุณพ่อต่อสู้เป็นเวลาสองปีเพื่อให้มีการรับประกันเรื่องเงินสงเคราะห์ด้านสวัสดิการได้บรรลุผลสำเร็จในวันนั้นเอง. ผมจะขออะไรมากกว่านี้อีกล่ะ? ผมรู้สึกราวกับผมมีปีก พร้อมจะบินขึ้นสูงในงานรับใช้พระยะโฮวา!
การใช้ความระมัดระวัง
ในปีแรก ๆ ที่ผมอยู่ในงานหมวด ผมต้องระมัดระวังมากเพราะพยานพระยะโฮวาถูกกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรงจากพวกเจ้าหน้าที่ทางศาสนาและทางการเมือง. เพื่อจะเยี่ยมพี่น้องคริสเตียนของเรา โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในเมืองและหมู่บ้านเล็ก ๆ ผมเดินหลายชั่วโมงตอนกลางคืน. พวกพี่น้องซึ่งเสี่ยงกับการถูกจับได้ชุมนุมกันและรอคอยการมาของผมด้วยความอดทนอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง. การเยี่ยมเหล่านั้นทำให้พวกเราทุกคนได้มีการหนุนกำลังใจซึ่งกันและกันอย่างดียิ่งจริง ๆ!—โรม 1:11, 12.
เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจำได้ บางครั้งผมใช้การปลอมตัว. ครั้งหนึ่ง ผมแต่งตัวเหมือนคนเลี้ยงแกะเพื่อจะผ่านด่านตรวจไปหาพี่น้องที่ชุมนุมกันอยู่ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการบำรุงเลี้ยงฝ่ายวิญญาณอย่างยิ่ง. อีกโอกาสหนึ่ง ในปี 1955 ผมกับเพื่อนพยานฯปลอมตัวเป็นคนขายกระเทียมเพื่อเลี่ยงการเร้าความสงสัยของตำรวจ. งานมอบหมายของเราคือไปพบพี่น้องคริสเตียนบางคนซึ่งเลิกเป็นผู้ประกาศอยู่ใน อาร์กาส ออเรสทีคอน ซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ.
เราแสดงตัวเป็นพ่อค้าในตลาดของเมืองนั้น. แต่ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งซึ่งตรวจตราบริเวณนั้นรู้สึกสงสัย และแต่ละครั้งที่เขาผ่านมา เขาจ้องเราด้วยความสนใจ. ในที่สุด เขาพูดกับผมว่า “คุณดูไม่เหมือนคนขายกระเทียม.” ขณะนั้นเอง หญิงสาวสามคนเข้ามาและแสดงความสนใจจะซื้อกระเทียม. ผมชี้ที่สินค้าของผม ร้องว่า “ตำรวจหนุ่มคนนี้กินกระเทียมอย่างนี้แหละ และดูสิว่าเขาแข็งแรงและหล่อแค่ไหน!” หญิงสามคนนั้นมองตำรวจคนนั้นและหัวเราะ. เขาเองก็ยิ้มแล้วจากไป.
พอเขาไปผมจึงถือโอกาสไปยังร้านที่พี่น้องฝ่ายวิญญาณของเราทำงานเป็นช่างตัดเสื้อ. ผมขอพวกเขาคนหนึ่งให้เย็บกระดุมที่ผมดึงขาดจากเสื้อนอกของผม. ขณะที่เขาทำอยู่ ผมชะโงกเข้าไปและกระซิบว่า “ผมมาจากสำนักงานสาขาเพื่อเยี่ยมคุณ.” ทีแรกพี่น้องเหล่านี้กลัว เนื่องจากเขาไม่ได้ติดต่อกับเพื่อนพยานฯหลายปีแล้ว. ผมให้กำลังใจพวกเขาอย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้และนัดพบเขาหลังจากนั้นในสุสานของเมืองเพื่อพูดคุยกันอีก. น่ายินดี การเยี่ยมนั้นให้กำลังใจและพวกเขากลับมีความกระตือรือร้นแรงกล้าอีกในงานรับใช้ฝ่ายคริสเตียน.
ได้เพื่อนร่วมงานที่ซื่อสัตย์
ในปี 1956 สามปีหลังจากเริ่มงานเดินทาง ผมพบนิกี คริสเตียนสาวผู้ซึ่งรักงานประกาศมากและปรารถนาจะใช้ชีวิตในงานเผยแพร่เต็มเวลา. เรารักกันและแต่งงานกันในเดือนมิถุนายน 1957. ผมไม่แน่ใจว่านิกีจะสามารถรับมือได้หรือไม่กับข้อเรียกร้องจากงานเดินทางภายใต้สภาพการณ์ที่เป็นปฏิปักษ์ซึ่งขณะนั้นมีอย่างแพร่หลายต่อพยานพระยะโฮวาในกรีซ. ด้วยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา เธอรับมือได้ ดังนั้น เธอจึงเป็นผู้หญิงคนแรกที่ร่วมกับสามีในงานหมวดในกรีซ.
เราอยู่ในงานเดินทางด้วยกันต่อไปเป็นเวลาสิบปี รับใช้ประชาคมส่วนใหญ่ในกรีซ. บ่อยครั้ง เราสวมชุดปลอมตัวและถือกระเป๋าเดินทางเดินหลายชั่วโมงตอนกลางคืนเพื่อไปถึงประชาคมหนึ่ง ๆ. แม้ว่าเรามักเผชิญการต่อต้านมากมาย เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นกับตาถึงการเพิ่มพูนที่น่าประทับใจของจำนวนพยานฯ.
การรับใช้ที่เบเธล
ในเดือนมกราคม 1967 นิกีกับผมได้รับเชิญให้รับใช้ที่ เบเธล ชื่อที่ใช้เรียกสำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวา. คำเชิญนั้นทำให้เราทั้งสองประหลาดใจ แต่เราก็รับคำเชิญนั้น มั่นใจว่าพระยะโฮวาทรงนำในเรื่องนี้. ขณะที่เวลาผ่านไป เราได้มาหยั่งรู้ค่าว่าเป็นสิทธิพิเศษอันยิ่งใหญ่จริง ๆ ที่ได้รับใช้ ณ ศูนย์กลางกิจกรรมตามระบอบของพระเจ้า.
สามเดือนหลังจากเราเข้าไปรับใช้ที่เบเธล ฝ่ายทหารได้เข้ายึดอำนาจ และพยานพระยะโฮวาจึงต้องดำเนินงานต่อไปในแบบลับ ๆ ยิ่งขึ้นอีก. เราเริ่มประชุมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ, จัดการประชุมหมวดของเราในป่า, ประกาศอย่างสุขุมรอบคอบ, และพิมพ์และจำหน่ายจ่ายแจกหนังสืออธิบายคัมภีร์ไบเบิลอย่างลับ ๆ. ไม่ยากที่จะปรับตัวเข้ากับสภาพการณ์เหล่านี้ เพราะเราเพียงแต่นำวิธีดำเนินกิจกรรมที่เราเคยใช้เมื่อหลายปีที่แล้วมาใช้อีกเท่านั้นเอง. ทั้ง ๆ ที่มีข้อจำกัด จำนวนพยานฯก็เพิ่มขึ้นจากที่มีไม่ถึง 11,000 คนในปี 1967 เป็นกว่า 17,000 คนในปี 1974.
หลังจากเกือบ 30 ปีในงานรับใช้ที่เบเธล นิกีกับผมยังคงได้รับพระพรฝ่ายวิญญาณต่อไป ถึงแม้มีข้อจำกัดด้านสุขภาพและอายุก็ตาม. เป็นเวลากว่าสิบปีที่เราอยู่ที่อาคารของเบเธลซึ่งตั้งอยู่บนถนนคาร์ทาลีในเอเธนส์. ในปี 1979 มีการอุทิศสาขาใหม่ในมารูซี ในเขตชานเมืองเอเธนส์. แต่นับจากปี 1991 เราก็ได้มีอาคารสำนักงานสาขาใหม่ที่กว้างขวางในเอลีโอนาซึ่งอยู่ห่างออกไปทางเหนือของเอเธนส์ 60 กิโลเมตร. ที่นี่ ผมรับใช้ในแผนกพยาบาลซึ่งการอบรมที่ผมได้รับขณะเป็นผู้ช่วยแพทย์ในเรือนจำนั้นเป็นประโยชน์มากทีเดียว.
ระหว่างสี่สิบกว่าปีที่ผมอยู่ในงานรับใช้เต็มเวลา ผมได้มาตระหนักถึงความเป็นจริงแห่งคำสัญญาของพระยะโฮวาเหมือนกับท่านยิระมะยา ที่ว่า “เขาเหล่านั้นจะรบต่อสู้เจ้า, แต่เขาจะไม่ชนะแก่เจ้า, เพราะเราอยู่ด้วยเจ้าเพื่อจะให้เจ้ารอด, พระยะโฮวาได้ตรัส.” (ยิระมะยา 1:19) ใช่แล้ว นิกีกับผมได้รับถ้วยที่เปี่ยมล้นด้วยพระพรจากพระยะโฮวา. เราปีติยินดีเสมอด้วยความห่วงใยรักใคร่และพระกรุณาอันไม่พึงได้รับของพระองค์.
ผมขอสนับสนุนคนหนุ่มสาวที่อยู่ในองค์การของพระยะโฮวา ให้มุ่งทำงานเผยแพร่เต็มเวลา. ด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะสามารถตอบรับคำเชิญจากพระยะโฮวาที่ให้มาลองดูว่าพระองค์จะทรงทำให้คำสัญญาของพระองค์เป็นจริงหรือไม่ ‘ที่จะเปิดประตูแห่งฟ้าสวรรค์และเทพระพรให้จนเหลือล้น.’ (มาลาคี 3:10) จากประสบการณ์ของผมเอง ผมสามารถรับรองกับคนหนุ่มสาวอย่างพวกคุณได้เลยว่า พระยะโฮวาจะทรงอวยพระพรจริง ๆ แก่คุณทุกคนที่วางใจเต็มที่ในพระองค์ด้วยการทำเช่นนั้น.
[รูปภาพหน้า 26]
ลัมโพรส ซูมโพส กับ นิกี ภรรยาของเขา