ไมเคิล ฟาราเดย์—นักวิทยาศาสตร์และผู้มีความเชื่อ
“บิดาแห่งไฟฟ้า.” “นักวิทยาศาสตร์การทดลองผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกเคยมี.” สองวลีนี้คือคำพรรณนาถึง ไมเคิล ฟาราเดย์ ซึ่งกำเนิดในปี 1791 ในอังกฤษ ผู้ซึ่งการค้นพบของเขาเกี่ยวกับการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าได้นำไปสู่การพัฒนามอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า.
ฟาราเดย์เคยบรรยายอย่างกว้าง ๆ เกี่ยวกับวิชาเคมีและฟิสิกส์ที่สถาบันเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์แห่งอังกฤษในกรุงลอนดอน. คำบรรยายที่เขาคิดขึ้นเพื่อทำให้วิทยาศาสตร์เป็นที่นิยมกันนั้นได้ช่วยคนหนุ่มสาวเข้าใจแนวคิดที่ซับซ้อน. เขาได้รับรางวัลจากมหาวิทยาลัยหลายแห่ง. แต่เขาหลีกเลี่ยงการปรากฏตัว. เขาเป็นคนที่จริงจังมากในเรื่องศาสนา มีความสุขยิ่งในความเป็นส่วนตัวที่อพาร์ตเมนต์ขนาดสามห้องและในการมีครอบครัวและเพื่อนร่วมความเชื่ออยู่ด้วย. ฟาราเดย์เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่เขาพรรณนาว่าเป็น “นิกายหนึ่งของคริสเตียนซึ่งเล็กมากและเป็นที่ดูแคลน เรียกว่า . . . แซนเดเมเนียน.” พวกเขาเป็นใคร? พวกเขาเชื่ออะไร? และความเชื่อของพวกเขาส่งผลกระทบฟาราเดย์อย่างไร?
พวกแซนเดเมเนียน
เจฟฟรีย์ แคนเตอร์ ผู้แต่งหนังสือไมเคิล ฟาราเดย์: พวกแซนเดเมเนียนและนักวิทยาศาสตร์ ให้ขอสังเกตว่า “ความเกี่ยวพันแรก ๆ ระหว่างตระกูลฟาราเดย์กับคริสตจักรแซนเดเมเนียนถูกกำหนดโดยคุณปู่คุณย่าของไมเคิล ฟาราเดย์.” พวกเขาสมทบกับเหล่าสานุศิษย์ของผู้เดินทางเผยแพร่ศาสนาคนหนึ่งซึ่งไม่ได้ดำเนินตามแบบของคริสตจักรใด ซึ่งผู้เผยแพร่ที่มีความคิดเหมือนกันกับเขาต่างสนับสนุนความเชื่อของพวกแซนเดเมเนียน.
โรเบิร์ต แซนเดมัน (1718-1771) เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเอดินบะระ กำลังศึกษาคณิตศาสตร์, ภาษากรีก, และภาษาอื่น ๆ เมื่อวันหนึ่งเขาได้ฟัง จอห์น กลาสส์ นักเทศน์ซึ่งแต่ก่อนขึ้นอยู่กับนิกายเพรสไบทีเรียนสั่งสอน. สิ่งที่เขาได้ฟังทำให้เขาออกจากมหาวิทยาลัย กลับไปบ้านที่เพิร์ท และเข้าร่วมกับกลาสส์กับเพื่อน ๆ ของเขา.
ในทศวรรษปี 1720 จอห์น กลาสส์เริ่มสงสัยคำสอนบางอย่างของคริสตจักรแห่งสกอตแลนด์. การศึกษาพระคำของพระเจ้าทำให้เขาลงความเห็นว่า ชาติยิศราเอลในคัมภีร์ไบเบิลเป็นภาพเล็งถึงชาติฝ่ายวิญญาณซึ่งพลเมืองของชาตินั้นมาจากหลายเชื้อชาติ. เขาไม่พบความถูกต้องตามทำนองคลองธรรมในที่ใดเลยสำหรับการแบ่งแยกให้มีคริสตจักรสำหรับแต่ละชาติ.
เมื่อไม่สบายใจกับคำสอนในคริสตจักรของตนที่ทีลิง ซึ่งอยู่นอกเมืองดันดี สกอตแลนด์ กลาสส์จึงถอนตัวจากคริสตจักรแห่งสกอตแลนด์และจัดการประชุมของเขาขึ้นเอง. มีราวหนึ่งร้อยคนเข้าร่วมกับเขา และตั้งแต่เริ่มต้น พวกเขารู้สึกถึงความจำเป็นต้องรักษาเอกภาพไว้ในหมู่พวกเขา. พวกเขาตัดสินใจทำตามคำแนะนำของพระคริสต์ซึ่งมีบันทึกไว้ที่มัดธายบท 18 ข้อ 15 ถึง 17 เพื่อจัดการกับข้อขัดแย้งใด ๆ ที่พวกเขาอาจมี. ต่อมา พวกเขาจัดการประชุมประจำสัปดาห์ซึ่งผู้ที่มีความเชื่อเหมือนกันมาชุมนุมกันเพื่ออธิษฐานและกระตุ้นเตือนกัน.
เมื่อมีผู้คนจำนวนมากเริ่มเข้าร่วมการประชุมของกลุ่มต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ ก็จำเป็นต้องมีผู้ชายที่รู้จักรับผิดชอบเพื่อดูแลการนมัสการของพวกเขา. แต่ใครล่ะที่มีคุณวุฒิ? จอห์น กลาสส์ กับสหายของเขาเอาใจใส่เป็นพิเศษต่อสิ่งที่อัครสาวกเปาโลจารึกไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้. (1 ติโมเธียว 3:1-7; ติโต 1:5-9) พวกเขาไม่พบคำกล่าวเกี่ยวกับการศึกษาขั้นมหาวิทยาลัยหรือความจำเป็นต้องเข้าใจภาษาฮีบรูหรือภาษากรีก. ดังนั้น หลังจากการใคร่ครวญคำชี้แนะในพระคัมภีร์พร้อมด้วยการอธิษฐานแล้ว พวกเขาจึงแต่งตั้งชายที่มีคุณวุฒิให้เป็นผู้ปกครอง. เหล่าผู้จงรักภักดีต่อคริสตจักรแห่งสกอตแลนด์ถือว่า “เป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า” ที่ชายไร้การศึกษา “ซึ่งถูกเลี้ยงดูมาอย่างต่ำต้อย” มาแสร้งทำเป็นเข้าใจคัมภีร์ไบเบิลและประกาศข่าวสารในคัมภีร์ไบเบิล. พอกลาสส์กับเพื่อนร่วมความเชื่อสร้างหอประชุมของพวกเขาเองขึ้นในปี 1733 ในเมืองเพิร์ท พวกนักเทศน์นักบวชในท้องถิ่นนั้นก็พยายามจะกดดันพวกเจ้าหน้าที่ปกครองส่วนท้องถิ่นให้ขับไล่พวกเขาออกจากเมือง. พวกนักเทศน์นักบวชล้มเหลว และกลุ่มนี้ก็เจริญขึ้น.
โรเบิร์ต แซนเดมัน สมรสกับบุตรีคนโตของกลาสส์ และพอเขาอายุ 26 ก็ได้เป็นผู้ปกครองในประชาคมของพวกผู้ติดตามกลาสส์ในเพิร์ท. หน้าที่รับผิดชอบของเขาในฐานะผู้ปกครองหนักมากจนเขาตัดสินใจอุทิศเวลาทั้งสิ้นเพื่องานบำรุงเลี้ยง. ต่อมา หลังจากภรรยาเขาสิ้นชีวิต หนังสือชีวประวัติโดยสังเขปเล่มหนึ่งให้ข้อสังเกตไว้ว่า โรเบิร์ต “ตกลงใจด้วยความยินดีจะรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าในที่ใดก็ตามที่จำเป็นต้องให้เขาทำงานของประชาคม.”
คำสอนของพวกแซนเดเมเนียนแพร่หลาย
แซนเดมัน ขยายงานเผยแพร่ของเขาออกไปด้วยความกระตือรือร้นแรงกล้าจากสกอตแลนด์เข้าไปในอังกฤษ ที่ซึ่งกลุ่มเพื่อนร่วมความเชื่อกลุ่มใหม่เติบโตขึ้น. เวลานั้นเอง เกิดความขัดแย้งแพร่อยู่ท่ามกลางพวกแคลวินในอังกฤษ. พวกเขาบางคนเชื่อว่าตนถูกกำหนดล่วงหน้าเพื่อความรอด. อีกด้านหนึ่ง แซนเดมันเข้าข้างฝ่ายคนที่ถือว่าจำเป็นต้องมีความเชื่อเพื่อได้ความรอด. เพื่อสนับสนุนทัศนะเช่นนี้ เขาจัดพิมพ์หนังสือซึ่งมีการพิมพ์ซ้ำถึงสี่ครั้งและยังปรากฏในฉบับพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาสองฉบับด้วย. ตามที่เจฟฟรีย์ แคนเตอร์ กล่าว การพิมพ์หนังสือเล่มนี้เป็น “เหตุการณ์สำคัญที่สุดซึ่งทำให้นิกายนี้ [แซนเดเมเนียน] แผ่ขยายออกไปจนเลยขอบเขตที่ในตอนเริ่มต้นนั้นจำกัดอยู่แค่สกอตแลนด์.”
ในปี 1764 แซนเดมัน ซึ่งมีผู้ปกครองคนอื่น ๆ ที่เป็นพวกกลาสส์ร่วมมือด้วยได้เดินทางไปอเมริกา การเยือนซึ่งกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งและการต่อต้านอย่างมาก. กระนั้น การเยือนนั้นก็ยังผลด้วยการจัดตั้งกลุ่มคริสเตียนที่มีความคิดเหมือนกันขึ้นในแดนเบอรี, คอนเนกติกัต.a แซนเดมันสิ้นชีวิตที่นั่นในปี 1771.
ความเชื่อทางศาสนาของฟาราเดย์
หนุ่มไมเคิลรับเอาคำสอนของพวกแซนเดเมเนียนจากบิดามารดาของเขา. เขาได้เรียนรู้ว่าพวกแซนเดเมเนียนแยกตัวต่างหากจากคนเหล่านั้นที่ไม่ปฏิบัติสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลสอน. ยกตัวอย่าง พวกเขาไม่ยอมเข้าร่วมพิธีสมรสในโบสถ์ของพวกแองกลิคัน โดยยินดีจะจำกัดพิธีสมรสของตนไว้แค่ตามที่กฎหมายเรียกร้องมากกว่า.
การอยู่ใต้อำนาจรัฐบาล แต่ก็เป็นกลางในเรื่องการเมืองเป็นลักษณะเฉพาะของพวกแซนเดเมเนียน. แม้จะเป็นสมาชิกที่ได้รับความนับถือของชุมชน แต่พวกเขาไม่ค่อยจะมีใครยอมรับตำแหน่งทางพลเรือน. แต่ในบางกรณีที่พวกเขายอมรับตำแหน่ง พวกเขาก็หลีกเลี่ยงการเข้าพรรคการเมือง. การรักษาฐานะเช่นนี้ทำให้พวกเขาถูกตำหนิติเตียน. (เทียบกับโยฮัน 17:14.) พวกแซนเดเมเนียนถือว่าราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ของพระเจ้าเป็นการจัดเตรียมที่สมบูรณ์พร้อมเรื่องรัฐบาล. แคนเตอร์ให้ข้อสังเกตว่า พวกเขามองดูเรื่องการเมืองเป็นเหมือน “เกมสกปรกไร้สาระที่สูญสิ้นศีลธรรม.”
ถึงแม้แยกต่างหากจากคนอื่น ๆ พวกเขาไม่ได้รับเอาเจตคติแบบฟาริซาย. พวกเขาแถลงดังนี้: “พวกเราตัดสินว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงน้ำใจและกิจปฏิบัติของพวกฟาริซายโบราณ เราจึงหลีกเว้นการกำหนดบาปหรือหน้าที่ต่าง ๆ มากเกินกว่าที่พระคัมภีร์ได้กำหนด และการเอาประเพณีของมนุษย์หรือการหาเหตุหลีกเลี่ยงมาทำให้หลักการของพระเจ้าไม่มีผลบังคับ.”
พวกเขารับเอาการปฏิบัติตามหลักพระคัมภีร์ในเรื่องการตัดสัมพันธ์สมาชิกคนใดก็ตามที่กลายเป็นคนขี้เมา, คนฉ้อโกง, คนผิดประเวณี, หรือคนทำบาปร้ายแรงประการอื่น ๆ. หากผู้ทำบาปกลับใจอย่างแท้จริง พวกเขาก็พยายามช่วยคนนั้นกลับมา. มิฉะนั้น พวกเขาก็ปฏิบัติตามคำสั่งในพระคัมภีร์ที่ให้ “ขับไล่คนชั่วนั้นออกเสีย.”—1 โกรินโธ 5:5, 11, 13.
พวกแซนเดเมเนียนเชื่อฟังคำสั่งในคัมภีร์ไบเบิลที่ให้ละเว้นจากเลือด. (กิจการ 15:29) จอห์น กลาสส์ ให้เหตุผลว่า ไพร่พลของพระเจ้าอยู่ใต้พันธะจะเชื่อฟังข้อห้ามเรื่องเลือดเหมือนที่พระเจ้าได้ทรงบัญชามนุษย์รุ่นแรก ๆ ให้ละเว้นจากการกินผลจากต้นไม้ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับความดีและชั่ว. (เยเนซิศ 2:16, 17) การไม่เชื่อฟังพระบัญชาเกี่ยวกับเลือดก็เท่ากับการปฏิเสธการใช้พระโลหิตของพระคริสต์อย่างถูกต้อง นั่นคือเพื่อไถ่ถอนบาป. กลาสส์สรุปดังนี้: “ข้อห้ามการรับประทานเลือดเป็นและยังคงเป็นข้อห้ามสำคัญที่สุดเสมอมา.”
การที่พวกแซนเดเมเนียนหาเหตุผลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ช่วยพวกเขาให้หลีกเลี่ยงหลุมพรางมากมาย. ยกตัวอย่าง ในเรื่องการบันเทิง พวกเขาพึ่งคำแนะนำของพระคริสต์เป็นเครื่องชี้นำ. พวกเขาบอกว่า “เราไม่กล้าตั้งกฎหมายที่พระคริสต์ไม่ได้ตั้ง และไม่ลบล้างกฎหมายที่พระองค์ทรงประทานแก่เรา. ฉะนั้น เมื่อเราไม่อาจพบได้ว่า มีการห้าม การบันเทิง ไม่ว่าส่วนรวมหรือส่วนตัว เราถือว่าการบันเทิงไม่ว่าแบบใดนั้นชอบด้วยกฎหมาย ตราบที่การบันเทิงนั้นไม่พัวพันกับสถานการณ์ที่ผิดบาปอย่างแท้จริง.”
ถึงแม้ด้วยวิธีนั้น พวกแซนเดเมเนียนได้ยึดถือทัศนะหลายประการที่อาศัยพระคัมภีร์อย่างถูกต้องก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจความสำคัญของกิจกรรมโดยเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของคริสเตียนแท้ นั่นคือ แต่ละคนควรประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรแก่คนอื่น ๆ. (มัดธาย 24:14) กระนั้น การประชุมของพวกเขาก็เปิดให้ทุกคนเข้าร่วมได้ และที่นั่น พวกเขาพยายามให้เหตุผลสำหรับความหวังของเขาแก่ทุกคนที่ถาม.—1 เปโตร 3:15.
ความเชื่อแบบนี้ส่งผลกระทบอย่างไรต่อนักวิทยาศาสตร์อย่างไมเคิล ฟาราเดย์?
ฟาราเดย์ ผู้เป็นแซนเดเมเนียน
แม้ได้รับการยกย่องและมีการจัดงานเลี้ยงเพื่อเป็นเกียรติอย่างสูงส่งสำหรับการค้นพบอันทรงคุณค่าโดดเด่นของเขา แต่ไมเคิล ฟาราเดย์ก็ดำรงชีวิตอย่างเรียบง่าย. เมื่อผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเสียชีวิตและมีการคาดหมายให้ผู้คนทั่วไปเข้าร่วมพิธีฝังศพของเขา ฟาราเดย์เป็นผู้ที่ขึ้นชื่อว่าไม่เข้าร่วม สติรู้สึกผิดชอบของเขาไม่ยอมให้เขาเข้าร่วมหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวในพิธีศาสนาของคริสตจักรแห่งอังกฤษ.
ในฐานะนักวิทยาศาสตร์ ฟาราเดย์ยึดมั่นกับสิ่งที่เขาสามารถแสดงให้เห็นว่าเป็นข้อเท็จจริง. ดังนั้น เขาจึงหลีกเลี่ยงการคบหาสมาคมใกล้ชิดกับผู้คงแก่เรียนซึ่งส่งเสริมข้อสมมุติฐานของตนเองและเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในประเด็นต่าง ๆ. ดังที่เขาเคยบอกผู้ฟังว่า ‘ข้อเท็จจริงพื้นฐานไม่มีวันทำให้เราผิดหวังคือ หลักฐานเป็นความจริงเสมอ.’ เขาพรรณนาวิทยาศาสตร์ว่าเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับ ‘ข้อเท็จจริงที่มีการสังเกตอย่างรอบคอบแล้ว.’ เมื่อสรุปการบรรยายครั้งหนึ่งเกี่ยวกับพลังพื้นฐานของธรรมชาติ ฟาราเดย์สนับสนุนผู้ฟังให้ใคร่ครวญเกี่ยวกับ “พระองค์ผู้ทรงสร้างสิ่งเหล่านั้น.” ครั้นแล้ว เขายกคำกล่าวของคริสเตียนอัครสาวกเปาโลขึ้นมาที่ว่า “อาการของพระเจ้าซึ่งเห็นไม่ได้นั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและสัมภวะของพระองค์, ก็ทรงปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างนั้นตั้งแต่แรกสร้างโลก.”—โรม 1:20.
สิ่งที่ทำให้ฟาราเดย์แตกต่างไปจากนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ มากมายนั้นคือการที่เขาปรารถนาจะเรียนรู้จากหนังสือที่มีขึ้นด้วยการดลใจจากพระเจ้า เช่นเดียวกับจากหนังสือธรรมชาติด้วย. แคนเตอร์ให้ข้อสังเกตว่า “โดยคำสอนของพวกแซนเดเมเนียน เขาค้นพบวิธีดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อฟังกฎหมายทางศีลธรรมและคำสัญญาเรื่องชีวิตนิรันดร โดยหลักวิทยาศาสตร์ของเขา เขาได้เข้ามาสัมผัสใกล้ชิดกับกฎทางฟิสิกส์ที่พระเจ้าทรงเลือกใช้ควบคุมเอกภพ.” ฟาราเดย์เชื่อว่า “ความน่าเชื่อถือโดยครบถ้วนของคัมภีร์ไบเบิลไม่อาจถูกบ่อนทำลายโดยวิทยาศาสตร์ แต่วิทยาศาสตร์ หากดำเนินการด้วยวิถีทางคริสเตียนอย่างแท้จริง จะสามารถให้ความกระจ่างแก่หนังสืออีกเล่มหนึ่งของพระเจ้าได้.”
ด้วยความถ่อมใจ ฟาราเดย์ปฏิเสธเกียรติยศหลายอย่างที่คนอื่น ๆ ต้องการมอบให้เขา. เขาแสดงออกอย่างเสมอต้นเสมอปลายว่าไม่สนใจในตำแหน่งอัศวินอันทรงเกียรติ. เขาอยากจะเป็นแค่ ‘นายฟาราเดย์คนธรรมดา ๆ’ อยู่เรื่อยไป. เขาอุทิศเวลามากมายแก่กิจกรรมของเขาในฐานะผู้ปกครอง ซึ่งรวมถึงการเดินทางเป็นประจำจากนครหลวงไปยังหมู่บ้านนอร์ฟอล์กเพื่อดูแลกลุ่มผู้มีความเชื่อกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งมีความคิดเหมือนกันที่อยู่ที่นั่น.
ไมเคิล ฟาราเดย์สิ้นชีวิตเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 1867 และถูกฝังไว้ในสุสานไฮเกตซึ่งอยู่ทางเหนือของกรุงลอนดอน. จอห์น โทมัส นักเขียนชีวประวัติบอกเราว่า ฟาราเดย์ “ได้ละผลสำเร็จของวิทยาศาสตร์แท้ไว้ให้คนรุ่นหลังมากยิ่งกว่านักวิทยาศาสตร์ด้านฟิสิกส์คนอื่นใด และผลที่ใช้ได้จริงจากการค้นพบของเขาได้ส่งผลกระทบลึกซึ้งต่อลักษณะการดำเนินชีวิตที่เจริญแล้ว.” ซาราห์ ภรรยาม่ายของฟาราเดย์ เขียนไว้ว่า “ดิฉันชี้ให้ดูได้แต่พันธสัญญาใหม่เท่านั้นว่าเป็นเครื่องชี้แนะและมาตรฐาน ของเขา; เพราะเขาถือว่าพันธสัญญาใหม่เป็นพระคำของพระเจ้า . . . ผูกมัดคริสเตียนในสมัยปัจจุบันพอ ๆ กับในสมัยที่มีการจารึก” นี่คือคำพยานที่น่าประทับใจสำหรับนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงซึ่งดำเนินชีวิตด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเนื่องด้วยความเชื่อของเขา.
[เชิงอรรถ]
a พวกแซนเดเมเนียนหรือกลุ่มของกลาสส์พวกสุดท้ายที่ยังอยู่ในสหรัฐได้เลิกไปเมื่อราว ๆ ต้นศตวรรษที่ยี่สิบ.
[กรอบหน้า 29]
เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บรรยายที่สถาบันเผยแพร่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์แห่งอังกฤษไมเคิล ฟาราเดย์ทำให้วิทยาศาสตร์เป็นที่นิยมด้วยวิธีที่แม้แต่เด็ก ๆ ก็เข้าใจได้. คำแนะนำที่เขาให้กับเพื่อนผู้บรรยายนั้นมีข้อแนะที่ใช้ได้ผลจริงซึ่งคริสเตียนสมัยปัจจุบันที่สอนในที่สาธารณะจำต้องพิจารณา.
▫ “ไม่ควรพูดเร็วและรีบพูด และยังผลให้ไม่อาจเข้าใจได้ แต่พูดให้ช้าและใคร่ครวญอย่างรอบคอบ.”
▫ ผู้บรรยายควรพยายามทำให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ “ณ ตอนเริ่มต้นคำบรรยายและโดยลำดับเรื่องราวอย่างที่ผู้ฟังไม่ทันสังเกต ให้คงความสนใจของผู้ฟังเอาไว้ตราบเท่าที่หัวเรื่องกำหนด.”
▫ “ผู้บรรยายสูญเสียลักษณะสง่าผ่าเผยเมื่อเขาใช้คำพูดแปลก ๆ เพื่อเรียกเสียงปรบมือและขอคำชม.”
▫ ในการใช้โครงเรื่อง: “ข้าพเจ้าคิดว่าตนเองมีพันธะ . . . จะเขียนโครง [เรื่องนั้น] ขึ้นและพูดให้ครบโดยระลึกถึงเรื่องเหล่านั้น ทั้งโดยการผูกโยงเข้าด้วยกัน หรือด้วยวิธีอื่น ๆ. . . . ข้าพเจ้ามีทั้งชุดหัวเรื่องหลักและหัวเรื่องย่อยตามลำดับ และจากหัวเรื่องเหล่านี้ ข้าพเจ้าทำให้เรื่องที่ข้าพเจ้าพูดนั้นสำเร็จ.”
[ที่มาของภาพหน้า 26]
Both pictures: By courtesy of the Royal Institution