กลับเป็นผงคลี—โดยวิธีใด?
“เจ้าเป็นแต่ผงคลีดิน, และจะต้องกลับเป็นผงคลีดินอีก.” เมื่ออาดามมนุษย์คนแรกได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ เขารู้ว่าจะคาดหมายอะไร. เขาถูกสร้างขึ้นมาจากผงคลีและจะกลับไปเป็นอะไรอื่นไม่ได้ นอกจากผงคลี. เขาจะตายเพราะเขาไม่ได้เชื่อฟังพระยะโฮวาพระจ้า ผู้ได้ทรงสร้างตัวเขา.—เยเนซิศ 2:7, 15-17; 3:17-19.
คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ถูกสร้างด้วยผงคลี ซ้ำบอกอีกด้วยว่า “จิตต์วิญญาณที่ได้ทำบาป, จิตต์วิญญาณนั้นจะตายเอง.” (ยะเอศเคล 18:4; บทเพลงสรรเสริญ 103:14) ความตายยังความโศกเศร้ามาสู่หลายล้านคน และก่อให้เกิดคำถามขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าเกี่ยวกับวิธีจัดการกับศพ.
กิจปฏิบัติทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ไพร่พลของพระเจ้าคราวโบราณเคยจัดการกับศพอย่างไร? คัมภีร์ไบเบิลได้กล่าวไว้ในตอนต้นว่าด้วยวิธีต่าง ๆ เกี่ยวกับการจัดการกับศพ รวมทั้งการฝังศพด้วย. (เยเนซิศ 35:8) อับราฮาม ปฐมบุรุษและซารา ภรรยาของท่าน รวมทั้งยิศฮาคบุตรชายและยาโคบหลานชายก็ถูกฝังไว้ในถ้ำมักเพลา. (เยเนซิศ 23:2, 19; 25:9; 49:30, 31; 50:13) ศพผู้วินิจฉัยชาวยิศราเอล เช่น ฆิดโอน และซิมโซนถูกนำไปฝัง ณ ‘ที่ฝังศพบิดาของท่าน.’ (วินิจฉัย 8:32; 16:31) ทั้งนี้ชวนให้นึกถึงความนิยมท่ามกลางไพร่พลของพระเจ้าในสมัยโบราณที่จะมีสถานฝังศพเฉพาะสำหรับครอบครัว. เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ในศตวรรษแรก พระศพของพระองค์ได้ถูกนำไปเก็บไว้ในอุโมงค์ซึ่งเพิ่งสกัดใหม่ ๆ. (มัดธาย 27:57-60) ดังนั้นแล้ว โดยทั่วไปมีการฝังศพในดิน หรือบรรจุศพไว้ในอุโมงค์. กิจปฏิบัติแบบนี้ยังคงมีอยู่ในดินแดนส่วนใหญ่รอบโลก.
อย่างไรก็ดี ทุกวันนี้ในภูมิภาคบางส่วนของโลก ที่ดินหายากและมีราคาแพง การจะได้บริเวณพื้นที่ใช้เป็นสุสานจึงหาได้ยากยิ่งขึ้น. ด้วยเหตุนี้ บางคนจึงคิดหาแนวทางอื่นเพื่อปลงศพ.
การโปรยอังคารหลังฌาปนกิจกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดามากขึ้น. เวลานี้ในประเทศอังกฤษ มีการปลงศพด้วยวิธีดังกล่าว ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์. แถบชานเมืองในประเทศสวีเดนซึ่งมีการใช้วิธีเผาศพมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ มีการกำหนดพื้นที่ป่าไม้บางแห่งให้เป็นที่โปรยอังคาร. และที่นครเซี่ยงไฮ้และอีกสองสามเมืองตามชายฝั่งทะเล ทางหน่วยราชการบริหารท้องถิ่นเป็นฝ่ายดำเนินการโปรยอังคารลงในทะเล ปีหนึ่ง ๆ หลายครั้ง.
จะโปรยอังคารที่ไหนดี? ไม่ใช่ตรงไหนก็ได้. บางคนเกรงว่าผงเถ้าที่กระจายไปทั่วนั้นจะเป็นอันตรายต่อสภาพแวดล้อม. แต่จริง ๆ แล้ว หลังจากเผาศพเสร็จไปแล้ว โอกาสจะเสี่ยงกับการเกิดโรคระบาดนั้นย่อมไม่มี. สุสานบางแห่งในประเทศอังกฤษและสุสานในประเทศสหรัฐมักจะจัดบริเวณทำเป็นสนามหญ้าหรือสวนดอกไม้ให้เป็นที่สำหรับโปรยอังคาร. แน่นอน คริสเตียนจะคำนึงถึงทัศนะของพระคัมภีร์เกี่ยวกับเผาศพและการโปรยอังคาร.
ทัศนะทางด้านพระคัมภีร์เป็นเช่นไรต่อเรื่องนี้?
เมื่อแถลงคำตัดสินลงโทษ “กษัตริย์ประเทศบาบูโลน” ผู้พยากรณ์ยะซายากล่าวดังนี้: “ศพตัวเจ้าก็ถูกทอดทิ้งไว้ห่างไกลจากอุโมงค์.” (ยะซายา 14:4, 19) การโปรยอังคารเมื่อเทียบกับกรณีดังกล่าวจะถือว่าเป็นการเสื่อมเสียศักดิ์ศรีไหม? หามิได้ เพราะในคัมภีร์ข้อนั้นไม่มีการกล่าวพาดพิงถึงการฌาปนกิจและการเก็บรักษาหรือการโปรยอังคาร.
พระเยซูคริสต์ทรงกล่าวถึงการปลุกคนตายให้มีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงรัชสมัยพันปีของพระองค์เมื่อตรัสดังนี้: “บรรดาผู้ซึ่งอยู่ในอุโมงค์รำลึกจะได้ยินสุรเสียงของ [เรา] และจะออกมา.” (โยฮัน 5:28, 29, ล.ม.) อย่างไรก็ดี ไม่จำเป็นต้องมีหลุมฝังศพเฉพาะแห่งเพื่อจะปลุกคนตาย ดังเห็นได้จากคำพรรณนาเชิงพยากรณ์อีกข้อหนึ่งในเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย. วิวรณ์ 20:13 (ล.ม.) แถลงว่า “ทะเลได้มอบคนตายที่อยู่ในนั้น และความตายและฮาเดสได้มอบคนตายที่อยู่ในนั้น.” ดังนั้น ประเด็นจึงหาใช่อยู่ที่ว่าคน ๆ นั้น ‘กลับเป็นผงคลี’ ที่ไหนหรือโดยวิธีใด. แต่อยู่ที่ว่า เขาเป็นบุคคลซึ่งพระเจ้าทรงระลึกถึงและจะทรงปลุกให้เป็นขึ้นจากตายหรือไม่. (โยบ 14:13-15; เทียบกับลูกา 23:42, 43.) พระยะโฮวาไม่จำเป็นต้องอาศัยที่ฝังศพซึ่งให้ความประทับใจเพื่อพระองค์จะจำผู้คนได้. การเผาศพจะไม่ขัดขวางการกลับเป็นขึ้นจากตายของผู้ใด. และถ้าการโปรยอังคารได้กระทำไปพร้อมกับเจตคติที่ถูกต้องสมควรและไม่เป็นพิธีทางศาสนาเท็จ การกระทำดังกล่าวย่อมไม่ขัดกับหลักการพระคัมภีร์.
ผู้ที่ตัดสินใจจะใช้วิธีโปรยอังคารก็ต้องคำนึงถึงกฎหมายของประเทศนั้น. อนึ่ง คงจะเป็นการเหมาะสมด้วยที่จะคำนึงถึงความรู้สึกของผู้ที่โศกเศร้าอาลัยและของผู้อื่น. คงจะดีหากผู้รับใช้ของพระยะโฮวากระทำด้วยความรอบคอบเพื่อว่าการที่เขาใช้เสรีภาพตามหลักพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่นำความเสื่อมเสียมาสู่ชื่อเสียงดีของคริสเตียน. เรื่องนี้สำคัญเป็นพิเศษในประเทศซึ่งยอมให้ทำการฌาปนกิจและโปรยอังคารได้ตามกฎหมาย แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับในชุมชนนั้นอย่างจริงจัง. แน่นอน คริสเตียนจะละเว้นพิธีหรือธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ที่ยึดถือตามความเชื่อเรื่องจิตวิญญาณของมนุษย์เป็นอมตะ.
ไม่มีความจำเป็นต้องฝังเสมอไป
ผู้สนับสนุนการโปรยอังคารบอกว่าไม่ต้องพะวงเรื่องการที่จะมีการฝังศพ. อย่างไรก็ตาม การนำมาซึ่งการปลดเปลื้องที่สำคัญยิ่งจะมีขึ้นเมื่อคำสัญญาในคัมภีร์ไบเบิลจะสำเร็จสมจริงที่ว่า “ในฐานะเป็นศัตรูสุดท้าย ความตายจะถูกปราบให้สิ้น.”—1 โกรินโธ 15:24-28, ล.ม.
ทั้งนี้หมายความว่า หลุมฝังศพ, อุโมงค์ฝังศพ, แม้แต่การเผาศพและการโปรยอังคารจะกลายเป็นเรื่องของอดีต. ใช่แล้ว ความตายจะไม่มีอีกต่อไป. อัครสาวกโยฮันได้บันทึกภายใต้การดลใจว่า “ข้าพเจ้าได้ยินเสียงอันดังจากราชบัลลังก์ตรัสว่า ‘นี่แน่ะ! พลับพลาของพระเจ้าอยู่กับมนุษยชาติ และพระองค์จะสถิตกับเขา และพวกเขาจะเป็นชนชาติต่าง ๆ ของพระองค์. และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับเขา. และพระองค์จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของพวกเขา และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ทั้งความทุกข์โศกหรือเสียงร้องหรือความเจ็บปวดจะไม่มีอีกเลย. สิ่งที่เคยมีอยู่เดิมนั้นผ่านพ้นไปแล้ว.’”—วิวรณ์ 21:3, 4, ล.ม.
สารพัดสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อภายใต้ราชอาณาจักรของพระเจ้า ความตายของมนุษย์อันสืบเนื่องจากบาปของอาดามถูกกำจัดให้หมดสิ้น. และตอนนั้น มนุษยชาติที่เชื่อฟังจะไม่ต้องประสบความคาดหวังที่จะกลับคืนเป็นผงคลีอีก.
[รูปภาพหน้า 29]
วิธีจัดการโดยทั่วไปหลังการปลงศพ
[รูปภาพหน้า 31]
การโปรยอังคารในอ่าวซากามิ ประเทศญี่ปุ่น
[ที่มาของภาพหน้า 31]
Courtesy of Koueisha, Tokyo