ฉันเรียนรู้ความจริงในโรมาเนีย
เล่าโดยโกลดี โรโมเชียน
ปี 1970 เป็นครั้งแรกในช่วงเกือบ 50 ปีที่ฉันได้ไปเยี่ยมญาติในประเทศโรมาเนีย. ผู้คนอยู่ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์ที่กดขี่ และมีคนเตือนฉันเสมอให้คอย ระมัดระวังเกี่ยวด้วยสิ่งที่ฉันพูด. ครั้นแล้ว ขณะที่ฉันยืนอยู่ ณ ที่ทำการของรัฐ ที่หมู่บ้านชนบทของเรา เจ้าหน้าที่ได้เตือนฉันให้รีบออกจากประเทศโดยด่วน. ก่อนฉันจะชี้แจงว่าทำไมเป็นเช่นนั้น ขอให้ฉันเล่าเรื่องที่ฉันมาเรียนรู้ ความจริงของคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างไรในโรมาเนีย.
ฉันเกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 1903 ณ หมู่บ้านออร์เทเลค ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโรมาเนีย ใกล้เมืองซาเลา. ถิ่นที่อาศัยของเราเป็นภูมิประเทศอันสวยงาม. น้ำสะอาด, อากาศบริสุทธิ์. เราได้อาหารโดยการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์และไม่ขาดสิ่งใดฝ่ายวัตถุ. สมัยฉันเป็นเด็ก ประเทศของเรามีความสงบร่มเย็น.
ผู้คนเคร่งศาสนามาก. ที่จริง ครอบครัวของเรานับถือสามศาสนาต่างกัน. คุณย่านับถือนิกายคาทอลิกคริสตจักรออร์โทด็อกซ์ คุณยายสังกัดนิกายแอดเวนติสต์ ส่วนพ่อแม่กลับนับถือนิกายแบพติสต์. เนื่องจากฉันไม่เห็นพ้องกับนิกายใดนิกายหนึ่งเหล่านั้น ครอบครัวจึงพูดกันว่าฉันคงกลายเป็นคนไม่เชื่อในพระเจ้า. ฉันเคยคิดว่า ‘ถ้าพระเจ้ามีองค์เดียว ก็น่าจะมีเพียงศาสนาเดียว—ไม่ใช่มีสามศาสนาในครอบครัวเดียว.’
สิ่งที่ฉันรู้เห็นในศาสนาทำให้ฉันไม่สบายใจ. อย่างเช่น บาทหลวงออกเยี่ยมตามบ้านเพื่อเก็บเงินค่าสมาชิกโบสถ์. เมื่อใดคนไม่มีเงินให้ บาทหลวงก็ริบผ้าห่มสักหลาดอย่างดีที่สุดแทนเงิน. ในโบสถ์คาทอลิก ฉันสังเกตดูยายคุกเข่าอธิษฐานตรงหน้ารูปมาเรีย. ฉันนึกฉงนว่า ‘ทำไมอธิษฐานขอต่อรูปภาพ?’
ช่วงเวลาที่ยากลำบาก
ปี 1912 คุณพ่อเดินทางไปทำงานที่ประเทศสหรัฐเพื่อได้เงินปลดเปลื้องหนี้สิน. หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดสงคราม และพวกผู้ชายในหมู่บ้านของเราออกไปรบ พวกที่เหลืออยู่ในหมู่บ้านจึงมีเพียงพวกผู้หญิง, เด็ก, และผู้ชายที่ชราภาพ. บ้านชนบทของเราอยู่ใต้อำนาจปกครองของฮังการีระยะหนึ่ง แต่แล้วทหารโรมาเนียยกพลกลับและยึดหมู่บ้านคืนมาได้. เขาสั่งพวกเราให้ออกจากหมู่บ้านทันที. อย่างไรก็ตาม ด้วยอารามเร่งออกเดินทางและโกลาหลวุ่นวายกับการเก็บข้าวของและหอบหิ้วน้องเล็ก ๆ ใส่เกวียนเทียมวัว ฉันจึงถูกละไว้เบื้องหลัง. คุณย่อมเข้าใจได้ ฉันเป็นลูกคนโตในจำนวนพี่น้องห้าคน.
ฉันวิ่งไปหาเพื่อนบ้าน ชายชราซึ่งไม่ยอมอพยพไป และเขาพูดกับฉันว่า “เข้าบ้านเถอะ. ปิดประตูใส่กุญแจให้ดี อย่ายอมให้ใครเข้าไป.” ฉันทำตามโดยเร็ว. หลังจากฉันได้กินซุปไก่และกะหล่ำปลียัดไส้ซึ่งเขาทิ้งไว้เมื่อจากไปอย่างเร่งรีบ แล้วฉันคุกเข่าลงข้างเตียงและอธิษฐาน. ชั่วประเดี๋ยวเดียว ฉันก็หลับสนิท.
เมื่อฉันตื่นลืมตาขึ้น ก็เป็นกลางวันแล้ว และฉันกล่าวว่า “โอ พระเจ้า! ขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่!” กระสุนเจาะผนังบ้านพรุนไปหมด เพราะได้มีการยิงต่อสู้กันตลอดคืน. เมื่อคุณแม่รู้ว่าฉันไม่ได้มาที่ชนบทถัดไปพร้อมกับคนอื่น ๆ คุณแม่จึงส่งเด็กหนุ่มชื่อจอร์จ โรโมเชียน กลับไปตามหาฉันจนพบและพาฉันกลับมาอยู่ร่วมกับครอบครัว. ไม่นานเท่าไร แล้วเราก็ได้กลับมาอยู่บ้านชนบทเดิมของเราอีกครั้งหนึ่ง.
ความกระหายของฉัน ที่อยากรู้ความจริงของคัมภีร์ไบเบิล
คุณแม่อยากให้ฉันรับบัพติสมาเป็นแบพติสต์ แต่ฉันไม่ต้องการทำเช่นนั้นเพราะฉันไม่เชื่อว่าพระเจ้าองค์เปี่ยมด้วยความรักจะทรมานมนุษย์ในไฟนรกตลอดกาลนาน. ด้วยความพยายามจะชี้แจง คุณแม่บอกว่า “เอาละ ถ้าผู้คนชั่วช้าล่ะ.” แต่ฉันตอบว่า “ถ้าเขาชั่วจริง ก็ทำลายให้หมดไปเลย แต่อย่าทรมานเขา. ฉันจะไม่ทรมานแม้แต่สุนัขหรือแมว.”
ฉันจำได้ว่า วันหนึ่งอากาศแจ่มใสในฤดูใบไม้ผลิ ตอนนั้นฉันอายุ 14 ปี คุณแม่ให้ฉันนำแม่โคออกไปกินหญ้าที่ทุ่ง. ขณะฉันนอนอยู่บนพื้นหญ้าริมฝั่งน้ำ มีป่าไม้เป็นฉากหลัง ฉันมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและพูดว่า “โอ้พระเจ้า ข้าพเจ้าทราบดีว่าพระองค์สถิตที่นั่น แต่ข้าพเจ้าไม่ศรัทธาศาสนาเหล่านี้ไม่ว่านิกายใด ๆ. พระองค์ย่อมต้องมีศาสนาที่ดีเพียงศาสนาเดียว.”
ฉันเชื่ออย่างแท้จริงว่าพระเจ้าได้สดับคำอธิษฐานของฉัน เพราะฤดูร้อนปี 1917 นั้นเอง มีนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลสองคน (ชื่อที่เรียกพยานพระยะโฮวาสมัยนั้น) ได้เดินทางมาถึงหมู่บ้านของเรา. คนทั้งสองคือไพโอเนียร์ หรือผู้เผยแพร่เต็มเวลา เขาตรงไปที่โบสถ์แบพติสต์ขณะการนมัสการดำเนินอยู่.
ความจริงของคัมภีร์ไบเบิล แผ่แพร่ไปในโรมาเนีย
ไม่กี่ปีก่อนหน้า คือในปี 1911 แครอล ซาโบ พร้อมด้วยโยซิฟ คิสส์ ซึ่งมาเป็นนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลในสหรัฐ ทั้งสองกลับไปยังโรมาเนียเพื่อเผยแพร่ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลที่นั่น. เขาตั้งหลักแหล่งในเมืองเทียกู-มูเรส ห่างจากหมู่บ้านของเราไปทางตะวันออกเฉียงใต้ เป็นระยะทางประมาณ 160 กิโลเมตร. ชั่วเวลาสองสามปี มีประชาชนหลายร้อยคนได้ตอบรับข่าวสารราชอาณาจักรและเข้าส่วนในงานเผยแพร่ฝ่ายคริสเตียน.—มัดธาย 24:14.
แล้วก็มาถึงคราวที่นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลหนุ่มสองคนได้มาที่โบสถ์แบพติสต์ในหมู่บ้านออร์เทเลค จอร์จ โรโมเชียน แม้มีอายุแค่ 18 ปี แต่ก็เป็นคนนำการประชุมนมัสการในโบสถ์และพยายามอธิบายความหมายของโรม 12:1. ในที่สุด ไพโอเนียร์หนุ่มหนึ่งในสองคนนั้นได้ยืนขึ้นและพูดว่า “พี่น้อง มิตรสหายทั้งหลาย จากคัมภีร์ข้อนี้ อัครสาวกเปาโลต้องการจะบอกอะไรแก่เรา?”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้นฉันตื่นเต้นมาก! ฉันคิดว่า ‘สองคนนี้คงรู้แนวที่จะอธิบายคัมภีร์ไบเบิล.’ แต่คนส่วนใหญ่ที่นั่นตะโกนว่า “พวกผู้พยากรณ์เท็จ! เรารู้ว่าพวกคุณเป็นใคร!” จากนั้นก็มีเสียงเอะอะชุลมุน. แต่แล้วพ่อของจอร์จได้ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “ทุกคนเงียบ! นี่เป็นน้ำใจแบบไหนกัน—เป็นน้ำใจที่ออกมาจากขวดน้ำเมาหรืออย่างไร? ถ้าชายสองท่านนี้มีอะไรจะบอกกล่าวให้เรารู้ และพวกคุณไม่ประสงค์จะฟัง ผมจะเชิญเขาไปที่บ้านผม. คนใดต้องการไป ผมยินดีต้อนรับ.”
ด้วยความระทึกใจ ฉันวิ่งกลับบ้านและเล่าเรื่องราวให้แม่ฟัง. ฉันเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ตอบรับคำเชิญไปยังบ้านโรโมเชียน. เย็นวันนั้นฉันตื่นเต้นดีใจจริง ๆ ที่ได้รู้จากคัมภีร์ไบเบิลว่าไม่มีไฟนรก และที่ได้อ่านชื่อพระเจ้า ยะโฮวา จากคัมภีร์ภาษาโรมาเนียฉบับส่วนตัว! ผู้เผยแพร่ทั้งสองได้ดำเนินการให้นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลไปเยี่ยมที่บ้านโรโมเชียนทุกวันอาทิตย์เพื่อสอนพวกเรา. ฤดูร้อนถัดมา ตอนฉันอายุ 15 ฉันก็รับบัพติสมาเป็นสัญลักษณ์การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวา.
ต่อมา เกือบทุกคนในครอบครัวโพรดันและครอบครัวโรโมเชียนได้รับรองความจริงของคัมภีร์ไบเบิลแล้วอุทิศชีวิตของตนแด่พระยะโฮวา. อีกหลายคนในหมู่บ้านของเราก็ได้ทำอย่างนั้นเหมือนกัน รวมทั้งสามีภรรยาคู่หนุ่มสาวซึ่งเมื่อก่อนใช้บ้านของเขาเป็นโบสถ์แบพติสต์. แต่ต่อมา เขาเปลี่ยนบ้านหลังนี้เป็นสถานที่สำหรับนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลจะประชุมศึกษาด้วยกัน. ความจริงของคัมภีร์ไบเบิลได้แพร่กระจายไปถึงชนบทใกล้เคียงอย่างรวดเร็ว และพอถึงปี 1920 ในโรมาเนียมีผู้เผยแพร่ข่าวราชอาณาจักรประมาณ 1,800 คน!
ไปประเทศสหรัฐ
เราอยากให้ปีเตอร์ โพรดันคุณพ่อของเรามีส่วนรับความรู้อย่างที่เราได้เรียนมาเสียจริง ๆ. แต่เป็นเรื่องแปลกอย่างน่าทึ่ง คือก่อนเรามีโอกาสจะเขียนถึงท่าน เรากลับได้รับจดหมายจากคุณพ่อบอกว่า ท่านเข้ามาเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวาและรับบัพติสมาแล้ว. ท่านศึกษากับนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลในเมืองเอครอน รัฐโอไฮโอ และท่านต้องการให้พวกเราทุกคนไปสมทบกับท่านที่ประเทศสหรัฐ. แต่คุณแม่ไม่ยอมไปจากโรมาเนีย. ดังนั้น ในปี 1921 อาศัยเงินที่คุณพ่อส่งเป็นค่าเดินทางนั้นเอง ฉันจึงได้สมทบกับคุณพ่อที่เอครอน. ส่วนจอร์จ โรเมเชียนกับพี่ชายได้อพยพไปสหรัฐหนึ่งปีก่อนหน้านั้น.
เมื่อฉันมาทางเรือถึงเกาะเอลลิส รัฐนิวยอร์ก เจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองไม่รู้จะแปลชื่อออเรเลียอย่างไรในภาษาอังกฤษ เขาก็เลยบอกว่า “เราให้ชื่อเธอว่าโกลดีก็แล้วกัน.” นับแต่นั้นฉันก็ใช้ชื่อนี้มาตลอด. หลังจากนั้นไม่เท่าไร เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 1921 จอร์จ โรโมเชียนกับฉันแต่งงานกัน. ต่อมาประมาณหนึ่งปีเศษ ๆ คุณพ่อได้เดินทางกลับโรมาเนีย และปี 1925 คุณพ่อพาแมรี น้องสาวของฉันกลับมาที่เอครอน. แล้วพ่อก็กลับโรมาเนียไปอยู่กับคุณแม่และคนอื่น ๆ ในครอบครัวที่เหลืออยู่.
งานเผยแพร่ช่วงแรก ๆ ของเราที่สหรัฐ
จอร์จเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวาที่มีความซื่อสัตย์ภักดีและด้วยศรัทธาแก่กล้า. ระหว่างช่วงปี 1922 ถึง 1932 เราอิ่มเอิบใจเนื่องจากเราได้ลูกสาวที่น่ารักสี่คน—เอสเทอร์, แอนน์, โกลดี เอลิซาเบท และไอรีน. มีการเริ่มประชาคมโรมาเนียขึ้นที่เอครอน และตอนเริ่มแรก การประชุมจัดขึ้นในบ้านของเรา. เวลาต่อมา ตัวแทนจากสำนักงานกลางของนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่บรุกลิน, นิวยอร์ก ได้มาเยี่ยมประชาคมทุกหกเดือน และพักอยู่กับพวกเรา.
บ่อยครั้งเราออกทำงานเผยแพร่ในวันอาทิตย์ทั้งวัน. เราจัดหนังสือใส่กระเป๋าและเตรียมเอาอาหารกลางวันไปกิน พาลูกสาวตัวน้อย ๆ ของเรานั่งฟอร์ดรุ่น ที ไปด้วยกัน และใช้เวลาทั้งวันประกาศไปตามหมู่บ้านในชนบท. พอตกเย็น เราเข้าร่วมการศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์. ลูกสาวของเรากลายเป็นคนรักงานเผยแพร่. ในปี 1931 ฉันไปร่วมการประชุมใหญ่ที่โคลัมบัส รัฐโอไฮโฮ คราวที่นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลได้รับรองชื่อพยานพระยะโฮวา เป็นชื่อเฉพาะของเขา.
การว่ากล่าวแก้ไขที่จำเป็นสำหรับฉัน
สองสามปีต่อมา ฉันนึกโกรธโจเซฟ เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ด นายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ สมัยนั้น. พยานฯ ใหม่คนหนึ่งรู้สึกว่าบราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ดปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่เป็นธรรม ไม่ได้ฟังปัญหาของเขาให้จบเสียก่อน. ฉันคิดว่าบราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ดเป็นฝ่ายผิด. วันอาทิตย์วันหนึ่ง แมรีน้องสาวพร้อมกับแดน เพสทรูอี สามีของเธอได้มาเยี่ยมเรา. หลังจากเสร็จอาหารมื้อค่ำแล้ว แดนพูดขึ้นว่า “ไปประชุมกันเถอะ.”
ฉันบอกว่า “เราไม่ไปประชุมอีกแล้ว เราโกรธบราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ด.”
แดนเอามือไพล่หลังและเดินนับก้าวไป ๆ มา ๆ แล้วพูดว่า “ตอนที่คุณพี่รับบัพติสมา พี่รู้จักบราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ดไหม?”
ฉันตอบว่า “ไม่รู้จัก คุณก็รู้ว่าฉันรับบัพติสมาที่โรมาเนีย.”
“ทำไมพี่รับบัพติสมา?” เขาถาม.
“เพราะฉันเรียนรู้ว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ และฉันต้องการอุทิศชีวิตทำการรับใช้พระองค์” ฉันตอบเขา.
“จงอย่าลืมจุดนี้!” เขาตอบ. “สมมุติว่าบราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ดทิ้งความจริงไป พี่จะทิ้งความจริงไหม?”
“ฉันไม่มีวันเสียละ!” แค่นั้นก็ช่วยฉันสำนึกขึ้นได้ และฉันพูดว่า “เอาละ ทุกคนเตรียมตัวไปประชุม.” ตั้งแต่นั้นเรื่อยมา เราไม่เคยขาดประชุม. ฉันขอบพระคุณพระยะโฮวาเสียจริง ๆ ที่น้องเขยได้ว่ากล่าวแก้ไขฉันด้วยความรัก!
การจัดการให้มีพออยู่ได้ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ
ช่วงทศวรรษปี 1930 ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เป็นช่วงที่แสนลำบากยากเข็ญ. วันหนึ่ง จอร์จเลิกงานกลับมาบ้านอย่างหงอยเหงา เขาบอกว่าโรงผลิตยางเลิกจ้างแล้ว. ฉันปลอบเขาว่า “อย่ากังวล เรามีพระบิดาที่ร่ำรวยสถิตในสวรรค์ พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา.”
วันเดียวกันนั้นเอง จอร์จได้พบเพื่อนซึ่งหอบตะกร้ามีเห็ดอยู่เต็ม. เมื่อจอร์จรู้ว่าเพื่อนเก็บเห็ดได้จากที่ไหน จอร์จกลับมาบ้านพร้อมกับเข่งขนาดใหญ่ใส่เห็ดไว้มากมาย. แล้วเขาได้ใช้เงินสามดอลลาร์สุดท้ายที่เรามีอยู่ไปซื้อกระจาดใบเล็ก ๆ มา. ฉันถามเขาว่า “คุณทำเช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อเด็กเล็ก ๆ ของเรายังต้องดื่มนมอยู่?”
เขาตอบว่า ‘ไม่เป็นไรหรอกน่า ขอให้ทำตามที่ผมบอกก็แล้วกัน.” ตลอดสองสามสัปดาห์ถัดมา เรามีโรงงานเล็ก ๆ ภายในบ้าน เราล้างเห็ดและจัดใส่กระจาด. เราขายเห็ดให้กับร้านอาหารที่ได้มาตรฐานและมีเงินติดตัวกลับบ้านวันละ 30 ถึง 40 ดอลลาร์ สำหรับเราตอนนั้นนับว่ามากพอดู. เกษตรกรที่อนุญาตให้เราเข้าไปเก็บเห็ดจากทุ่งหญ้าของเขาได้คุยว่าเขาอยู่ที่ไร่นี้มานานถึง 25 ปีและไม่เคยพบเห็นเห็ดมากมายก่ายกองอย่างนี้มาก่อน. ไม่นานหลังจากนั้น โรงผลิตยางก็เรียกจอร์จกลับเข้าทำงานอีก.
การธำรงไว้ซึ่งความเชื่อ
ปี 1943 เราได้ย้ายไปอยู่ลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย อีกสี่ปีต่อมา เราก็ตั้งหลักแหล่งในเมืองเอลสินอร์. เราเปิดร้านขายของชำ และทุกคนในครอบครัวต่างก็ผลัดเปลี่ยนกันทำงานที่ร้าน. เวลานั้น เอลสินอร์เป็นแค่ตำบลเล็ก ๆ มีพลเมืองราว 2,000 คน และเราต้องไปเข้าร่วมการประชุมคริสเตียนที่เมืองหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไป 30 กิโลเมตร. ฉันมีความสุขเหลือเกินเมื่อมองเห็นการก่อตั้งประชาคมเล็ก ๆ ขึ้นที่เมืองเอลสินอร์ ในปี 1950! เดี๋ยวนี้ ณ ท้องที่เดียวกันนี้มี 13 ประชาคม.
ปี 1950 โกลดี เอลิซาเบท ลูกสาว (ซึ่งส่วนมากเรียกชื่อเล่นว่าเบท) ได้สำเร็จจากโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียด ในเซาท์แลนซิง รัฐนิวยอร์ก และได้รับเขตมอบหมายเป็นมิชชันนารีประจำประเทศเวเนซุเอลา. ปี 1955 ไอรีนลูกสาวคนสุดท้องของเรายินดีที่สามีได้รับเชิญให้ปฏิบัติงานฐานะผู้ดูแลเดินทางเยี่ยมหมวด. ครั้นแล้วในปี 1961 หลังจากเรียนสำเร็จจากโรงเรียนพระราชกิจที่เมืองเซาท์แลนซิง นิวยอร์ก พวกเขาถูกส่งไปประจำที่ประเทศไทย. บางครั้ง ฉันคิดถึงลูกมากจนร้องไห้ แต่แล้วฉันก็คิดได้ว่า ‘นั่นคือสิ่งที่ฉันอยากให้เขาทำนี่นา.’ ดังนั้น ฉันคว้ากระเป๋าหนังสือออกไปประกาศเผยแพร่. ฉันกลับมาถึงบ้านด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบใจทุกครั้ง.
ในปี 1966 จอร์จ สามีที่รักของฉันป่วยด้วยโรคเส้นเลือดสมอง. เบท ซึ่งกลับจากเวเนซุเอลาเนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ ก็ได้ช่วยปรนนิบัติดูแลพ่อ. ปีถัดมา จอร์จก็ถึงแก่ชีวิตและฉันได้รับการปลอบประโลมโดยข้อเท็จจริงที่ว่า เขาคงความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระยะโฮวาและได้บำเหน็จทางภาคสวรรค์. หลังจากนั้น เบทไปที่ประเทศสเปนเพื่อรับใช้ในเขตงานที่มีความต้องการผู้ประกาศข่าวราชอาณาจักรมากกว่า. เอสเทอร์ ลูกสาวคนโตป่วยเป็นมะเร็งและเสียชีวิตในปี 1977 และปี 1984 แอนเสียชีวิตด้วยโรคลิวคีเมีย. แต่ละคนได้เป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระยะโฮวาตลอดชีวิตของเขา.
ใกล้ ๆ กับช่วงการเสียชีวิตของแอน เบทและไอรีนได้กลับจากเขตมอบหมายงานประกาศของเขาในต่างประเทศ. ลูกทั้งสองมีโอกาสได้ช่วยเอาใจใส่ดูแลพี่สาวของเขา และพวกเราทุกคนเศร้าโศกเสียใจมาก. จากนั้นไม่นาน ฉันได้บอกลูกสาวของฉันว่า “เอาละ พอเถอะลูก! พวกเราได้ปลอบใจคนอื่นด้วยคำสัญญาอันประเสริฐจากคัมภีร์ไบเบิล. ตอนนี้เราต้องเปิดช่องให้ตัวเราเองได้รับการชูใจ. ซาตานอยากปล้นความยินดีที่เราได้มาเนื่องจากการรับใช้พระยะโฮวา แต่เราจะไม่ยอมปล่อยให้มันทำเช่นนั้น.”
ครอบครัวของเราในโรมาเนียยังคงซื่อสัตย์มั่นคง
แมรีน้องสาวกับฉันได้เดินทางซึ่งคงอยู่ในความทรงจำตลอดมา เมื่อเราได้ไปเยี่ยมครอบครัวในโรมาเนียปี 1970. น้องสาวคนหนึ่งของเราเสียชีวิตไปแล้ว แต่เราสามารถไปเยี่ยมจอห์น น้องชายและโลโดวิกา น้องสาว ซึ่งทั้งสองคนยังอยู่ที่หมู่บ้านชนบทออร์เทเลค. คราวนั้นที่เราไปเยี่ยม ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ตายแล้ว ท่านได้รักษาความซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวาเสมอมา. หลายคนบอกเราว่าคุณพ่อเป็นเสาหลักในประชาคม. แม้แต่เหลนบางคนของท่านในโรมาเนียเวลานี้ก็เป็นพยานพระยะโฮวา. นอกจากนี้ เราได้เยี่ยมหมู่ญาติหลายคนฝ่ายสามีซึ่งได้ยึดความจริงของคัมภีร์ไบเบิลไว้อย่างเหนียวแน่น.
ในปี 1970 โรมาเนียอยู่ภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์อันทารุณของนิโคไล เชาเชสคู และพวกพยานพระยะโฮวาก็ถูกข่มเหงอย่างร้ายกาจ. ฟลอเรลูกของจอห์นน้องชาย รวมทั้งญาติคนอื่น ๆ ของฉันได้ใช้เวลาหลายปีในค่ายกักกัน สืบเนื่องจากความเชื่อฝ่ายคริสเตียนของเขา และกาบอร์ โรโมเชียนหลานชายของสามีก็อยู่ในค่ายกักกันด้วย. ไม่แปลกใจเลยเมื่อเขาได้วางใจเราให้นำส่งจดหมายไปยังสำนักงานกลางของพยานพระยะโฮวาในนิวยอร์ก พี่น้องชาวโรมาเนียบอกว่า เขากระวนกระวายใจ เป็นห่วง จนกว่าเขาได้รับข่าวว่าเราออกพ้นประเทศไปแล้วอย่างปลอดภัย!
เมื่อเราตระหนักว่าวีซ่าของเราหมดอายุ เราได้ไปยังสำนักราชการเมืองออร์เทเลค. ตอนนั้นเป็นบ่ายวันศุกร์ และมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเพียงคนเดียว. เมื่อได้รู้ว่าเราได้ไปเยี่ยมใครบ้าง และฟลอเร หลานของเราซึ่งเป็นลูกชายจอห์นเคยอยู่ในค่ายกักกัน เขาพูดว่า “คุณสุภาพสตรี รีบ ๆ ออกไปจากเมืองนี้โดยเร็ว!”
“แต่ไม่มีรถไฟออกวันนี้” น้องสาวตอบเขาไป.
“มันไม่เกี่ยวกัน” เขาพูดอย่างร้อนรน. “ไปรถประจำทาง. จับรถไฟ รถแท็กซี่ หรือเดิน. เพียงแต่ว่าพวกคุณต้องรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด!”
พอเรากำลังออกจากที่นั่น เขาเรียกเรากลับและแจ้งว่าขบวนรถไฟทหารซึ่งไม่เดินตามกำหนดเวลาจะผ่านเวลา 18:00 น. ช่างเป็นการประจวบเหมาะอะไรเช่นนั้น! ถ้าเป็นขบวนรถไฟธรรมดา ก็ย่อมต้องมีการตรวจเช็คเอกสารของเราหลายครั้งหลายตอน แต่เนื่องจากรถขบวนนี้บรรทุกเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร และมีพลเรือนเพียงเราสองคนบนรถ จึงไม่มีเจ้าหน้าที่ขอตรวจหนังสือเดินทางของเรา. พวกเขาอาจสันนิษฐานเอาว่าเราเป็นย่าหรือยายของนายทหารบางคนก็ได้.
เรามาถึงที่ทิมิเซาราเช้าวันรุ่งขึ้น และด้วยการช่วยเหลือจากเพื่อนของญาติผู้หนึ่ง เราจึงทำวีซ่าได้. วันถัดไปเราเดินทางออกนอกประเทศ. เรากลับบ้านพร้อมกับความทรงจำอันน่ายินดีและไม่มีวันลบเลือนไปได้เกี่ยวกับพี่น้องคริสเตียนชายหญิงที่ซื่อสัตย์ของเราในโรมาเนีย.
หลายปีต่อมา หลังจากได้ไปเยี่ยมโรมาเนีย เราได้ข่าวกระเส็นกระสายเกี่ยวกับกิจกรรมการเผยแพร่หลังม่านเหล็ก. กระนั้น เราเชื่อมั่นว่าพี่น้องคริสเตียนชายหญิงของเราจะคงความซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้าของเราอยู่เสมอ—ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม. และพวกเขาก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ! เป็นสิ่งที่น่าปีติยินดีโดยแท้เมื่อเราได้เรียนรู้ว่าพยานพระยะโฮวาได้รับการยอมรับเป็นองค์การศาสนาตามกฎหมายในโรมาเนียเมื่อเดือนเมษายน ปี 1990! ฤดูร้อนปีนั้นเอง พวกเราปีติยินดีเมื่อได้ยินรายงานเกี่ยวกับการจัดประชุมใหญ่ที่โรมาเนีย. คิดดูสิ มีผู้เข้าร่วมประชุมมากกว่า 34,000 คนในเมืองใหญ่ ๆ แปดเมือง และผู้รับบัพติสมา 2,260 คน! เวลานี้มีมากกว่า 35,000 คนร่วมงานเผยแพร่ในโรมาเนีย. ปีที่แล้วมี 86,034 คนเข้าร่วมประชุมอนุสรณ์รำลึกการวายพระชนม์ของพระคริสต์.
ความจริงยังคงเป็นสิ่งประเสริฐสำหรับฉัน
ฉันเคยเลิกรับเครื่องหมาย ณ การประชุมอนุสรณ์ไปประมาณสองสามปี. ฉันสังเกตพวกบราเดอร์ผู้เพียบด้วยคุณวุฒิแต่ไม่ได้รับเครื่องหมาย ฉันจึงชักเหตุผลทำนองนี้: ‘ทำไมนะ พระยะโฮวาจะได้โปรดให้ฉันมีสิทธิพิเศษเป็นทายาทร่วมกับพระบุตรของพระองค์ในสวรรค์ ในเมื่อคนอื่น ๆ ล้วนเป็นนักพูดที่คล่อง?’ แต่ครั้นฉันไม่รับ ฉันรู้สึกว่ามีสิ่งรบกวนจิตใจ. เหมือนกับว่าฉันกำลังบอกปัดอะไรบางอย่าง. หลังจากได้ศึกษาอย่างจริงจังและด้วยการวิงวอนอธิษฐานไม่ลดละ ฉันก็เริ่มรับอีก. ฉันได้ความสงบใจและความยินดีคืนมา และยังคงมีความรู้สึกดังกล่าวไม่คลาย.
แม้ว่าฉันไม่สามารถอ่านหนังสือได้อีกแล้วเนื่องจากสายตาไม่ดี แต่ทุกวันฉันจะฟังเทปบันทึกเสียงการอ่านคัมภีร์ไบเบิลและบทความต่าง ๆ ในวารสารหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด! นอกจากนั้น ฉันยังคงเข้าส่วนร่วมงานเผยแพร่ด้วย. ปกติแล้ว แต่ละเดือนฉันจำหน่ายวารสารประมาณ 60 ถึง 100 เล่ม แต่เมื่อเรารณรงค์การจำหน่ายตื่นเถิด! ให้มากเป็นพิเศษเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ฉันจำหน่ายได้มากถึง 323 เล่ม. ด้วยการช่วยเหลือจากลูกสาว ฉันสามารถทำส่วนในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้าได้เช่นกัน. ฉันสุขใจที่สามารถให้กำลังใจคนอื่น ๆ มิได้ขาด. แทบทุกคนในหอประชุมราชอาณาจักรเรียกฉันว่าคุณยาย.
เมื่อมองย้อนหลังไปเกือบ 79 ปีในงานรับใช้ซึ่งอุทิศแด่พระยะโฮวา ฉันขอบพระคุณพระองค์ทุก ๆ วันที่พระองค์โปรดให้ฉันได้มารู้จักความจริงอันประเสริฐยิ่งของพระองค์ และใช้ชีวิตไปเพื่องานรับใช้พระองค์. ฉันสำนึกบุญคุณอย่างยิ่งเช่นกันที่ฉันมีชีวิตทันได้เห็นคำพยากรณ์อันน่าพิศวงในคัมภีร์ไบเบิลสำเร็จสมจริง ว่าด้วยการรวบรวมผู้คนจำพวกแกะของพระเจ้าเข้ามาอยู่ด้วยกันในสมัยสุดท้ายนี้.—ยะซายา 60:22; ซะคาระยา 8:23.
[รูปภาพหน้า 23]
แมรี น้องสาวดิฉันและคุณพ่อ (คนยืน) และดิฉัน, จอร์จ, และลูกสาวของเราเอสเทอร์ กับแอนน์
[รูปภาพหน้า 24]
ถ่ายร่วมกับลูกสาว เบท และไอรีน, สามีไอรีนและ ลูกชายสองคนของเขา ซึ่งทุกคนทำงานรับใช้พระยะโฮวาด้วยความซื่อสัตย์