เรื่องราวชีวิตจริง
ชื่นชมยินดีอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!
เล่าโดยเรจินัลด์ วอลล์เวิร์ก
“ไม่มีอะไรเลยในโลกนี้จะเทียบได้กับความชื่นชมยินดีที่เราประสบในงานรับใช้พระยะโฮวาเต็มเวลาในฐานะมิชชันนารี!” บันทึกที่เขียนด้วยลายมือหวัด ๆ นี้ผมพบในกองกระดาษบันทึกส่วนตัวของภรรยาไม่นานหลังจากเธอเสียชีวิตเมื่อเดือนพฤษภาคม 1994.
ขณะที่ผมคิดใคร่ครวญคำพูดของไอรีน ผมนึกถึงเวลา 37 ปีที่เรามีความสุขและพึงพอใจกับการทำงานฐานะมิชชันนารีในประเทศเปรู. เราชื่นชมกับการเป็นหุ้นส่วนคริสเตียนอันล้ำค่าตั้งแต่วันที่เราแต่งงานกันในเดือนธันวาคม 1942 และถือว่าเหมาะที่จะเริ่มเรื่องราวของผมตรงนี้.
ไอรีนได้รับการเลี้ยงดูและเติบโตในฐานะพยานพระยะโฮวาที่เมืองลิเวอร์พูล ประเทศอังกฤษ. เธอเป็นหนึ่งในจำนวนลูกสาวสามคน และเธอสูญเสียบิดาไประหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1. ต่อมา มารดาเธอได้แต่งงานกับวินตัน เฟรเซอร์ และได้ลูกชายคนหนึ่งชื่อซิดนีย์. ไม่นานก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งครอบครัวได้ย้ายไปที่เมืองบังกอร์ แคว้นนอร์ทเวลส์ ซึ่งไอรีนรับบัพติสมาที่เมืองนี้ในปี 1939. ส่วนซิดนีย์ได้รับบัพติสมาก่อนหนึ่งปี ดังนั้น ทั้งสองคนทำงานรับใช้ด้วยกันในฐานะไพโอเนียร์—ผู้เผยแพร่เต็มเวลา—ไปตามชายฝั่งทางเหนือของแคว้นเวลส์ จากบังกอร์ถึงคาร์นาร์เฟน, รวมถึงเกาะแองเกิลซี.
ตอนนั้น ผมสมทบกับประชาคมรังคอร์น อยู่ห่างลิเวอร์พูลไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร ผมรับใช้เป็นผู้ดูแลผู้เป็นประธานดังที่เรียกกันเวลานี้. ณ การประชุมหมวด ไอรีนเข้ามาทักทายผมและขอเขตงาน เพื่อเธอจะประกาศได้ในช่วงที่แวะไปอยู่กับวีราผู้เป็นพี่สาวซึ่งแต่งงานแล้ว และอยู่ที่รังคอร์น. ช่วงสองสัปดาห์ที่เธออยู่กับพวกเรา ผมกับไอรีนคุยกันถูกคอ มีใจตรงกัน และต่อมาผมไปเยี่ยมเธอหลายครั้งที่เมืองบังกอร์. ผมเป็นสุขสักเพียงไรเมื่อสุดสัปดาห์วันหนึ่งผมขอแต่งงาน และเธอตอบตกลง!
พอผมกลับถึงบ้านวันอาทิตย์ ผมก็เริ่มวางแผนการสมรสของเราทันที แต่แล้วในวันอังคาร มีโทรเลขส่งถึงผมใจความว่า “ฉันขอโทษที่โทรเลขฉบับนี้ทำร้ายจิตใจคุณ. ฉันขอระงับเรื่องการสมรสของเรา. คุณจะได้จดหมายในไม่ช้า.” ผมตกตะลึงอึ้งไปเลย. มีปัญหาอะไรหรือ?
วันรุ่งขึ้น ผมก็ได้รับจดหมายจากไอรีน. เธอบอกว่ากำลังจะเดินทางไปยังเมืองฮอสฟอร์ต ในมณฑลยอร์กเชียร์ และจะเริ่มร่วมงานไพโอเนียร์กับฮิลดา แพดเจตต์.a เธอชี้แจงว่า 12 เดือนก่อนหน้านี้เธอตกลงใจจะไปรับใช้ในที่ที่มีความต้องการผู้เผยแพร่ หากได้รับการขอร้อง. เธอเขียนว่า “สำหรับฉันถือว่าเรื่องนี้เสมือนการปฏิญาณตนต่อพระยะโฮวา และฉันรู้สึกว่าเนื่องจากสัญญาพระองค์ไว้แล้วก่อนได้มารู้จักคุณ ฉันจำต้องทำตามสัญญา.” แม้รู้สึกเศร้าใจ แต่ผมนิยมชมชอบเธอจริง ๆ ในเรื่องความซื่อสัตย์มั่นคง และจึงได้โทรเลขตอบกลับไปว่า “ไปเถอะ ผมจะคอยคุณ.”
ช่วงที่อยู่ในยอร์กเชียร์ ไอรีนต้องโทษจำคุกสามเดือน เพราะสติรู้สึกผิดชอบ เธอจึงไม่ยอมสนับสนุนกิจกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสงคราม. ครั้นแล้ว 18 เดือนต่อมา เราจึงแต่งงานกันในเดือนธันวาคม 1942.
ชีวิตปฐมวัยของผม
ปี 1919 คุณแม่ได้ซื้อชุดหนังสือคู่มือการศึกษาพระคัมภีร์.b ดังที่พ่อตั้งข้อสังเกตที่เป็นความจริง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้แม่ไม่เคยอ่านหนังสือเลย แต่แม่ก็แน่วแน่จะศึกษาคู่มือเหล่านี้อย่างถี่ถ้วนควบคู่ไปกับคัมภีร์ไบเบิลเล่มส่วนตัวของท่าน. แม่เอาจริงและได้รับบัพติสมาในปี 1920.
พ่อเป็นคนไม่ค่อยเข้มงวด และก็ไม่ทัดทานหากแม่ต้องการทำอะไรก็ตาม และนั่นรวมถึงการอบรมเลี้ยงดูลูกสี่คน—พี่สาวผมสองคนคือเกว็น, ไอวี; อะเล็กพี่ชายผม, และตัวผม—ตามแนวทางของความจริง. สแตนลีย์ โรเจอร์พร้อมกับพยานฯ ที่ซื่อสัตย์คนอื่น ๆ ในลิเวอร์พูลได้เดินทางไปบรรยายให้ความรู้ด้านคัมภีร์ไบเบิลในเมืองรังคอร์น ซึ่งในไม่ช้ามีการตั้งประชาคมใหม่. ครอบครัวของเราเจริญรุ่งเรืองฝ่ายวิญญาณไปพร้อม ๆ กับประชาคม.
เกว็นเคยเข้าเรียนทางศาสนาในคริสตจักรแห่งอังกฤษ แต่เธอเลิกทันทีเมื่อเริ่มต้นศึกษาพระคัมภีร์พร้อมกับแม่. ครั้นบาทหลวงได้มาเยี่ยมเราเพื่ออยากรู้ว่าทำไมเธอไม่เข้าร่วมชั้นเรียน แต่กลับเจอการระดมคำถามซึ่งเขาไม่พร้อมจะตอบ. เกว็นถามเรื่องความหมายเกี่ยวกับคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้า ลงท้ายเธอเป็นฝ่ายชี้แจงเสียเอง! เธอจบด้วยการยกข้อคัมภีร์ 1 โกรินโธ 10:21 เพื่อทำให้ชัดแจ้งว่าเธอจะรับประทาน ‘ที่โต๊ะของทั้งสองฝ่าย’ ไม่ได้อีกต่อไป. ตอนที่บาทหลวงออกไปจากบ้าน เขาบอกว่าจะอธิษฐานเผื่อเกว็นและจะกลับมาตอบคำถามของเธอ แต่เขาไม่มาอีกเลย. หลังจากรับบัพติสมาไม่นาน เกว็นได้เป็นผู้ประกาศเผยแพร่ประเภทเต็มเวลา.
การให้ความสนใจแก่หนุ่มสาวในประชาคมของเรานับเป็นแบบอย่างที่ดี. ผมจำได้ว่าตอนอายุเจ็ดขวบได้ฟังคำบรรยายจากผู้ปกครองที่มาเยี่ยม. หลังการบรรยายเขาเดินมาคุยกับผม. ผมบอกว่าได้อ่านเรื่องอับราฮามและวิธีที่อับราฮามพยายามถวายยิศฮาคบุตรชายของท่าน. ผู้ปกครองคนนั้นพูดว่า “ไปที่มุมเวทีตรงนั้น และเล่าให้ผมฟังทั้งหมด.” ผมตื่นเต้นดีใจเสียจริง ๆ ที่ได้ยืนตรงนั้น และ “บรรยายสาธารณะ” เป็นครั้งแรก!
ปี 1931 ผมรับบัพติสมาเมื่ออายุ 15 ปี และคุณแม่เสียชีวิตในปีนั้นเอง และผมออกจากโรงเรียนมาเป็นลูกมือฝึกหัดวิชาช่างไฟฟ้า. ปี 1936 การบรรยายสาธารณะเรื่องราวจากคัมภีร์ไบเบิลนั้นอาศัยการใช้แผ่นเสียงบันทึกคำบรรยายแล้วเปิดให้ประชาชนฟัง และซิสเตอร์สูงอายุท่านหนึ่งสนับสนุนให้ผมกับพี่ชายเข้าส่วนร่วมงานด้านนี้. ดังนั้น ผมและอะเล็กจึงพากันไปซื้อจักรยานที่เมืองลิเวอร์พูล และทำรถพ่วงข้างสำหรับใส่หีบเสียง. ลำโพงพร้อมด้วยเสาสูงหกฟุตซึ่งยืดหดได้นั้นยึดติดไว้พอดีกับด้านหลังรถพ่วง. ช่างเครื่องบอกว่าเขาไม่เคยประดิษฐ์กลไกแบบนี้มาก่อน แต่ก็ใช้ได้ดีทีเดียว! ด้วยใจแรงกล้าเราได้ทำงานอย่างทั่วถึงในเขตงาน และรู้สึกขอบคุณซิสเตอร์สูงอายุที่ให้การหนุนใจเราและหยั่งรู้ค่าสิทธิพิเศษที่ฝากไว้กับเรา.
สงครามโลกครั้งที่ 2—ช่วงแห่งการทดสอบ
ขณะที่เมฆหมอกแห่งสงครามเริ่มก่อตัวแสดงว่าเหตุการณ์ร้ายใกล้จะมาถึง ผมกับสแตนลีย์ โรเจอร์ก็วุ่นอยู่กับงานโฆษณาปาฐกถาสาธารณะเรื่อง “เผชิญข้อเท็จจริง” ซึ่งจัดบรรยายที่โรงมหรสพรอยัล อัลเบิร์ต ฮอลล์ ในวันที่ 11 กันยายน 1938. ต่อมาผมมีส่วนร่วมแจกจ่ายบทบรรยายนี้ที่จัดพิมพ์เป็นหนังสือเล่มเล็กไปพร้อม ๆ กับเล่มที่ชื่อลัทธิฟาสซิสต์หรืออิสรภาพ ซึ่งออกในปีถัดมา. ทั้งสองเล่มนี้เปิดโปงชัดแจ้งถึงความอยากเป็นใหญ่แบบรวบอำนาจของเยอรมนีสมัยฮิตเลอร์. ตอนนั้น คนในเมืองรังคอร์นรู้จักผมดี เนื่องจากงานเผยแพร่ตามชุมชนและผู้คนให้การยอมรับนับถือ. อันที่จริง การที่ผมอยู่แนวหน้าเสมอในกิจกรรมตามระบอบของพระเจ้าจึงทำให้ผมอยู่ในฐานะก่อประโยชน์ให้แก่บางคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาต่อมา.
บริษัทที่ผมทำงานอยู่มีสัญญาว่าจ้างให้เชื่อมต่อสายไฟเข้าโรงงานใหม่ซึ่งตั้งอยู่ชานเมือง. ครั้นได้มารู้ว่าโรงงานนั้นจะเป็นแหล่งผลิตอาวุธสงคราม ผมชี้แจงชัดเจนให้เขาเข้าใจว่าผมจะทำงานที่นั่นไม่ได้. ถึงแม้นายจ้างไม่พอใจ แต่หัวหน้าคนงานพูดปกป้องผม และผมได้รับมอบงานอย่างอื่น. ผมรู้ตอนหลังว่าเขามีน้าคนหนึ่งเป็นพยานพระยะโฮวาเหมือนกัน.
เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งพูดให้กำลังใจผมมากว่า “เรจ พวกเราจะไม่คาดหมายอะไรอย่างอื่นจากคุณ เนื่องจากคุณทำงานเกี่ยวข้องกับคัมภีร์ไบเบิลมานานหลายปี.” กระนั้นก็ตาม ผมต้องไม่ประมาทเพราะมีเพื่อนร่วมงานหลายคนต้องการสร้างความยุ่งยากให้ผม.
เดือนมิถุนายน 1940 ศาลเมืองลิเวอร์พูลยอมรับการขึ้นทะเบียนขอยกเว้นการเกณฑ์ทหารเนื่องด้วยสติรู้สึกผิดและชอบ ตราบใดที่ผมยังทำอาชีพเดิม. แน่ละ ข้อนี้ช่วยผมให้ทำงานรับใช้ของคริสเตียนได้ต่อไป.
สู่งานรับใช้เต็มเวลา
เมื่อสงครามจวนจะเลิก ผมตัดสินใจออกจากงานและสมทบกับไอรีนทำงานรับใช้เต็มเวลา. ปี 1946 ผมทำรถพ่วงคันหนึ่ง ความยาว 5 เมตร ซึ่งกลายเป็นบ้านของเรา และปีถัดมา มีการขอร้องให้เราย้ายไปที่ออลเวสตัน ซึ่งเป็นหมู่บ้านในเขตกลอสเตอร์เชียร์. ต่อจากนั้น เราทำงานไพโอเนียร์ในไซเรนเซสเตอร์เมืองโบราณ และในเมืองบาธ. ปี 1951 ผมได้รับเชิญไปเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ ทางภาคใต้ของแคว้นเวลส์ในฐานะผู้ดูแลเดินทาง แต่ยังไม่ทันถึงสองปีต่อมา เราก็เดินทางไปรับการฝึกอบรมเป็นมิชชันนารีที่โรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียด.
ชั้นเรียนรุ่นที่ 21 อยู่ที่เซาท์แลนซิง ในรัฐนิวยอร์กตอนเหนือ และเราจบหลักสูตร ณ การประชุมสมาคมโลกใหม่ปี 1953 ที่นครนิวยอร์ก. ผมและไอรีนไม่รู้เลยว่าเขตงานมอบหมายของเราจะอยู่ที่ไหนกระทั่งวันจบหลักสูตร. เราตื่นเต้นเสียเหลือเกินเมื่อรู้ว่าประเทศเปรูเป็นจุดหมายปลายทางของเรา. ทำไมล่ะ? เพราะซิดนีย์ เฟรเซอร์ น้องชายต่างบิดาของไอรีนกับมาร์กาเรตภรรยาได้รับใช้ในสำนักงานสาขาที่เมืองลิมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว หลังจากจบหลักสูตรโรงเรียนกิเลียดรุ่นที่ 19!
ระหว่างคอยวีซ่า พวกเราใช้เวลาช่วงสั้น ๆ ทำงานที่เบเธลบรุกลิน แต่ไม่นานเราก็ออกเดินทางสู่กรุงลิมา. เขตงานมอบหมายแรกของพวกเรามิชชันนารีสิบคนอยู่ที่คายาโอเมืองท่าสำคัญของเปรู ทางตะวันตกของกรุงลิมา. แม้เราเคยเรียนภาษาสเปนขั้นพื้นฐานมาบ้าง พอถึงตอนนั้น ผมและไอรีนพูดคุยภาษาสเปนไม่เป็นเอาเสียเลย. เราจะทำอย่างไรดี?
ปัญหาต่าง ๆ และสิทธิพิเศษในงานเผยแพร่
เมื่ออยู่ที่โรงเรียนกิเลียดมีคนบอกเราว่าแม่ไม่ได้สอนภาษาให้ลูก. แต่ลูกน้อยเรียนตอนที่แม่พูดคุยด้วย. ดังนั้น คำแนะนำที่เราได้รับคือ “ออกไปทำงานเผยแพร่โดยเร็วและเรียนภาษาจากประชาชน. พวกเขาจะช่วยคุณ.” ขณะที่ผมบากบั่นพยายามเข้าใจภาษาใหม่ ขอให้นึกภาพก็แล้วกันว่าผมรู้สึกอย่างไรตอนที่เราไปถึงที่นั่นเพียงสองสัปดาห์ ผมถูกแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลผู้เป็นประธานประชาคมคายาโอ! ผมไปหาซิดนีย์ เฟรเซอร์ แต่คำแนะนำของเขาก็เหมือนกับที่ผมได้จากกิเลียด คือให้สมาคมคบหากับประชาคมและผู้คนในเขตงานของคุณ. ผมตั้งใจแน่วแน่จะทำตามคำแนะนำ.
ตอนเช้าวันเสาร์วันหนึ่ง ผมไปเยี่ยมช่างไม้ที่โรงงานของเขา. เขาพูดว่า “ผมยังมีงานที่ต้องทำต่อ แต่เชิญคุณนั่งก่อนแล้วคุยไปด้วย.” ผมบอกว่ายินดีจะทำอย่างนั้นแต่มีเงื่อนไขหนึ่งข้อคือ “เมื่อผมพูดผิด ช่วยแก้ให้ด้วย. ผมจะไม่โกรธคุณ.” เขาหัวเราะและตกลงทำตามที่ผมขอร้อง. ผมเยี่ยมเขาสัปดาห์ละสองครั้งและเห็นว่าเป็นวิธีที่เหมาะมากสำหรับผมในการเรียนรู้ภาษาใหม่เหมือนที่เคยได้รับคำแนะนำ.
โดยบังเอิญ เขตงานมิชชันนารีแห่งที่สองของเราในเมืองอิคา ผมได้พบช่างไม้อีกคนหนึ่งและชี้แจงวิธีที่ผมเคยปฏิบัติตอนอยู่ที่เมืองคายาโอ. เขาตกลงจะช่วยผมเช่นเดียวกัน ดังนั้นภาษาสเปนของผมจึงดีขึ้นเป็นลำดับอย่างน่าพอใจ ถึงแม้ผมใช้เวลานานสามปี กว่าจะพูดได้คล่องจริง ๆ. ชายคนนี้ไม่ค่อยว่างมีงานทำตลอดเวลา แต่ผมก็สามารถนำการศึกษาพระคัมภีร์ด้วยการอ่านข้อคัมภีร์ให้เขาฟัง แล้วชี้แจงความหมายของข้อต่าง ๆ. มีอยู่สัปดาห์หนึ่งผมไปแวะเยี่ยม แต่นายจ้างของเขาบอกว่าเขาได้ไปหางานใหม่ที่กรุงลิมา. จากนั้นนานพอสมควร ผมกับไอรีนเข้าร่วมการประชุมใหญ่ที่กรุงลิมา ได้เจอชายคนนี้อีกครั้งหนึ่ง. ผมตื่นเต้นสักเพียงไรเมื่อทราบว่าเขาเองได้ติดต่อให้พยานฯ ในท้องถิ่นช่วยนำการศึกษาพระคัมภีร์อีก และตัวเขากับทุกคนในครอบครัวได้เข้ามาเป็นผู้รับใช้ที่อุทิศตัวของพระยะโฮวา!
ในประชาคมแห่งหนึ่ง เราพบหนุ่มสาวคู่หนึ่งยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่ทั้งสองรับบัพติสมาแล้ว. เมื่อมีการพิจารณาหลักการต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลที่เกี่ยวข้องกับเขา ทั้งสองตัดสินใจจะจดทะเบียนสมรสเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะทำให้เขามีคุณสมบัติพร้อมเป็นพยานฯ ที่ได้บัพติสมาแล้ว. ดังนั้น ผมจึงจัดการพาเขาไปเพื่อจดทะเบียนสมรสที่สำนักงานเขต. ครั้นแล้วเกิดมีปัญหาเนื่องจากเขามีลูกสี่คนซึ่งยังไม่มีชื่อในทะเบียนสำมะโนครัว และเรื่องนี้เป็นข้อเรียกร้องทางกฎหมาย. เป็นธรรมดาที่เราจะสงสัยว่านายทะเบียนจะดำเนินการอย่างไร. เขาพูดดังนี้: “เพราะคนดีเหล่านี้ พยานพระยะโฮวาเพื่อนของคุณ มองเห็นว่าคุณสมควรจดทะเบียนสมรส ผมจะระงับการส่งหมายเรียกตัวลูกแต่ละคนและจะนำชื่อพวกเขาลงทะเบียนโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม.” พวกเรารู้สึกขอบคุณอย่างแท้จริง เนื่องจากครอบครัวนี้ยากจน และหากต้องเสียค่าปรับก็คงเป็นภาระหนักสำหรับเขา!
ในเวลาต่อมา อัลเบิร์ต ดี. ชโรเดอร์จากสำนักงานใหญ่แห่งพยานพระยะโฮวาที่บรุกลินได้มาเยี่ยมพวกเราและเห็นสมควรจัดตั้งบ้านมิชชันนารีหลังใหม่ในส่วนอื่นของกรุงลิมา. ฉะนั้น ผมกับไอรีนและสองสาวพี่น้องคือฟรันเซสและเอลิซาเบท กูดจากสหรัฐ และคู่สมรสชาวแคนาดาจึงย้ายไปในเขตซานบอร์ฮา. เพียงชั่วเวลาไม่เกินสองสามปี เราได้รับการอวยพรให้มีอีกประชาคมหนึ่งซึ่งกำลังเจริญก้าวหน้า.
การรับใช้ที่วอนไคโอ บนพื้นที่ซึ่งเป็นภูเขาสูงกว่า 3,000 เมตรตอนกลางประเทศ เราทำงานร่วมกับประชาคมซึ่งมีพยานฯ 80 คน. เมื่ออยู่ที่นั่น ผมมีส่วนร่วมทำงานก่อสร้างหอประชุมแห่งที่สองในประเทศ. ผมถูกแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนด้านกฎหมายของพยานพระยะโฮวา เนื่องจากเราต้องไปศาลสามครั้งเพื่อขอกรรมสิทธิ์ครองที่ดินซึ่งเราซื้อไว้. การงานดังกล่าวพร้อมกับงานทำให้คนเป็นสาวกซึ่งขยายตัวมากขึ้นโดยเหล่ามิชชันนารีผู้ซื่อสัตย์ในช่วงต้น ๆ สมัยนั้นเป็นการวางรากฐานที่แน่นหนาสำหรับการเพิ่มทวีอย่างดีที่เราเห็นในเปรูตอนนี้ คือจากจำนวนพยานฯ 283 คนในปี 1953 เพิ่มเป็น 83,000 กว่าคนในปัจจุบัน.
การอำลาอันแสนเศร้า
เราชื่นชมการคบหาที่ดีงามกับเพื่อนมิชชันนารีด้วยกันในบ้านมิชชันนารีทุกแห่ง และบ่อยครั้งผมได้รับสิทธิพิเศษเป็นผู้ดูแลบ้าน. ทุกเช้าวันจันทร์ เรานัดประชุมปรึกษาการทำกิจกรรมในช่วงสัปดาห์นั้น และมอบหมายหน้าที่การเอาใจใส่ดูแลงานภายในบ้านของเรา. ทุกคนตระหนักถึงงานหลักซึ่งได้แก่งานเผยแพร่ และโดยมีเป้าหมายเช่นนั้น ทุกคนจึงทำงานประสานกัน. ผมมีความสุขเมื่อหวนระลึกว่าเราไม่เคยทุ่มเถียงกันเป็นเรื่องใหญ่โตในบ้านที่เราเข้าไปอยู่ไม่ว่าหลังใด.
งานมอบหมายสุดท้ายของเราอยู่ที่เขตเบร็นยา ชานเมืองอีกด้านหนึ่งของกรุงลิมา. ประชาคมที่นั่นประกอบด้วยพยานฯ 70 คน ทุกคนรักใคร่กันดีและเติบโตขยายตัวอย่างรวดเร็วจนมีจำนวนเกินร้อย ด้วยเหตุนี้จึงได้ตั้งอีกประชาคมหนึ่งขึ้นในปาโลมินยา. ช่วงนี้แหละไอรีนเริ่มไม่สบาย. ทีแรกผมสังเกตว่าบางครั้งเธอจำไม่ได้ว่าพูดอะไรออกไป และบางครั้งเธองง จำทางกลับบ้านไม่ค่อยได้. แม้เธอได้รับการรักษาเป็นอย่างดี แต่อาการของเธอทรุดลงเรื่อย ๆ.
น่าเศร้า ในปี 1990 ผมต้องเตรียมการเพื่อเราจะกลับประเทศอังกฤษ ซึ่งไอวีพี่สาวผมได้เปิดบ้านต้อนรับเราด้วยความกรุณา. ต่อมาอีกสี่ปี ตอนอายุ 81 ปีไอรีนก็เสียชีวิต. ส่วนผมยังทำงานรับใช้เต็มเวลาอย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้ปกครองประชาคมหนึ่งในสามประชาคมที่บ้านเกิดของผม. บางครั้งผมเดินทางไปเมืองแมนเชสเตอร์เพื่อให้การหนุนใจกลุ่มพี่น้องชาวสเปนที่นั่น.
เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมมีประสบการณ์ที่น่าปีติยินดีซึ่งเรื่องนี้เริ่มต้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ครั้งนั้นผมเปิดแผ่นเสียงบันทึกคำบรรยายห้านาทีให้เจ้าของบ้านฟัง. ผมจำภาพเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งได้ติดหูติดตา เธอยืนอยู่ข้างหลังมารดาที่ประตูตั้งใจฟังบทบรรยายนั้น.
ในที่สุด เด็กหญิงคนนี้ย้ายไปที่แคนาดา และมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ที่เมืองรังคอร์น และตอนนี้เป็นพยานฯ แล้ว เขาเขียนจดหมายติดต่อกันเสมอ. ไม่นานมานี้ เธอได้เขียนเล่าว่ามีสตรีพยานฯ สองคนได้ไปเยี่ยมเธอ และใช้ถ้อยคำอย่างที่เธอไม่นึกไม่ฝัน ทำให้เธอระลึกถึงสิ่งที่เคยได้ยินจากแผ่นเสียงคำบรรยายห้านาทีนั้น. เพราะเหตุที่เห็นว่าเป็นความจริง ตอนนี้เธอเป็นผู้รับใช้ที่อุทิศตัวแด่พระยะโฮวา และขอร้องให้ถ่ายทอดความรู้สึกขอบคุณของเธอไปถึงชายหนุ่มคนนั้นที่ได้ไปเยี่ยมมารดาของเธอเมื่อ 60 กว่าปีมาแล้ว! จริงทีเดียว เราไม่มีวันรู้ดอกว่าเมล็ดความจริงงอกรากและเจริญเติบโตอย่างไร.—ท่านผู้ประกาศ 11:6.
ใช่แล้ว ผมรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งเมื่อมองย้อนการใช้ชีวิตของผมรับใช้พระยะโฮวา ซึ่งเป็นงานที่มีค่ามาก. ตั้งแต่ผมได้อุทิศตัวเมื่อปี 1931 ผมไม่เคยพลาดการประชุมใหญ่แห่งไพร่พลของพระยะโฮวา. ถึงแม้ผมกับไอรีนไม่มีบุตรด้วยกัน แต่ผมมีความสุขที่ได้บุตรชายหญิงฝ่ายวิญญาณมากกว่า 150 คน ทุกคนรับใช้พระยะโฮวาพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์. ดังภรรยาสุดที่รักของผมเขียนแสดงความรู้สึกออกมา สิทธิพิเศษที่เรามีโอกาสรับใช้เป็นความชื่นชมยินดีอย่างหาที่เปรียบไม่ได้จริง ๆ.
[เชิงอรรถ]
a “ติดตามแบบอย่างของคุณพ่อคุณแม่” เรื่องราวชีวิตจริงของฮิลดา แพดเจตต์ เคยลงในวารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 ตุลาคม 1995 หน้า 19-24.
b จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
[ภาพหน้า 24]
คุณแม่ ต้นศตวรรษที่ 20
[ภาพหน้า 25]
ภาพซ้าย: ฮิลดา แพดเจตต์, ผม, ไอรีน, และจอยซ์ โรว์ลีย์ในเมืองลีดส์ ประเทศอังกฤษ ปี 1940
[ภาพหน้า 25]
ภาพบน: ไอรีนกับผมที่หน้าบ้านรถพ่วงของเรา
[ภาพหน้า 27]
โฆษณาการบรรยายสาธารณะ ที่คาร์ดิฟฟ์ แคว้นเวลส์ ปี 1952