ตาเพ่งดูและใจจดจ่ออยู่ที่รางวัล
เล่าโดยอีดิท มิเชล
ต้นทศวรรษปี 1930 เราอาศัยอยู่ใกล้เมืองเซนต์หลุยส์, มิสซูรี, สหรัฐอเมริกา เมื่อพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งได้มาเยี่ยม. ตอนนั้นพอดีราวตากผ้าขาด ทำเอาผ้าที่ซักขาวสะอาดร่วงลงมาเปื้อนโคลนไปหมด. คุณแม่ตกลงรับหนังสือที่พยานฯเสนอเพื่อพยานฯจะได้ลากลับไป แล้วก็เก็บหนังสือเหล่านั้นไว้บนชั้น ลืมเรื่องหนังสือเสียสนิท.
ช่วงนั้นเศรษฐกิจตกต่ำ และคุณพ่อว่างงาน. วันหนึ่งท่านถามว่าในบ้านมีหนังสืออะไรอ่านบ้าง. คุณแม่เล่าให้คุณพ่อฟังเกี่ยวกับหนังสือเหล่านั้น. แล้วคุณพ่อก็ตั้งต้นอ่าน พออ่านไปได้สักพักใหญ่ ๆ ท่านอุทานขึ้นว่า “แม่จ๋า นี่มันเป็นความจริงนะ!”
“อ๋อ, มันก็แค่เรื่องศาสนาที่อยากได้เงินเหมือน ๆ กันทุกศาสนาน่ะแหละ” คุณแม่ตอบ. อย่างไรก็ตาม คุณพ่อขอให้คุณแม่นั่งลงและอ่านข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ด้วยกัน. เมื่อคุณแม่อ่านดูก็รู้สึกเชื่อมั่นเช่นกัน. หลังจากนั้น ทั้งคุณพ่อและคุณแม่เริ่มมองหาพยานฯและได้พบว่าพวกพยานฯประชุมกันในห้องประชุมให้เช่าใกล้ใจกลางเมืองเซนต์หลุยส์ ห้องโถงที่ใช้เป็นสถานเต้นรำและทำกิจกรรมอื่น ๆ ด้วย.
คุณพ่อกับคุณแม่ได้พาดิฉันไปด้วย—ดิฉันอายุประมาณสามขวบ—และหาเจอห้องประชุมนั้น แต่ทว่ากำลังมีการเต้นรำกันอยู่. คุณพ่อรับทราบว่าการประชุมเริ่มเวลาไหน และเราก็กลับไปอีกเมื่อถึงเวลาประชุม. พวกเราเริ่มร่วมกลุ่มการศึกษาพระคัมภีร์ประจำสัปดาห์ใกล้บ้านด้วย. กลุ่มศึกษานั้นได้จัดขึ้นที่บ้านพยานฯหญิงคนที่ไปพบเราครั้งแรก. เธอถามเราว่า “ทำไมคุณไม่พาลูกชายของคุณมาด้วย?” คุณแม่รู้สึกอายที่จะบอกว่าพวกเขาไม่มีรองเท้าใส่. ในที่สุดคุณแม่ชี้แจงให้เธอทราบ พยานฯจึงหารองเท้าให้ และพี่ชายจึงเริ่มไปประชุมกับเรา.
คุณแม่ได้รับมอบเขตงานประกาศใกล้ ๆ บ้าน และท่านจึงเริ่มงานเผยแพร่ตามบ้าน. ดิฉันไปกับคุณแม่ด้วยและหลบอยู่ข้างหลัง. ก่อนที่ท่านจะขับรถเป็น เราต้องเดินไกลประมานหนึ่งกิโลเมตรเศษ ไปขึ้นรถประจำทางสายที่พาพวกเราไปประชุมในเมืองเซนต์หลุยส์. แม้หิมะตก อากาศหนาวสะท้าน เราไม่เคยขาดการประชุมต่าง ๆ.
คุณแม่กับคุณพ่อรับบัพติสมาปี 1934. ดิฉันเองต้องการรับบัพติสมาเหมือนกัน และได้รบเร้าเสมอจนคุณแม่ต้องขอร้องพยานฯอาวุโสให้ชี้แจงเรื่องนี้แก่ดิฉัน. พยานฯอาวุโสคนนั้นตั้งคำถามหลายข้อในแบบที่ดิฉันจะเข้าใจได้. แล้วเขาก็บอกคุณพ่อคุณแม่ว่าไม่ควรยับยั้งดิฉันจากการรับบัพติสมา เพราะอาจเป็นผลเสียต่อการเติบโตฝ่ายวิญญาณของดิฉัน. ดังนั้น ฤดูร้อนปีถัดไป ดิฉันจึงได้รับบัพติสมาขณะมีอายุหกขวบ.
ดิฉันชอบหนังสือเล่มเล็กบ้านและความสุข ซึ่งดิฉันมักจะเก็บไว้ใกล้ตัวเสมอ กระทั่งยามนอนก็สอดไว้ใต้หมอน. ดิฉันขอคุณแม่อ่านให้ฟังหลายครั้งซ้ำแล้วซ้ำอีกจนดิฉันจำขึ้นใจ. ปกหลังเป็นภาพเด็กหญิงเล็ก ๆ กับสิงโตอยู่ในอุทยาน. ดิฉันสมมุติตัวเองคือเด็กหญิงเล็ก ๆ ในภาพ. ภาพนั้นช่วยดิฉันเพ่งตาไปที่รางวัลชีวิตในโลกใหม่ของพระเจ้า.
ดิฉันเป็นเด็กไม่ค่อยกล้าแสดงออก แต่ดิฉันก็ตอบคำถามเสมอ ณ การศึกษาวารสารหอสังเกตการณ์ ที่ประชาคม แม้จะรู้สึกสั่น ๆ อยู่บ้างก็ตาม.
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ต้องพูดว่าคุณพ่อกลัวจะตกงาน จึงเลิกการติดต่อสมาคมกับพยานพระยะโฮวา. พวกพี่ชายของดิฉันก็ทำเช่นนั้นเหมือนกัน.
งานรับใช้เต็มเวลา
คุณแม่ยินดีให้ไพโอเนียร์ คือผู้เผยแพร่เต็มเวลา นำรถพ่วงของเขามาจอดพักที่ลานหลังบ้านของเรา พอโรงเรียนเลิก ดิฉันก็ออกไปประกาศกับพวกเขา. ไม่นาน ดิฉันก็อยากเป็นไพโอเนียร์ แต่คุณพ่อคัดค้านเรื่องนี้ เพราะท่านคิดว่าดิฉันน่าจะเรียนสูง ๆ. แต่คุณแม่ก็โน้มน้าวใจคุณพ่อในที่สุด จนท่านยินยอมให้ดิฉันเป็นไพโอเนียร์. ฉะนั้น เดือนมิถุนายน 1943 เมื่ออายุ 14 ปี ดิฉันได้เริ่มงานรับใช้ประเภทเต็มเวลา. เพื่อจะมีส่วนช่วยค่าใช้จ่ายในครอบครัว ดิฉันทำงานอาชีพไม่เต็มเวลา และทำเต็มเวลาเป็นครั้งคราว. กระนั้น ดิฉันก็บรรลุเป้าประจำเดือนคือ 150 ชั่วโมงในงานเผยแพร่ได้.
ต่อมา ดิฉันได้พบโดโรที เครเดน เพื่อนไพโอเนียร์คู่กับดิฉัน เธอเริ่มงานไพโอเนียร์เดือนมกราคม 1943 เมื่อเธอมีอายุ 17 ปี. เธอเคยเป็นชาวคาทอลิกที่เคร่งศาสนา แต่หลังจากศึกษาพระคัมภีร์หกเดือน เธอก็รับบัพติสมา. เธอเป็นกำลังใจและหนุนกำลังดิฉันอยู่นานหลายปี และดิฉันก็ปฏิบัติต่อเธอเช่นเดียวกัน. เรากลายเป็นเพื่อนสนิทยิ่งกว่าพี่น้องร่วมสายโลหิต.
ต้นปี 1945 เราเป็นไพโอเนียร์ทำงานด้วยกันตามเมืองเล็ก ๆ ในรัฐมิสซูรี ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีประชาคม. ที่เมืองโบว์ลิง กรีน เราได้จัดแต่งห้องโถงใหญ่ให้เป็นที่ประชุม คุณแม่ดิฉันได้มาช่วยพวกเรา. ครั้นแล้ว แต่ละสัปดาห์เราไปเยี่ยมทุกบ้านในเมือง และเชิญคนมาฟังการบรรยายสาธารณะตามที่เราได้เตรียมการให้พี่น้องชายจากเซนต์หลุยส์มาให้คำบรรยาย. มีผู้มาฟังคำบรรยายประจำสัปดาห์ประมาณ 40 ถึง 50 คน. ในเวลาต่อมา เราทำแบบเดียวกันที่ลุยเซียนา ซึ่งเราได้เช่าห้องประชุมจากสมาคมร่วมสงเคราะห์ของเมืองนั้น. เพื่อจะได้เงินจ่ายค่าเช่าห้องประชุม เราจึงตั้งกล่องรับบริจาค และทุกสัปดาห์ก็ได้รับพอเป็นค่าเช่า.
ต่อจากนั้น เราไปเมืองเม็กซิโก รัฐมิสซูรี ที่นั่นเราได้เช่าหน้าร้านแห่งหนึ่ง. เราจัดการตบแต่งซ่อมแซมห้องเพื่อประชาคมเล็ก ๆ ในเมืองนั้นจะได้ใช้. อาคารที่เราเช่านั้นมีห้องเชื่อมต่อกันและเราอาศัยอยู่ที่นั่น. นอกจากนั้น เราได้ช่วยจัดเตรียมให้มีการบรรยายสาธารณะในเมืองเม็กซิโกเช่นกัน. แล้วเราไปต่อยังเจฟเฟอร์สัน ซิตี นครหลวงประจำรัฐ ที่นี่ ทุกเช้าของวันทำงาน เราออกไปพบเจ้าหน้าที่ของรัฐ ณ ที่ทำการของเขา. เราพักที่ห้องชั้นบนของหอประชุมกับสเตลลา วิลลี ผู้ซึ่งเป็นเหมือนแม่ของเรา.
จากเมืองเจฟเฟอร์สัน ซิตี เราทั้งสามคนได้ไปยังเมืองเฟตัสและคริสตัล ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน. ห้องที่เราพักอาศัยถูกดัดแปลงมาจากเล้าไก่หลังบ้านของครอบครัวผู้สนใจ. เนื่องจากตอนนั้นไม่มีผู้ชายที่ได้รับบัพติสมา เราจึงเป็นผู้นำการประชุมทุกวาระ. เพื่อเลี้ยงชีพ เราขายเครื่องสำอาง. ทางด้านวัตถุ เรามีไม่มาก. อันที่จริง เราไม่มีเงินพอซ่อมพื้นรองเท้าด้วยซ้ำ ดังนั้น ทุกเช้าเราเอากระดาษแข็งใหม่ ๆ ปิดพื้นรองเท้าด้านใน พอตกค่ำ เราต่างก็ซักรีดกระโปรงที่เรามีใส่เพียงคนละชุดเดียว.
ช่วงต้นปี 1948 เมื่อดิฉันอายุ 19 ปี โดโรทีกับดิฉันได้รับเชิญเข้าโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียดรุ่นที่ 12 เพื่อจะเป็นมิชชันนารี. หลังจากจบหลักสูตรห้าเดือน นักเรียนหนึ่งร้อยคนก็สำเร็จการศึกษาเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1949. เวลานั้นเป็นช่วงที่มีความสุขมาก ๆ. คุณพ่อคุณแม่ของดิฉันย้ายไปรัฐแคลิฟอร์เนียแล้วตอนนั้น และคุณแม่ยังอุตส่าห์เดินทางไกลมาร่วมงานด้วย.
ไปยังเขตงานมอบหมายของเรา
นักเรียนยี่สิบแปดคนที่จบการศึกษาถูกส่งไปยังประเทศอิตาลี—หกคนซึ่งรวมทั้งดิฉันและโดโรทีด้วยไปเมืองมิลาน. วันที่ 4 มีนาคม 1949 พวกเราออกจากนิวยอร์กโดยเรือสัญชาติอิตาลีชื่อวุลคานีอา. ใช้เวลาเดินทาง 11 วัน และทะเลมีคลื่นลมแรงจนพวกเราหลายคนเมาคลื่น. บราเดอร์เบนานตีได้มาต้อนรับพวกเราที่ท่าเรือเจนัว แล้วพาพวกเรานั่งรถไฟกลับเมืองมิลาน.
เมื่อไปถึงบ้านมิชชันนารีในเมืองมิลาน เราพบว่าแต่ละห้องของพวกเรานั้นมีดอกไม้ซึ่งเด็กสาวอิตาลีนำมาตั้งไว้. หลายปีต่อมา เด็กสาวชื่อมารีอา เมราฟีนาคนนี้ได้เข้าโรงเรียนกิเลียด กลับไปอิตาลี แล้วเธอกับดิฉันได้ร่วมรับใช้ด้วยกันในบ้านมิชชันนารี!
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากไปถึงมิลานแล้ว เรามองออกนอกหน้าต่างห้องน้ำ. ตรงถนนหลังบ้านเป็นซากอาคารห้องเช่าหลังใหญ่ที่โดนระเบิด. โดยไม่ตั้งใจ เครื่องบินอเมริกันได้ทิ้งลูกระเบิดลงที่อาคารหลังนั้นเป็นเหตุให้ 80 ครอบครัวเสียชีวิตหมด. อีกครั้งหนึ่ง โรงงานแห่งหนึ่งเป็นเป้าการทิ้งระเบิด แต่ลูกระเบิดกลับไปตกในโรงเรียน ทำให้เด็ก 500 คนเสียชีวิต. ดังนั้น ประชาชนจึงไม่ค่อยชอบผู้คนจากประเทศสหรัฐอเมริกา.
ประชาชนต่างก็เบื่อระอาสงคราม. หลายคนพูดว่าหากเกิดสงครามอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาจะไม่วิ่งลงหลุมหลบภัยแต่จะเปิดท่อแก๊สฆ่าตัวตายเสียที่บ้าน. พวกเราให้คำรับรองแก่เขาว่าเราไม่ได้มาเป็นตัวแทนสหรัฐหรือรัฐบาลอื่น ๆ ที่มนุษย์ตั้งขึ้น แต่เราเป็นตัวแทนราชอาณาจักรของพระเจ้าซึ่งราชอาณาจักรนี้จะปราบสงครามทุกรูปแบบ พร้อมทั้งความทุกข์ยากที่มากับสงคราม.
ในมิลานเมืองใหญ่นี้ มีเพียงหนึ่งประชาคมซึ่งประมาณ 20 คนประชุมกันที่บ้านมิชชันนารี. สมัยนั้นยังไม่ได้จัดเขตงานประกาศ เราจึงเริ่มประกาศให้คำพยานในตึกอพาร์ตเมนต์หลังใหญ่. พอถึงห้องแรก เราได้พบนายจานดีนอตตี ซึ่งอยากให้ภรรยาลาออกจากคริสตจักร ฉะนั้น เขาจึงรับหนังสือเล่มหนึ่งจากเรา. นางจานดีนอตตีเป็นคนจริงใจ มีปัญหาถามมากมาย. เธอพูดว่า “ฉันจะดีใจมากเมื่อคุณเรียนภาษาอิตาลี แล้วคุณจะสามารถสอนพระคัมภีร์ให้ฉัน.”
อพาร์ตเมนต์ที่เขาอยู่เป็นห้องมีเพดานสูงและไฟไม่สว่าง ดังนั้น ตอนกลางคืนเธอจะเอาเก้าอี้ขึ้นตั้งบนโต๊ะเพื่อจะอยู่ใกล้ดวงไฟอ่านคัมภีร์ไบเบิล. เธอถามว่า “ถ้าฉันศึกษาพระคัมภีร์กับคุณ ฉันยังจะเข้าโบสถ์ได้ไหม?” เราบอกเธอว่านั่นก็สุดแท้แต่เธอจะตัดสินใจเอง. เช้าวันอาทิตย์เธอไปโบสถ์ พอตกบ่ายก็มาร่วมการประชุมของเรา. อยู่มาวันหนึ่งเธอบอกว่า “ฉันจะไม่เข้าโบสถ์อีกต่อไป.”
เราถามเธอว่า “ทำไม?”
“เนื่องจากโบสถ์ไม่ได้สอนคัมภีร์ไบเบิล และฉันพบความจริงด้วยการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพวกคุณ.” เธอได้รับบัพติสมาและนำการศึกษากับสตรีชาวคาทอลิกหลายคน ซึ่งเป็นพวกที่ไปโบสถ์ทุกวัน. ต่อมาเธอสารภาพกับเราว่าถ้าเราห้ามเธอไปโบสถ์ เธอคงจะเลิกศึกษาแน่ ๆ และอาจเป็นไปได้ที่ว่าเธอคงจะไม่ได้เรียนรู้ความจริง.
ถูกมอบหมายให้ไปเขตงานใหม่
ต่อมา โดโรทีกับดิฉันพร้อมด้วยมิชชันนารีอีกสี่คน ได้รับมอบหมายไปทำงานที่เมืองตริเอสเต ดินแดนของอิตาลี ซึ่งตอนนั้นกองทหารอังกฤษและสหรัฐอเมริกายึดครองอยู่. มีพยานฯประมาณสิบคนเท่านั้น แต่จำนวนนี้ได้ทวีขึ้น. พวกเราประกาศในตริเอสเตนานสามปี และตอนที่เราจากไป มีผู้ประกาศราชอาณาจักร 40 คนในจำนวนนี้ 10 คนเป็นไพโอเนียร์.
เขตงานมอบหมายถัดจากนั้นคือเมืองเวโรนา ที่นั่นไม่มีประชาคม. แต่เมื่อคริสตจักรกดดันเจ้าหน้าที่ของรัฐ เราถูกบังคับให้ออกจากเมืองนั้น. ดิฉันกับโดโรทีได้รับมอบหมายให้ไปกรุงโรม. เมื่อเราอยู่ที่นั่นก็ได้เช่าห้องมีเครื่องเรือนพร้อม และเราทำงานทั่วเขตใกล้กรุงวาติกัน. ช่วงที่เราอยู่ที่นั่น โดโรทีไปที่ประเทศเลบานอนเพื่อแต่งงานกับจอห์น ชิมิกลีส. เราเคยอยู่ด้วยกันนานเกือบ 12 ปี และดิฉันรู้สึกคิดถึงเธอจริง ๆ
ปี 1955 มีการเปิดบ้านมิชชันนารีหลังใหม่ขึ้นอีกทางด้านหนึ่งของกรุงโรมบนถนนสายที่ชื่อว่านิว แอปเพียน เวย์. มารีอา เมราฟีนา เป็นหนึ่งในสี่คนที่บ้านใหม่นี้ เธอคือเด็กสาวที่นำดอกไม้มาตั้งไว้ที่ห้องของเราคืนแรกเมื่อเราไปถึงมิลานนั่นเอง. มีการตั้งประชาคมใหม่ขึ้นในอาณาบริเวณแห่งนี้. ภายหลังการประชุมนานาชาติที่กรุงโรมในฤดูร้อนปีนั้น ดิฉันได้รับสิทธิพิเศษไปร่วมการประชุมนานาชาติที่เมืองนือเรมเบิร์ก ประเทศเยอรมนี. ช่างเป็นความตื่นเต้นเร้าใจอะไรเช่นนั้นที่ได้พบปะบุคคลซึ่งเคยอดทนการข่มเหงอย่างหนักภายใต้อำนาจการปกครองของฮิตเลอร์!
กลับสหรัฐ
ปี 1956 เนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ ดิฉันได้ลาพักแล้วเดินทางกลับประเทศสหรัฐ. แต่ดิฉันไม่เคยละสายตาจากรางวัลด้วยการรับใช้พระยะโฮวาขณะนี้และตลอดไปในโลกใหม่ของพระองค์. ดิฉันวางโครงการจะกลับอิตาลีอีก. อย่างไรก็ดี ดิฉันพบออร์วิลล์ มิเชล ซึ่งรับใช้อยู่ที่สำนักงานกลางแห่งพยานพระยะโฮวาในบรุกลิน นิวยอร์ก. เราได้แต่งงานภายหลังการประชุมนานาชาติปี 1958 ที่นครนิวยอร์ก.
ไม่นานหลังจากนั้น เราได้ย้ายไปยังฟรอนต์รอยัล รัฐเวอร์จิเนีย เราชื่นชมในงานรับใช้ร่วมกับประชาคมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง. เราอาศัยในอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กหลังหอประชุม. ในที่สุด เดือนมีนาคม 1960 เราจำเป็นต้องกลับบรุกลิน เพื่อหางานพอมีรายได้ไว้จับจ่าย. เราทำความสะอาดในเวลากลางคืนตามธนาคารหลายแห่ง เพื่อว่าเราสามารถคงงานรับใช้เต็มเวลาได้ต่อไป.
ระหว่างที่เราอยู่ที่บรุกลิน คุณพ่อของดิฉันถึงแก่ชีวิต และคุณแม่ของสามีป่วยด้วยเส้นโลหิตในสมองแตก. ดังนั้น เราจึงตกลงใจย้ายไปรัฐออเรกอนเพื่อจะอยู่ใกล้คุณแม่ของเรา. ที่นั่น เราทั้งสองได้งานที่ไม่ต้องทำเต็มเวลา เราจึงทำงานรับใช้ประเภทไพโอเนียร์ได้อย่างต่อเนื่อง. ฤดูใบไม้ร่วงปี 1964 เราขับรถพาคุณแม่ทั้งสองคนข้ามประเทศสหรัฐไปร่วมประชุมประจำปีของสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ ที่เมืองพิตส์เบิร์ก, รัฐเพนซิลเวเนีย.
ระหว่างที่เราแวะไปที่รัฐโรดไอแลนด์นั้น แอร์เลน เมียร์ ผู้ดูแลหมวดพร้อมกับภรรยาได้พูดหนุนใจเราให้ย้ายไปยังโพรวิเดนซ์ นครหลวงของรัฐ ซึ่งความต้องการผู้ประกาศราชอาณาจักรมีมากทีเดียว. คุณแม่ของเราทั้งสองต่างก็สนับสนุนเราให้รับเอางานมอบหมายใหม่นี้ ดังนั้น พอกลับถึงรัฐออเรกอน เราจัดการขายข้าวของเครื่องใช้ในบ้านส่วนใหญ่และย้ายไปที่ใหม่.
กลับไปกิเลียดอีก
ช่วงหน้าร้อนปี 1965 เราเข้าร่วมการประชุมนานาชาติที่สนามกีฬาแยงกี. ที่นั่นเราสมัครเข้าโรงเรียนกิเลียดในฐานะคู่สมรส. ประมาณหนึ่งเดือนต่อมา เราประหลาดใจมากเมื่อได้รับแบบฟอร์มใบสมัคร ซึ่งต้องส่งกลับภายใน 30 วัน. ดิฉันเป็นห่วงถึงการไปยังดินแดนอันห่างไกล เนื่องจากสุขภาพของคุณแม่ไม่ดี. แต่คุณแม่ก็พูดหนุนใจดิฉันดังนี้: “กรอกใบสมัครเหล่านั้นเสียเถอะ. ลูกก็รู้ว่าสมควรจะรับเอาสิทธิพิเศษแห่งงานรับใช้ใด ๆ เสมอตามที่พระยะโฮวาเสนอให้!”
คำพูดของคุณแม่ทำให้เรื่องลงเอยได้. เรากรอกใบสมัครเสร็จแล้วส่งไป. นับว่าเป็นเรื่องแปลกอย่างไม่คาดคิดที่เราได้รับเชิญเข้าเรียนรุ่นที่ 42 ซึ่งเริ่มวันที่ 25 เมษายน 1966! โรงเรียนกิเลียดตอนนั้นอยู่ในบรุกลิน นิวยอร์ก. ต่อมาไม่ถึงห้าเดือน พวกเราทั้ง 106 คนก็สำเร็จการศึกษาเมื่อวันที่ 11 กันยายน 1966.
ได้รับมอบหมายไปยังประเทศอาร์เจนตินา
สองวันหลังจากสำเร็จการศึกษา เรามุ่งไปสู่ประเทศอาร์เจนตินาโดยสายการบินเปรู. เมื่อไปถึงบูเอโนสไอเรส ชาลส์ ไอเซนเฮาเออร์ ผู้ดูแลสาขาได้มาพบเราที่สนามบิน. เขาได้ช่วยเราผ่านการตรวจของศุลกากร เสร็จแล้วได้นำเราไปที่สำนักงานสาขา. เรามีเวลาแค่วันเดียวเท่านั้นในการรื้อกระเป๋าเดินทางและจัดของเข้าที่ แล้วเราก็ตั้งต้นเรียนภาษาสเปน. เราเรียนภาษาสเปนวันละ 11 ชั่วโมงเฉพาะเดือนแรก. เดือนที่สอง เราเรียนภาษาวันละสี่ชั่วโมงและเริ่มออกทำงานเผยแพร่.
เราอยู่ที่กรุงบูเอโนสไอเรสห้าเดือนแล้วถูกมอบหมายไปยังเมืองโรซาริโอ เมืองใหญ่ซึ่งอยู่ทางเหนือของประเทศ ถ้าไปรถไฟประมาณสี่ชั่วโมง. หลังจากทำงานรับใช้ที่นั่น 15 เดือน เราถูกส่งขึ้นเหนือไปที่เมืองซานติอาโก เดล เอสเตโร อันเป็นจังหวัดตั้งอยู่ในทะเลทรายที่ร้อนระอุ. ระหว่างอยู่ที่นั่น เดือนมกราคม 1973 คุณแม่ของดิฉันตาย. ดิฉันไม่ได้พบท่านเป็นเวลาสี่ปี. สิ่งที่ช่วยค้ำจุนดิฉันระหว่างเศร้าโศกก็คือความหวังอันแน่นอนเรื่องการเป็นขึ้นจากตายและความอิ่มใจที่รู้ว่าดิฉันได้รับใช้ตามที่คุณแม่ต้องการ.—โยฮัน 5:28, 29; กิจการ 24:15.
ประชาชนในเมืองซานติอาโก เดล เอสเตโรมีอัธยาศัยดี และง่ายที่จะเริ่มการศึกษาพระคัมภีร์. เมื่อเราไปถึงในปี 1968 มีราว 20 หรือ 30 คนเข้าร่วมการประชุม แต่แปดปีต่อมา ประชาคมของเรามีผู้เข้าร่วมมากกว่าหนึ่งร้อยคน. นอกจากนี้ มีการตั้งประชาคมใหม่สองประชาคมในเมืองที่อยู่ไม่ไกลออกไป ซึ่งมีผู้ประกาศระหว่าง 25 ถึง 50 คน.
กลับมาที่สหรัฐอีก
เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ ปี 1976 เราจึงกลับสหรัฐและถูกมอบหมายเป็นไพโอเนียร์ที่ฟาเยตต์วิลล์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา. ผู้คนมากมายในเมืองนี้พูดภาษาสเปนซึ่งมาจากอเมริกากลาง, อเมริกาใต้, จากสาธารณรัฐโดมินิกัน, เปอร์โตริโก และจากประเทศสเปนด้วยซ้ำ. เรานำการศึกษาพระคัมภีร์หลายราย และไม่นานต่อมาก็มีการตั้งประชาคมที่ใช้ภาษาสเปน. เราใช้เวลาอยู่ที่เขตมอบหมายแห่งนี้เกือบแปดปี.
อย่างไรก็ดี เราจำเป็นต้องอยู่ใกล้คุณแม่ของสามีซึ่งชรามากและทุพพลภาพ. เธออยู่ที่เมืองพอร์ตแลนด์, รัฐออเรกอน. ดังนั้น เราจึงถูกมอบหมายให้ไปที่ใหม่คือประชาคมสเปนในแวนคูเวอร์, รัฐวอชิงตัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลพอร์ตแลนด์. ประชาคมนี้ยังเป็นประชาคมเล็ก ๆ เมื่อเราถึงที่นั่นเดือนธันวาคม 1983 แต่เราพบคนสนใจใหม่ ๆ หลายคนเข้าร่วมประชุม.
เดือนมิถุนายน 1996 ดิฉันทำงานรับใช้เต็มเวลาครบ 53 ปีเต็ม และสามีรับใช้ครบ 55 ปีเมื่อวันที่ 1 มกราคม 1996. ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ดิฉันมีสิทธิพิเศษได้ช่วยหลายร้อยคนให้มีความรู้เรื่องความจริงจากพระคำของพระเจ้าและพวกเขาได้อุทิศชีวิตของตนแด่พระยะโฮวา. เวลานี้มีหลายคนในจำนวนนี้ปฏิบัติงานในฐานะผู้ปกครองและผู้เผยแพร่เต็มเวลา.
บางครั้งมีคนถามดิฉันว่าไม่คิดเสียดายบ้างหรือที่ไม่มีลูก. ความจริงคือ พระยะโฮวาทรงอวยพรดิฉัน ทรงโปรดให้ดิฉันมีลูกหลานฝ่ายวิญญาณมากมาย. ตามจริงแล้ว ชีวิตดิฉันมีความหมายและมีบำเหน็จบริบูรณ์จากงานรับใช้พระยะโฮวา. ดิฉันรู้สึกเหมือนลูกสาวยิพธาซึ่งใช้ชีวิตของเธอปฏิบัติงานในพระวิหาร และไม่เคยมีบุตรเนื่องด้วยสิทธิพิเศษประเสริฐยิ่งของเธอในงานรับใช้.—วินิจฉัย 11:38-40.
ดิฉันยังคงจดจำการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาเมื่อดิฉันเป็นแค่เด็กหญิงเล็ก ๆ คนหนึ่ง. ภาพอุทยานยังคงแจ่มชัดอยู่ในจิตใจดิฉันเหมือนครั้งกระโน้น. ดิฉันยังคงเพ่งตาและจดจ่ออยู่ที่รางวัลคือชีวิตตลอดกาลนานในโลกใหม่ของพระเจ้า. ใช่แล้ว ความปรารถนาของดิฉันคือจะรับใช้พระยะโฮวา ไม่ใช่เพียง 50 ปีเศษ ๆ แต่ชั่วนิรันดร์—ภายใต้การปกครองราชอาณาจักรของพระองค์.
[รูปภาพหน้า 23]
โดโรที เครเดน คนวางมือบนบ่าดิฉันและเพื่อนไพโอเนียร์ปี 1943
[รูปภาพหน้า 23]
ที่โรม, อิตาลี ถ่ายร่วมกับเพื่อนมิชชันนารี ปี 1953
[รูปภาพหน้า 23]
ถ่ายกับสามี