จงให้ความรักฉันพี่น้องมีอยู่ต่อไป!
“จงให้ความรักฉันพี่น้องมีอยู่ต่อไป.”—เฮ็บราย 13:1, ล.ม.
1. คุณจะทำอะไรเพื่อให้ไฟลุกอยู่ตลอดคืนอันหนาวเหน็บ และเราทุกคนมีหน้าที่อะไรคล้าย ๆ กัน?
ข้างนอกหนาวเหน็บ และอุณหภูมิกำลังลดลงอย่างฮวบฮาบ. แหล่งความร้อนแห่งเดียวในบ้านคุณได้แก่ไฟที่ลุกโพลงอยู่ในเตาผิง. ชีวิตของหลายคนขึ้นอยู่กับการที่คุณคอยเติมเชื้อไฟอยู่เรื่อย ๆ. คุณจะเพียงแต่นั่งและมองดูเปลวไฟวอดลงและถ่านแดงค่อย ๆ มอดดับกลายเป็นกองขี้เถ้าไปอย่างนั้นไหม? ไม่ใช่แน่ ๆ. คุณจะคอยเติมเชื้อไฟอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อให้ไฟลุกอยู่ตลอด. ในแง่หนึ่ง เราแต่ละคนมีงานที่ต้องทำคล้าย ๆ กันเมื่อพูดกันในเรื่อง “ไฟ” ที่สำคัญกว่ามาก—ไฟที่ควรลุกโชนอยู่ในหัวใจของเรา—นั่นคือ ความรัก.
2. (ก) เหตุใดอาจกล่าวได้ว่าความรักเยือกเย็นไปในสมัยสุดท้ายนี้? (ข) ความรักสำคัญอย่างไรต่อคริสเตียนแท้?
2 ตามที่พระเยซูบอกล่วงหน้าไว้นานแล้ว เรามีชีวิตอยู่ในเวลาซึ่งความรักกำลังเย็นลงในหมู่คนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนตลอดทั่วโลก. (มัดธาย 24:12) ความรักที่พระเยซูตรัสถึงนี้เป็นแบบที่สำคัญที่สุด นั่นคือความรักต่อพระยะโฮวาพระเจ้าและต่อคัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระองค์. ความรักแบบอื่น ๆ ก็กำลังถดถอยด้วย. คัมภีร์ไบเบิลบอกล่วงหน้าว่า ใน “สมัยสุดท้าย” หลายคนจะ “ไม่มีความรักใคร่ตามธรรมชาติ.” (2 ติโมเธียว 3:1-5, ล.ม.) ช่างเป็นจริงอะไรอย่างนี้! ครอบครัวควรเป็นที่พักพิงอันเปี่ยมด้วยความรักใคร่ตามธรรมชาติ ทว่าแม้แต่ในครอบครัวนี่แหละที่ความรุนแรงและการทำร้ายร่างกาย—บางครั้งโหดร้ายอย่างน่าตกใจ—กลายเป็นเรื่องธรรมดา. กระนั้น ในบรรยากาศเย็นชาของโลกนี้ คริสเตียนได้รับพระบัญชาไม่เพียงแต่ให้รักกันและกัน แต่ให้มีความรักอย่างเสียสละตัวเอง คิดถึงผู้อื่นมากกว่าตัวเอง. เราต้องแสดงความรักแบบนี้จนทุกคนสามารถเห็นได้ จึงได้เป็นเครื่องหมายระบุตัวประชาคมคริสเตียนแท้.—โยฮัน 13:34, 35.
3. ความรักฉันพี่น้องคืออะไร และหมายความเช่นไรที่จะรักษาความรักฉันพี่น้องให้มีอยู่ต่อไป?
3 อัครสาวกเปาโลได้รับการดลใจให้สั่งดังนี้: “จงให้ความรักฉันพี่น้องมีอยู่ต่อไป.” (เฮ็บราย 13:1, ล.ม.) ตามหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเขียนโดยผู้คงแก่เรียน คำกรีกที่ได้รับการแปลในที่นี้ว่า “ความรักฉันพี่น้อง” (ฟิลาเดลเฟียʹ) “หมายถึงความรักใคร่ชอบพอ, การแสดงความกรุณา, ความร่วมรู้สึก, การเสนอความช่วยเหลือ.” และเปาโลหมายความเช่นไรเมื่อท่านกล่าวว่า เราควรให้ความรักเช่นนั้นมีอยู่ต่อไป? หนังสือเล่มเดียวกันกล่าวอีกว่า “ความรักนี้ไม่ควรเย็นชาไป.” ดังนั้น ไม่พอที่จะรู้สึกรักใคร่พี่น้องของเรา; เราต้องแสดงออกมาให้เห็น. ยิ่งกว่านั้น เราต้องทำให้ความรักนี้ยืนนาน ไม่ปล่อยให้ค่อย ๆ จืดจางไป. ทำได้ยากไหม? ใช่แล้ว แต่พระวิญญาณของพระยะโฮวาสามารถช่วยเราให้ปลูกฝังความรักใคร่ฉันพี่น้องและรักษาความรักนี้ไว้. ให้เราพิจารณาสามวิธีที่จะเติมเชื้อไฟแห่งความรักแบบนี้ในหัวใจเรา.
จงแสดงความเห็นอกเห็นใจ
4. ความเห็นอกเห็นใจคืออะไร?
4 หากคุณต้องการแสดงความรักมากขึ้นต่อคริสเตียนพี่น้องชายหญิง ก่อนอื่นคุณอาจจำเป็นต้องรู้สึกเห็นอกเห็นใจพวกเขา เอาใจเขามาใส่ใจเราในเรื่องการทดลองและข้อท้าทายต่าง ๆ ที่เขาเผชิญในชีวิต. อัครสาวกเปโตรเสนอแนะเรื่องนี้เมื่อท่านเขียนว่า “ท่านทั้งหลายทุกคน จงมีความคิดจิตใจอย่างเดียวกัน, แสดงความเห็นอกเห็นใจ, มีความรักใคร่ฉันพี่น้อง, ความเมตตารักใคร่อันอ่อนละมุน, จิตใจถ่อม.” (1 เปโตร 3:8, ล.ม.) คำกรีกที่ใช้ในที่นี้สำหรับ “แสดงความเห็นอกเห็นใจ” ส่อนัยถึง “การร่วมรับทุกข์ด้วยกัน.” แหล่งอ้างอิงหนึ่งเกี่ยวกับภาษากรีกในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงคำนี้ว่า “คำนี้พรรณนาสภาพจิตใจเมื่อเราเข้าไปมีส่วนร่วมในความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นราวกับว่า เขาเป็นตัวเราเอง.” ฉะนั้น ความเห็นอกเห็นใจเป็นสิ่งจำเป็น. ครั้งหนึ่งผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งของพระยะโฮวาซึ่งสูงอายุแล้วกล่าวว่า “ความเห็นอกเห็นใจก็คือความเจ็บปวดของคุณในหัวใจของผม.”
5. เราทราบได้อย่างไรว่าพระยะโฮวาทรงเห็นอกเห็นใจ?
5 พระยะโฮวาทรงมีความเห็นอกเห็นใจเช่นนี้ไหม? แน่นอนที่สุด. ตัวอย่างเช่น เราอ่านเรื่องความลำบากของยิศราเอลไพร่พลของพระองค์ดังนี้: “พระองค์ทรงทุกข์พระทัยในความทุกข์ใจทั้งสิ้นของเขา.” (ยะซายา 63:9, ฉบับแปลใหม่) พระยะโฮวาไม่เพียงแต่ทอดพระเนตรความเดือดร้อนของพวกเขา; พระองค์ทรงรู้สึกไปกับเหล่าประชา. พระองค์ทรงรู้สึกแรงกล้าเพียงใดดูได้จากคำตรัสของพระยะโฮวาเองต่อไพร่พลพระองค์ ดังบันทึกที่ซะคาระยา 2:8 ดังนี้: “ผู้ใดได้ต้องท่านก็ได้ต้องดวงตาของตน [“ของเรา,” ล.ม.].”a ผู้อรรถาธิบายคนหนึ่งให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับข้อนี้ว่า “ตาเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนและบอบบางที่สุดอย่างหนึ่งในร่างกายมนุษย์; และรูม่านตา—ช่องเปิดซึ่งรับแสงเข้าไปเพื่อทำให้เกิดภาพขึ้น—เป็นส่วนที่สำคัญและบอบบางที่สุดของโครงสร้างนั้น. ไม่มีสิ่งใดที่อาจถ่ายทอดความคิดได้ละเอียดพอในเรื่องความละมุนละไมหาใดเทียมไม่ได้ของพระยะโฮวาในการเอาพระทัยใส่ต่อผู้ที่พระองค์ทรงรัก.”
6. พระเยซูทรงแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างไร?
6 พระเยซูก็เช่นกันทรงแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างลึกซึ้งอยู่เสมอ. หลายครั้งหลายคราที่พระองค์ทรง “สงสาร” สภาพย่ำแย่ของเพื่อนมนุษย์ซึ่งป่วยหรือเดือดร้อน. (มาระโก 1:41; 6:34, ล.ม.) พระองค์ทรงแสดงว่า เมื่อใครปฏิบัติอย่างไม่กรุณาต่อสาวกผู้ถูกเจิมของพระองค์ พระองค์ทรงรู้สึกราวกับว่าพระองค์เองกำลังถูกกระทำเช่นนั้น. (มัดธาย 25:41-46) และปัจจุบัน ฐานะเป็น “มหาปุโรหิต” ฝ่ายสวรรค์ของเรา พระองค์ทรงเป็นผู้ที่สามารถ “ร่วมรู้สึกถึงความอ่อนแอของเรา.”—เฮ็บราย 4:15, ล.ม.
7. ความเห็นอกเห็นใจอาจช่วยเราอย่างไรเมื่อพี่น้องชายหรือหญิงทำให้เราขุ่นเคือง?
7 “ร่วมรู้สึกถึงความอ่อนแอของเรา”—นั่นเป็นความคิดที่หนุนกำลังใจมิใช่หรือ? เมื่อเป็นเช่นนี้ เราย่อมต้องการปฏิบัติต่อกันและกันแบบเดียวกัน. แน่นอน นับว่าง่ายกว่ามากที่จะมองข้ออ่อนแอของกันและกัน. (มัดธาย 7:3-5) แต่คราวต่อไปที่พี่น้องชายหญิงทำให้คุณขุ่นเคืองใจ ทำไมไม่พยายามทำอย่างนี้ล่ะ? นึกภาพตัวคุณเองว่าอยู่ในสภาพการณ์ของคนนั้น, มีภูมิหลังอย่างนั้น, บุคลิกภาพอย่างนั้น, และมีข้อบกพร่องส่วนตัวหลายอย่างที่ต้องเอาชนะ. คุณมั่นใจได้ไหมว่าคุณจะไม่ทำผิดพลาดแบบเดียวกัน—หรืออาจแย่ยิ่งกว่านั้นเสียอีก? แทนที่จะคาดหมายมากเกินไปจากคนอื่น เราควรแสดงความเห็นอกเห็นใจซึ่งจะช่วยเราให้มีเหตุผล เช่นเดียวกับพระยะโฮวาผู้ ‘ทรงระลึกอยู่ว่าเราเป็นแต่ผงคลีดิน.’ (บทเพลงสรรเสริญ 103:14; ยาโกโบ 3:17, ล.ม.) พระองค์ทรงทราบข้อจำกัดของเรา. พระองค์ไม่เคยคาดหมายจากเราเกินกว่าที่เราสามารถทำได้อย่างสมเหตุสมผล. (เทียบกับ 1 กษัตริย์ 19:5-7.) ให้เราทุกคนแสดงความเห็นอกเห็นใจเช่นนั้นแก่คนอื่น ๆ.
8. เราควรมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อพี่น้องชายหรือหญิงกำลังประสบทุกข์บางอย่าง?
8 เปาโลเขียนว่าประชาคมเป็นเช่นร่างกาย ซึ่งมีอวัยวะหลากหลายที่ต้องทำงานประสานเป็นหนึ่งเดียว. ท่านกล่าวอีกว่า “ถ้าอวัยวะอันหนึ่งเจ็บ, อวัยวะทั้งปวงก็พลอยเจ็บด้วยกัน.” (1 โกรินโธ 12:12-26) เราจำต้องทนทุกข์ด้วยกัน หรือเห็นอกเห็นใจคนที่กำลังทนการทดลองหรือประสบการณ์ที่หนักหน่วง. ผู้ปกครองนำหน้าในการทำเช่นนี้. เปาโลเขียนด้วยว่า “มีใครบ้างเป็นคนอ่อนกำลังและข้าพเจ้าไม่ได้แสดงตัวเป็นคนอ่อนกำลัง? มีใครบ้างที่ถูกนำให้สะดุดและข้าพเจ้าไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนด้วย?” (2 โกรินโธ 11:29) ผู้ปกครองและผู้ดูแลเดินทางเลียนแบบเปาโลในเรื่องนี้. ในคำบรรยายต่าง ๆ, ในงานบำรุงเลี้ยง, และแม้แต่ในการพิจารณาตัดสินความ พวกเขาพยายามที่จะแสดงความเห็นอกเห็นใจ. เปาโลแนะนำดังนี้: “จงร้องไห้ด้วยกันกับผู้ที่ร้องไห้.” (โรม 12:15) เมื่อแกะรู้สึกว่าผู้บำรุงเลี้ยงร่วมความรู้สึกกับเขาอย่างแท้จริง, เข้าใจข้อจำกัดต่าง ๆ ของเขา, และร่วมรู้สึกในความลำบากที่เขาเผชิญอยู่ เขาก็มักจะเต็มใจยิ่งขึ้นในการรับเอาคำแนะนำ, การชี้แนะ, และการตีสอน. พวกเขาเข้าร่วมการประชุมอย่างกระตือรือร้น มั่นใจว่าพวกเขาจะพบ ‘ความสดชื่นสำหรับจิตวิญญาณของตน.’—มัดธาย 11:29, ล.ม.
การแสดงความหยั่งรู้ค่า
9. พระยะโฮวาทรงแสดงอย่างไรว่าพระองค์หยั่งรู้ค่าสิ่งดีในตัวเรา?
9 วิธีที่สองที่จะเติมเชื้อไฟแห่งความรักฉันพี่น้องคือโดยการแสดงความหยั่งรู้ค่า. เพื่อจะหยั่งรู้ค่าคนอื่น เราต้องเพ่งเล็งและเห็นคุณค่าคุณลักษณะและความพยายามที่ดีของพวกเขา. เมื่อเราทำดังนั้น เราก็เลียนแบบพระยะโฮวาทีเดียว. (เอเฟโซ 5:1) พระองค์ทรงให้อภัยที่เราทำบาปเล็ก ๆ น้อย ๆ มากมายในแต่ละวัน. พระองค์ทรงให้อภัยแม้กระทั่งบาปร้ายแรง ตราบที่มีการกลับใจอย่างแท้จริง. ครั้นพระองค์ทรงให้อภัยบาปของเราแล้ว พระองค์ไม่ทรงจดจำการบาปทั้งหลายของเรา. (ยะเอศเคล 33:14-16) ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญถามดังนี้: “ถ้าหากพระองค์จะทรงจดจำการอสัตย์อธรรมทั้งหมดไว้, ใครจะทนไหว?” (บทเพลงสรรเสริญ 130:3) สิ่งที่พระยะโฮวาทรงเพ่งเล็งคือสิ่งดีต่าง ๆ ที่เราทำในการรับใช้พระองค์.—เฮ็บราย 6:10.
10. (ก) เหตุใดจึงอันตรายที่คู่สมรสอาจสูญเสียความหยั่งรู้ค่าต่อกัน? (ข) คนที่ขาดความหยั่งรู้ค่าต่อคู่ของตนควรทำอะไร?
10 นับว่าสำคัญเป็นพิเศษที่จะติดตามตัวอย่างนี้ในครอบครัว. เมื่อบิดามารดาแสดงให้เห็นว่าหยั่งรู้ค่ากันและกัน ทั้งสองก็วางแบบอย่างเอาไว้สำหรับครอบครัว. ในยุคนี้ที่คู่สมรสอยู่ด้วยกันไม่ค่อยจะยืด ช่างง่ายเหลือเกินที่จะเย็นชาต่อคู่ของตน อีกทั้งขยายข้อบกพร่องและลดความสำคัญของลักษณะนิสัยที่ดีของกันและกันเสีย. ความคิดในแง่ลบเช่นนั้นเซาะกร่อนทำให้ชีวิตสมรสกลายเป็นภาระที่ไม่น่ายินดี. หากความหยั่งรู้ค่าคู่ของคุณลดน้อยลง จงถามตัวเองว่า ‘คู่สมรสของฉันไร้คุณสมบัติที่ดีจริง ๆ หรือ?’ คิดย้อนไปถึงเหตุผลที่คุณมีความรักแล้วแต่งงานกัน. เหตุผลเหล่านี้ที่ทำให้คุณรักคนซึ่งพิเศษกว่าใครอื่นคนนี้หายไปหมดแล้วจริง ๆ หรือ? ไม่ใช่อย่างนั้นแน่; ดังนั้น จงพยายามอย่างหนักที่จะหยั่งรู้ค่าจุดดีในตัวคู่สมรส และแสดงความหยั่งรู้ค่าของคุณออกมาเป็นคำพูด.—สุภาษิต 31:28.
11. เพื่อที่ความรักในชีวิตสมรสจะปราศจากความหน้าซื่อใจคด ต้องหลีกเลี่ยงการกระทำอะไรบ้าง?
11 ความหยั่งรู้ค่ายังช่วยคู่สมรสรักษาความรักของตนให้ปราศจากความหน้าซื่อใจคดด้วย. (เทียบกับ 2 โกรินโธ 6:6; 1 เปโตร 1:22.) ความรักเช่นนั้นซึ่งได้ถูกกระตุ้นโดยความหยั่งรู้ค่าจากหัวใจ จะไม่เปิดช่องให้กับการกระทำทารุณแบบที่คนอื่นไม่รู้เห็น, ไม่เปิดช่องให้กับคำพูดที่ทำร้ายความรู้สึกและลบหลู่, ไม่เปิดช่องให้กับการไม่แยแสสนใจคู่ของตน โดยปล่อยให้วันแล้ววันเล่าผ่านไปโดยไม่มีการพูดจาอย่างกรุณาและสุภาพ, และแน่นอน จะไม่เปิดช่องให้กับความรุนแรงทางกายด้วย. (เอเฟโซ 5:28, 29) สามีและภรรยาที่หยั่งรู้ค่าต่อกันอย่างแท้จริงจะให้เกียรติกันและกัน. ทั้งสองทำเช่นนั้นไม่เพียงเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ แต่เมื่อไรก็ตามที่อยู่ในสายพระเนตรพระยะโฮวา—นั่นคือ ตลอดเวลา.—สุภาษิต 5:21.
12. เพราะเหตุใดบิดามารดาควรแสดงความหยั่งรู้ค่าต่อสิ่งดีในตัวบุตร?
12 เด็ก ๆ ก็เช่นกันต้องการให้ผู้อื่นเห็นค่าของเขา. นี่ไม่ได้หมายความว่าบิดามารดาควรยกยอปอปั้นพวกเขา แต่ควรชมเชยคุณลักษณะที่น่าชมเชยของลูก ๆ รวมทั้งสิ่งที่ดีอย่างแท้จริงที่พวกเขาทำ. จงระลึกถึงตัวอย่างของพระยะโฮวาในการแสดงความพอพระทัยในพระเยซู. (มาระโก 1:11) ระลึกถึงตัวอย่างของพระเยซูด้วยซึ่งถูกเปรียบเป็น “นาย” ในอุทาหรณ์เรื่องหนึ่ง. พระองค์ทรงชมเชย “บ่าวซื่อตรงดี” สองคนเท่า ๆ กัน แม้ว่ามีความแตกต่างกันในสิ่งที่แต่ละคนได้รับมอบและในผลที่แต่ละคนก่อให้เกิดขึ้นซึ่งก็แตกต่างตามสัดส่วนที่ได้รับ. (มัดธาย 25:20-23; เทียบกับมัดธาย 13:23.) บิดามารดาที่ฉลาดก็จะทำแบบเดียวกัน คือหาวิธีแสดงความหยั่งรู้ค่าต่อคุณลักษณะ, ความสามารถ, และความสำเร็จผลเฉพาะตัวของลูกแต่ละคน. ขณะเดียวกัน เขาพยายามไม่เน้นความสำเร็จผลมากเกินไปจนลูก ๆ รู้สึกถูกผลักดันให้ต้องเก่งกว่าคนอื่นอยู่เสมอ. เขาไม่ต้องการให้ลูก ๆ เติบโตขึ้นมากลายเป็นคนขี้หงุดหงิดหรือหมดกำลังใจ.—เอเฟโซ 6:4; โกโลซาย 3:21.
13. ใครที่นำหน้าในการแสดงความหยั่งรู้ค่าต่อสมาชิกแต่ละคนของประชาคม?
13 ในประชาคมคริสเตียน ผู้ปกครองและผู้ดูแลเดินทางนำหน้าในการแสดงความหยั่งรู้ค่าต่อสมาชิกแต่ละคนแห่งฝูงแกะของพระเจ้า. ฐานะหน้าที่ของพวกเขานับว่าหนักทีเดียว เพราะพวกเขายังต้องแบกความรับผิดชอบหนักที่จะตีสอนในความชอบธรรม, ปรับแก้คนที่ทำผิดด้วยน้ำใจอ่อนสุภาพ, และให้คำแนะนำที่หนักแน่นแก่คนที่จำเป็นต้องได้รับด้วย. พวกเขาทำหน้าที่รับผิดชอบที่แตกต่างกันเหล่านี้อย่างสมดุลได้อย่างไร?—ฆะลาเตีย 6:1; 2 ติโมเธียว 3:16.
14, 15. (ก) เปาโลแสดงความสมดุลอย่างไรในเรื่องการให้คำแนะนำอย่างแรง? (ข) คริสเตียนผู้ดูแลสามารถรักษาสมดุลอย่างไรระหว่างความจำเป็นที่จะแก้ไขการกระทำผิดกับความจำเป็นที่จะให้คำชมเชย? จงยกตัวอย่างประกอบ.
14 ตัวอย่างของเปาโลช่วยได้มาก. ท่านเป็นครู, ผู้ปกครอง, และผู้บำรุงเลี้ยงที่โดดเด่น. ท่านต้องจัดการกับประชาคมที่มีปัญหาร้ายแรงบางประการ และท่านไม่ยอมให้ความกลัวมายับยั้งการให้คำแนะนำแรง ๆ เมื่อจำเป็น. (2 โกรินโธ 7:8-11) เมื่อมองภาพรวมแห่งการรับใช้ของเปาโลแล้ว จะเห็นว่าท่านใช้คำว่ากล่าวติเตียนอย่างจำกัด—เฉพาะเมื่อสถานการณ์ทำให้จำเป็นหรือเหมาะที่จะทำดังนั้น. โดยการทำเช่นนี้ ท่านแสดงสติปัญญาแบบพระเจ้า.
15 หากการรับใช้ของผู้ปกครองต่อประชาคมเปรียบได้กับงานดนตรีชิ้นหนึ่ง คำตำหนิและการว่ากล่าวก็คงเป็นเหมือนโน้ตดนตรีตัวหนึ่งที่ประกอบเป็นส่วนของดนตรีทั้งหมด. โน้ตนั้นเหมาะเจาะในตำแหน่งของมัน. (ลูกา 17:3; 2 ติโมเธียว 4:2) ลองนึกถึงเพลงสักเพลงหนึ่งซึ่งมีแต่โน้ตตัวนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก. เพลงนั้นคงทำให้เรารู้สึกระคายหูอย่างรวดเร็ว. ในทำนองเดียวกัน คริสเตียนผู้ปกครองพยายามทำให้การสอนของตนครบถ้วนสมบูรณ์และทำให้การสอนนั้นมีความหลากหลาย. พวกเขาไม่จำกัดการสอนไว้เฉพาะแต่การแก้ไขปัญหา. แทนที่จะเป็นดังนั้น ลักษณะโดยรวมของการสอนของเขาเป็นในทางเสริมสร้าง. เช่นกับพระเยซูคริสต์ ผู้ปกครองที่เปี่ยมด้วยความรักมองหาส่วนดีที่จะชมเชยก่อน ไม่ใช่ข้อบกพร่องที่จะวิจารณ์. พวกเขาหยั่งรู้ค่างานหนักที่เพื่อนคริสเตียนทำอยู่. พวกเขามั่นใจว่าโดยทั่วไปแล้ว แต่ละคนกำลังทำดีที่สุดเท่าที่ทำได้เพื่อรับใช้พระยะโฮวา. และผู้ปกครองควรพร้อมเสมอจะแสดงความรู้สึกออกมาทางคำพูด.—เทียบกับ 2 เธซะโลนิเก 3:4.
16. เจตคติที่มีความหยั่งรู้ค่าและเห็นอกเห็นใจของเปาโลมีผลเช่นไรต่อเพื่อนคริสเตียนของท่าน?
16 ไม่มีข้อสงสัยที่ว่า คริสเตียนส่วนใหญ่ที่เปาโลรับใช้รู้สึกได้ว่าท่านหยั่งรู้ค่าพวกเขาและเห็นอกเห็นใจพวกเขา. เราทราบเช่นนี้ได้อย่างไร? ก็ดูว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรต่อเปาโลก็แล้วกัน. พวกเขาไม่ได้กลัวท่าน แม้ว่าท่านมีตำแหน่งสูง. ท่านเป็นที่รักยิ่งและเข้าหาได้ง่าย. เช่นตอนที่ท่านจะจากท้องถิ่นแห่งหนึ่งไป เหล่าผู้ปกครอง ‘ก้มหน้าลงที่คอของท่านและจูบท่านอย่างนุ่มนวล’! (กิจการ 20:17, 37) เหล่าผู้ปกครอง—และเราทุกคน—ควรรู้สึกขอบคุณสักเพียงไรที่เรามีตัวอย่างของเปาโลให้เลียนแบบ! ใช่แล้ว ให้เราแสดงความหยั่งรู้ค่าต่อกันและกัน.
การกระทำด้วยความรักกรุณา
17. ผลดีอะไรบ้างที่เกิดจากการกระทำที่กรุณาในประชาคม?
17 เชื้อไฟที่ทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับความรักฉันพี่น้องได้แก่การกระทำอย่างกรุณาซึ่งเป็นแบบธรรมดา ๆ. ดังพระเยซูตรัส “การให้ทำให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ.” (กิจการ 20:35, ล.ม.) ไม่ว่าเราให้ทางฝ่ายวิญญาณ, ทางวัตถุ, หรือจะเป็นการให้เวลาและพลังงาน ไม่เพียงแต่เราทำให้ผู้อื่นมีความสุข แต่เราจะทำให้ตัวเองได้รับความสุขด้วย. ในประชาคม ความกรุณากระตุ้นผู้อื่นให้แสดงความกรุณาเช่นเดียวกัน. การกระทำที่กรุณาอย่างหนึ่งทำให้เกิดการกระทำคล้าย ๆ กันสืบต่อไปเรื่อย ๆ. ไม่ช้า ความรักใคร่ฉันพี่น้องก็งอกงาม!—ลูกา 6:38.
18. ความหมายของ “ความกรุณา” ซึ่งมีกล่าวไว้ที่มีคา 6:8 คืออะไร?
18 พระยะโฮวาทรงกระตุ้นเตือนยิศราเอลไพร่พลของพระองค์ให้แสดงความกรุณา. ที่มีคา 6:8 (ล.ม.) เราอ่านดังนี้: “มนุษย์เอ๋ย พระองค์ทรงบอกเจ้าแล้วว่าอะไรดี. และอะไรคือสิ่งที่พระยะโฮวาทรงเรียกคืนจากเจ้านอกจากสำแดงความยุติธรรมและรักความกรุณาและเจียมตนในการดำเนินกับพระเจ้าของเจ้า?” หมายความเช่นไรที่ให้ “รักความกรุณา”? คำฮีบรูในที่นี้สำหรับ “ความกรุณา” (เชʹเสดห์ ) ยังได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษซึ่งมีความหมายว่า “ความเมตตา” ด้วย. ตามที่ชี้แจงในหนังสือพระธรรมแห่งคัมภีร์ไบเบิลของซอนซิโน คำนี้ “บ่งถึงบางสิ่งที่เป็นเชิงปฏิบัติการมากกว่าคำในภาษาอังกฤษที่หมายถึงความเมตตา ซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรม. คำนี้หมายความว่า ‘ความเมตตาซึ่งถูกแปลงเป็นการกระทำ’ การแสดงออกซึ่งความรักกรุณาเป็นส่วนตัว ไม่เฉพาะต่อคนยากจนและขัดสน แต่ต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งสิ้น.” ด้วยเหตุนี้ ผู้คงแก่เรียนอีกคนหนึ่งกล่าวว่า เชʹเสดห์ หมายถึง “ความรักซึ่งถูกแปลงเป็นการกระทำ.”
19. (ก) เราอาจริเริ่มในทางใดบ้างเพื่อแสดงความกรุณาต่อคนอื่นในประชาคม? (ข) จงให้สักตัวอย่างหนึ่งถึงวิธีที่มีการแสดงความรักฉันพี่น้องต่อคุณ.
19 ความรักฉันพี่น้องของเราไม่เป็นเพียงทฤษฎีหรือเป็นนามธรรม. ความรักฉันพี่น้องเป็นความจริงอันเป็นรูปธรรม. ฉะนั้น จงมองหาวิธีที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นความกรุณาต่อพี่น้องชายหญิงของคุณ. จงเป็นเหมือนพระเยซูผู้ไม่เพียงแต่คอยให้ประชาชนเข้ามาหาพระองค์เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่บ่อยครั้งพระองค์เองเป็นฝ่ายริเริ่ม. (ลูกา 7:12-16) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จงคิดถึงคนที่อยู่ในสภาพซึ่งต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด. มีผู้สูงอายุหรือคนป่วยไหมที่ควรไปเยี่ยมหรือบางทีอาจช่วยทำธุระต่าง ๆ ให้? มีคนที่เป็น “ลูกกำพร้าพ่อ” ซึ่งต้องการเวลาและการเอาใจใส่ไหม? มีคนที่ซึมเศร้าซึ่งต้องการมีคนที่พร้อมรับฟังหรือพูดปลอบโยนไหม? เท่าที่เราทำได้ ให้เราจัดเวลาเพื่อแสดงความกรุณาเช่นนั้น. (โยบ 29:12; 1 เธซะโลนิเก 5:14; ยาโกโบ 1:27) อย่าลืมว่าในประชาคมซึ่งทุกคนล้วนไม่สมบูรณ์ การแสดงความกรุณาที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งได้แก่การให้อภัย—ขจัดความขุ่นเคืองออกไปอย่างใจกว้าง แม้เมื่อมีสาเหตุที่ชอบด้วยเหตุผลจะบ่นว่า. (โกโลซาย 3:13) การอยู่พร้อมจะให้อภัยช่วยป้องกันประชาคมไว้จากการแตกแยก, ความผูกใจเจ็บ, และความบาดหมาง ซึ่งเป็นเช่นผ้าห่มเปียกน้ำที่ดับไฟแห่งความรักฉันพี่น้อง.
20. เราทุกคนควรตรวจสอบตัวเองอยู่เสมออย่างไร?
20 ให้เราทุกคนตั้งใจแน่วแน่จะรักษาไฟแห่งความรักที่สำคัญยิ่งนี้ให้ลุกโชนอยู่ในหัวใจเรา. ให้เราตรวจสอบตัวเองเสมอ. เราแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อคนอื่นไหม? เราแสดงความหยั่งรู้ค่าต่อคนอื่นไหม? เราทำสิ่งที่เป็นความกรุณาต่อคนอื่นไหม? ตราบที่เราทำเช่นนั้น ไฟแห่งความรักจะทำให้ภราดรภาพของเราอบอุ่นอยู่ตลอด ไม่ว่าโลกนี้จะเปลี่ยนเป็นเย็นชาและไร้ความรู้สึกอย่างขมขื่นสักเพียงไรก็ตาม. ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไร “จงให้ความรักฉันพี่น้องมีอยู่ต่อไป”—ในขณะนี้และตลอดไป!—เฮ็บราย 13:1, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
a ฉบับแปลบางฉบับถ่ายทอดความหมายในข้อนี้ว่า คนที่แตะต้องไพร่พลพระเจ้าก็เท่ากับแตะต้องดวงตาของยิศราเอลหรือแม้กระทั่งดวงตาของตนเอง ไม่ใช่ของพระเจ้า. ข้อผิดพลาดนี้มาจากพวกอาลักษณ์ในยุคกลาง ซึ่งพยายามอย่างหลงผิดที่จะแก้ไขเนื้อความที่พวกเขาเห็นว่าเป็นการไม่เคารพยำเกรง จึงได้เปลี่ยนข้อความ. โดยทำอย่างนี้ พวกเขาทำให้ความแรงกล้าแห่งการแสดงความเห็นอกเห็นใจเป็นส่วนตัวของพระยะโฮวาถูกบดบัง.
คุณคิดอย่างไร?
▫ ความรักฉันพี่น้องคืออะไร และเหตุใดเราต้องให้ความรักเช่นนี้มีอยู่ต่อไป?
▫ การมีความเห็นอกเห็นใจช่วยเราอย่างไรให้รักษาความรักฉันพี่น้อง?
▫ ความหยั่งรู้ค่ามีบทบาทเช่นไรต่อความรักฉันพี่น้อง?
▫ การกระทำด้วยความกรุณาเป็นเหตุให้ความรักฉันพี่น้องงอกงามในประชาคมคริสเตียนอย่างไร?
[กรอบหน้า 16]
ความรักในภาคปฏิบัติ
หลายปีมาแล้ว ชายคนหนึ่งซึ่งได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวามาระยะหนึ่งยังคงสงสัยอยู่บ้างเกี่ยวกับความรักฉันพี่น้อง. เขาทราบว่าพระเยซูได้ตรัสไว้ว่า “โดยเหตุนี้คนทั้งปวงจะรู้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา ถ้าเจ้ามีความรักระหว่างพวกเจ้าเอง.” (โยฮัน 13:35, ล.ม.) แต่เขารู้สึกว่ายากจะเชื่อ. วันหนึ่งเขาได้เห็นความรักแบบคริสเตียนในภาคปฏิบัติ.
แม้ถูกจำกัดให้ต้องพึ่งเก้าอี้ล้อเข็น ตอนนั้นชายคนนี้กำลังเดินทางไกลจากบ้าน. ที่เมืองเบธเลเฮม ประเทศอิสราเอล เขาเข้าร่วมการประชุมประจำประชาคม. ที่นั่น พยานฯ ชาวอาหรับคนหนึ่งรบเร้าพยานฯ ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวอีกคนหนึ่งให้ไปพักกับครอบครัวเขาในคืนนั้น และนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคนนี้ก็ได้รับคำเชิญด้วย. ก่อนเข้านอน นักศึกษาคนนั้นถามเจ้าบ้านว่าเขาจะออกไปที่ระเบียงบ้านในตอนเช้าเพื่อชมดวงอาทิตย์ขึ้นได้ไหม. เจ้าบ้านห้ามเขาเอาไว้อย่างขึงขังว่าอย่าทำอย่างนั้นเป็นอันขาด. วันถัดมาพี่น้องชาวอาหรับคนนี้ก็อธิบายเหตุผลให้ฟัง. เขาพูดผ่านล่ามว่าถ้าเพื่อนบ้านของเขาทราบว่าเขารับรองแขกซึ่งมีพื้นเพที่เป็นยิว—ดังในกรณีของนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคนนี้—คนเหล่านี้ก็จะเผาบ้านของเขาพร้อมกับตัวเขาและครอบครัว. ด้วยความตะลึงงัน นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคนนี้ถามเขาว่า “แล้วทำไมคุณจึงเสี่ยงทำอย่างนี้?” โดยไม่ต้องอาศัยล่าม พี่น้องชาวอาหรับจ้องตาเขาและพูดแต่เพียงว่า “โยฮัน 13:35.”
นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคนนี้รู้สึกประทับใจอย่างยิ่งต่อความจริงอันเป็นรูปธรรมแห่งความรักฉันพี่น้อง. เขารับบัพติสมาไม่นานหลังจากนั้น.
[รูปภาพหน้า 18]
ลักษณะนิสัยที่เป็นมิตรและมีความหยั่งรู้ค่าของอัครสาวกเปาโลทำให้ผู้อื่นเข้าพบได้ง่าย